ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,749 รายการ

เลขทะเบียน : นพ.บ.283/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 50 หน้า ; 4.5 x 55 ซ.ม. : ทองทึบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 119  (248-252) ผูก 1 (2565)หัวเรื่อง : สังฮอมธาตุ--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


สิงห์คู่สิงห์หรือราชสีห์คู่ หน้าวัดพระธาตุหริภุญชัย เป็นสิงห์ทรงเครื่องขนาดใหญ่ ก่ออิฐฉาบปูน ลักษณะยืนอ้าปากกระดกลิ้น มีเครา หางตั้งม้วนเป็นขดบนกลางหลัง ระบายสีแดงก่ำและตกแต่งลายปูนปั้นสีขาว สร้างขึ้นพร้อมกับซุ้มโขง จากภาพถ่ายเก่าพบว่าเคยมีลวดถักเป็นตาข่ายรัดตัวสิงห์ไว้ไม่ให้ชำรุด พร้อมสร้างศาลามีหลังคาคลุมไว้ชาวล้านนาเรียกสิงห์หน้าวัดว่า “สิงห์ไถ่บาป” ซึ่งการทำรูปสิงห์ให้เป็นผู้เฝ้าศาสนสถานนี้ ตามความเชื่อของอินเดียโบราณมีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ศรีศากยมุนีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีสิงห์เป็นรูปสัญลักษณ์ จึงถูกนำมาใช้ประดับตกแต่งงานพุทธศิลป์เกือบทุกส่วน รวมไปถึงการใช้สิงห์เฝ้าดูแลหน้าวัดเสมือนทวารบาล แต่ตำนานของชาวพม่าซึ่งมีอิทธิพลต่อชาวล้านนาในช่วงระยะเวลากว่าสองศตวรรษ มีการผูกเรื่องให้พระธิดาของพระราชาองค์หนึ่งหายไปในป่า แล้วถูกนางสิงห์เลี้ยงดูเหมือนลูกอยู่หลายปี จนพระราชาตามมาพบแล้วพรากพระธิดาจากนางสิงห์มา นางสิงห์กรีดร้องโหยหวนและกลั้นใจตายเพราะไม่สามารถข้ามแม่น้ำติดตามพระธิดาได้ เป็นเหตุให้พระราชาสร้างอนุสาวรีย์นางสิงห์ไว้เพื่อเป็นที่ระลึกและเป็นการขอขมา จึงเรียกว่า “สิงห์ไถ่บาป” สิงห์ที่อยู่หน้าวัดของชาวพม่าและล้านนาจึงมีลักษณะโก่งคอตะโกนร้องเรียกหาพระธิดา จากตำนานดังกล่าวสิงห์ไถ่บาป จะต้องเป็นเพศเมีย แต่สิงห์คู่หน้าวัดพระธาตุหริภุญชัยเป็นสิงห์เพศผู้ ดังในโคลงนิราศหริภุญชัยเรียกว่า “มิคราช” ดังนั้น ตำนานเรื่องสิงห์ไถ่บาปน่าจะเป็นการผูกเรื่องขึ้นภายหลัง เนื่องจากพบสิงห์ไถ่บาปตามวัดต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นใหม่โดยชาวยองที่อพยพมาตั้งถิ่นในลำพูน   ก่อนที่จะมีการสร้าง “ขัวมุง” หรือสะพานมีหลังคาคลุมข้ามแม่น้ำกวงไปสู่ฝั่งเวียงยอง บริเวณหน้าวัดพระธาตุหริภุญชัย เดิมเคยมีสะพานชื่อ “ขัวท่าสิงห์” ซึ่งเป็นการเรียกชื่อตามรูปปั้นสิงห์ไถ่บาปที่ตั้งอยู่หน้าวัด ผู้เรียบเรียง : นางเกษราภรณ์ กุณรักษ์ นักจดหมายเหตุ ชำนาญการภาพ : ๑. หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่. ภาพชุด เสด็จประพาสภาคเหนือ พ.ศ. ๒๕๐๑.๒. หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่. ภาพชุด การประกวดภาพเก่าเกี่ยวกับจังหวัดลำพูน. อ้างอิง :๑. กรมศิลปากร. ๒๕๕๓. พระธาตุหริภุญชัย. กรุงเทพมหานคร: ถาวรกิจการพิมพ์.๒. กรมศิลปากร. ๒๕๕๗. เที่ยวท่องส่องวัฒนธรรม: ลงใต้-ไปเหนือ. กรุงเทพมหานคร: รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗).


         วันพฤหัสบดีที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดี กรมศิลปากร เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการหนังสือหายากของหอสมุดแห่งชาติ เรื่อง “เยี่ยมเยือนเมืองสยาม ย้อนเวลาไปกับหนังสือหายาก” ณ ห้องวชิรญาณ ๒ - ๓ อาคาร ๒ ชั้น ๑ สำนักหอสมุดแห่งชาติ ผู้สนใจสามารถ เข้าชมนิทรรศการได้ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๕          อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า หนังสือหายากของหอสมุดแห่งชาติ มีลักษณะไม่เหมือนกับหนังสือ หายากทั่วไป หนังสือส่วนใหญ่เป็นสมบัติส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ และ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้พระราชทาน ประทาน และบริจาคให้หอพระสมุดวชิรญาณ รวมทั้งหนังสือที่หอพระสมุด วชิรญาณจัดพิมพ์และจัดหาให้บริการ หนังสือเหล่านี้แสดงให้เห็นวิวัฒนาการของภาษาและการพิมพ์ บางเล่มมีการผลิตอย่างประณีตสวยงามด้วยวัสดุอันมีค่า บางเล่มมีเนื้อหาเกี่ยวกับวิทยาการต่าง ๆ ในอดีต ซึ่งไม่สามารถหาได้ในหนังสือปัจจุบัน และที่สำคัญที่สุดคือได้แสดงถึงประวัติศาสตร์ วิวัฒนาการด้านการเมือง การปกครอง พระราชกรณียกิจ วัฒนธรรมประเพณี บันทึกการเดินทางของชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย สนธิสัญญาต่าง ๆ บันทึกการเดินทางท่องเที่ยวเยี่ยมเยือนเมืองสยามของพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ของชาติไทยที่สำคัญ การจัดแสดงนิทรรศการในครั้งนี้จะทำให้ ผู้เข้าชมนิทรรศการได้รับความรู้และรู้สึกถึงคุณค่าของประวัติศาสตร์ไทย สังคมไทยหลายยุคหลายสมัย และคุณค่าหนังสือหายากของหอสมุดแห่งชาติที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน          สำนักหอสมุดแห่งชาติ จัดนิทรรศการ เรื่อง “เยี่ยมเยือนเมืองสยาม ย้อนเวลาไปกับหนังสือหายาก” แบ่งการจัดแสดงออกเป็น ๓ ส่วน ได้แก่          - ส่วนที่ ๑ “หนังสือหา (ไม่) ยาก” จัดแสดงเกี่ยวกับข้อมูลหนังสือหายากของหอสมุดแห่งชาติ คุณค่าและความสำคัญ ลักษณะหนังสือหายาก ๑๒ ประเภท พร้อมตัวอย่างหนังสือประกอบ          - ส่วนที่ ๒“เยี่ยมเยือนเมืองสยาม” เนื้อหาเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเมืองสยาม ประวัติความเป็นมาของการท่องเที่ยว รูปแบบการเดินทางท่องเที่ยว ประโยชน์ของการเที่ยว การเสด็จประพาสในรัชสมัยต่าง ๆ การท่องเที่ยวทั่วไทย โดยผ่านหนังสือหายาก จัดแสดงหนังสือพร้อมภาพการเดินทางและสถานที่ท่องเที่ยวประกอบ          - ส่วนที่ ๓ “เพราะหนังสือจึงรังสรรค์” การนำหนังสือหายากมารังสรรค์และต่อยอด โดยนำไปพัฒนาจัดทำเป็นของที่ระลึกในโอกาสต่าง ๆ ได้แก่ การพิมพ์หนังสือ (Reprint) ซึ่งเป็นการอนุรักษ์ต้นฉบับและสืบทอดอายุหนังสือให้คงอยู่ต่อไป การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ โดยนำลักษณะเด่นของหนังสือหายากมาสร้างสรรค์เป็นผลงานในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เข็มกลัด แฟ้มใส่เอกสาร ไปรษณียบัตร และการส่งเสริมการเรียนรู้ ด้วยการนำเนื้อหาในหนังสือมาประยุกต์เป็นเกมส่งเสริมการเรียนรู้




สุนทรภู่ และนายมี.  โคลงนิราศสุพรรณ ฉบับสมบูรณ์ และนิราศสุพรรณ.  พิมพ์ครั้งที่ 11.  กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2521.          โคลงนิราศสุพรรณ ฉบับสมบูรณ์ และนิราศสุพรรณ มีเนื้อหากล่าวถึงโคลงนิราศสุพรรณ และนิราศสุพรรณ โดยโคลงนิราศสุพรรณของสุนทรภู่ กล่าวถึงใจความขณะที่สุนทรภู่ออกเดินทางไปสุพรรณบุรี ส่วนนิราศสุพรรณของนายมี แต่งขึ้นเมื่อคราวที่มีบรรดาศักดิ์เป็นหมื่นพรหมพัตสร นายอากรเมืองสุพรรณบุรี ได้เดินทางไปเก็บอากรที่เมืองสุพรรณ


วัดลัฏฐิกวัน ตำบลชะโนด อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร ตั้งอยู่ริมถนนสายมุกดาหาร-หว้านใหญ่ ด้านทิศเหนือติดกับลำห้วยชะโนด ตามประวัติระบุว่า พระครูบุ นันทวโร เป็นผู้สร้างวัดนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ เดิมเป็นวัดป่า ได้มีการปลูกต้นตาลไว้รอบ ๆ วัดจำนวนมาก จึงได้ชื่อว่า “ลัฏฐิกวัน” ซึ่งแปลว่า “สวนตาลหนุ่ม” และยังมีนัยยะถึงสวนตาลที่พระเจ้าพิมพิสารถวายแด่พระพุทธเจ้าอีกด้วย ปัจจุบันชาวบ้านในพื้นที่ยังเรียกวัดนี้ว่า “วัดป่าตาล” ตามสภาพแวดล้อมที่มีต้นตาลจำนวนมาก สิ่งสำคัญที่ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ได้แก่ อุโบสถ (สิม) หลังเก่า, ศาลาพระพุทธบาทเก่า, ศาลารูปปั้นพิธีศพ . อุโบสถ (สิม) หลังเก่า เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนขนาดเล็ก ขนาด ๓ ช่วงเสา หันหน้าไปทางทิศตะวันตก เป็นรูปแบบสิมโปร่ง มีการก่อผนังปิดทึบด้านทิศตะวันออกเพียงด้านเดียว ซึ่งเป็นด้านหลังพระประธาน ภายในอุโบสถมีพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัยเป็นประธาน และมีพระสาวก (ปัญจวัคคีย์) ทั้ง ๕ นั่งรายล้อมอยู่ ผนังด้านหลังมีภาพจิตรกรรมฝีมือช่างพื้นถิ่น ส่วนหลังคาเป็นเครื่องไม้ทรงจั่วทำปีกยื่นโดยรอบทั้ง ๔ ด้าน มุงสังกะสี ซึ่งเดิมน่าจะเป็นกระเบื้องดินเผา . ศาลาพระพุทธบาทเก่า เป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส กั้นผนังด้านทิศตะวันออกเพียงด้านเดียวประดับลายปูนปั้น ส่วนเสาศาลาทาสีประดับลวดลายปูนปั้น ส่วนหลังคาทรงปั้นหยาประดับยอดแหลมมุงกระเบื้องดินเผา รอยพระพุทธบาทประกอบด้วยลวดลายมงคล ๑๐๘ ตั้งอยู่บนชุดฐานบัว ก่ออิฐถือปูน . ศาลารูปปั้นปรินิพพาน สร้างเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคามุงสังกะสี ภายในทำเป็นพระพุทธรูปนอนตะแคงขวา ด้านนอกทำรูปเหล่ากษัตริย์แคว้นต่าง ๆ นั่งในท่วงท่าอาการโศกเศร้า . ศาลารูปปั้นพิธีศพ เป็นอาคารโถงทรงจตุรมุข ก่ออิฐถือปูน มุงกระเบื้องดินเผา ภายในทำหุ่นจำลองตอนถวายพระเพลิงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระสาวกและพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีโดยรอบ อีกทั้งยังมีวงมโหรีประกอบในงานด้วย ปรากฏศักราชที่หน้าบันด้านทิศตะวันออก พ.ศ. ๒๔๗๙ สันนิษฐานว่าเป็นปีที่สร้าง . วัดลัฏฐิกวันได้รับประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๑๑๕ ตอนพิเศษ ๔ง วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๔๑ ระวางเขตพื้นที่ ก ๑ไร่ ๓ งาน ๑๑.๔๘ ตารางวา เขตพื้นที่ ข ๑ งาน ๗๘.๕๓ ตารางวา ------------------------------------------------------ ++++ อ้างอิงจาก ++++ . กรมศิลปากร. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดมุกดาหาร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๔๔. หน้า ๑๔๗. . สำนักศิลปากรที่ ๑๑ อุบลราชธานี. รายชื่อโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้ว จังหวัดมุกดาหาร.เอกสารอัดสำเนา, ๒๕๕๒. ข้อมูล : กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี



สิปปกร.  ศิลปภัณฑ์.  พระนคร: แพร่พิทยา, 2502.           ภาพชุด “ศิลปภัณฑ์” เป็นหนังสือภาพที่ได้รวบรวมสิ่งของเครื่องใช้เกี่ยวกับโบราณขัตติยราชประเพณีของพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อต้องการเผยแพร่ศิลปกรรมไทยและอนุรักษ์ไว้ไม่ให้สูญหาย พร้อมนำเสนอข้อมูลเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับรูปทรง ลักษณะ และประวัติสังเขป   


ชื่อเรื่อง                    สพ.ส.30 บทสวดมนต์ต่างๆประเภทวัสดุ/มีเดีย      สมุดไทยขาวISBN/ISSN                 -หมวดหมู่                  ธรรมคดีลักษณะวัสดุ              33; หน้า : ไม่มีภาพประกอบหัวเรื่อง                    ธรรมคดี           ภาษา                      ไทยบทคัดย่อ/บันทึก                   ประวัติวัดสามทอง ต.ตลิ่งชัน  อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี มอบให้หอสมุดฯ วันที่ 9 ส.ค.2538





-- องค์ความรู้ เรื่อง “ทำไม? ต้องประเมินคุณค่าเอกสาร” -- ตามที่ได้เคยนำเสนอ กระบวนงานจดหมายเหตุ จากเอกสารที่รับมอบมาเป็นเอกสารจดหมายเหตุ หนึ่งกระบวนงานที่เป็นมาตรฐานงานจดหมายเหตุ ได้แก่ “งานประเมินคุณค่าเอกสาร” เนื่องจากการรับมอบเอกสารของหอจดหมายเหตุแห่งชาติโดยส่วนมากแล้ว มาจากการขอสงวน-ส่งมอบเอกสารตามกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่กำหนดไว้ ดังได้ระบุในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 ในหมวดการทำลายเอกสาร หน่วยงานใดที่ประสงค์ทำลายเอกสารที่สิ้นกระแสการใช้งานแล้ว เรียกง่ายๆ ว่าเอกสารที่ดำเนินการแล้วเสร็จ จัดเก็บครบกำหนดอายุเอกสาร และไม่มีการเรียกใช้เอกสารดังกล่าวแล้ว ให้หน่วยงานดำเนินการจัดทำรายการลงในบัญชีขอทำลายเอกสาร หรือที่เรียกกันว่า แบบที่ 25 แล้วดำเนินการตามขั้นตอนที่ระเบียบฯ กำหนดไว้ ให้เรียบร้อย จัดส่งมาให้หอจดหมายเหตุแห่งชาติพิจารณา กล่าวคือ “เอกสารราชการใดที่จะทำลายและไม่ได้ทำข้อตกลงกับกรมศิลปากรไว้ จะต้องดำเนินการตามระเบียบฯ เพื่อให้หอจดหมายเหตุแห่งชาติพิจารณาก่อน” ประโยชน์หลักคือ เพื่อที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติจะได้พิจารณาขอสงวน-รับมอบเอกสารที่มีคุณค่า ประเมินคุณค่า จัดหมวดหมู่ เพื่อจัดเก็บและออกให้บริการต่อไป ในการขอสงวนเอกสารดังกล่าว เป็นการอ่านเอาจากชื่อเรื่อง-รายการ จากบัญชีขอทำลายเอกสาร ซึ่งนักจดหมายเหตุไม่ได้เห็นเอกสารฉบับจริง จะเห็นเอกสารต่อเมื่อมีการขอสงวน และให้หน่วยงานเจ้าของเอกสารส่งเอกสารต้นฉบับที่ประสงค์จะทำลายมาให้หอจดหมายเหตุ ดังนั้น กระบวนงานประเมินคุณค่าเอกสาร (เอกสารที่ขอสงวน-รับมอบ) จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งของกระบวนงานได้ซึ่งมาเอกสารที่จะนำไปจัดหมวดหมู่เป็นจดหมายเหตุเพื่อให้บริการ ในส่วนของหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยานั้น หน่วยงานในพื้นที่รับผิดชอบ ณ ปัจจุบัน จำนวน  9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัด พะเยา แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ พิจิตร สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร และจังหวัดพิษณุโลก ในแต่ละปีมีหน่วยงานที่ปฏิบัติตามระเบียบฯ ขอทำลายเอกสาร เกิดการขอสงวนและรับมอบเอกสารเกิดขึ้นในปริมาณที่มาก หากแต่การเลือกชุดประเมินคุณค่าเอกสารนั้นจะต้องมีปริมาณที่เหมาะสม อายุเอกสาร ความสนใจของผู้ใช้บริการ หรือความเร่งด่วนของเอกสาร ในการประเมินคุณค่าเอกสารนักจดหมายเหตุจะเป็นผู้พิจารณาว่าเอกสารชุดใดเหมาะที่จะนำมาประเมิน อาจเป็นหน่วยงานย่อยหนึ่งใด หรือประเมินทั้ง กอง กรม หรือกระทรวงนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น เอกสารของสำนักงานทางหลวงที่  6 (เพชรบูรณ์) กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม สามารถประเมินได้ทุกหน่วยงานในสังกัดในคราเดียว หรือแยกประเมินแต่ละหน่วยงานในแต่ละครั้งไป ต้องดูความสำคัญ ปริมาณเอกสาร ความเกี่ยวเนื่องสอดคล้อง และผู้ปฏิบัติงานเป็นสำคัญ การประเมินคุณค่าเอกสารแต่ละชุด นักจดหมายเหตุจะต้องจัดเตรียมข้อมูล สืบค้น ประวัติ ภารกิจ โครงสร้างของหน่วยงานเจ้าของเอกสารชุดนั้น เมื่อดำเนินการตามกระบวนงานประเมินคุณค่าเอกสารแล้ว จึงจัดประชุมคณะกรรมการประเมินคุณค่าเอกสาร โดยมีนักจดหมายเหตุ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ นักวิชาการท้องถิ่น ที่สำคัญคือหน่วยงานเจ้าของเอกสารเอง เพื่อร่วมวิเคราะห์เอกสารที่นักจดหมายเหตุ ได้คัดแยกเอกสารตามโครงสร้าง กรม กอง ฝ่าย งาน และจัดทำสาระสังเขปกำกับของแต่ละชุดเอกสาร ว่าเอกสารใดเห็นสมควรที่จะต้องจัดเก็บไว้เป็นเอกสารจดหมายเหตุ หรือเอกสารใดที่เห็นสมควรที่ทำลายตามระเบียบฯ ต่อไป ประโยชน์ของการประเมินคุณค่าเอกสารมีมาก เช่น เป็นการคัดแยกจัดเก็บเอกสารเพื่อเป็นเอกสารจดหมายเหตุ ที่ผ่านการคัดกรองจากคณะกรรมการประเมินคุณค่าเอกสาร ส่วนเอกสารนอกเหนือจากนั้น นักจดหมายเหตุสามารถดำเนินการทำลายเอกสารได้ตามระเบียบฯ หรือเป็นประโยชน์ต่อฐานข้อมูลไว้สืบค้นในอนาคต รวมไปถึงการช่วยลดพื้นที่จัดเก็บเอกสารของศูนย์เก็บเอกสารของหน่วยงานได้ นอกจากนี้ เอกสารที่ผ่านการวิเคราะห์แล้วนั้น จะมีการทำสรุปสาระสังเขปของเอกสาร รายงานการประชุม ทางหน่วยงานเจ้าของเอกสาร หรือนักจดหมายเหตุเองยังสามารถนำข้อมูลสาระสังเขปนั้นต่อยอดจัดทำเป็นตารางกำหนดอายุเอกสารของหน่วยงานได้ เพราะเอกสารเหล่านั้นได้ผ่านการร่วมกันวิเคราะห์ ความสำคัญ ความเป็นประโยชน์ของคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและของเจ้าของหน่วยงานแล้ว หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา ได้ดำเนินการคัดชุดเอกสารเพื่อประเมินคุณค่า โดยดำเนินการแล้วทั้งสิ้นจำนวน 5 ชุดด้วยกัน ดังต่อไปนี้ 1. ปีงบประมาณ 2560 ประเมินคุณค่าเอกสาร ชุด ศูนย์วิจัยพัฒนาประมงน้ำจืดเขต 1 พะเยา (สถานีประมงน้ำจืดพะเยา) กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2. ปีงบประมาณ 2560 ประเมินคุณค่าเอกสาร ชุด สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานในสังกัด 3. ปีงบประมาณ 2561 ประเมินคุณค่าเอกสาร ชุด สำนักงานทางหลวงที่ 6 (เพชรบูรณ์) กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม 4. ปีงบประมาณ 2561 ประเมินคุณค่าเอกสาร ชุด เขตการทางเพชรบูรณ์ กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานในสังกัด 5. ปีงบประมาณ 2562 ประเมินคุณค่าเอกสาร ชุด สำนักงานทางหลวงที่ 5 (พิษณุโลก) กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานในสังกัด ในกระบวนงานประเมินคุณค่าแต่ละครั้ง จะได้รับการสนับสนุนด้านวิชาการ และการเข้ามาช่วยแนะแนวขั้นตอนการปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิดจากสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานกระบวนงานวิชาการด้านจดหมายเหตุ...............................................ผู้เขียน: นางสาวอรทัย ปานจันทร์ ( นักจดหมายเหตุ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา )............................................เอกสารอ้างอิง1. อรทัย ปานจันทร์, ธานินทร์ ทิพยางค์. “รายงานผลการดำเนินงานโครงการประเมินคุณค่าเอกสารราชการ ปีงบประมาณ 2560 ชุด ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเขต 1 (พะเยา)” เสนอกองทุนส่งเสริมงานจดหมายเหตุ, 2560. (เอกสารไม่ตีพิมพ์เผยแพร่)2. ชฎาพร ดีแก้วเกษ, หทัยชนก แก้วหล้า. “รายงานผลการดำเนินงานโครงการประเมินคุณค่าเอกสารราชการ ปีงบประมาณ 2560 ชุด สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย” เสนอกองทุนส่งเสริมงานจดหมายเหตุ, 2560. (เอกสารไม่ตีพิมพ์เผยแพร่)3. อรทัย ปานจันทร์, ชฎาพร ดีแก้วเกษ. “รายงานผลการดำเนินงานโครงการประเมินคุณค่าเอกสารราชการ ปีงบประมาณ 2562 สำนักงานทางหลวงที่ 6 (เพชรบูรณ์) และหน่วยงานในสังกัด”, 2562. (เอกสารไม่ตีพิมพ์เผยแพร่)4. ชฎาพร ดีแก้วเกษ. “รายงานผลการดำเนินงานโครงการประเมินคุณค่าเอกสารราชการ ปีงบประมาณ 2562 ชุด สำนักงานทางหลวงที่ 5 (พิษณุโลก) และหน่วยงานในสังกัด”, 2562. (เอกสารไม่ตีพิมพ์เผยแพร่)5. คู่มือการประเมินคุณค่าและการรับมอบเอกสารจดหมายเหตุของสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ, กรมศิลปากร, 2552.6. คู่มือการประเมินคุณค่าและการรับมอบเอกสารจดหมายเหตุของสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. กองทุนส่งเสริมงานจดหมายเหตุ, กรมศิลปากร, 2560.#จดหมายเหตุ #องค์ความรู้จากจากจดหมายเหตุ #หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯพะเยา #เอกสารจดหมายเหตุ





black ribbon.