ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ
เลขทะเบียน : นพ.บ.61/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 26 หน้า ; 3.7 x 53 ซ.ม. : ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 39 (382-387) ผูก 6หัวเรื่อง : แทนน้ำนมแม่ --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
พระคเณศ วัสดุ สำริดศิลปะขอมแบบบายน พุทธศตวรรษที่ 18 พบที่ ตำบลพังยาง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ปัจจุบันจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มัชฌิมาวาส พระคเณศองค์นี้ เป็นพระคเณศขนาดเล็ก สูงประมาณ 6 เซนติเมตร มีลักษณะเป็นพระคเณศ 2 กร (มือ) อยู่ในอิริยาบถประทับนั่งบนแท่นฐานทรงสี่เหลี่ยมในท่าแบบชวา โดยคุกพระชานุ (เข่า) ซ้ายลงกับพื้น และยกพระชานุ (เข่า) ขวาขึ้น พระหัตถ์ (มือ) ซ้ายถือขนมโมทกะ สัญลักษณ์ของสติปัญญาอันยอดเยี่ยม พระหัตถ์ (มือ) ขวาถืองาหัก งวงอยู่ในลักษณะห้อยตรงคดโค้งเล็กน้อย มีความยาวเพียงระดับพระอุระ (อก) สวมมงกุฎ มีกระบังหน้า และทรงพระภูษา (ผ้านุ่ง) สั้นเหนือพระชานุ (เข่า) ลักษณะคล้ายเทวรูปในศิลปะขอมแบบบายน สวมสายยัชโญปวีต หรือสายธุรำพาดพระอังสา (บ่า, ไหล่) ขวา ซึ่งสายยัชโญปวีต หรือสายธุรำ เป็นเชือกหรือด้ายมงคลศักดิ์สิทธิ์ของวรรณะพราหมณ์ เพื่อแสดงความเป็นพราหมณ์ อันหมายถึงผู้ที่ถือกำเนิด 2 ครั้ง โดยครั้งแรกถือกำเนิดจากครรภ์มารดา ครั้งที่ 2 ถือกำเนิดโดยผ่านพิธีกรรมทางศาสนา เป็นพราหมณ์โดยสมบูรณ์ จึงจะมีสิทธิ์คล้องสายยัชโญปวีต หรือสายธุรำ พระอุระ (อก) ด้านซ้ายมีปมเชือกที่เรียกว่า พรหมามุทิ ทรงเครื่องประดับตกแต่งแบบกษัตริย์ มีสร้อยพระศอ (สร้อยคอ) พาหุรัด (กำไลต้นแขน) ทองพระกร (กำไลข้อมือ) และทองพระบาท (กำไลข้อเท้า) จากลักษณะของประติมากรรม และเครื่องแต่งกาย สันนิษฐานได้ว่าพระคเณศองค์นี้น่าจะมีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 และจากการที่พระคเณศองค์นี้เป็นพระคเณศที่มีขนาดเล็ก และมีลักษณะที่มีความคล้ายคลึงกับเทวรูปในศิลปะขอมแบบบายน ทำให้สันนิษฐานได้ว่าอาจจะถูกนำเข้ามาจากที่อื่น โดยพ่อค้าชาวต่างชาติที่นำติดตัวเข้ามาทำการค้าในบริเวณคาบสมุทรสทิงพระ ตามคติการนับถือพระคเณศที่เชื่อว่าทรงเป็นเทพเจ้าที่ช่วยขจัดอุปสรรคและประทานความสำเร็จในการเดินทางและการค้าขาย พระคเณศเป็นเทพเจ้าที่สันนิษฐานกันว่า แต่เดิมเป็นเทพพื้นเมืองของอินเดีย ซึ่งต่อมากลายเป็นเทพเจ้าสำคัญในศาสนาฮินดู ทรงเป็นเทพเจ้าที่เป็นที่เคารพนับถือมากที่สุดองค์หนึ่ง สืบเนื่องมาจากมีคติความเชื่อที่ว่าทรงเป็นเทพเจ้าที่สามารถขจัดอุปสรรคทั้งปวง และยังเป็นเทพเจ้าแห่งศิลปวิทยาและการประพันธ์ คติการนับถือพระคเณศได้แพร่กระจายมาสู่ดินแดนประเทศไทยเป็นเวลาช้านาน จากหลักฐานประติมากรรมรูปเคารพของพระคเณศในระยะแรกบนแผ่นดินไทย ปรากฏขึ้นตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 สำหรับบริเวณคาบสมุทรภาคใต้ของไทยมีการพบพระคเณศที่เก่าแก่ที่สุดในบริเวณคาบสมุทรสทิงพระ แม้ว่าพระคเณศจะไม่ได้รับการนับถือเป็นเทพเจ้าสูงสุดในดินแดนประเทศไทย ซึ่งมีการรับนับถือพุทธศาสนามาเป็นเวลาช้านาน แต่การพบหลักฐานประติมากรรมรูปเคารพพระคเณศที่มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ในดินแดนประเทศไทยตลอดมา ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นเทพเจ้าองค์สำคัญในการประกอบพิธีกรรมตามหลักความเชื่อของศาสนาฮินดูสืบมาจนถึงปัจจุบัน พระคเณศในคติความเชื่อของไทยแสดงถึงความเป็นเทพเจ้าผู้ขจัดอุปสรรค ผู้ได้รับการบูชาก่อนเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ในกิจการอันเป็นมงคล หรือในการศึกษาศาสตร์ต่าง ๆ พระคเณศจึงกลายเป็นบรมครูแห่งศิลปวิทยาการแขนงต่าง ๆ ด้วย อ้างอิง : 1. กรมศิลปากร. สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ. โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, 2549. 2. กรมศิลปากร. สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ. พระคเณศ เทพแห่งศิลปากร. กรุงเทพฯ: สมาพันธ์, 2554. 3. จิรัสสา คชาชีวะ. พระพิฆเนศวร์ : คติความเชื่อและรูปแบบของพระพิฆเนศวร์ที่พบในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, 2547. 4. พิริยะ ไกรฤกษ์. ศิลปทักษิณก่อนพุทธศตวรรษที่ 19. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, 2523. 5. อุไร จันทร์เจ้า. "ร่องรอยหลักฐานของศาสนาพราหมณ์ในชุมชนโบราณบนคาบสมุทรสทิงพระ ก่อนพุทธศตวรรษที่ 19." วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2560.ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา
“…ส่วนตัวเมืองนครราชสีมานั้น ก็มีความเชื่อใจว่า ถ้าไม่ตายเสียก่อนคงจะได้ไปเห็น เป็นการแน่ใจมากกว่าประเทศยุโรป ซึ่งไม่เชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บจะปล่อยให้ไปได้..” พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทาน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงใหญ่เมืองนครราชสีมา ร.ศ.110
ปัจจุบันเมืองนครราชสีมากลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ สังคมและการรถไฟที่สำคัญของภาคอีสาน ในฐานะประตูสู่ภาคอีสาน สถานีรถไฟนครราชสีมาหรือที่ชาวโคราชรู้จักโดยทั่วไปว่า “หัวรถไฟ” เป็นสถานที่มีขนาดใหญ่ และเป็นศูนย์ซ่อมรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถัดจากสถานีนครราชสีมามาทางด้านทิศตะวันออกที่สถานีรถไฟชุมทางถนนจิระเป็นชุมทางระหว่างทางรถไฟสายอีสานตอนบนที่จะแล่นไปสิ้นสุดที่อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย และรถไฟสายอีสานตอนล่างที่จะแล่นไปสิ้นสุดที่อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ในจังหวัดนครราชสีมา มีอำเภอที่มีเส้นทางรถไฟพาดผ่าน ทั้งสิ้น 10 อำเภอ ได้แก่ อำเภอปากช่อง อำเภอสีคิ้ว อำเภอสูงเนิน เมื่อถึงอำเภอเมืองนครราชสีมา แบ่งเป็น 2 สายคือ 1. สายอีสานตอนบนผ่านอำเภอโนนสูง อำเภอคง อำเภอบัวใหญ่ อำเภอบัวลาย 2. สายอีสานตอนล่าง ผ่าน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอจักราช อำเภอห้วยแถลง
แรกเริ่มของเส้นทางรถไฟเส้นแรกในประเทศไทยนั้น สร้างขึ้นเมื่อ ปี 2434 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เริ่มต้นจากกรุงเทพฯ ปลายทางคือนครราชสีมา โดยพระองค์มีพระราชประสงค์เพื่อพัฒนาสยามให้รุ่งเรือง ทัดเทียมนานาอารยะประเทศ ทรงมีพระราชดำริถึงการสร้างทางรถไฟจะช่วยเพิ่มความสะดวก ลดระยะเวลาการเดินทาง ง่ายต่อการเดินทางไปตรวจราชการในหัวเมืองต่างๆ ความว่า “…ทรงพระราชดำริเห็นว่า การสร้างทางรถไฟเดินไปมาในระหว่างหัวเมืองไกล เป็นเหตุให้เกิดความเจริญแก่บ้านเมืองได้เป็นอย่างสำคัญ เพราะทางรถไฟอาจจะชักย่นหนทางหัวเมืองซึ่งตั้งอยู่ไกล ไปมาถึงกันยากให้เป็นหัวเมืองใกล้ ไปมาถึงกันได้สะดวกเร็วพลัน การย้ายของสินค้าไปมาซึ่งเป็นการลำบากก็สามารถจะย้ายขนสินค้าไปมา ซึ่งเป็นการลำบาก ก็สามารถจะย้ายขนไปมาถึงกันได้โดยง่าย...เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาราษฎรมีการตั้งทำมาหากินกว้างขวางออกไป...ทั้งเป็นคุณประโยชน์ในการบังคับบัญชา ตรวจตราราชการ บำรุงรักษาพระราชอาณาเขตให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขโดยสะดวก...” การก่อสร้างทางรถไฟสายนี้แล้วเสร็จในปี 2443 รวมระยะทางจาก กรุงเทพฯ - นครราชสีมา ทั้งสิ้น 265 กิโลเมตรโดยใช้งบประมาณรวมทั้งหมด 17,585,000บาท
เส้นทางรถไฟสายอีสานจากกรุงเทพฯถึงนครราชสีมา ในปัจจุบันนี้ ถูกกำหนดขึ้นตามประกาศพระราชกฤษฎีกาสำหรับการที่จะสร้างรถไฟ ตามที่ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราขึ้นรายละเอียด มาตรา 1 ระบุว่า “...ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานกระทรวงโยธาธิการ สร้างรถไฟขนาดใหญ่ตามอัตรา ตั้งแต่กรุงเทพฯไปทางบางปอินกรุงเก่าแลเมืองสระบุรี ถึงเมืองนครราชสีมาสายหนึ่ง...”
เมื่อ วันที่ 21 ธันวาคม ปี 2443 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จพระราชดำเนิน เสด็จพระราชดำเนินเปิดทางรถไฟสายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา อย่างเป็นทางการและประทับรถไฟพระที่นั่งสู่เมืองนครราชสีมา เพื่อเยี่ยมเยียนราษฎรและตรวจราชการเมืองนครราชสีมา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของมณฑลลาวกลาง ระหว่างวันที่ 21 ธันวาคม – 25 ธันวาคม ปี 2443 จากบันทึกการเดินทางระบุว่า รถไฟพระที่นั่งเสด็จออกเดินทางในเวลา 07.25 น. และถึงเมืองนครราชสีมา ในเวลาประมาณ 16.00 น. รวมใช้เวลาเดินทางในขณะนั้นประมาณ 9 ชั่วโมง แวะพักเป็นจุดๆ ได้แก่ เมืองกรุงเก่า เมืองแก่งคอย เมืองปากช่อง เมืองสีคิ้ว ตามลำดับ ในปัจจุบันรถไฟ ประเภทรถเร็ว จากกรุงเทพฯ ถึง นครราชสีมา ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง หากรถไฟพระที่นั่งไม่หยุดพักคงใช้เวลาเดินทางใกล้เคียงกัน
ภายหลังจากเส้นทางรถไฟกรุงเทพฯ-นครราชสีมา เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการแล้วนั้น เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อวิถีของชาวโคราชในช่วงเวลานั้นหลายประการ ทั้งในด้านการอุปโภค บริโภค การขยายตัวของเมืองดังปรากฏให้เห็นจากรายงานผลการเดินทางไปตรวจราชการ ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ปี 2445 เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ซึ่งในขณะนั้นกิจการรถไฟดำเนินการไปแล้วกว่า 1 ปี ดังนี้1. สินค้าอุปโภค บริโภคคนโคราชนำสินค้าขึ้นมาขายจากกรุงเทพฯ โดยตรง มีทั้งข้าวเปลือก สุกร ยาง ส้ม มะขามป้อม สมอ นุ่น มะขามฝัก (เพราะคนเมืองนี้ไม่กิน) มะเกลือ ส้ม อ้อย เนื้อโค ไม้เสาเรือน ไม้ไถ ไม้เครื่องเกวียน ไม้แดง ไม้ท่อน ศิลา โค ม้า เป็ด ไก่ หมากพลู ปูนแดง ยาจืด และสินค้าพิเศษคือการนำน้ำแข็งมาจากกรุงเทพฯ2. วิถีการบริโภคคนในเมืองโคราชเริ่มหันมาบริโภคเกลือทะเลแทนเกลือสินเธาว์ บริโภคยาเส้นจากกรุงเทพฯ ซึ่งมีต้นตำรับจากเกาะกร่าง ลุ่มแม่น้ำแม่กลอง และปลูกอย่างแพร่หลายที่เมืองกาญจนบุรี แทนยาเส้นจากเดิมที่นำมาจากเมืองเพชรบูรณ์กับเมืองหนองคาย และคนโคราชเปลี่ยนการบริโภคปลาร้า จากเดิมซื้อจากเมืองพิมาย หันมาบริโภคปลาร้าจากกรุงเก่า เมืองอยุธยา3. การแลกเปลี่ยนสินค้าในเรื่องการแลกเปลี่ยนสินค้าของพ่อค้าคนกลาง พ่อค้าจากมณฑลอิสาน (อุบลราชธานี) แบะมณฑลอุดร (อุดรธานี) ไม่รับสินค้าผ่านพ่อค้าคนกลางเมืองโคราชแล้ว แต่ลงไปซื้อด้วยตนเองที่กรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังมีการนำปลาย่าง ปลากรอบ จากพระตะบอง บรรทุกใส่เกวียนคราวละ 50-60 เล่ม แล้วบรรทุกรถไฟลงไปขายที่กรุงเทพฯ4. สิ่งปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้าง ทั้งโรงเรือนมุงสังกะสี และโรงแถวปลูกใหม่ ในเมืองโคราชมีเพิ่มขึ้นทั้งในเมืองและนอกเมืองค่อนไปทางสถานีรถไฟนครราชสีมาในปัจจุบัน ที่ดินมีราคาเพิ่มสูงขึ้น ถึงตารางวาละ 6-7 บาท เมื่อมีความต้องการมากขึ้นจึงส่งผลให้เกิดโรงรับจ้างทำอิฐ ทำกระเบื้องขึ้น นอกจากนี้ยังพบบ้านข้างทางรถไฟเกิดขึ้นใหม่ ทั้งที่ลาดบัวขาว สีคิ้ว และที่หนาแน่นที่สุดคือบ้านสูงเนิน (อำเภอสูงเนินในปัจจุบัน) มีชุมชนขนาดใหญ่ มีตลาดและโรงแถว
เมื่อมีความต้องการมากขึ้นจึงส่งผลให้เกิดโรงรับจ้างทำอิฐ ทำกระเบื้องขึ้น นอกจากนี้ยังพบบ้านข้างทางรถไฟเกิดขึ้นใหม่ ทั้งที่ลาดบัวขาว สีคิ้ว และที่หนาแน่นที่สุดคือบ้านสูงเนิน (อำเภอสูงเนินในปัจจุบัน) มีชุมชนขนาดใหญ่ มีตลาดและโรงแถว
ในอนาคตอันใกล้เมืองนครราชสีมา กำลังจะมีรถไฟความเร็วสูง ซึ่งเป็นเมกะโปรเจ็คระดับชาติ ที่จะทำให้การคมนาคมรวดเร็ว สะดวก คล่องตัวเพิ่มขึ้นไปอีก โดยระยะที่ 1 คือเส้นทาง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 252.5 กิโลเมตร มูลค่าการทางลงทุนกว่า 179,413 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดใช้บริการในปี 2566 โดยจังหวัดนครราชสีมาจะมีสถานีรถไฟความเร็วสูงถึง 2 สถานี ได้แก่ สถานีปากช่อง และสถานีนครราชสีมา นับเป็นความโชคดี และเป็นโอกาสสำคัญของชาวนครราชสีมา สืบไป
- ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ทรงสนพระราชหฤทัยที่จะเสด็จมาเมืองนครราชสีมาถึงกับเอ่ยในพระราชหัตถเลขาที่พระราชทานแก่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงใหญ่เมืองนครราชสีมา ร.ศ.110 หรือตรงกับ พ.ศ.2434 ความว่า “…ส่วนตัวเมืองนครราชสีมานั้น ก็มีความเชื่อใจว่า ถ้าไม่ตายเสียก่อนคงจะได้ไปเห็น เป็นการแน่ใจมากกว่าประเทศยุโรป ซึ่งไม่เชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บจะปล่อยให้ไปได้..”- แต่ท้ายที่สุดแล้ว 6 ปีต่อมา พระองค์ได้เสด็จไปยุโรปก่อน ในปี 2440 และผ่านไปแล้วกว่า 9 ปี พระองค์จึงเสด็จพระราชดำเนินมาเมืองนครราชสีมา ในวโรกาสเสด็จพระราชดำเนินเปิดทางรถไฟแห่งแรกของสยาม สายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ในเดือนธันวาคม ปี 2443- เมื่อรถไฟมาถึง...น้ำแข็งก็มาถึงโคราชด้วย- เมื่อรถไฟมาถึง...ปลาร้าจากพิมายก็ลดความนิยมลง แล้วหันไปบริโภคปลาร้าจากเมืองกรุงเก่า- เมื่อรถไฟมาถึง...แม้เพียง 1 ปี โคราชก็เปลี่ยนไปดังปรากฏให้เห็นจากรายงานผลการเดินทางไปตรวจราชการ ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ปี 2445 เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย- ในอนาคตอันใกล้ รถไฟความเร็วสูง กำลังจะมาถึง คงมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกมาก เช่นเดียวกับรถไฟขบวนแรกมาถึงโคราชเมื่อ 120 ปีที่ผ่านมา
บทความและออกแบบโดยนายวรรณพงษ์ ปาละกะวงษ์ ณ อยุธยานักโบราณคดีปฏิบัติการ
วิฬาร์.พริกไทยกับความเป็นไปในอาเซียน.จันท์ยิ้ม.(2):3;ก.พ.-มี.ค.2560
แต่เดิมเป็นเครื่องเทศที่ชาวตะวันตกนิยมกันมาก ตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม ที่ต้องการจะยึดพื้นที่แถบอาเซียน ก็เพื่อที่หวังจะยึดพื้นที่และผลผลิตในการเกษตร รวมถึงครื่องเทศอย่างพริกไทย ปัจจุบันประเทศไทย ได้นำเข้าพริกไทยแล้วกว่า 2,000 ตัน จากที่เคยเป็นประเทสส่งออก
พระนครศรีอยุธยา หรือกรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา เป็นที่ทราบกันดีว่าตำแหน่งและผังเมืองของอดีตเมืองหลวงแห่งนี้แสดงให้เห็นภูมิปัญญาด้านการจัดการทรัพยากรน้ำได้อย่างทรงประสิทธิภาพ แม้ว่าที่ตั้งจะเป็นจุดศูนย์รวมแม่น้ำสายสำคัญถึงสามสายแต่ชาวกรุงศรีอยุธยาก็สามารถปรับตัวและสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับรัฐในระดับสากล ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๔ การเกษตรและการค้าขายเป็นปัจจัยสำคัญที่นำพาอยุธยาขึ้นสู่จุดสูงสุด แต่ทั้งนี้เบื้องหลังความเจริญดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากการควบคุมทรัพยากรน้ำโดยใช้ระบบคูคลองภายในเกาะเมืองอยุธยาเป็นหัวใจหลักอันหนึ่ง โดยสัณฐานเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยามีแม่น้ำล้อมรอบสามสาย ชาวอยุธยาเรียกแม่น้ำทั้งสามสายนี้รวมกันว่า “คลองคูเมือง” หรือ “คูเมือง” คูเมืองทิศเหนือรับน้ำจากแม่น้ำลพบุรีและเจ้าพระยา คูเมืองทิศตะวันออกรับน้ำจากแม่น้ำป่าสัก คูเมืองทิศใต้เป็นจุดรวมแม่น้ำทุกสายไหลรวมเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตำบลบางกระจะหรือบ้านน้ำวน ภายใน เกาะเมืองมีคลองหลักที่ผันน้ำจากคูเมืองทิศเหนือผ่านเกาะเมืองลงมายังคูเมืองทิศใต้ถึงสามสาย เรียงจาก ทิศตะวันตกไปตะวันออก ได้แก่ คลองฉะไกรใหญ่ (คลองท่อ) คลองประตูข้าวเปลือกหรือคลองประตูจีน และคลองนายก่าย (ภายหลังเรียก “คลองมะขามเรียง”) คลองทั้งสามนอกจากจะเป็นทางที่ตัดตรงจาก ทิศเหนือ–ใต้ ในมิติของการคมนาคม ยังเป็นคลองที่ใช้ระบายน้ำจากแม่น้ำลพบุรีลงมาออกแม่น้ำเจ้าพระยา ในฤดูที่น้ำเหนือไหลหลาก จากการที่เป็นเส้นทางคมนาคมหลักนี้เองจึงเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางด้านการเมือง การค้า และศาสนา สถานที่สำคัญทั้งที่เป็นศูนย์กลางทางอำนาจ การเมือง ศาสนา และเศรษฐกิจ ของอยุธยา ตั้งอยู่ตลอดคลองทั้งสาม อันสมควรยกเป็นตัวอย่าง ทางด้านการปกครอง คือ พระราชวังหลวงของอยุธยา มีขอบเขตด้านทิศตะวันตกติดกับคลองฉะไกรใหญ่ (คลองท่อ) ยังปรากฏหลักฐานการผันน้ำจากคลองฉะไกรใหญ่เข้าสู่บ่อเก็บน้ำต่างๆ ในพระราชวัง ไม่ว่าจะเป็น สระแก้ว สระระฆัง โดยเฉพาะพระที่นั่ง บรรยงค์รัตนาสน์ หรือพระที่นั่งท้ายสระ ซึ่งมีคูน้ำล้อมรอบด้วยการผันน้ำจากคลองฉะไกรใหญ่ผ่านประตูน้ำชื่อ “อุดมคงคา” และออกทางประตูน้ำ “ชลชาติทวารสาคร” แสดงให้เห็นการจงใจเลือกตำแหน่งของพระราชวังหลวงให้สามารถใช้ประโยชน์ด้านอุปโภคบริโภคจากคลองฉะไกรใหญ่ได้สะดวก ทางทิศตะวันออกของ คลองฉะไกรใหญ่ยังมีคลองประตูข้าวเปลือกเป็นทางน้ำขนาดใหญ่ขุดผ่านกลางเกาะเมือง ปากคลองทิศเหนือเป็นที่ตั้งของป้อมประตูข้าวเปลือก ไหลลงทางใต้ผ่านวัดคู่บ้านคู่เมืองพระนครศรีอยุธยา ได้แก่ วัดมหาธาตุ และวัดราชบูรณะ ซึ่งล้วนเป็นจุดศูนย์กลางทางศาสนา ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือวัดมหาธาตุซึ่งพระสังฆราช ฝ่ายคามวาสีของอยุธยาจำพรรษาอยู่ ความสำคัญของวัดมหาธาตุปรากฏดังเหตุการณ์ตอนหนึ่งในจดหมายเหตุราชทูตลังกาเดินทางมาสืบศาสนาในอยุธยา ราว พ.ศ. ๒๒๙๓ รัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กล่าวถึงเหตุการณ์เข้าพบพระสังฆราชของอยุธยา และบรรยายสภาพบริเวณสังฆาวาสของวัดมหาธาตุไว้ว่า “...ในบริเวณรอบตำหนักพระสังฆราช มีกุฎีภิกษุสามเณรต่อไปเป็นอันมาก มีทั้งที่พักอุบาสก อุบาสิกา และที่พักของพวกข้าพระโยมสงฆ์ ซึ่งมากระทำการอุปัฏฐากทุกๆ วัน...” แสดงให้เห็นว่าคลองประตูข้าวเปลือกเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญที่นำมาสู่ศูนย์กลางทางศาสนาของอยุธยา ปัจจัยสำคัญอีกเรื่องหนึ่งของอยุธยาเป็นเรื่องของการพานิชย์ปรากฏศูนย์กลางการค้าขายที่สำคัญที่สุดตั้งอยู่ปลายคลองนายก่ายทางทิศใต้ คือ ย่านนายก่าย ย่านสามม้า ต่อเนื่องถึงตลาดนานาชาติบริเวณ ป้อมเพชร พื้นที่ซึ่งชาวจีนตั้งย่านตลาดค้าขาย สินค้าทั้งที่นำเข้าจากต่างประเทศและผลิตโดยช่างชาวจีน บรรดาสินค้าจากต่างถิ่นซึ่งมีขายอยู่ในย่านนายก่าย ได้แก่ เครื่องกระเบื้อง ภาชนะโลหะต่างๆ ผ้าไหมและ ผ้าแพร เป็นต้น ส่วนสินค้าที่ผลิตโดยช่างชาวจีน ได้แก่ ขนมแห้ง(จันอับ) รวมถึงขนมนานาชนิด เครื่องเรือนไม้ เครื่องใช้ไม้สอยจากโลหะ เป็นต้น จากตัวอย่างเพียงเล็กน้อยที่กล่าวมาพอจะให้ภาพสังคมของอยุธยาตั้งแต่เรื่องของการปกครอง ความเชื่อ และวิถีชีวิต ล้วนเกาะเกี่ยวเชื่อมโยงอยู่กับลำน้ำทั้งสามสายนี้เสมือนเป็น ถนนสายหลักของชาวกรุงศรีอยุธยา ---------------------------------ผู้เรียบเรียงข้อมูล : นายศุทธิภพ จันทราภาขจี นักโบราณคดีปฏิบัติการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๓ พระนครศรีอยุธยา เอกสารอ้างอิง : ๑. วินัย พงศ์ศรีเพียร. พรรณนาภูมิสถานพระนครศรีอยุธยา เอกสารจากหอหลวง (ฉบับความสมบูรณ์). กรุงเทพ: อุษาคเนย์, ๒๕๕๑ ๒. ศิลปากร, กรม. โบราณสถานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เล่ม ๑. ทวีวัฒน์การพิมพ์: กรุงเทพฯ, ๒๕๕๑
รวบรวมภาพ พระราชกรณียกิจ ของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ประจำปี พ.ศ. 2528 ผู้แต่ง สำนักงานเสิมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาลโรงพิมพ์ วิคตอรี่เพาเวอร์พอยท์ปีที่พิมพ์ 2529ภาษา ไทย - อังกฤษรูปแบบ pdfเลขทะเบียน หช.จบ. 045 จบ (ร) (203)
พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปูนปลาสเตอร์ พิมพ์จำลองจากพระบรมรูปหล่อ ซึ่งประดิษฐานในปราสาทพระเทพบิดร พระบรมรูปองค์นี้จำลองเมื่องานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานไว้ในบุษบกมุขเด็จพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทสำหรับราษฎรสดับปกรณ์อุทิศถวายพระราชกุศลสนองพระเดชพระคุณ เมื่อตั้งพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครในรัชกาลที่ ๗ จึงอัญเชิญมาประดิษฐานที่พระที่นั่งวายุสถานอมเรศ ในหมู่พระวิมาน พระราชวังบวรสถานมงคล จนถึงปีพ.ศ. ๒๕๑๐ จึงเคลื่อนย้ายมาประดิษฐานในพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย และประดิษฐานในพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ห้องประวัติศาสตร์ชาติไทย ปัจจุบันเก็บรักษาในคลังของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ชื่อเรื่อง บทละครเรื่อง พระมะเหลเถไถ ผู้แต่ง สุวรรณผู้แต่งเพิ่ม กรมศิลปากรประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ วรรณกรรมเลขหมู่ 895.9112 ส869บสถานที่พิมพ์ พระนคร สำนักพิมพ์ กรุงไทยการพิมพ์ ปีที่พิมพ์ 2509ลักษณะวัสดุ 36 หน้า หัวเรื่อง บทละครไทย ภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก บทประพันธ์ร้อยกรอง บทละครของคุณสุวรรณเรื่องนี้เป็นของแปลกคือ คุณสุวรรณแต่งเป็นภาษาบ้างไม่เป็นภาษาบ้างปะปนกันไปตั้งแต่ต้นจนปลาย ความขบขันอยู่ที่ตรงส่วนนี้ ซึ่งใครอ่านก็เข้าใจได้ตลอดทั้งเรื่อง