ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ
นับอายุพระพุทธศาสนาและบทไหว้ครู ชบ.ส. ๗๒
เจ้าอาวาสวัดเทพประสาท ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
มอบให้หอสมุด ๒๓ ก.ค. ๒๕๓๕
เอกสารโบราณ (สมุดไทย)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.27/1-7
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
บางส่วนจากบันทึกของหม่อมศรีพรหมา กฤดากร
...วันนั้น (๒๒ ตุลาคม ๒๔๕๓) บรรยากาศเงียบเหงามาก บนพระที่นั่งก็สงัด โดยปกติเวลาใกล้เที่ยงจะมีผู้คนเดินขวักไขว่ เพราะพระเจ้าอยู่หัวบรรทมตื่นแล้ว และจะเสวยพระกระยาหารกลางวัน.....แต่วันนี้ไม่มีเสียงอะไรเลยแม้แต่เสียงพูดกัน ผู้เขียนได้แต่สันนิษฐานว่าคงทรงประชวรหนัก...
...ขอทวนกล่าวถึงฝ่ายผู้เขียนว่า ในระยะนั้นต้องนอนพักในเวลากลางวันเพื่อรับเวรในเวลากลางคืน เฉพาะในวันนี้หลับไม่ลงเพราะใจเป็นห่วงและทุกคนก็นั่งจับเจ่าเหงาหงอยตาจ้องไปทางชั้น ๓ ของพระที่นั่งอัมพรสถาน ซึ่งอยู่ตรงข้ามตำหนักสมเด็จซึ่งได้รับพระราชทานนามว่า “สวนสี่ฤดู” ...
...ระหว่างเวลาพักกลางวันในวันนั้นผู้เขียนไม่ได้พักผ่อนหรือนอนหลับเลย ได้แต่เดินใจลอยและมิได้พูดคุยจอแจกับเพื่อนๆ เช่นเคย จนพลบค่ำจึงจำเป็นต้องบังคับตัวเองให้นอน เพราะอีกไม่ช้าก็ต้องไปรับเวร ในที่สุดก็หลับไป มาตกใจตื่นเพราะมีตัวอะไรมากัดหัวแม่เท้าจนเลือดไหล พร้อมกันก็ได้ยินเสียงหนูประมาณว่าหลายสิบตัวยกขบวนกันวิ่งไปวิ่งมาเหนือฝ้าเพดานในอาคารที่ผู้เขียนอยู่..... ผู้เขียนเคยได้ยินผู้ใหญ่เล่ากันว่าเมื่อหนูร้องกุกๆ จะมีเหตุไม่ดีเกิดขึ้น แต่ผู้เขียนไม่เคยได้ยินจึงมีความกลัวเป็นอย่างยิ่ง ประกอบด้วยพระเจ้าอยู่หัวก็กำลังทรงประชวรอยู่ ขณะนั้นเวลาประมาณ ๒๓ นาฬิกา เห็นจะได้ บรรยากาศเงียบสงัด.....แต่เมื่อมองไปยังพระที่นั่งอัมพรฯ ซึ่งมองเห็นพระบัญชรชั้น ๓ ถนัด ทันใดนั้นผู้เขียนก็เห็นดวงดาวหนึ่งส่องแสงสว่างลอยอยู่ในระดับเดียวกับพระแท่นบรรทมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เขียนคะเนได้เพราะเคยขึ้นเฝ้าเวลาเสวยเนืองๆ ดาวนี้มีแสงสว่างมากยิ่งกว่าดาวใดๆ ที่ผู้เขียนเคยเห็นและมีหางพาดยาวไปทางพระที่นั่งอนันตสมาคมคล้ายแสงไฟฉายใหญ่ๆ จึงทราบว่าเป็นดาวหางเฮลี่ (Haileys Comet) ที่โจษจันกันในขณะนั้น ผู้เขียนยืนพิงประตูไม่อาจเคลื่อนไหวได้อยู่พักหนึ่ง จึงได้สติว่าต้องไปเปลี่ยนเวรเจ้าจอมถนอมในไม่ช้า ซึ่งเธอได้ตามเสด็จสมเด็จขึ้นไปเฝ้าพระอาการประชวรอยู่บนพระที่นั่งอัมพรฯ ชั้น ๓...
...ชั้น ๓ เงียบกริบ ได้ยินแต่เสียงคล้ายเสียงกรนมาจากห้องพระบรรทม.....เมื่อไปถึงเห็นสมเด็จทรงบรรทมกับพื้นอยู่สุดห้องบรรทมพระเจ้าอยู่หัว เนื่องจากผู้เขียนไม่เคยเห็นอาการเจ็บในขณะหนัก ซึ่งภาษาสมัยใหม่เรียกว่าเข้าขั้นโคม่า ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงคล้ายเสียงกรนจึงนึกว่าในหลวงทรงสบายขึ้นแล้ว และกำลังบรรทมหลับสนิท จึงดีใจเป็นอันมากนึกว่าจะนอนให้สบายเสียที และได้ล้มตัวลงนอนที่ปลายพระบาทสมเด็จ.....
...ด้วยอารามดีใจที่ในหลวงทรงสบายขึ้นแล้วและเห็นสมเด็จบรรทมอยู่ และเนื่องด้วยความตึงเครียดได้หย่อนคลายลง ประกอบกับความเหนื่อยอ่อนมาทั้งวัน ดังนั้นเมื่อล้มตัวลงหนุนพระที่สมเด็จจึงหลับปุ๋ยไปทันที
....มารู้ตัวตกใจตื่นเมื่อได้ยินเสียงร้องเซ็งแซ่ ซึ่งขณะนั้นผู้เขียนเหลือที่จะเดาว่าเป็นเสียงอะไร เหลือบตาไปดูนอกห้องบรรทม เห็นคนจำนวนมากมายกำลังหมอบซบกับพื้นเป็นกองๆ ไม่ทราบว่าใครเป็นใคร.....เมื่อผู้เขียนทราบว่าเสียงเซ็งแซ่ข้างต้นเป็นเสียงร้องไห้ของคนจำนวนมากพร้อมๆ กัน จึงทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตแล้ว....
...ต่อมาผู้เขียนได้รับหมายให้ไปเป็นนางร้องไห้ ให้ไปตั้งแต่ ๘ โมงเช้าในวันนั้น โดยแต่งชุดขาวทั้งชุด.....ผู้เขียนได้ไปนั่งร้องไห้อยู่ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท การร้องไห้นั้นแท้จริงเป็นการร้องเพลงอย่างเศร้าที่สุด เกิดมาผู้เขียนก็เพิ่งเคยได้ยิน ขณะนั้นผู้เขียนอายุในราว ๑๙ - ๒๐ และรู้สึกว่าเพลงร้องไห้นี้ช่างเศร้าเสียนี่กระไร ทุกคนน้ำตาไหลรินจริงและสะอื้นจริงๆ ยิ่งมีเสียงปี่ที่โหยหวลและเสียงกลองชนะเลยยิ่งไปกันใหญ่...
เนื้อความส่วนหนึ่งจากหนังสือ ชีวิตในวังสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ของ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร
“ชวนชม” โบราณวัตถุชิ้นเด่นของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา วันนี้ขอนำเสนอ “จะปิ้ง หรือตะปิ้ง”
....................................................................................
จะปิ้ง หรือ ตะปิ้ง
วัสดุ เงิน
ศิลปะรัตนโกสินทร์ อายุพุทธศตวรรษที่ 25
...................................................................................
จะปิ้ง หรือจับปิ้ง (ปิ้ง, ตะปิ้ง, กระจับปิ้ง) เป็นเครื่องประดับสำหรับเด็กประเภทหนึ่งที่มีมาแต่โบราณ ใช้สำหรับสวมใส่เพื่อปกปิดอวัยวะเพศของเด็ก โดยใช้ผูกไว้ที่บั้นเอว คำว่า จะปิ้ง หรือจับปิ้ง สันนิษฐานว่าแต่เดิมน่าจะมีรากศัพท์มาจากคำว่า "Caping” ในภาษามลายู การสวมใส่จะปิ้งของเด็กสามารถพบได้ทั่วไปในแถบประเทศอินเดียทางตอนใต้ ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งในประเทศไทยด้วย
ธรรมเนียมการใช้จะปิ้งเป็นเครื่องประดับสำหรับเด็ก สันนิษฐานว่าน่าจะแพร่หลายเข้ามาในดินแดนบริเวณคาบสมุทรมลายูในสมัยอาณาจักรศรีวิชัย โดยพบหลักฐานการใช้จะปิ้งเป็นเครื่องประดับในดินแดนทางตอนเหนือและบริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกของประเทศมาเลเซีย นอกจากนี้ยังสามารถพบได้ในบริเวณหมู่เกาะต่าง ๆ ของประเทศอินโดนีเซีย โดยใช้สวมใส่ให้กับเด็กเมื่อสามารถยืนหรือเดินได้ และเชื่อกันว่าจะปิ้งเป็นเครื่องรางที่ใช้ปกป้องคุ้มครองผู้สวมใส่จากวิญญาณร้ายและอันตรายต่าง ๆ
ในประเทศไทยธรรมเนียมการสวมใส่จะปิ้งมีมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับจะปิ้งในคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม โดยได้กล่าวถึงแหล่งจำหน่ายจะปิ้งว่ามีจำหน่ายที่ตลาดขันเงิน ถนนย่านป่าขันเงิน ขณะที่ในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมของไทยในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้มีการกล่าวถึงว่า นางพิมเมื่อครั้งเป็นเด็กเคยสวมใส่จะปิ้ง ไว้ในตอนพลายแก้วแต่งงานกับนางพิม ความว่า
"...เมื่อปีกลายกูได้เห็นมันมา ยังอาบน้ำแก้ผ้าตาแดงแดง
ผูกจับปิ้งเที่ยววิ่งอยู่ในวัด มันหักตัดต้นไม้ไล่ยื้อแย่ง..."
การสวมใส่จะปิ้งในประเทศไทยจะสวมใส่ให้กับเด็กผู้หญิง ซึ่งวัสดุที่ใช้ทำจะปิ้งจะใช้วัสดุที่หลากหลายตามฐานะของผู้สวมใส่ โดยนิยมทำด้วยโลหะที่ไม่เป็นสนิม จะปิ้งสำหรับเจ้านาย และบุตรหลานขุนนางชั้นผู้ใหญ่ มักจะทำด้วยทองคำ ส่วนจะปิ้งของเด็กผู้หญิงทั่วไปมักจะทำด้วยเงินและนาก ส่วนผู้ที่มีฐานะยากจนจะใช้จะปิ้งที่ทำจากกะลามะพร้าว โดยจะสวมใส่จะปิ้งให้กับเด็กหลังจากที่โกนผมไฟ จนกระทั่งเมื่ออายุประมาณ 10-12 ขวบ หรือจนกระทั่งเมื่อโกนจุกจึงจะเลิกสวมใส่จะปิ้งเปลี่ยนไปเป็นนุ่งห่มเสื้อผ้าตามฐานะแทน
ลักษณะของจะปิ้งที่พบในปะเทศไทยมีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ
1. จะปิ้งรูปทรงทะนาน หรือรูปทรงใบโพธิ์ เป็นจะปิ้งที่มีขนาดประมาณครึ่งฝ่ามือ เพื่อที่จะสามารถปกปิดอวัยวะเพศของผู้สวมใส่ได้มิดชิด ตอนบนมีลักษณะกลมป้อม ตอนล่างมีลักษณะเรียวแหลม ตรงกลางมีลักษณะโค้งนูนเป็นกระเปาะ ด้านหน้าสลักเป็นลวดลายต่าง ๆ ด้านหลังมีลักษณะเรียบเกลี้ยง ขอบของด้านบนทำเป็นแท่งทรงกระบอกมีลักษณะกลวงตรงกลาง หรือเจาะเป็นรูเล็ก ๆ 2 รู ไว้สำหรับใช้ร้อยสร้อยหรือเชือกสำหรับผูกไว้บริเวณบั้นเอว ขอบของจะปิ้งมักทำให้มนเพื่อป้องกันไม่ให้บาดเนื้อผู้สวมใส่
2. จะปิ้งรูปทรงร่างแห เป็นจะปิ้งที่ถักด้วยเส้นโลหะขึ้นเป็นแผ่นค่อนข้างโปร่ง รูปร่างคล้ายกระเบื้องเกล็ดเต่า หรือรูปสี่เหลี่ยมชายแหลม ตอนบนจะมีห่วงไว้สำหรับใช้ร้อยสร้อยสำหรับผูกไว้กับบั้นเอว
ในบริเวณคาบสมุทรสทิงพระและบริเวณลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา จะปิ้งที่พบส่วนใหญ่เป็นจะปิ้งที่สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 25 รูปแบบที่พบมีทั้งที่เป็นจะปิ้งรูปทรงทะนาน หรือจะปิ้งรูปทรงใบโพธิ์ และจะปิ้งรูปทรงร่างแห วัสดุที่ใช้ทำจะปิ้งมีทั้งที่ทำจากทอง เงิน นาก และกะลามะพร้าว ส่วนลวดลายของจะปิ้งที่พบส่วนใหญ่เป็นลายพันธุ์พฤกษา ลายประจำยาม ลายกระจังตาอ้อย ลายกระจังปฏิญาณ ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ และลายกระหนก
นอกจากนี้ยังพบการเขียนภาพการสวมใส่จะปิ้งในงานจิตรกรรมฝาผนังที่พบในบริเวณคาบสมุทรสทิงพระและบริเวณลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาอีกด้วย เช่น ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถวัดวัง อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง และภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถวัดมัชฌิมาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นต้น การที่มีการพบการเขียนภาพการสวมใส่จะปิ้งของเด็กผู้หญิงในงานจิตรกรรมฝาผนังที่พบในบริเวณคาบสมุทรสทิงพระและบริเวณลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาสามารถสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่และการแต่งกายของผู้คนในบริเวณคาบสมุทรสทิงพระและบริเวณลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาในสมัยที่มีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังขึ้นได้เป็นอย่างดี
....................................................................................
เรียบเรียง : นางสาวจันทร์สุดา ทองขุนแก้ว นักวิชาการวัฒนธรรม
กราฟฟิก : ฝ่ายวิชาการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา
....................................................................................
อ้างอิง
1. กาญจนา โอษฐยิ้มพราย และอลงกรณ์ จันทร์สุข. กิน อยู่ อย่างไทย. กรุงเทพฯ: สำนักงานอุทยานการเรียนรู้, 2552.
2. กรมศิลปากร. คำให้การขุนหลวงวัด. นนทบุรี: โครงการเลือกสรรหนังสือ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2547.
3. กรมศิลปากร. ถนิมพิมพาภรณ์. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊พ, 2535. (พิมพ์เนื่องในวโรกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2535).
4. จุลทัศน์ พยาฆรานนท์. “จะปิ้ง.” สารภาษาไทย 1, 2 (ตุลาคม- ธันวาคม 2544): 69-72.
5. ซัลมา วงศ์ศุภรานันต์. การศึกษาสารัตถะข้อมูลวัตถุของจริงประเภทเครื่องประดับ. สงขลา: สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ, 2555.
6. ราชบัณฑิตยสถาน. กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม 1. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด, 2550.
7. วชิรารัตน์ นิรันดร์เตชาภัทร, บรรณาธิการ. เสภาเรื่องขุนช้าง-ขุนแผน ฉบับหอสมุดพระชิรญาณ. กรุงเทพฯ: ไทยควอลิตี้บุคส์, 2555.
8. ศราวุฒิ วัชระปันตี. จับปิ้ง : อาภรณ์ของเยาวสตรีในอดีต. เข้าถึงเมื่อ 17 พฤษภาคม 2563. เข้าถึงได้จาก http://coinmuseum.treasury.go.th/news_view.php?nid=153
9. สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์. “ปิ้ง.” สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ เล่ม 10 (2542): 4588-4591.
10. เอนก นาวิกมูล. การแต่งกายสมัยรัตนโกสินทร์. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, 2547
เขื่อนอุบลรัตน์ ตั้งอยู่ตำบลเขื่อนอุบลรัตน์ อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น เป็นเขื่อนหินทิ้งแกนดินเหนียว และเป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งที่สองของประเทศไทย สร้างขึ้นเพื่อผลิตไฟฟ้าพลังน้ำแห่งแรกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สร้างปิดกั้นแม่น้ำพอง ตรงบริเวณที่เรียกว่า "พองหนีบ" ตำบลโคกสูง อำเภอน้ำพอง (ปัจจุบันเป็นอำเภออุบลรัตน์) จังหวัดขอนแก่น อยู่ห่างจากตัวจังหวัดขอนแก่น ประมาณ 50 กิโลเมตร ความเป็นมาของเขื่อนอุบลรัตน์ ระหว่างวันที่ 20 – 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2500 ผู้เชี่ยวชาญจาก 4 ประเทศ คือ ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนามใต้ โดยความสนับสนุนของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจแห่งเอเซียและตะวันออกไกล (ECAFE) ได้ประชุมหารือกันเกี่ยวกับการพัฒนาลุ่มน้ำโขงตอนล่างเพื่อประโยชน์ในด้านการชลประทาน การผลิตกระแสไฟฟ้า การประมง และการป้องกันอุทกภัย ที่ประชุมได้ให้ผู้แทนทุกฝ่ายเสนอให้รัฐบาลทั้ง 4 ประเทศ ภายใต้ความอุปถัมภ์ของสหประชาชาติ (United Nations) คณะกรรมการฯได้ลงมติว่าใน 4 ประเทศ ที่ร่วมงานกันนี้ จะดำเนินงานพัฒนาแหล่งน้ำประเทศละ 2 สาขา ซึ่งสำหรับประเทศไทยเราได้เสนอโครงการน้ำพอง (ปัจจุบันคือ เขื่อนอุบลรัตน์) และโครงการน้ำพุง (ปัจจุบันคือเขื่อนน้ำพุง) เป็นสาขาของโครงการพัฒนาลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ปี พ.ศ. 2502 คณะกรรมการประสานงานการสำรวจลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ได้ดำเนินการสำรวจลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขง อีกหนึ่งปีต่อมาคณะกรรมการประสานงานการสำรวจลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ได้เสนอให้มีการพิจารณาโครงการน้ำพองเป็นอันดับแรก เพราะโครงการนี้จะให้ประโยชน์แก่การพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือนานัปการ ปี พ.ศ. 2503 องค์การสหประชาชาติ ได้ทำการว่าจ้างบริษัท Rogers International Corporation จากสหรัฐอเมริกาให้มาดำเนินการสำรวจเบื้องต้นให้กับโครงการน้ำพอง โดยใช้เงินจากกองทุนพิเศษสหประชาชาติ (UN Special Fund) ต่อมาในปี พ.ศ. 2505 รัฐบาลได้นำรายงานการสำรวจเบื้องต้นเสนอต่อรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน เพื่อขอกู้ยืมเงินมาเป็นค่าก่อสร้างโครงการ รัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันได้ลงมติให้ความสนับสนุนโดยผ่านสถาบันเครดิตเพื่อการบูรณะแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน (K.F.W. หรือ Kreditanstall fur Wiederaufbau) ปี พ.ศ. 2506 การไฟฟ้าตะวันออกเฉียงเหนือได้ลงนามในสัญญาว่าจ้างบริษัท Salzgitter Industriebau GmbH. แห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน เป็นบริษัทวิศวกรที่ปรึกษา เพื่อสำรวจรายละเอียดออกแบบและควบคุมงานก่อสร้าง โครงการพัฒนาแม่น้ำพอง ปี พ.ศ. 2507 ได้เริ่มก่อสร้างโครงการโดยการกู้เงินจาก สถาบันเครดิตเพื่อการบูรณะแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน (K.F.W.) การก่อสร้างได้แล้วเสร็จเมื่อปลายปี พ.ศ. 2508 และเริ่มดำเนินการผลิตกระแสไฟฟ้าตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2509 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี (ฐานันดรศักดิ์ในขณะนั้น) ไปทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อน เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2509 ทรงพระราชทานชื่อเขื่อนนี้ว่า “เขื่อนอุบลรัตน์” พระธรรมไตรโลกาจารย์ (รักษ์ เรวโต) อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีเมือง พร้อมญาติโยมจากจังหวัดหนองคาย เดินทางไปทอดผ้าป่าที่จังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2507 ระหว่างทางได้แวะชมการก่อสร้างเขื่อนอุบลรัตน์ จากภาพถ่ายส่วนบุคคลของพระธรรมไตรโลกาจารย์ชุดนี้ ทำให้เห็นภาพการก่อสร้างเขื่อนอุบลรัตน์ ในปี พ.ศ.2507 ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังเริ่มการก่อสร้าง มีการใช้แรงงานคนและเครื่องจักรในการก่อสร้าง แรงงานคนจึงมีความสำคัญในการก่อสร้างเขื่อน--------------------------------------------------------------เรียบเรียงโดย นางสาวอุไรวรรณ แสงทอง นักจดหมายเหตุชำนาญการ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ อุบลราชธานี--------------------------------------------------------------ข้อมูลอ้างอิง หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ อุบลราชธานี ภาพถ่ายส่วนบุคคล พระธรรมไตรโลกาจารย์ (หลวงปู่รักษ์ เรวโต) (2) ภ หจช อบ สบ 8.3/1 เว็บไซต์ http://urdam.egat.co.th/
องค์ความรู้จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร เรื่อง พระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย จัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร
เลขทะเบียน: กจ.บ.6/1-7:1ก-7ก ชื่อเรื่อง: พระอภิธมฺมตฺถสงฺคิณี พระมหาปฏฺฐาน เผด็จ ข้อมูลลักษณะ: อักษรขอม ภาษาบาลี-ไทย เส้นจาร ฉบับล่องชาด ประวัติ : ได้มาจากวัดห้วยสะพาน ต.หนองโรง อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2533 จำนวน 1คัมภีร์ 14 ผูก จำนวนหน้า: 144 หน้า
องค์ความรู้หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรีเฉลิมพระเกียรติ เรื่อง ห้ามไม่ให้เจ้าไปเมืองสุพรรณ ผู้เรียบเรียงโดย นางสาววารุณี วิริยะชูศรี บรรณารักษ์
ชื่อเรื่อง ภิกฺขุปาติโมกฺข (ปาติโมกข์)
สพ.บ. 365/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 74 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา เทศน์มหาชาติ คาถาพัน ชาดก
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี เส้นจาร ฉบับทองทึบ-ลานดิบ-ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี