ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ

วันพุธที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ คณะครู นักเรียนจากโรงเรียนเทศบาล ๔ (บ้านโนนสำนักมิตรภาพที่ ๑๒๑) จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน ๕๐ คน เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี โดยมีว่าที่ร้อยตรีหญิงมินา ลาภสาร เจ้าพนักงานประจำพิพิธภัณฑ์ และนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพให้การต้อนรับนำชม


          สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา พระราชโอรสในพระเจ้าปราสาท พระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2175 ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2199 – 2231 ตลอดระยะเวลาครองราชย์ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการ ขยายพระราชอาณาจักร โดยทำศึกกับพม่าเพื่อชิงเมืองเชียงใหม่ ทำสงครามเพื่อชิงเมืองทวาย เมืองเมาะตะมะกลับมาเป็นของกรุงศรีอยุธยา ทรงส่งเสริมด้านการค้าขายกับนานาชาติ อาทิ จีน อินเดีย ฮอลันดา อังกฤษ และอิหร่าน จนทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางแลกเปลี่ยนการค้าระดับนานาชาติ สร้างพระราชวังเมืองละโว้หรือลพบุรี เมื่อพ.ศ. 2209 เพื่อใช้สำหรับว่าราชการ ต้อนรับแขกเมือง และทรงประทับอยู่ที่เมืองลพบุรี 8-9 เดือนต่อปี สร้างความเจริญรุ่งเรืองทางด้านการทูต โดยส่งคณะราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างชาติ อาทิอิหร่าน และฝรั่งเศส พร้อมทั้งนำวิทยาการและเทคโนโลยีจากต่างชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่อาณาจักร ทั้งการสร้างป้อมปืน ระบบน้ำประปา ดาราศาสตร์ และการแพทย์แบบตะวันตก            สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2231 พระชมมายุ 56 พรรษา           พระราชวังเมืองละโว้หรือลพบุรี ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ กรมศิลปากร จัดแสดงโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ โบราณคดีของจังหวัดลพบุรี โดยเฉพาะพระที่นั่งจันทรพิศาล จัดแสดงนิทรรศการถาวรเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภาพประวัติศาสตร์เหตุการณ์สำคัญ และโบราณวัตถุในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อาทิ ภาพวาดสมเด็จพระนารายณ์มหาราชรับพระราชสาสน์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14, เหรียญที่ระลึกในโอกาสราชทูตสยามเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14, ธรรมาสน์ไม้ มีจารึกระบุศักราชการสร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นต้น ----------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์


วันจันทร์ที่ ๑๗ กุมพาพันธ์ ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ - ๑๖.๐๐ น. มีคณะอาจารย์-นักศึกษาวิชาเอก โท สารสนเทศศาสตร์และบรรณารักษศาสตร์ ชั้นปีที่๒-๔ มหาวิทยาลัยศิลปากร จำนวน ๓๙ คน เข้าชมกระบวนงานจดหมายเหตุ  ณ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ต. คลองห้า อ. คลองหลวง จ. ปทุมธานี    


.....เมื่อ ค.ศ. ๑๘๗๒ (พ.ศ. ๒๔๑๕) พ่อครูหลวงแมคกิลวารี.....ผ่านมายังเมืองน่านในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม.....ในสายตาของมิชชันนารี.....เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเจริญรุ่งเรืองและมีความสำคัญยิ่งเมืองหนึ่งในล้านนา เจ้าผู้ครองนครเป็นผู้ที่มีความปรีชาสามารถ แม้ว่าจะทรงเป็นผู้ปกครองหัวเก่าไม่ยอมรับวิถีชีวิตและการค้าของต่างชาติก็ตาม ..... .....เมื่อมิชชันนารีไปถึงเมืองน่านก็ได้รับการเอาใจใส่อย่างดีจากเจ้าบริรักษ์ หลานของเจ้าผู้ครองนครน่าน ซึ่งมิชชันนารีเคยพบที่เชียงใหม่ .....พ่อครูหลวง (แมคกิลวารี) มีความใฝ่ฝันมาก่อนหน้านี้ว่าอยากจะขยายงานมาที่เมืองน่าน...ท่านบันทึกไว้ว่า "ข้าพเจ้ารู้สึกรักเมืองน่านตั้งแต่แรกพบและหมายไว้ว่าจะเป็นที่ตั้งศูนย์มิชชันในวันข้างหน้า" .....เมื่อ ค.ศ. ๑๘๙๐ (พ.ศ. ๒๔๓๓) พ่อครูหลวงแมคกิลวารีเดินทางมายังเมืองน่านอีกครั้งหนึ่ง พร้อมด้วยนางสาวมาการ์เร็ต ลูกสาว.....ถึงเมืองน่านในวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากข้าราชการเมืองน่าน มีชาวเมืองมามุงดูอย่างหนาแน่น มิชชันนารีกล่าวว่า ถึงแม้จะมีคนมามุงดูแน่นขนัดแต่ก็ไม่ค่อยยอมฟังเรื่องราวของคริสต์ศาสนาเลย..... .....การมาครั้งนี้ มิชชันนารีได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเจ้าผู้ครองนคร คือ เจ้าอนันตวรฤทธิเดช ที่คุ้มแก้ว มิชชันนารีบันทึกเรื่องเจ้าอนันตวรฤทธิเดชไว้ว่า เป็นเจ้าผู้ครองหัวเมืองล้านนาที่มีความสำคัญในราชสำนักกรุงเทพฯ เป็นที่สองรองจากกษัตริย์เชียงใหม่ พระองค์แสดงความยินดีที่มีฝรั่งมิชชันนารีมาเยี่ยมเมืองน่าน และทรงกล่าวสัพยอกกับมิชชันนารีว่า ท่านอายุมากเกินที่จะเข้าศาสนาใหม่.....   ภาพ : ภายในตึกรังษีเกษม จังหวัดน่าน     ที่มาข้อมูล : ประสิทธิ์ พงศ์อุดม. นันทบุรีศรีนครน่าน ประวัติศาสตร์ สังคม และคริสต์ศาสนา. เชียงใหม่ : ฝ่ายประวัติศาสตร์ สภาคริสตจักรในประเทศไทย, ๒๕๓๙


          บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ตระหนักถึงความสำคัญของคุณค่าวัฒนธรรมไทยอันเป็นมรดกของชาติ และสนับสนุนการอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรมไทย จึงร่วมกับกรมศิลปากรและกระทรวงวัฒนธรรม เชิญชวนสมาชิก รอยัล ออร์คิด พลัส ของการบินไทย ร่วมบริจาคไมล์สะสมในโครงการไมล์รักษ์ไทย เพื่อสนับสนุนการเดินทางของเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร นักวิชาการ และเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินงานอนุรักษ์ บูรณะ และพัฒนาแหล่งโบราณสถาน โบราณวัตถุ จดหมายเหตุ เอกสารโบราณ งานศิลปกรรม และนาฏดุริยางคศิลป์ และอื่นๆ อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ ที่ตั้งอยู่ทั้งในและต่างประเทศ ให้คงอยู่เป็นแหล่งเรียนรู้และเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม อีกทั้งเป็นการนำคุณค่าวัฒนธรรมสู่การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ             สมาชิกรอยัล ออร์คิด พลัส สามารถเลือกบริจาคไมล์สะสมตั้งแต่ ๓๐๐ ไมล์ขึ้นไป โดยล็อกอินเข้าสู่ระบบบัญชีสมาชิกผ่านทางเว็บไซต์ รอยัล ออร์คิด พลัส ที่ thaiairways.com/rop จากนั้นเลือก ‘บริการอื่น ๆ’ และ คลิก ‘บริจาคไมล์สะสม’ สมาชิกสามารถบริจาคไมล์สะสมได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓



วันจันทร์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร พร้อมคณะ เข้าเยี่ยมชมหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ โดยมีนางวรรณภา ปะวิโน บรรณารักษ์ชำนาญการ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ พร้อมด้วยบุคลากรให้การต้อนรับ


การแสดงเบิกโรง เรื่องตำนานพระคเณศ ชุด “มุสิกะเทพพาหนะพระคเณศ”             พระคเณศ  เทพเจ้าซึ่งเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมนับถือมากในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูของอินเดียเชื่อกันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งอุปสรรค  ผู้บันดาลให้เกิดอุปสรรค หรือขจัดเสียซึ่งอุปสรรคและประทานความสำเร็จในการประกอบ พิธีมงคลต่าง ๆ  จึงมี การบูชาพระคเณศเป็นเบื้องแรก  นอกจากนี้ในคติของไทยยังนับถือพระคเณศว่าเป็นบรมครูแห่งศิลปวิทยาการแขนงต่าง ๆ ด้วย                                                   พระคเณศ  มีรูปกายเป็นบุรุษ  เศียรเป็นช้าง  สีแดงชาด  สันนิษฐานว่าเดิมเป็นเทพพื้นเมือง  ของอินเดีย  มีกำเนิดจากลัทธิการบูชาสัตว์หรืออาจมีกำเนิดจากการเป็นเทพเจ้าประจำเผ่า  และเนื่องจากช้างเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ทรงพลังเหนือสัตว์ทั้งหลาย  จึงได้รับการนับถือเป็นหัวหน้าของเทพที่มีเศียรเป็นสัตว์ทั้งปวง  ต่อมาได้รับยกย่องให้เป็นเทพ ในลัทธิไศวนิกาย  ได้รับตำแหน่งหัวหน้าอมนุษย์กึ่งเทวดาเหล่าบริวารของพระศิวะ  ทั้งยังเป็นบรมครูแห่งช้าง  บางครั้งรู้จักกันในนาม “คณปติ” หมายถึง  ผู้เป็นใหญ่ในหมู่คณะ  เรื่องที่พระคเณศเป็นเทพเจ้าผู้บันดาลให้เกิดอุปสรรคแก่ฝ่ายอธรรมและขจัดเสีย ซึ่งอุปสรรคแก่ฝ่ายธรรมะ ในคัมภีร์ลิงคปุราณะ ได้กล่าวไว้ว่า ครั้งหนึ่งเหล่าอสูรและรากษส  ได้พยายามบำเพ็ญเพียรประกอบพิธีกรรมบูชาพระศิวะและได้รับพรหลายประการ  ก่อให้เกิดความกำเริบเสิบสานสร้างความเดือดร้อนแก่เทวดา  มนุษย์ และสรรพสัตว์ไปทั่วทั้งสามภพ  เป็นเหตุให้พวกเทวดาพากันไปทูลอ้อนวอนขอให้พระศิวะสร้างเทพแห่งอุปสรรคขึ้นมา เพื่อคอยขจัดขัดขวางเหล่าอสูรกำเริบฤทธิ์ ส่วนสาเหตุที่พระคเณศมีงาข้างเดียว  มีปรากฏในปุราณะต่าง ๆ เรื่องราวแตกต่างกันออกไป  บางปุราณะกล่าวไว้ว่าเศียรช้างที่นำมาต่อกับตัว   พระขันธกุมารมีงาข้างเดียว  บางปุราณะก็กล่าวว่าถูกขวานปรศุรามซึ่งได้ประทานจากพระอิศวร เทพบิดาตัดขาด และบางปุราณะกล่าวต่างไปว่า  เหตุที่งาหักเพราะต่อสู้กับอสูรคชมุขหรือคชมุขอสูร  สำหรับงาข้างที่หัก พระคเณศใช้ถือเป็นอาวุธหรือใช้แทนเหล็กจารหนังสือ  โดยตามลักษณะรูปงาที่หักของอินเดีย ส่วนมากจะ หักข้างขวา และมือขวาจะถืองาที่หักไว้                   การแสดงเบิกโรง เรื่อง ตำนานพระคเณศ ชุด มุสิกะเทพพาหนะพระคเณศ เป็นนาฏกรรมสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ รูปแบบการแสดงเบิกโรงโดยนายจรัญ  พูลลาภ*   มีแนวคิดนำบทบาทและเหตุการณ์สำคัญของพระคเณศที่ปรากฏ ในปุราณะต่าง ๆ จากหนังสือตำนานและประวัติพระคเณศบางฉบับ อาทิ กรมศิลปากร  และนายสมบัติ พลายน้อย (ส. พลายน้อย) ศิลปินแห่งชาติ  มาจัดทำเป็นบทนาฏกรรม   ซึ่งไม่เคยมีจัดแสดงมาก่อน และเป็นการแสดงเบิกโรงชุดใหม่นอกเหนือจากที่กรมศิลปากรเคยจัดแสดงมา ทั้งนี้ผู้จัดทำบทได้รับความอนุเคราะห์จากนาฏศิลปินทรงคุณวุฒิของกรมศิลปากรได้ กรุณาเป็นที่ปรึกษาในการจัดทำบทจนเสร็จสมบูรณ์ ได้แก่  นายปกรณ์  พรพิสุทธิ์ นาฏศิลปิน (ด้านอำนวยการแสดง) ที่ปรึกษาการจัดสร้างโครงเรื่องและการสร้างสรรค์ระบำสโมสรมุสิกะ (ระบำหนู) โดยมีนายพงษ์พิศ  จารุจินดา ผู้ชำนาญการนาฏศิลป์ไทย เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำ นายประสาท  ทองอร่าม นาฏศิลปินชำนาญการด้านศิลปะการแสดง ที่ปรึกษาการจัดทำบทและตรวจแก้ไข และนายสุรพงศ์ โรหิตาจล ดุริยางคศิลปินอาวุโส ประพันธ์ทำนองเพลง ทั้งนี้ได้นำการแสดงระบำชุดกุญชรเกษมของอาจารย์เสรี หวังในธรรม ศิลปินแห่งชาติ มาร่วมประกอบการแสดง             สำหรับเนื้อเรื่องกล่าวถึงอสูรตนหนึ่ง ชื่อ คชมุขหรือคชมุขา ได้พรพระอิศวรให้มีฤทธิ์อำนาจมาก  ไม่มีอาวุธใดในโลกาสังหารให้ตายได้  จึงกำเริบฤทธิ์คิดเป็นใหญ่เที่ยวรังแกข่มเหงผู้อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์  ทั้งเทวดา ฤษี อมนุษย์ และสรรพสัตว์ต่างเกรงกลัวฤทธิ์เดชจำยอมอยู่ใต้อำนาจปกครอง  ทุกเจ็ดวันคชมุขอสูรจะออกจากวิมานเขาจักรวาลเดินทางมาประชุม ตรวจตรา หากใครไม่เชื่อฟังหรือล่วงล้ำเข้ามา  ก็จะถูกเข่นฆ่าจับกินเป็นอาหาร  กระทั่งวันหนึ่งพระคเณศได้เสด็จลงมาบำเพ็ญพรตยังชายป่าหิมพานต์  บรรดาช้างสิบตระกูลรู้ข่าวต่างพากันเดินทางมาสักการะบูชา  เป็นเวลาเดียวกับที่คชมุขอสูร  มาประชุมสรรพสัตว์ในป่าหิมพานต์  รู้ข่าวว่าช้างสิบตระกูลมีใจไปสวามิภักดิ์พระคเณศจึงโกรธแค้น  เดินทางไปท้าท้าย พระคเณศสู้รบแต่ไม่อาจสู้ได้  ด้วยความโกรธจึงกระโดดเข้าหักงาขวาพระคเณศติดมาในมือ  แต่พระคเณศก็ช่วงชิงแย่งงาที่หักคืนมาได้  แล้วเหวี่ยงคชมุขล้มลงเหยียบอกไว้  สาปให้เป็นมุสิกะ (หนู) พาหนะ เพราะความอยากเป็นใหญ่ในสรรพสัตว์  ก่อนใช้งาขวาที่หักแทงสังหารคชมุขถึงแก่ความตาย   -----------------------------------------   * นายจรัญ พูลลาภ นักวิชาการละครและดนตรีชำนาญการ กลุ่มวิจัยและพัฒนาการสังคีต สำนักการสังคีต


          กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม โดยสำนักหอสมุดแห่งชาติ หอสมุดดนตรีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ และห้องสมุดดนตรีทูลกระหม่อนสิรินธร กำหนดจัดโครงการดนตรีนานาสาระ ประจำปี ๒๕๖๓ ครั้งที่ ๑ เรื่อง “บทเพลงของพ่อจากลูกของแผ่นดิน” โดยหรั่ง ร๊อคเคสตร้า และเยาวชนอาสา ในวันเสาร์ที่ ๒๙ กุมภาพันธ์  ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๖.๓๐ น. ณ ห้องจัดแสดง ชั้น ๒ หอสมุดดนตรีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ และห้องสมุดดนตรีทูลกระหม่อนสิรินธร สำนักหอสมุดแห่งชาติ             สำนักหอสมุดแห่งชาติ โดยหอสมุดดนตรีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ รัชกาลที่ ๙ และห้องสมุดดนตรีทูลกระหม่อมสิรินธร มีภารกิจและบทบาทหน้าที่ในการรวบรวมเพลงพระราชนิพนธ์ทุกรูปแบบ อนุรักษ์ต้นฉบับเพลงไทย เพลงไทยสากล และเพลงสากล เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าดนตรีไทย ดนตรีสากล ตลอดจนจัดกิจกรรมส่งเสริมและเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมด้านดนตรีและนาฏศิลป์ ได้กำหนดจัดกิจกรรมโครงการอนุรักษ์ ส่งเสริม สืบสาน เผยแพร่มรดกศิลปวัฒนธรรม ด้านดนตรีและนาฏศิลป์ “ดนตรีนานาสาระ” ประจำปี ๒๕๖๓ ครั้งที่ ๑ เรื่อง บทเพลงของพ่อจากลูกของแผ่นดินเป็นการขับร้องบทเพลงพระราชนิพนธ์ และเพลงเทิดพระเกียรติ เพื่อร่วมน้อมรำลึกและเผยแพร่พระเกียรติคุณด้านดนตรี ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ให้แพร่หลายยิ่งขึ้น ตลอดจนอนุรักษ์ ส่งเสริม สืบสานดนตรีไทยและดนตรีสากล ที่มีคุณค่าให้สืบทอดตลอดไป             ผู้สนใจสอบถามข้อมูลได้ที่ หอสมุดดนตรีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ และห้องสมุดดนตรีทูลกระหม่อมสิรินธร ในวันจันทร์ - วันศุกร์ โทร. ๐ ๒๒๘๐ ๙๘๕๖, ๐ ๒๒๘๒ ๘๗๙๙


          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี ได้ดำเนินการจัดโครงการเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ประจำปี ๒๕๖๓ : กิจกรรมการบรรยายพิเศษ เรื่อง “เกร็ดประวัติศาสตร์จากการยุทธหัตถี” ณ ห้องประชุม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ซึ่งช่วงเวลาการจัดกิจกรรมกำหนดให้ตรงกับงานอนุสรณ์ดอนเจดีย์ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมฟังการเสวนาได้รับความรู้ ความเข้าใจในเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ โบราณคดี ขนบธรรมเนียม ประเพณี อันจะก่อให้เกิดความภูมิใจแก่ท้องถิ่นและชาติบ้านเมือง ได้รับเกียรติจากศาสตราจารย์ ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ เป็นผู้บรรยายและให้ความรู้ โดยมีรายละเอียด ดังนี้            ในประวัติศาสตร์ไทยมีการรบบนหลังช้างหลายครั้ง เช่น สมัยสุโขทัย พ่อขุนรามคำแหงรบกับขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด ต่อมาสมัยอยุธยา เจ้าอ้ายพระยารบกับเจ้ายี่พระยาที่สะพานป่าถ่าน พระสุริโยทัยรบกับพระเจ้าแปร และพระนเรศวรมหาราชรบกับพระมหาอุปราชา อาจกล่าวได้ว่าการรบกันบนหลังช้างเป็นเหตุการณ์ที่ผู้คนล้วนจดจำ มีหลักฐานการบันทึกทั้งในจารึกและพงศาวดาร รวมทั้งเอกสารคำให้การซึ่งเป็นการบันทึกจากคำบอกเล่าของชาวบ้าน เหตุการณ์ยุทธหัตถีครั้งสำคัญที่สุดคือสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชรบกับพระเจ้าแปร เพราะไม่เพียงถูกบันทึกไว้ในพงศาวดารสมัยอยุธยาเท่านั้น แต่ยังคงสืบทอดมาในสมัยรัตนโกสินทร์ด้วย เช่น การเขียนวรรณกรรมเฉลิมพระเกียรติ เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส แสดงให้เห็นว่า ยุทธหัตถีเป็นสัญลักษณ์การกู้เอกราชของกองทัพไทย             หลักฐานเกี่ยวกับการยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่พบค่อนข้างหลากหลายและถูกเขียนขึ้นในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน จึงมีเนื้อหารายละเอียดแตกต่างกันไปด้วย Barend Jam Terwiel สนใจเรื่องราวการทำยุทธหัตถี จึงได้ทำการศึกษาได้เขียนบทความเรื่อง “What happened at Nong Sarai?” มีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำยุทธหัตถีที่ค่อนข้างละเอียด โดยเปรียบเทียบหลักฐานพื้นถิ่นกับหลักฐานตะวันตกเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ Terwielสรุปว่าหลักฐานของ ไทย พม่า และตะวันตก เล่าเรื่องการทำยุทธหัตถีแตกต่างกันไปถึงสิบแบบ ซึ่งเรื่องยุทธหัตถีที่คนไทยส่วนใหญ่ยึดถือในปัจจุบันเป็นเรื่องที่ชำระขึ้นสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์             หลักฐานไทย พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) พระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา พระนิพนธ์ไทยรบพม่า พระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวร พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐฯ           หลักฐานไทยแทบทุกฉบับกล่าวถึงช้างพระเนศวรเสียทีช้างพระมหาอุปราชาในการทำยุทธหัตถี Terwiel ตั้งข้อสังเกตและพบว่า พม่ามีธรรมเนียมให้ประเทศราชส่งช้างไปให้ ๓๐ ช้างทุกปี และช้างเหล่านั้นต้องผ่านการคัดกรองอย่างดี อยุธยาเป็นหนึ่งในประเทศราชที่ต้องส่งช้างดี ๆ ไปให้พม่า ทำให้เกิดข้อจำกัดในการเลือกช้างออกศึก ในขณะที่พม่าไม่เพียงแต่จะได้รับช้างจากอยุธยาเท่านั้น แต่ยังได้จากประเทศราชอื่น ๆ อีกมาก ทำให้พระมหาอุปราชาสามารถเลือกช้างที่มีคุณลักษณะอันโดดเด่นและเพียบพร้อมในการออกศึก และมีโอกาสชนะช้างพระนเรศวรได้มากกว่า             เมื่อพิจารณาพงศาวดารไทยแต่ละฉบับแล้วจะพบว่า พงศาวดารหลักคือพระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) เล่าถึงการเจอกับพระมหาอุปราชา พระนเรศวรตกอยู่ในวงล้อมพม่า และท้าทายพระมหาอุปราชาให้ทำยุทธหัตถีกัน พระราชพงศาวดารฉบับนี้เป็นต้นทางไปสู่พระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ และเป็นต้นแบบต่อให้พงศาวดารฉบับอื่น ๆ เช่น พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ และเป็นต้นเค้าหนังสือไทยรบพม่าของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในขณะที่พงศาวดารอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐฯ กล่าวถึงยุทธหัตถีเพียงเล็กน้อย อาจเป็นเพราะพงศาวดารฉบับนี้เขียนโดยโหร ซึ่งผู้เขียนสนใจฤกษ์นาทีมากกว่ารายละเอียดเรื่องราว โดยเล่าถึงการฝ่าฤกษ์ของพระนเรศวร แต่เป็นการฝ่าฤกษ์เพียงเล็กน้อยทำให้พระนเรศวรถูกพระแสงปืนเพียงเล็กน้อยเช่นกัน             หลักฐานประเภทคำให้การ เป็นการบอกเล่าของเชลยศึกเมื่อพ.ศ. ๒๓๑๐ ซึ่งห่างจากเหตุการณ์ยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมากกว่า ๑๐๐ ปี เรื่องราวที่ถูกเล่ามีตั้งแต่ต้นกรุงศรีอยุธยาไปจนถึงครั้งเสียกรุง ซึ่งในเรื่องเหล่านี้มีเรื่องของพระนเรศวรแทรกอยู่ด้วย เรื่องราวนี้ถูกบันทึกครั้งแรกเป็นภาษามอญ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ โปรดให้แปลเป็นภาษาไทย โดยใช้ชื่อว่า คำให้การขุนหลวงหาวัด ด้วยเข้าใจว่าผู้ให้การคือพระเจ้าอุทุมพร นับเป็นฉบับที่มีเรื่องราวของพระนเรศวรอันเป็นความพิสดาร ทั้งเรื่องการชนไก่ เรื่องพระสุพรรณกัลยาและเรื่องการชนช้าง ซึ่งรัชกาลที่ ๔ ได้นำเอามาเขียนปนกับพระราชพงศาวดารจนเกิดเนื้อหารายละเอียดแบบใหม่ หลังจากนั้นพม่าได้แปลเอกสารจากภาษามอญเป็นภาษาพม่า เมื่อสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้รับจึงแปลจากภาษาพม่าเป็นภาษาไทย โดยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นคำให้การชาวกรุงเก่า เพราะคิดว่าคนให้การไม่ได้มีเพียงพระเจ้าอุทุมพรเท่านั้น แต่น่าจะเป็นเชลยคนอื่น ๆ ด้วย             คำให้การทั้งสองเรื่องมีรายละเอียดบางส่วนที่ไม่ถูกกล่าวถึงในพงศาวดารไทย คือ เรื่องพระนเรศวรถูกพาไปพม่าและได้เป็นสหายกับพระมหาอุปราชา ครั้งหนึ่งทั้งสองพระองค์ตีไก่กัน ไก่ของพระนเรศวรได้รับชัยชนะ พระมหาอุปราชาจึงเดินมาบอกกับพระนเรศวรว่าไก่เชลยเก่งพร้อมเขย่าไหล่พระนเรศวร เป็นเหตุให้พระนเรศวรโกรธและหนีออกจากหงสาวดี เมื่อพระมหาอุปราชายกทัพไล่ตามพระนเรศวรทัน จึงเกิดการทำยุทธหัตถีขึ้น ซึ่งช้างของพระนเรศวรตัวเล็กกว่า ไม่สามารถทานกำลังได้ จึงถอยไปยันจอมปลวก จากคำให้การเล่าว่าการชนช้างครั้งนี้เป็นการแก้แค้นเมื่อครั้งชนไก่แล้วถูกเขย่าไหล่ ถึงแม้เรื่องราวจากคำให้การจะแตกต่างออกไปอย่างไร แต่ปรากฏภาพจิตรกรรมฝาผนังในตอนช้างพระนเรศวรยันตอพุทรา (ตามเอกสารคือจอมปลวก) ที่วัดสุวรรณดาราราม พระนครศรีอยุธยา และถูกนำไปใช้ต่อในหนังสือเรียน แสดงให้เห็นว่ามีการยอมรับเรื่องราวที่ได้จากคำให้การเช่นกัน             หลักฐานพม่า             พงศาวดารชื่อ U Kala Mahayazawindawgyi (ยาสะวิน) เป็นพงศาวดารที่ชำระหลังพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐฯ เล็กน้อย กล่าวถึงกองทัพของพระมหาอุปราชาลงมาตั้งที่ชานพระนครกรุงศรีอยุธยา (ในขณะที่พงศาวดารหลวงประเสริฐฯ กล่าวถึงการรบที่หนองสาหร่าย สันนิษฐานว่าปัจจุบันอยู่ในเขตสุพรรณบุรี) กองทัพของพระมหาอุปราชายืนเรียงกันเป็นหน้ากระดาน ข้าง ๆ ช้างของพระมหาอุปราชาเป็นช้างของเจ้าเมืองชามะโรที่กำลังตกมันรุนแรงจนต้องใช้ผ้าหน้าราหูปิดตาไว้ไม่ให้ตื่น และอีกข้างหนึ่งเป็นช้างของนัดจินหน่อง ลูกเจ้าเมืองตองอู             เมื่อพระนเรศวรนำช้างออกมาจากในเมืองโดยมีทหารแม่นปืนห้อมล้อม พระองค์เห็นช้างของพระมหาอุปราชาจึงไสช้างเข้าไปหา แต่ชามะโรผู้เป็นราชองครักษ์เข้าป้องกันพระมหาอุปราชาและเปิดผ้าปิดหน้าช้างเพื่อจะไสช้างไปขวางช้างพระนเรศวร แต่ช้างของชามะโรตกมันจนควบคุมไม่ได้ ทำให้หันไปชนช้างของมหาอุปราชาจนช้างบาดเจ็บ ระหว่างนั้นองครักษ์ของพระนเรศวรสาดกระสุนปืนป้องกันพม่าเข้าใกล้ช้างพระนเรศวร กระสุนปืนลูกหนึ่งถูกพระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์บนคอช้าง กลางช้างจึงเข้ามาประคองพระศพและไปหลบใต้ต้นไม้ นายทัพคนอื่น ๆ เข้าไปกันช้างพระนเรศวร พระองค์จึงถอยทัพกลับเข้าเมือง   เมื่อพระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ กองทัพพม่าหยุดรบและเหล่านายทัพประชุมกัน จึงได้ข้อสรุปว่ายกเลิกการรบและเดินทางกลับ เพื่อนำพระศพของพระมหาอุปราชากลับไปพระราชทานเพลิงที่หงสาวดี             หลักฐานต่างชาติ   Jasque de Coutre (ค.ศ. ๑๕๙๕ / พ.ศ. ๒๑๓๘ หรือหลังจากยุทธหัตถี ๓ ปี) กล่าวถึง สมเด็จพระนเรศวรถูกปืนที่แขน กล่าวถึง พระมหาอุปราชาถูกหอกเสียบกระเดือกและสิ้นพระชนม์ที่เมืองทวาย แต่มีข้อสังเกตคือ ทวายไม่น่าเป็นเส้นทางถอยทัพ กล่าวถึง งานพระราชทานเพลิงศพพระคชาธาร เป็นงานใหญ่มากของอยุธยาและมีการจัดงานหลายวัน อีกทั้งสมเด็จพระนเรศวรเสียพระทัยมาก แสดงให้เห็นว่าเป็นช้างที่พระเจ้าแผ่นดินรักมาก อาจกระทำความความชอบอันใหญ่หลวงหรือเป็นช้างสำคัญที่มีบทบาทในการยุทธหัตถี (มีข้อน่าสังเกตว่า นอกจากการจัดงานพระราชทานเพลิงศพพระคชาธารอย่างมีเกียรติแล้ว ของ้าวของพระนเรศวรยังถูกเก็บไว้ในหอศาสตราคม ครั้นถึงสมัยพระเพทราชาต้องปราบกบฏ พระองค์ให้ไปเชิญของ้าวพระนเรศวรมาและถือไว้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ แสดงให้เห็นว่าทั้งช้างและของ้าวมีความสำคัญค่อนข้างมาก อาจเป็นหลักฐานที่สะท้อนให้เห็นว่ามีการทำยุทธหัตถีเกิดขึ้นจริงในสมัยสมเด็จพระนเรศวร) Jeremias van Vliet (ค.ศ. ๑๖๓๓ / พ.ศ. ๒๑๗๖ หรือหลังจากยุทธหัตถี ๔๑ ปี) Jeremias van Vliet หรือวันวลิต เป็นนายสถานีการค้าของดัตช์ สมัยพระเจ้าปราสาททอง เขียนหนังสือในลักษณะพงศาวดาร โดยได้ข้อมูลจจากการถามพระและชาวบ้าน กล่าวถึงช้างของพระนเรศวรที่ตัวเล็กกว่าช้างของพระมหาอุปราชา เมื่อยามศึกสงคราม ช้างของพระนเรศวรถอยจนพระองค์ต้องปลอบประโลม มีใจความตอนหนึ่งว่า “...คิดดูเถิดว่าตอนนี้เจ้ามีอำนาจเหนือเจ้าชีวิต ๒ พระองค์...” แสดงให้เห็นว่ามีการชนช้างทั้งพระนเรศวรและพระเอกาทศรถ หลังจากปลอบช้างแล้ว พระนเรศวรได้พรมน้ำมนตร์ปลุกเสกใส่ตะพองช้างสามครั้งและกันแสงหลั่งพระสุชลลงบนงวงช้าง ทำให้ช้างของพระองค์เริ่มฮึกเหิม กล่าวถึงสถานที่ยุทธหัตถีที่หนองสาหร่าย ตรงกับพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐฯ Jesuit Nicholas Pimenta เป็นบันทึกร่วมสมัยพระนเรศวรโดยชาวโปรตุเกส กล่าวถึงการยุทธหัตถีในครั้งนั้นว่ามีฝ่ายแม่นปืนชาวโปรตุเกสไปด้วย ๒ คน พระนเรศวรรับสั่งว่าถ้าพระองค์เพลี่ยงพล้ำให้ฝ่ายแม่นปืนยิง เมื่อกระทำยุทธหัตถี ช้างของพระนเรศวรเพลี่ยงพล้ำจึงตะโกนสั่งให้ชาวโปรตุเกสยิง เป็นเหตุให้พระมหาอุปราชาถูกกระสุนปืนจนสิ้นพระชนม์ Antonio Bocano (ค.ศ. ๑๖๑๓ / พ.ศ. ๒๑๕๖-๒๑๖๐) กล่าวถึง การท้าทายกระทำยุทธหัตถี กล่าวถึง ฝ่ายแม่นปืนยิงพระมหาอุปราชา Portuguese source (Published ค.ศ. ๑๖๐๓ / พ.ศ. ๒๑๔๖) แปลโดย A Macqregor กล่าวถึง การทำยุทธหัตถี Persian account (ค.ศ. ๑๖๘๕ / พ.ศ. ๒๒๒๘) กล่าวถึง การทำยุทธหัตถี สมเด็จพระนเรศวรซ่อนปืนไว้ใต้สัปคับ เมื่อพระอง์เหลี่ยงพล้ำจึงใช้ปืนยิง           หลักฐานที่กล่าวมาข้างต้น ทั้งเอกสารหลักฐานของไทย พม่า และตะวันตก ล้วนให้ภาพการทำยุทธหัตถีที่หลากหลาย ทำให้เกิดความเชื่อที่แตกต่าง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เข้ามามีส่วนแทรกซ้อนในการทำยุทธหัตถีคืออาวุธปืนไฟ ถูกนำเข้ามาอย่างช้าที่สุดคือสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ โดยชาวโปรตุเกสที่เข้ามาเป็นทหารอาสา บางส่วนทำหน้าที่เป็นทหารรักษาพระองค์ บางส่วนเป็นพลแม่นปืนที่ลอบสังหารผู้นำฝ่ายตรงข้าม               หลักฐานในสมัยพระนเรศวรกล่าวถึงการใช้ปืนค่อนข้างมาก มีทั้งที่กล่าวว่าพระมหาอุปราชาถูกปืนยิง พระนเรศวรถูกปืนยิง และท้ายช้างพระนเรศวรถูกปืนยิง แสดงให้เห็นว่าในช่วงเวลานั้นมีการใช้อาวุธปืนกันและผู้ที่อยู่บนหลังช้างมักเป็นเป้าที่ถูกยิงได้ง่าย หลังสิ้นยุคสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไม่มีการทำยุทธหัตถีอีกเลย นายทัพเลิกขี่ช้างนำทัพ เนื่องจากพลแม่นปืนเข้ามามีบทบาทในการรบมากขึ้น ดังนั้นปืนจึงเป็นสิ่งที่เข้ามาสร้างความแตกต่างและยุติธรรมเนียมการสู้รบบนหลังช้างไปตลอดกาล ภาพ : โครงการเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ประจำปี ๒๕๖๓ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี 


 “สังคโลก” หมายถึง เครื่องปั้นดินเผาที่ผลิตขึ้นในรูปแบบของภาชนะ เครื่องประกอบสถาปัตยกรรม ตุ๊กตา เป็นต้น มีทั้งชนิดเคลือบน้ำยาและไม่เคลือบน้ำยา โดยมีการผลิตมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยไปจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง โดยมีการพัฒนาทั้งรูปแบบและวิธีการผลิตจนสามารถส่งเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในช่วงระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ๒๒           คำว่า “สังคโลก” นี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า เป็นถ้อยคำในภาษาจีนโดยคำว่า “สัง” น่าจะเพี้ยนเสียงมาจากคำว่า “ซ้อง”อันเป็นนามราชวงศ์ซึ่งปกครองประเทศจีนระหว่าง พ.ศ.๑๕๐๓ - ๑๘๑๙ เหตุด้วยเครื่องเคลือบสีเทาชนิดเดียวกับสังคโลกนั้นเกิดขึ้นในเมืองจีนสมัยของราชวงศ์ซ้องมาก่อน ส่วนคำว่า “โกลก” หรือ “กโลก” ท่านว่ายังสืบไม่ได้ความ (มีนักวิชาการบางท่านเชื่อว่า คำว่า โกลก แปลว่า เตา เมื่อรวมกับคำว่า ซ้อง แล้ว อาจแปลความได้ว่า เตาแผ่นดินซ้อง)           อีกสมมติฐานหนึ่งเชื่อว่า สังคโลกน่าจะเพี้ยนเสียงมาจาก คำว่า “สวรรคโลก” ซึ่งเป็นชื่อเรียกของเมืองศรีสัชนาลัย หลังตกอยู่ภายใต้อำนาจของกรุงศรีอยุธยา โดยให้เหตุผลประกอบว่าสังคโลกเป็นสินค้าส่งออกไปขายยังต่างประเทศอย่างแพร่หลายในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๒ อันเป็นช่วงเวลาที่การค้ากับต่างชาติรุ่งเรืองมาก ด้วยเหตุที่เครื่องถ้วยดังกล่าวผลิตจากเมืองศรีสัชนาลัย หรือเมืองสวรรคโลก ผู้คนจึงได้เรียกชื่อเครื่องถ้วยประเภทนี้ตามแหล่งผลิต หากแต่ชาวต่างชาติที่ทำการค้ากับกรุงศรีอยุธยาออกเสียงเพี้ยนเป็น “สังคโลก”แทน  


  ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร ได้จัดแสดงพระพุทธรูปปางสมาธิองค์หนึ่ง ที่ได้จากวัดพระแก้ว วัดสำคัญกลางเมืองกำแพงเพชร โดยเป็นพระพุทธรูปสำริดขนาดเล็ก ศิลปะอยุธยา กำหนดอายุได้ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ มีลักษณะสำคัญได้แก่ พระพักตร์ค่อนข้างกลม พระขนงโก่ง พระเนตรเรียวเหลือบลงต่ำ พระนาสิกโด่งเป็นสัน พระโอษฐ์ค่อนข้างบาง พระกรรณยาว พระเศียรมีขมวดพระเกศาค่อนข้างเล็ก พระอุษณีษะเป็นต่อมนูนขนาดใหญ่ พระรัศมีรูปกรวยทรงสูง ครองจีวรห่มเฉียงเปิดพระอังสาขวา ชายสังฆาฏิขนาดค่อนข้างใหญ่พาดอยู่บนพระอังสาซ้ายยาวจรดถึงพระนาภีปลายแตกเป็นลายเขี้ยวตะขาบ  พระหัตถ์ทั้งสองวางประสานกันอยู่เหนือพระเพลา ประทับนั่งขัดสมาธิราบบนฐานอาสนะสามขา หรือฐานสิงห์ ฐานด้านหน้ามีจารึกอักษรขอม ภาษาบาลี จำนวน ๑ บรรทัด ความว่า สรณงฺกโร นาม ภควา  (อ่านว่า สะระณังกะโร นามะ ภะคะวา) แปลว่า ภควา (พระพุทธรูป) องค์นี้ พระนามว่า พระสรณังกร           นายเทิม มีเต็ม ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาตะวันออก ผู้แปลจารึกนี้ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า สรณงฺกโร คือ นามของอดีตพระพุทธเจ้าในจำนวน ๒๘ พระองค์ ซึ่งปรากฏอยู่ในอาฏานาติยปริตร ส่วนคำว่า ภควา ได้แปลความหมายว่า พระพุทธรูปนี้  ซึ่งการสร้างพระพุทธรูปในสมัยโบราณ ผู้สร้างบางท่านมีเจตนาที่สร้างถวายเป็นรูปแทนองค์พระพุทธเจ้าทั้งในปัจจุบันและอดีต  สำหรับพระพุทธรูปองค์นี้ได้สร้างถวายแด่อดีตพระพุทธเจ้าที่มีนามว่า พระสรณังกร



วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ นางวราภรณ์ วสุนธรารัตน์ ผู้อำนวยการหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ พร้อมบุคลากร และนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ จัดกิจกรรมโครงการส่งเสริมการอ่านเพื่อสนับสนุนความร่วมมือระหว่างหอสมุดแห่งชาติประเทศอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลี ภายใต้หัวข้อ "Read Me a Book : ASEAN-ROK is Reading" โดยได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านสำหรับเด็กและเยาวชน ได้แก่ การอ่านหนังสือออกเสียง และการเล่านิทาน ให้กับนักเรียนระดับเตรียมอนุบาล และระดับชั้นอนุบาล ๑ ณ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เทศบาลเจดีย์แม่ครัว อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่


วันพุธที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ นางวราภรณ์ วสุนธรารัตน์ ผู้อำนวยการหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ พร้อมบุคลากร และนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ จัดกิจกรรมโครงการส่งเสริมการอ่านเพื่อสนับสนุนความร่วมมือระหว่างหอสมุดแห่งชาติประเทศอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลี ภายใต้หัวข้อ "Read Me a Book : ASEAN-ROK is Reading" โดยได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านสำหรับเด็กและเยาวชน ได้แก่ การอ่านหนังสือออกเสียง และการเล่านิทาน ให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ณ โรงเรียนบ้านท่าเกวียน ตำบลหนองจ๊อม อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่


black ribbon.