ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ
น้ำต้นน้ำต้น หรือ คนโฑ เดิมเรียกกันว่าน้ำต้นเงี้ยว เนื่องจากกลุ่มคนที่ทำขึ้นเป็นชาวไทใหญ่หรือเงี้ยวที่อพยพมาตั้งรกรากในบริเวณเหมืองกุง ในช่วงสมัยพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ ผู้ครองนครเชียงใหม่ ลำดับที่ ๖น้ำต้นมีลักษณะรูปทรงคล้ายผลน้ำเต้า คอยาวสำหรับใส่น้ำดื่มให้มีความเย็นสดชื่น แบ่งเป็น ๓ ขนาดใหญ่ ๆ คือ ๑. น้ำต้นหลวง มีขนาดใหญ่ใส่น้ำได้ทีละมาก ๆ สำหรับใส่น้ำไปไร่นา มีหูจำนวน ๒ หรือ ๔ หู สำหรับร้อยเชือกเพื่อแบกบนหลัง ๒. น้ำต้นกลาง สำหรับใช้งานทั่วไปในวงอาหารหรือการรับแขก ๓. น้ำต้นหน้อย (เล็ก) มีขนาดเล็ก ใช้ใส่น้ำตั้งตามหิ้งบูชาพระ ปัจจุบันมีการผลิตที่หมู่บ้านหัตถกรรมทำเครื่องปั้นดินเผา อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ภาพ : พิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดเกตการามอ้างอิง : ธันวดี สุขประเสริฐ.๒๕๖๔.ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) (Online). https://www.sac.or.th/.../trad.../th/equipment-detail.php... ,สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๔.
พฺรยาสุนนฺทราช (พฺรยาสุนนฺทราช)
ชบ.บ.67/1-1ฉ
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เลขทะเบียน : นพ.บ.187/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 48 หน้า ; 5 x 54.5 ซ.ม. : ทองทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 107 (123-132) ผูก 4 (2565)หัวเรื่อง : สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม(บุคคลบัญญัติ)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.288/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 32 หน้า ; 4 x 51 ซ.ม. : ทองทึบ-ล่องชาด-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 121 (258-265) ผูก 5 (2565)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์(8หมื่น) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
การดำเนินการซ่อมแซมเสริมความมั่นคงเบื้องต้น โบราณสถานปราสาทตามอญ ตำบลบัวเชด อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์
- ติดตั้งเชื่อมประกอบโครงสร้างเหล็กค้ำยันภายในองค์ปราสาท เพื่อป้องกันการพังทลายลงของผนังอิฐ
- ดำเนินการก่ออิฐเสริมความมั่นคง ในจุดที่ได้รับความเสียหาย และใช้อิฐใหม่ก่อเสริมทดแทนอิฐเก่าที่ร่วงหล่นหายไป โดยก่อตามรูปแบบดั้งเดิม
นายนุกูล ดงสันเทียะ นายช่างโยธาชำนาญงาน
กระทรวงวัฒนธรรม โดย กรมศิลปากร นำรถพิพิธภัณฑ์สัญจร พร้อมสื่อการเรียนรู้และกิจกรรมเพื่อคนทุกช่วงวัย เข้าร่วมจัดงาน "Thailand Friendly Design Expo 2022 : มหกรรมอารยสถาปัตย์และนวัตกรรมสุขภาพเพื่อคนทั้งมวลครั้งที่ 5
ระหว่างวันที่ 10 - 13 กุมภาพันธ์ 2565 ณ ฮอลล์ 101 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค - บางนา
เพื่อร่วมบูรณาการและสร้างโอกาสในการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแก่สังคมด้วยความเสมอภาค
//ดาบน้ำลี้ฯ จากการค้นพบแหล่งถลุงเหล็กยุค 2,000 ปี สู่การพัฒนากระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน//เรียบเรียงโดย นายยอดดนัย สุขเกษม นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่#โบราณโลหะวิทยาดินแดนล้านนา #การมีส่วนร่วมของชุมชน.- ย้อนไปในปี พ.ศ. 2562 สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ร่วมกับผู้นำชุมชนร่วมศึกษาทางโบราณคดีในแอ่งที่ราบลี้ จังหวัดลำพูน จนมีการค้นพบกลุ่มแหล่งถลุงเหล็กขนาดใหญ่ จากการขุดค้นและวิเคราะห์หลักฐานข้างต้น พบว่า แหล่งถลุงเหล็กในพื้นที่อำเภอลี้ มีอายุอยู่ในช่วง 2,300 – 2,500 ปีแล้ว นับเป็นแหล่งผลิตเหล็กที่เก่าแก่ที่สุดในดินแดนล้านนา ผลิตเหล็กด้วยกรรมวิธีแบบทางตรง (Direct Iron Smelting Process) ใช้ความร้อนระหว่าง 1,150 – 1,300 องศาเซลเซียส โดยใช้เตาทรงกระบอกตรงมีผนังสูง (Shaft Furnace) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 90 – 100 เซนติเมตร สูงประมาณ 180 – 200 เซนติเมตร มีลักษณะพิเศษตรงที่สามารถก่อให้เกิดสภาวะหมุนวนเป็นเกลียวของอากาศได้ภายในตัวเตา.- จากการสังเคราะห์องค์ความรู้ข้างต้น นำมาสู่การเรียนรู้ด้วยกระบวนการโบราณคดีทดลอง (Experimental Archaeology) ด้วยการมีส่วนร่วมทั้งชุมชน สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และผู้ทรงความรู้ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ทำให้เกิดกิจกรรมเรียนรู้ร่วมกันหลายครั้งเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการถลุงเหล็กแบบโบราณ จนในที่สุดสามารถลุงได้ผลผลิตออกมาเป็นก้อนโลหะเหล็กบริสุทธิ์ ที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปทดลองขึ้นรูปเป็นอาวุธดาบตามรูปแบบของโบราณ.- เพื่อเป็นการต่อยอดพัฒนาองค์ความรู้จากทุนทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในท้องถิ่นให้เกิดความสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น ผู้เกี่ยวข้องภาคส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่อำเภอลี้จึงได้มีแนวทางร่วมกันในการนำผลผลิตที่ได้จากการเรียนรู้ ไปสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมต้นแบบ ในชื่อ “ดาบน้ำลี้ สิริเวียงชัย” ดาบสำคัญประจำอำเภอลี้ ซึ่งจะเป็นที่ระลึกถึงกระบวนการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้สืบต่อไป.- กระบวนการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมต้นแบบ “ดาบน้ำลี้ สิริเวียงชัย” มีขั้นตอนโดยอาศัยการีส่วนร่วมจากช่างที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขา ดังนี้ 1.การจัดการและขึ้นรูปก้อนโลหะเหล็ก โดย ช่างประพจน์ เรืองรัมย์ เป็นกระบวนการปรับปรุงคุณภาพเหล็กให้ดีมากยิ่งขึ้น โดยการนำโลหะเหล็กที่ได้จากการถลุงมาทำการคัดเกรดเนื้อโลหะและทำการตีทบเพื่อไล่มลทินในเนื้อเหล็กออกให้มีความสะอาดอีกทั้งยังเป็นการกระจายธาตุต่าง ๆ ภายในเนื้อเหล็กให้มีความสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้นมากอีกด้วย 2. การตีขึ้นรูปเป็นดาบ โดยช่างสล่าชินดิศ กวีกรณ์ ในขั้นตอนนี้ช่างจะทำการนวดเนื้อเหล็กสลับกับการให้ความร้อนก่อนทำการตียืดใบดาบขึ้นรูปให้เป็นทรงตามที่ต้องการ และทำการแต่งผิวให้เรียบสม่ำเสมอ 3.การจารึกชื่อดาบ โดยสล่าณฐ ดวงอำพร ช่างจะทำการใช้สิ่วตอกจารึกชื่อ ดาบน้ำลี้ สิริเวียงชัย และระบุปีที่สร้าง ทั้ง 2 ด้านของใบดาบ เป็นตัวอักษรไทย และอักษรธรรมล้านนา (ตัวเมือง) ลงในเนื้อเหล็กของใบดาบ 4. การชุบแข็งใบดาบ โดย สล่าสมชาย ทิพย์มณี ช่างจะนำใบดาบผ่านความร้อนจนมีสีแดง หลังจากนั้นจึงนำไปลดอุณหภูมิด้วยน้ำ เทคนิคนี้เป็นวิธีการชุบแข็งใบดาบที่นิยมใช้มาตั้งแต่โบราณ หลักจากนั้นจะนำไปดาบไปขัดแต่งผิว ทำความสะอาด และลับคม และ 5. การทำหลูบเงิน และประกอบดาบ โดยสล่าไตรรงค์ โปธา ในขั้นตอนนี้ช่างจะใช้วัตถุดิบซึ่งเป็นเงินความบริสุทธิ์ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ นำไปรีดเป็นแผ่นแล้วนำมาหุ้มและดุนขึ้นรูปบริเวณฝักและด้ามดาบ หลักจากนั้นจึงนำเส้นลวดเงิน มาเดินเส้นให้เป็นลวดลายและถักเป็นตาข่ายหุ้มบริเวณด้ามของดาบ ถือเป็นการเสร็จสิ้นกระบวนการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต้นแบบตามจารีตโบราณของดินแดนล้านนา.- หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการสร้างดาบน้ำลี้ สิริเวียงชัย ใจความสำคัญของการสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมครั้งนี้ คือ กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนต่าง ๆ โดยทางอำเภอลี้ ได้จัดพิธีสมโภชดาบประจำอำเภอขึ้น โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ทุกหมู่บ้าน มีการแห่อัญเชิญดาบไปยัง แต่ละหมู่บ้าน ชุมชน และสมโภชดาบ ณ วัดในแต่ละตำบล จนครบทั่วทั้ง 8 ตำบล ตั้งแต่วันที่ 4-11 เมษายน พ.ศ.2562 และประกอบพิธีประจุสิ่งมงคล ลงมหาอาคมปลุกเสกและสมโภช ณ มณฑลพิธีหน้าที่ว่าการอำเภอลี้ เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2562 กิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นกระบวนการมีส่วนร่วมครั้งสำคัญในการสร้างการเรียนรู้ รับรู้ และความภูมิใจในมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น .- ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมสร้างสรรค์ต้นแบบ “ดาบน้ำลี้ สิริเวียงชัย” ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคง ความเจริญ ความสมัครสมานสามัคคี ความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมของเมืองลี้ ที่จะอยู่คู่กับเมืองลี้ไปตลอดกาล โดยมีจุดเริ่มต้นจากการค้นพบทางโบราณคดี นำมาสู่การสังเคราะห์องค์ความรู้ และส่งผลให้เกิดการพัฒนาต่อยอดออกไปในอีกหลากหลายแนวทาง อันจะนำประโยชน์มาสู่ชุมชนท้องถิ่นต่อไป ปัจจุบันดาบเล่มนี้ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ณ ที่ว่าการอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน.- กระบวนการมีส่วนร่วมครั้งนี้สำเร็จลุล่วงได้ก็เพราะความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ มากมาย ประกอบด้วย ฝ่ายปกครองอำเภอลี้ คณะสงฆ์อำเภอลี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน สถาบันทางการศึกษา ปราชญ์ช่างฝีมือแขนงต่าง ๆ และที่สำคัญคือ พี่น้องประชาชนชาวอำเภอลี้ทุกท่าน
ชื่อผู้แต่ง กรมศิลปากร
ชื่อเรื่อง พระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรมพุทธศักราช ๒๔๗๔
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ ม.ป.ท.
สำนักพิมพ์ ม.ป.พ.
ปีที่พิมพ์ 2511
จำนวนหน้า 98 หน้า
รายละเอียด เนื้อหาว่าด้วยเรื่องพ.ร.บคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรมพุทธศักราช ๒๔๗๔ และฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษ
ชื่อผู้แต่ง เผื่อน ทองธิว
ชื่อเรื่อง คู่มือการอดฝิ่น
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิวพร
ปีที่พิมพ์ ๒๕๑๐
จำนวนหน้า ๖๖ หน้า
หมายเหตุ พิมพ์เป็นบรรณาการในงานทำบุญครบรอบ ๑๐๐ วัน พ.ต.ต.เฝื่อน ทองธิว
คู่มือการเลิกฝิ่น พ.ต.ต.เฝื่อน ทองธิว ผู้ค้นคว้า อาศักหลักเกณฑ์ทางเคมีประกอบกับความรู้เห็น ได้ยินได้ฟัง และการทดลองช่วย รวมทั้งเอาตัวเองเข้าพิสูจน์ เพื่อให้ได้ผลเป็นที่แน่นอน จึงได้นำออกใช้ในสถานสงเคราะห์ผู้เสพฝิ่น ฝิ่นที่เกิดขึ้นมักชอบเกิดมีขึ้นในบริเวณที่สูงตามเนินเขาแถบที่มีอากาศเย็น ๆ หรือหนาว ลักษณะเนื้อฝิ่น คุณสมบัต ฝิ่นดิบเป็นยางสีขาว เก็บไว้นานๆ เปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลจนถึงน้ำตาลเข้ม มีรสขมแหลม แบ่งเรียกชื่อเป็น ๓ ลักษณะ ฝิ่นดิบ ฝิ่นสุก ฝิ่นสูบ
๑. การก่อเจดีย์ทรายในอดีตการสร้างวัดของคนล้านนาเป็นการจำลองโลกตามคติไตรภูมิ กล่าวคือ วิหารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเปรียบเสมือนเขาสิเนโรบรรพตซึ่งเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า ล้อมรอบวิหารด้วยทรายขาวสะอาดที่เป็นเสมือนมหาสมุทรสีทันดร ดังนั้น ชาวล้านนาจึงมีความเชื่อว่าทุกครั้งที่เหยียบย่างเข้าไปในวัดแล้วมีทรายติดเท้าออกมาด้วยนั้นเป็นบาป ประกอบกับคัมภีร์ใบลานธรรมอานิสงส์ปีใหม่ ได้กล่าวว่าผู้ใดได้ถวายทรายหรือขนทรายเข้าวัดแล้วจะได้รับอานิสงส์ผลบุญให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ มีอายุยืนนาน พร้อมด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย การขนทรายเข้าวัดจึงเป็นกุสโลบายของทางวัดให้ชาวบ้านนำทรายมาทดแทนทรายที่เสียไปในช่วงเทศกาลปีใหม่ เมื่อชาวบ้านขนทรายเข้ามามากขึ้นจึงมีการสร้างเจดีย์ทราย โดยการนำไม้ไผ่สานมาขดให้เป็นวงกลม แล้วนำทรายมาถมให้เต็มเป็นชั้น ๆ เวียนขึ้นไปจนทรงคล้ายกับเจดีย์ เรียกว่า วาลุกเจดีย์ (อ่านว่า วา – ลุ – กะ เจดีย์) หรือเจดีย์ทราย อาจสร้างเป็นเจดีย์ทรายขนาดเล็กหลายๆ องค์ หรือเจดีย์ทรายองค์ใหญ่องค์เดียวก็ได้ แล้วจึงทำการถวายให้กับวัดในคราวเดียวภาพสาวงามก่อเจดีย์ทรายในพุทธสถานเชียงใหม่ เมื่อพ.ศ 2496ถ่ายภาพโดยคุณบุญเสริม สาตราภัยที่มาภาพ: ฐานข้อมูลออนไลน์ภาพล้านนาในอดีต จัดทำโดยสำนักหอสมุด และสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่คติการถวายเจดีย์ทรายมีปรากฏในคัมภีร์ธรรมอานิสงส์เจดีย์ทราย กล่าวถึงพุทธประวัติตอนหนึ่งว่า ในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าโคตมะนั้น พระองค์ได้เกิดเป็นชายคนหนึ่งนามว่าติสสะ เมื่อนายติสสะพบลำธารที่มีทรายสีขาวสะอาดจึงก่อเจดีย์ทรายขึ้น แล้วฉีกเสื้อของตนมาทำเป็นธงติดกับไม้ปักไว้บนยอดเจดีย์ และตั้งจิตอธิษฐานให้ตนได้เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้า ต่อมาภายหลังชาวล้านนาได้ยึดหลักปฏิบัติตามตำนานนี้ โดยการถวายตุงไส้หมูหรือตุงสิบสองนักษัตรปักไว้กับกองเจดีย์ทรายด้วย โดยเชื่อว่าอานิสงส์ในการถวายเจดีย์ทรายจะช่วยให้เกิดมาในตระกูลที่ดี มีรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ หรือเกิดในภพภูมิที่ดีบนสวรรค์ เป็นต้นภาพสาวๆเมืองเชียงใหม่พากันขนทรายจากแม่น้ำปิง ที่เชิงสะพานนวรัฐฝั่งตะวันออกเพื่อนำไปก่อเจดีย์ทรายตามวัดต่างๆ เป็นการสร้างการกุศลในวันสงกรานต์ เมื่อ พ.ศ 2493ถ่ายภาพโดยคุณบุญเสริม สาตราภัยที่มาภาพ: ฐานข้อมูลออนไลน์ภาพล้านนาในอดีต จัดทำโดย สำนักหอสมุด และสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่นปัจจุบันการถวายเจดีย์ทรายพบได้น้อยลง เนื่องจากวัดได้ดัดแปลงจากพื้นทรายรอบวิหารให้เป็นพื้นคอนกรีตหรืออิฐบล็อกแทน อย่างไรก็ดี ในบางพื้นที่ที่ยังมีการถวายเจดีย์ทรายอยู่ก็มีการเปลี่ยนวัตถุประสงค์จากการคืนทรายให้กับวัดเป็นการถวายทรายสำหรับการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ ภายในวัดไปที่มาภาพ: www.loupiote.com. Sand Pagoda - Songkran festival (Thai New Year) in Chiang Mai (Thailand)
วันนี้ (วันพุธที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕) เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ชั้น ๕ กรมศิลปากร อาคารเทเวศร์ นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานในการแถลงข่าวผลการแข่งขันรางวัล The Cultural Heritage Game Jam และการจัดการแข่งขันสร้างสรรค์เกม FIT Game Jam (Fine Arts Game Jam) นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า กรมศิลปากร โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศมรดกศิลปวัฒนธรรม ได้ส่งผลงานเกม Siamese: Puzzle Heritage Game ซึ่งเป็นเกมการต่อ Puzzle รูปแบบสถาปัตยกรรมโบราณสถานในพื้นที่มรดกโลก สุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร และพระนครศรีอยุธยา เข้าร่วมประกวด ภายใต้หัวข้อ The Cultural Heritage Game Jam ซึ่งได้รับรางวัลที่ ๕ จากทั้งหมด ๑๑๖ เกมทั่วโลก ในงาน Global Game Jam® (GGJ) งานผลิตเกมที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดโดย Global Game Jam® (GGJ) องค์กรสากลที่ไม่แสวงหาผลกำไร ก่อตั้งขึ้นในเมืองซานหลุยส์ โอบิสโป รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา นับเป็นมิติใหม่ของกรมศิลปากรที่แสดงถึงผลงานการขับเคลื่อน Soft Power ด้านวัฒนธรรม ผสมผสานงานสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลกับงานมรดกวัฒนธรรมอย่างลงตัว มุ่งเน้นให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงข้อมูลมรดกวัฒนธรรมผ่านสื่อในรูปแบบเกม กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้และดึงดูดคนทั่วโลกให้เข้ามาเที่ยวชมแหล่งมรดกวัฒนธรรมของประเทศไทยมากยิ่งขึ้น โดยผู้สนใจร่วมเล่นเกม Siamese: Puzzle Heritage Game การต่อรูปแบบสันนิษฐานโบราณสถานของกรมศิลปากร สามารถดาว์นโหลดแอปพลิเคชั่น Siam Puzzle Heritage เกมผ่านสมาร์ทโฟน ได้ทั้งระบบ Android และ iOS ซึ่งผู้ที่เล่นเกมได้ครบ ๓๖ ด่าน โดยทำเวลาได้ดีที่สุดจะได้ร่วมลุ้นรับรางวัลจากผู้สนับสนุนมากมายด้วย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการต่อยอดการสร้างสรรค์ และพัฒนาแนวทางการเสริมสร้างองค์ความรู้ผ่านเกมกรมศิลปากร จึงได้ร่วมกับผู้สนับสนุนภาคสถาบันการศึกษาจัดการแข่งขัน FIT Game Jam (Fine Arts Game Jam) เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนที่ศึกษาในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง เช่น การออกแบบพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย หลักสูตรดิจิทัลแนวสร้างสรรค์ และสาขาการพัฒนาสื่อผสมและเกม มาร่วมแข่งขันสร้างสรรค์เกมโดยใช้เนื้อหาจากข้อมูลมรดกวัฒนธรรมไปต่อยอดสร้างสรรค์ แลกเปลี่ยน เรียนรู้ร่วมกันในวงกว้าง เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนา Soft Power ด้านวัฒนธรรมอีกประการหนึ่ง โดยรับสมัครทีมเข้าแข่งขันจำนวน ๑๒ ทีม แบ่งเป็นทีมละ ๕ คน จากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วประเทศ สร้างเกมมรดกวัฒนธรรมจากโจทย์ของกรมศิลปากร ชิงเงินรางวัล พร้อมโล่รางวัล และประกาศนียบัตร จากกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ผู้สนใจสามารถสมัคร และติดตามรายละเอียดการเข้าแข่งขันได้ที่เว็บไซต์กรมศิลปากร www.finearts.go.th เฟสบุ๊ก และช่อง YouTube ของกรมศิลปากร ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ อุบลราชธานี ขอนำเสนอสาระความรู้ ในหัวข้อ จดหมายเหตุเล่าเรื่อง ตอนที่ ๗ การสร้างหน้าบันพระอุโบสถวัดพระธาตุประสิทธิ์ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม (ตอนแรก)
องค์ความรู้ เรื่อง เรื่องเล่าจากคลังโบราณวัตถุ : โบราณวัตถุจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงในคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ค้นคว้า/เรียบเรียงโดย นางสาวชุติณัฐ ช่วยชีพ ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช