ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ
๑. การก่อเจดีย์ทรายในอดีตการสร้างวัดของคนล้านนาเป็นการจำลองโลกตามคติไตรภูมิ กล่าวคือ วิหารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเปรียบเสมือนเขาสิเนโรบรรพตซึ่งเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า ล้อมรอบวิหารด้วยทรายขาวสะอาดที่เป็นเสมือนมหาสมุทรสีทันดร ดังนั้น ชาวล้านนาจึงมีความเชื่อว่าทุกครั้งที่เหยียบย่างเข้าไปในวัดแล้วมีทรายติดเท้าออกมาด้วยนั้นเป็นบาป ประกอบกับคัมภีร์ใบลานธรรมอานิสงส์ปีใหม่ ได้กล่าวว่าผู้ใดได้ถวายทรายหรือขนทรายเข้าวัดแล้วจะได้รับอานิสงส์ผลบุญให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ มีอายุยืนนาน พร้อมด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย การขนทรายเข้าวัดจึงเป็นกุสโลบายของทางวัดให้ชาวบ้านนำทรายมาทดแทนทรายที่เสียไปในช่วงเทศกาลปีใหม่ เมื่อชาวบ้านขนทรายเข้ามามากขึ้นจึงมีการสร้างเจดีย์ทราย โดยการนำไม้ไผ่สานมาขดให้เป็นวงกลม แล้วนำทรายมาถมให้เต็มเป็นชั้น ๆ เวียนขึ้นไปจนทรงคล้ายกับเจดีย์ เรียกว่า วาลุกเจดีย์ (อ่านว่า วา – ลุ – กะ เจดีย์) หรือเจดีย์ทราย อาจสร้างเป็นเจดีย์ทรายขนาดเล็กหลายๆ องค์ หรือเจดีย์ทรายองค์ใหญ่องค์เดียวก็ได้ แล้วจึงทำการถวายให้กับวัดในคราวเดียวภาพสาวงามก่อเจดีย์ทรายในพุทธสถานเชียงใหม่ เมื่อพ.ศ 2496ถ่ายภาพโดยคุณบุญเสริม สาตราภัยที่มาภาพ: ฐานข้อมูลออนไลน์ภาพล้านนาในอดีต จัดทำโดยสำนักหอสมุด และสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่คติการถวายเจดีย์ทรายมีปรากฏในคัมภีร์ธรรมอานิสงส์เจดีย์ทราย กล่าวถึงพุทธประวัติตอนหนึ่งว่า ในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าโคตมะนั้น พระองค์ได้เกิดเป็นชายคนหนึ่งนามว่าติสสะ เมื่อนายติสสะพบลำธารที่มีทรายสีขาวสะอาดจึงก่อเจดีย์ทรายขึ้น แล้วฉีกเสื้อของตนมาทำเป็นธงติดกับไม้ปักไว้บนยอดเจดีย์ และตั้งจิตอธิษฐานให้ตนได้เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้า ต่อมาภายหลังชาวล้านนาได้ยึดหลักปฏิบัติตามตำนานนี้ โดยการถวายตุงไส้หมูหรือตุงสิบสองนักษัตรปักไว้กับกองเจดีย์ทรายด้วย โดยเชื่อว่าอานิสงส์ในการถวายเจดีย์ทรายจะช่วยให้เกิดมาในตระกูลที่ดี มีรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ หรือเกิดในภพภูมิที่ดีบนสวรรค์ เป็นต้นภาพสาวๆเมืองเชียงใหม่พากันขนทรายจากแม่น้ำปิง ที่เชิงสะพานนวรัฐฝั่งตะวันออกเพื่อนำไปก่อเจดีย์ทรายตามวัดต่างๆ เป็นการสร้างการกุศลในวันสงกรานต์ เมื่อ พ.ศ 2493ถ่ายภาพโดยคุณบุญเสริม สาตราภัยที่มาภาพ: ฐานข้อมูลออนไลน์ภาพล้านนาในอดีต จัดทำโดย สำนักหอสมุด และสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่นปัจจุบันการถวายเจดีย์ทรายพบได้น้อยลง เนื่องจากวัดได้ดัดแปลงจากพื้นทรายรอบวิหารให้เป็นพื้นคอนกรีตหรืออิฐบล็อกแทน อย่างไรก็ดี ในบางพื้นที่ที่ยังมีการถวายเจดีย์ทรายอยู่ก็มีการเปลี่ยนวัตถุประสงค์จากการคืนทรายให้กับวัดเป็นการถวายทรายสำหรับการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ ภายในวัดไปที่มาภาพ: www.loupiote.com. Sand Pagoda - Songkran festival (Thai New Year) in Chiang Mai (Thailand)
วันนี้ (วันพุธที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕) เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ชั้น ๕ กรมศิลปากร อาคารเทเวศร์ นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานในการแถลงข่าวผลการแข่งขันรางวัล The Cultural Heritage Game Jam และการจัดการแข่งขันสร้างสรรค์เกม FIT Game Jam (Fine Arts Game Jam) นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า กรมศิลปากร โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศมรดกศิลปวัฒนธรรม ได้ส่งผลงานเกม Siamese: Puzzle Heritage Game ซึ่งเป็นเกมการต่อ Puzzle รูปแบบสถาปัตยกรรมโบราณสถานในพื้นที่มรดกโลก สุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร และพระนครศรีอยุธยา เข้าร่วมประกวด ภายใต้หัวข้อ The Cultural Heritage Game Jam ซึ่งได้รับรางวัลที่ ๕ จากทั้งหมด ๑๑๖ เกมทั่วโลก ในงาน Global Game Jam® (GGJ) งานผลิตเกมที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดโดย Global Game Jam® (GGJ) องค์กรสากลที่ไม่แสวงหาผลกำไร ก่อตั้งขึ้นในเมืองซานหลุยส์ โอบิสโป รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา นับเป็นมิติใหม่ของกรมศิลปากรที่แสดงถึงผลงานการขับเคลื่อน Soft Power ด้านวัฒนธรรม ผสมผสานงานสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลกับงานมรดกวัฒนธรรมอย่างลงตัว มุ่งเน้นให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงข้อมูลมรดกวัฒนธรรมผ่านสื่อในรูปแบบเกม กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้และดึงดูดคนทั่วโลกให้เข้ามาเที่ยวชมแหล่งมรดกวัฒนธรรมของประเทศไทยมากยิ่งขึ้น โดยผู้สนใจร่วมเล่นเกม Siamese: Puzzle Heritage Game การต่อรูปแบบสันนิษฐานโบราณสถานของกรมศิลปากร สามารถดาว์นโหลดแอปพลิเคชั่น Siam Puzzle Heritage เกมผ่านสมาร์ทโฟน ได้ทั้งระบบ Android และ iOS ซึ่งผู้ที่เล่นเกมได้ครบ ๓๖ ด่าน โดยทำเวลาได้ดีที่สุดจะได้ร่วมลุ้นรับรางวัลจากผู้สนับสนุนมากมายด้วย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการต่อยอดการสร้างสรรค์ และพัฒนาแนวทางการเสริมสร้างองค์ความรู้ผ่านเกมกรมศิลปากร จึงได้ร่วมกับผู้สนับสนุนภาคสถาบันการศึกษาจัดการแข่งขัน FIT Game Jam (Fine Arts Game Jam) เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนที่ศึกษาในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง เช่น การออกแบบพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย หลักสูตรดิจิทัลแนวสร้างสรรค์ และสาขาการพัฒนาสื่อผสมและเกม มาร่วมแข่งขันสร้างสรรค์เกมโดยใช้เนื้อหาจากข้อมูลมรดกวัฒนธรรมไปต่อยอดสร้างสรรค์ แลกเปลี่ยน เรียนรู้ร่วมกันในวงกว้าง เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนา Soft Power ด้านวัฒนธรรมอีกประการหนึ่ง โดยรับสมัครทีมเข้าแข่งขันจำนวน ๑๒ ทีม แบ่งเป็นทีมละ ๕ คน จากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วประเทศ สร้างเกมมรดกวัฒนธรรมจากโจทย์ของกรมศิลปากร ชิงเงินรางวัล พร้อมโล่รางวัล และประกาศนียบัตร จากกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ผู้สนใจสามารถสมัคร และติดตามรายละเอียดการเข้าแข่งขันได้ที่เว็บไซต์กรมศิลปากร www.finearts.go.th เฟสบุ๊ก และช่อง YouTube ของกรมศิลปากร ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ อุบลราชธานี ขอนำเสนอสาระความรู้ ในหัวข้อ จดหมายเหตุเล่าเรื่อง ตอนที่ ๗ การสร้างหน้าบันพระอุโบสถวัดพระธาตุประสิทธิ์ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม (ตอนแรก)
องค์ความรู้ เรื่อง เรื่องเล่าจากคลังโบราณวัตถุ : โบราณวัตถุจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงในคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ค้นคว้า/เรียบเรียงโดย นางสาวชุติณัฐ ช่วยชีพ ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช
ซากเรือบ้านคลองยวน สำรวจพบที่บ้านเลขที่ ๑๑๙/๒ หมู่ที่ ๘ บ้านคลองยวน ตำบลทุ่ง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยนางพรพิมล มีนุสรณ์ เจ้าของบ้านเล่าว่าได้พบซากเรือไม้ในที่ดินของตนเองระหว่างการขุดสระเพื่อกักเก็บน้ำใช้ทำสวนปาล์มและได้เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีโดยการก่อพื้นเทปูนมุงหลังคาคลุมซากเรือลำนี้ไว้ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๕ นอกจากหลักฐานตัวเรือแล้ว บริเวณที่พบซากเรือก็นับว่ามีความสำคัญทางโบราณคดีด้วยเช่นกัน เนื่องจากตั้งอยู่ไม่ห่างจากคลองท่าชนะ (๓ กิโลเมตร) ซึ่งเป็นคลองที่ไหลออกสู่อ่าวไทย ณ บริเวณที่เรียกว่าแหลมโพธิ์ ต.พุมเรียง อ.ไชยา จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในพื้นที่แหลมโพธิ์บ่งชี้ว่า บริเวณนี้เป็นชุมชนเมืองท่าสำคัญมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔ ดังสะท้อนผ่านหลักฐานการค้านานาชาติ เช่น ลูกปัดโบราณ เครื่องถ้วยจีนและเปอร์เซียที่พบ จากการตรวจสอบพบว่า บริเวณหลังบ้านของ นางพรพิมล เป็นพื้นที่สวนปาล์ม มีการขุดสระน้ำสำหรับใช้ภายในสวน ภายในมีซากของไม้เรือโบราณถูกเก็บรักษาอยู่ภายในโรงเปิดโล่งมีหลังคาคลุม ซากเรือดังกล่าวประกอบด้วยไม้ ๘๔ ชิ้น เป็นไม้กระดานขนาดยาว ไม้ที่ทำเป็นทรงแหลมสำหรับหัวเรือ และเศษไม้ที่ไม่สามารถระบุส่วนได้ ไม้กระดานเรือแต่ละแผ่น มีการเจาะรูที่ด้านสันของไม้ตลอดความยาว อีกทั้งยังพบลูกประสักหรือสลักไม้สวนอยู่ในรูบางส่วน นอกจากนี้ที่แผ่นกระดานเปลือกเรือด้านในมีการทำปุ่มสันทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้านูนออกมาจากระดับพื้นกระดาน ยาวตลอดความยาวของแผ่นเปลือกเรือ นอกจากไม้เรือแล้ว ในบริเวณที่เป็นที่เก็บซากเรือยังพบว่าเศษเชือกสภาพเปื่อยยุ่ยอยู่ที่พื้นและปะปนอยู่กับซากเรือ คาดว่าน่าจะเป็นเชือกที่มากับเรือ จึงได้ทำการเก็บตัวอย่างเพื่อนำไปตรวจหาค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ สภาพของซากเรือยังอยู่ในสภาพที่แข็งแรง แต่เนื่องจากไม่ได้รับการอนุรักษ์อย่างถูกวิธีตัวเรือจึงเริ่มเสื่อมสลายผุพังไปตามกาลเวลา เมื่อวิเคราะห์จากลักษณะของซากเรือลำนี้โดยคร่าวเป็นเรือที่ต่อด้วยเทคนิค Lashed-Lug หรือ เชือกรัดสันรูเจาะ เป็นเทคนิคแบบโบราณที่มีมานานกว่า ๑,๐๐๐ ปี พบแพร่กระจายอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทะเล กองโบราณคดีใต้น้ำจึงได้ขอให้ นางพรพิมล มีนุสรณ์ มอบซากเรือโบราณให้แก่กองโบราณคดีใต้น้ำ เพื่อนำกลับไปอนุรักษ์และศึกษาวิเคราะห์ยังกองโบราณคดีใต้น้า จังหวัดจันทบุรี เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการถ่ายรูปไม้เรือทุกชิ้นที่พบจากนั้นทยอยลำเลียงขึ้นบนรถบรรทุกเพื่อนำมาเก็บรักษาไว้ที่สำนักงานการวิเคราะห์ชนิดไม้และการหาค่าอายุ หลังจากที่นำซากเรือบ้านคลองยวนกลับมาเก็บรักษาที่สำนักงานกองโบราณคดีใต้น้ำแล้ว ได้นำตัวอย่างไม้เรือส่งไปวิเคราะห์ตรวจหาชนิดของไม้ที่นำมาใช้ในการต่อเรือ ณ สํานักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้ โดยส่งตัวอย่างชิ้นไม้จำนวน ๓ ชิ้น ประกอบด้วย เปลือกเรือ ๑ ชิ้น และลูกประสัก ๒ ชิ้น ผลการตรวจพิสูจน์พบว่า ไม้เปลือกเรือบ้านคลองยวนนั้นทำจากไม้ในสกุลตะเคียน (Hopea sp.) แต่ไม่ทราบชนิด และลูกประสักทำจากไม้ตะแบกเลือด (Terminalia mucronata Craib & Hutch.) นอกจากการตรวจหาชนิดไม้แล้ว กองโบราณคดีใต้น้ำยังนำตัวอย่างจากตัวเรือไปหาค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ด้วยวิธี Accelerator Mass Spectrometry (AMS) ณ ห้องปฏิบัติการในประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย โดยส่ง ๓ ตัวอย่าง ประกอบด้วย ไม้เปลือกเรือ เศษเชือก และลูกประสัก ซึ่งผลของค่าอายุที่ได้บ่งชี้ว่า เรือบ้านคลองยวนมีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๔ (คริสต์ศตวรรษที่ ๙)รูที่สันไม้กระดาน (dowel & lashing holes) เปลือกเรือแต่ละแผ่นที่พบมีการเจาะรูที่ด้านสันของไม้กระดานยาวไปตลอดแนวของไม้เปลือกเรือและพบมีลูกประสักเสียบอยู่ในรูที่ถูกเจาะ จากการพินิจแล้วพบว่า การเจาะรูสันเปลือกเรือมีรูปแบบที่ซ้ำกันชัดเจน กล่าวคือ เจาะเพื่อใช้ยึดลูกประสัก ๔ รู สลับกับรูร้อยเชือกที่ด้านบนของกระดานทะลุกออกด้านสัน ๒ รู เป็นเช่นนี้ตลอดแนวสันเปลือกเรือ ถือเป็นลักษณะที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเรือบ้านคลองยวน ที่ไม่อาจพบได้ในการต่อเรือไม้สมัยใหม่ ลูกประสักที่พบ มีลักษณะเป็นไม้ทรงกระบอกยาว ๔ เซนติเมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๒ ขนาด คือ ๗ และ ๑๐ มิลลิเมตร พบว่าลูกประสักที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑๐ มิลลิเมตร จะใช้กับส่วนไม้ที่ต่อกับหัวเรือเท่านั้น แผ่นไม้เปลือกเรือบ้านคลองยวนนั้น หนา ๓.๕ – ๔ เซนติเมตร กว้าง ๒๗ เซนติเมตร (ส่วนที่กว้างที่สุด) ฝั่งกราบขวามี ๕ แผ่น ส่วนกราบซ้ายมี ๓ แผ่น (เท่าที่เหลือ) เมื่อพิจารณาจากกระดานเปลือกเรือแผ่นที่ ๕ ของกราบขวาพบว่า ที่ด้านสันของเปลือกเรือยังมีการเจาะรูรับลูกประสักอยู่ สิ่งนี้บ่งชี้ว่ากระดานเปลือกเรือแผ่นที่ ๕ ยังไม่ใช่แผ่นสุดท้าย ที่ส่วนปลายของไม้เปลือกเรือแต่ละแผ่นจะมีการทำให้เป็นรูปทรงแหลม เพื่อให้สามารถเข้าไม้ได้อย่างพอดีกับไม้หัวและท้ายเรือ ไม้เปลือกเรือของเรือบ้านคลองยวนไม่ได้สมบูรณ์ตลอดลำเรือ ส่วนที่คาดว่าจะเป็นท้ายเรือได้ขาดหายไปจึงไม่อาจสรุปได้ว่าไม้เปลือกเรือแต่ละชั้นจะเป็นไม้แผ่นเดียวยาวตลอดลำเรือหรือไม่ แต่จากข้อมูลของเรือประเภทเดียวกันที่พบในต่างประเทศ เช่น แหล่งเรือ Punjurhajo บนเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซียนั้น พบเปลือกเรือเป็นไม้แผ่นเดียวยาวตลอดลำเรือ จึงพอสันนิษฐานได้ว่าน่าจะมีลักษณะเหมือนกันสันรูเจาะ (lug) เปลือกเรือแต่ละแผ่น ทำขึ้นด้วยการถากไม้ให้เป็นแผ่นกระดานและรูปทรงตามที่ช่างต้องการเพื่อให้เข้ากับรูปทรงของเรือ และจะเว้นสันรูเจาะ หรือ lug ไว้ตลอดความยาวของเรือ เป็นลักษณะอันโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเรือประเภทนี้ โดยสันรูเจาะเหล่านี้มีไว้สำหรับรองรับกงเรือที่จะถูกนำมาเสริมในภายหลัง มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใกล้เคียงกัน คือ ยกสูงกว่าส่วนเรียบของแผ่นกระดานประมาณ ๑.๕ – ๒ เซนติเมตร ยาว ๓๐ เซนติเมตร กว้างประมาน ๒๐ เซนติเมตร ในส่วนที่กว้างที่สุด และจะค่อย ๆ แคบลงเรื่อย ๆ ไปทางหัวและท้ายเรือ สันที่แคบที่สุดกว้างเพียง ๔ เซนติเมตร แต่ละสันจะเว้นระยะห่างกันประมาณ ๓๐ เซนติเมตร ยกเว้นบริเวณกึ่งกลางลำเรือบนกระดานกระดูกงูและเปลือกเรือแผ่นที่ ๑ และ ๒ ของทั้งสองกราบจะเว้นช่วงห่างมากกว่าส่วนอื่น คือ ห่างประมาณ ๑๒๐ เซนติเมตรไม้กระดานกระดูกงู (keel plank) ไม้ส่วนที่เป็นแกนกลางของเรือบ้านคลองยวนหรือที่มักเรียกกันว่ากระดูกงูนั้น มีลักษณะเป็นกระดูกงูที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนเปลือกเรือไปด้วยหรือที่เรียกว่า keel plank ซึ่งกระดูกงูแบบนี้เป็นลักษณะเฉพาะของเรือที่ต่อแบบต่อเปลือกก่อนแล้วนำกงมาเสริมทีหลัง หรือ shell-based เมื่อวางกระดูกงูบนพื้นราบพบว่าปลายกระดานกระดกขึ้นสูงจากพื้นประมาณ ๕๐ เซนติเมตร พิจารณาจากลักษณะแล้วคาดว่าเรือบ้านคลองยวนเป็นเรือที่มีหัวและท้ายเชิดขึ้นและท้องเรือแอ่น ส่วนสันรูเจาะบนกระดูกงูมีรูปร่างลักษณะที่แตกต่างไปจากสันรูเจาะบนกระดานแผ่นอื่น กล่าวคือ ระหว่างสันรูเจาะแต่ละสันจะมีสันแคบ ๆ กว้างประมาณ ๑๐ – ๑๒ เซนติเมตร เชื่อมต่อไปตลอดความยาวของกระดูกงู ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าช่างจงใจทำสันแคบ ๆ นี้ไว้เพื่ออะไร เบื้องต้นสันนิษฐานว่าอาจทำไว้เพื่อเสริมความแข็งแรงตามแนวยาวของเรือหัวเรือและท้ายเรือ (wing-end) หัวและท้ายของเรือบ้านคลองยวนมีรูทรงและลักษณะที่โดดเด่นอย่างมาก ซึ่งเรือกว่า wing-end กล่าวคือ ช่างจะแกะไม้เป็นรูปทรงคล้ายตัว V และนำมาซ้อนกัน 2 ชั้น โดยแต่ละชั้นจะมีการเจาะรูเพื่อใส่ลูกประสักเตรียมไว้ การเข้าไม้หัวและท้ายเรือ ช่างจะนำ wing ชั้นที่ ๑ มาวางบนกระดูกงู หัวเรือและกระดูกงูจะได้ระยะเสมอกันพอดี แขนของ wing จะต่อชนกับกระดานแผ่นที่ ๑ พอดี ด้านบนของแขนจะเว้นช่องว่างไว้เพื่อให้ไม้กระดานแผ่นที่ ๒ มาต่อชนกันส่วนโคนของแขนรูปตัว V เมื่อชั้นที่ ๑ สามารถต่อเข้ากับกระดูกงู ไม้กระดานแผ่นที่ ๑ และ ๒ ได้แล้ว จึงนำเอา wing ชั้นที่ ๒ มาวางซ้อนบนชั้นที่ ๑ แล้วนำกระดานชั้นที่ ๓ และ ๔ มาต่อแบบเดียวกับชั้นที่ ๑ เป็นที่น่าสังเกตว่าหัวและท้ายเรือแบบ wing-end นั้น มีขนาดค่อนข้างใหญ่และทำจากไม้ชิ้นเดียว เป็นไปได้ว่าช่างในสมัยนั้นอาจนำไม้จากบริเวณของโคนต้นมาผ่าตามแนวขวางแล้วจึงแกะให้เป็นรูปตัว V ดังสังเกตได้จากวงปีไม้ที่มีลักษณะเป็นวงวางตัวขวางกับแนวเรือ ส่วนกลางลำต้นจะนำไปทำไม้กระดาน---------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : กองโบราณคดีใต้น้ำ กรมศิลปากร
เมืองโบราณโนนเมือง อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่นแหล่งเรียนรู้ทางโบราณคดี ที่บอกเล่าเรื่องราวการดำรงชีวิตของคนโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่ตั้งถิ่นฐานบริเวณลุ่มน้ำเชิญ เมื่อราว 2,500 ปีมาแล้ว#เปิดให้บริการทุกวัน #เข้าชมฟรี#ของดีเมืองขอนแก่นกะแม่นโนนเมืองหนี่หละ
สำนักการสังคีต กรมศิลปากร จัดรายการพิเศษในวันคริสต์มาส “นาฏกรรมสุขศรี สุนทรีย์พรปีใหม่” เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๖๖ พบกับการแสดงชักนาคดึกดำบรรพ์ และ โขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุด “สุครีพสุริโยโอรส” โดยงดเก็บค่าเข้าชมในวันอาทิตย์ที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๗.๓๐ - ๑๙.๓๐ น. ณ สังคีตศาลา บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
นำแสดงโดย ศิลปินสำนักการสังคีต
กำกับการแสดงโดย ปกรณ์ พรพิสุทธิ์
อำนวยการแสดงโดย ลสิต อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักการสังคีต
'ชมฟรี' สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักการสังคีต (วันและเวลาราชการ) โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๔๒ และ โทร. ๐๒๒๒๑ ๐๑๗๑
ชื่อเรื่อง กมฺมวาจาวิธิ(การอยู่ปริวาส)
สพ.บ. อย.บ.17/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 70 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 53 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา บทสวด พระวินัย คำสอน
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
ไหนมีใครเคยสงสัยไหมว่า "ทำไม" วันเด็กแห่งชาติ จึงต้องมีการจัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ ๒ ในเดือนมกราคมของทุกปี?
วันเด็กแห่งชาติ ถูกจัดขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของเด็ก สนใจในการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนเด็ก และช่วยเหลือสงเคราะห์เด็กเป็นพิเศษ เพื่อให้เด็กรู้จักหน้าที่ของตน และอยู่ในระเบียบวินัยอันดี เพื่อเผยแพร่ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิเด็ก
วันนี้ หอสมุดจะพาทุกท่านมาไขข้อสงสัยด้วยการนำเสนอประวัติวันเด็กแห่งชาติกันค่ะ
ประวัติความเป็นมาของวันเด็กแห่งชาติ
นายวี เอ็ม กุลกานี ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิการเด็กระหว่างประเทศ เป็นผู้เสนอต่อกรมประชาสงเคราะห์ให้มีการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้เห็นความสำคัญของเด็ก และเพื่อกระตุ้นเตือนให้เด็กได้ตระหนักถึงความสำคัญของตนเอง งานวันเด็กแห่งชาติในเมืองไทยครั้งแรกนั้น จัดขึ้นในวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ และได้จัดต่อกันมาเป็นประจำทุกปีจนถึง พ.ศ. ๒๕๐๖ จึงมีความคิดว่าควรจะเปลี่ยนไปจัดงานวันเด็กในวันเสาร์ที่ ๒ ของเดือนมกราคม เนื่องจากเห็นว่าเป็นช่วงที่พ้นจากฤดูฝนมาแล้ว และเป็นวันหยุดราชการ ทำให้เกิดความเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
แต่การในปีถัดมา พ.ศ. ๒๕๐๗ ไม่สามารถจัดงานวันเด็ก ได้ทัน จึงได้เริ่มจัดในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ โดยยึดถือเอาวันเสาร์ที่ ๒ ของเดือนมกราคม เป็นวันเด็กแห่งชาติ มาจนถึงบัดนี้
รัฐบาลได้จัดให้มีคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้นมา คณะหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชน กำหนดให้มีการฉลองวันเด็กแห่งชาติทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค จุดประสงค์เพื่อให้เด็กทั่วประเทศทั้งในระบบ โรงเรียน และนอกระบบโรงเรียน ได้รู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับ สิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม
ทุกปีเมื่อถึงวันเด็กแห่งชาติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ จะพระราชทานพระบรมราโชวาท สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงโปรดประทานพระคติธรรม และนายกรัฐมนตรี จะมอบคำขวัญวันเด็กให้กับเด็กไทยทุกปี ส่วนกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ ก็จะเป็นงานที่จัดโดยความร่วมมือของทั้ง ภาครัฐ และเอกชน มีการจัดงานเพื่อความรู้ ความบันเทิง การจัดนิทรรศการ การประกวดวาดภาพ การร้องเพลง ตอบปัญหา เล่นเกม แจกของขวัญแก่เด็ก ที่ไปร่วมงานทั้งการเปิดสถานที่สำคัญต่าง ๆ ให้ชม เช่น ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภาเป็นต้น
การริเริ่มให้มีคำขวัญในวันเด็กได้เริ่มในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกในขณะนั้น ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๕๐๒ ซึ่งคำขวัญแรกมีใจความว่า “ขอให้เด็กในสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้าเป็นเด็กที่รักความก้าวหน้า” ในการจัดงานวันเด็กนั้น ทางรัฐบาลได้จัดให้มีคณะกรรมการจัดงานฉลองวันเด็กโดยเฉพาะ คณะหนึ่งทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานทั้งภาครัฐเอกชน ในส่วนกลาง และภูมิภาค เพื่อให้งานที่จะออกมานั้นสมบูรณ์ เพื่อให้เด็กได้รู้ถึงความสำคัญของตนเอง รู้ถึงระเบียบ สิทธิหน้าที่ ความรับผิดชอบต่อตนเอง
เป็นอย่างไรบ้างคะ? เตรียมตัวพบกับสาระความรู้ดี ๆ ต่อจากนี้กันได้ที่เพจของเรานะคะ
อ้างอิง
ธนากิต. วันสำคัญของไทย. กรุงเทพฯ: ชมรมเด็ก, ๒๕๔๑.
สุภักดิ์ อนุกูล. วันสำคัญของไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ: ทิพยวิสุทธิ์, ๒๕๓๗.
บุญเอื้อ รัตนางกูร. วันสำคัญของไทย. กรุงเทพฯ: ไพลิน, ๒๕๕๕.
จัดทำโดย
พัชมณ ศรีสัตย์รสนา
บรรณารักษ์ชำนาญการ