ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ

ชื่อเรื่อง                     แนวพระราชดำริเก้ารัชกาลผู้แต่ง                       กรมวิชาการประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากISBN/ISSN                 974-00-1872-6หมวดหมู่                   ประวัติศาสตร์ทวีปเอเชีย เลขหมู่                      959.3 ว546นอสถานที่พิมพ์               กรุงเทพฯสำนักพิมพ์                 โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าวปีที่พิมพ์                    2527ลักษณะวัสดุ               410 หน้าหัวเรื่อง                     ไทย – ประวัติศาสตร์ – กรุงรัตนโกสินทร์ภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก             หนังสือ “แนวพระราชดำริเก้ารัชกาล” จัดพิมพ์ขึ้นให้ประชาชนชาวไทยได้นำไปอ่านและคิดไตร่ตรองให้ถ่องแท้ว่าพระมหากษัตริย์ไทยแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกพระองค์ ทรงมีความห่วงใยและทรงปรารถนาที่จะให้พสกนิกร ชาติบ้านเมืองของพระองค์อยู่เย็นเป็นสุข


ชื่อผู้แต่ง         พระมหาโพธิธรรมาจารย์  วงศ์ศากยะ ,  ภิกษุณีโพธิสัตต์ วรมัย กบิลสิงห์ ชื่อเรื่อง           ประวัติ พระกวนอิมมาตาฯ ครั้งที่พิมพ์       พิมพ์ครั้งที่ 1 สถานที่พิมพ์     กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์       โรงพิมพ์พระโพธิสัตต์ วัดทรงธรรมกัลยาณี ปีที่พิมพ์          2520 จำนวนหน้า      356 หน้า รายละเอียด           เรื่องประวัติพระกวนอิมมาตาฯนี้ ผู้เขียนได้ฟังเรื่องเล่าจากคนอ่านต้นฉบับจีนบ้าง อ่านจากผู้แปลจากต้นฉบับอังกฤษบ้าง ทางทีวีหรือภาพยนตร์บ้าง ซึ่งคนที่เคยดูมาเล่าให้ฟัง เลยทำให้รู้สึกสนใจจึงได้ถามดู ได้รับคำตอบว่าประวัติเรื่องนั้นจริงแต่ชื่อของคนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนั้น คนเขียนเขาสมมุติขึ้นมาและอนุญาตให้ผู้เขียน เขียนตามประวัติเรื่องจริง แต่ส่วนธรรมะนั้นให้เขียนได้ตามที่ผู้เขียนได้เรียนรู้มาจากท่านพระอาจารย์ฝ่ายพระโพธิสัตต์


บทความออนไลน์จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี "พระพุทธรูปยืนปางแสดงธรรม" พระพุทธรูปยืนปางแสดงธรรม ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ พบที่เมืองศรีมโหสถ อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี **พระพุทธรูปยืนปางประทานธรรม มีลักษณะเป็นหินทรายสีเขียว สูง ๑๑๓ ซม. ลักษณะพระพักตร์ ตาโปน คิ้วต่อกันเป็นปีกกา จมูกค่อนข้างแบน ปากหนา แสดงปางแสดงธรรมหรือวิตรรกะมุทรา นิ้วโป้งและนิ้วชี้จรดกันเป็นวงกลมที่เหลือชี้ขึ้นหรือกางออกทั้ง ๒ ข้าง ซึ่งการแสดงวิตรรกะมุทราสองพระหัตถ์ เป็นเอกลักษณ์และรูปแบบเฉพาะที่เกิดขึ้นในวัฒนธรรมทวารวดี ด้านหน้ามีจีวรห่มคลุม พาดผ่านพระกรทั้งสองข้าง มีชายจีวรด้านหน้าห้อยลงมาเป็นวงโค้ง เท้าทั้งสองข้างขาดหายไป **นอกจากนี้ยังมีลักษณะศิลปะที่สามารถจัดเป็นกลุ่มเดียวกันกับพระพุทธรูปางประทานธรรมที่พบที่พื้นที่บ้านฝ้าย ตำบลไทยสามัคคี อ.ปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ รวมทั้งพระพุทธรูปปางประทานธรรมอื่น ๆ ที่พบในวัฒนธรรมทวารดีด้วย อ้างอิง : - สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี กรมศิลปากร.โบราณคดีเมืองศรีมโหสถ. กรุงเทพฯ, ๒๕๔๘. - กรมศิลปากร. ประวัติศาสตร์และโบราณคดีเมืองศรีมโหสถ. กรุงเทพฯ, ๒๕๓๕. - ศ.ดร.ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี วัฒนธรรมทางศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนประเทศไทย. นนทบุรี, ๒๕๖๒ ผู้เรียบเรียง : นายนนทนันทน์ ใหม่อ้วน นักศึกษาฝึกประสบการณ์คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยบูรพา นางสาวพิมชนน์ จันทร์งาม นักศึกษาฝึกประสบการณ์คณะโบราณคดี สาขาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น มหาวิทยาลัยศิลปากร


          เมื่อวันพุธที่ 22 มิถุนายน 2565 กรมศิลปากรเปิดให้ประชาชนเข้าชมโบราณวัตถุที่ได้รับมอบจากสหรัฐอเมริกาและผู้บริจาคชาวไทย เป็นวันแรก หลังจากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับมอบโบราณวัตถุดังกล่าวในนามของรัฐบาล ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ มิถุนายนที่ผ่านมา โดยครอบพระเศียรทองคำสมัยล้านนา อายุราวพุทธศตวรรษที่ 20 - 21 ที่ได้รับมอบจากครอบครัวชาวอเมริกัน จัดแสดงที่ห้องประวัติศาสตร์โบราณคดีล้านนา อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ ส่วนเครื่องปั้นดินเผาสมัยลพบุรีจากแหล่งเตาจังหวัดบุรีรัมย์ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 – 19 ที่รับมอบจากนายโยธิน และนางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ จัดแสดงที่ห้องประวัติศาสตร์โบราณคดีสมัยลพบุรี อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ผู้สนใจสามารถเข้าชมได้ทุกวันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา 09.00 น. – 16.00 น. ปิดวันจันทร์ - วันอังคารครอบพระเศียรพระพุทธรูป ทองคํา           ครอบครัว Cornell ชาวอเมริกัน มีความประสงค์ส่งมอบครอบพระเศียรพระพุทธรูป ทองคำ ที่บรรพบุรุษได้เก็บสะสมไว้กลับคืนสู่ประเทศไทย โดยประสานผ่านทาง ศ.ดร.ม.ล. ภัทรธร จิรประวัติ หนึ่งในคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย กรมศิลปากร โดยสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นำเสนอที่ประชุมคณะอนุกรรมการด้านวิชาการและมีมติยืนยันขอรับมอบครอบพระเศียรดังกล่าว โดยมีสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เป็นผู้แทนรับมอบและส่งกลับคืนประเทศไทยผ่านกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ถึงกรมศิลปากร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม 2565          ครอบพระเศียรพระพุทธรูปล้านนา พุทธศตวรรษที่ 21 ขนาดกว้าง 14 เซนติเมตร สูง 30 เซนติเมตร น้ำหนัก 202.10 กรัม ผลการตรวจพิสูจน์ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ พบว่ามีส่วนประกอบคือ ทองคำ 85-95 % เงิน 8-11 % ทองแดง 1-2 % โลหะชนิดอื่น น้อยกว่า 1%           กรรมวิธีในการสร้างครอบพระเศียร ใช้การขึ้นรูปโดยการตี บุ ดุน แผ่นทองให้เป็นรูปร่างตามที่ต้องการ โดยรูปแบบที่ปรากฏ เป็นครอบพระเศียรที่มีรัศมีเป็นเปลวเพลิง เม็ดพระศกกลม เล็ก มีร่องรอยการฝังอัญมณีที่บริเวณเหนือพระนลาฏ พระรัศมีและขอบพระเศียรแสดงให้เห็นถึงความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่ตกแต่งพระพุทธรูปให้งดงามด้วยอัญมณี และโลหะมีค่าถวายเป็นพุทธบูชา          กรมศิลปากรได้นำมาจัดแสดงให้ประชาชนทั่วไปชม ณ จัดแสดงที่ห้องประวัติศาสตร์โบราณคดีล้านนา อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เครื่องปั้นดินเผาสมัยลพบุรีจากแหล่งเตาจังหวัดบุรีรัมย์           นายโยธิน และนางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท บีเอสวายกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้มอบเครื่องปั้นดินเผาสมัยลพบุรีจากแหล่งเตาจังหวัดบุรีรัมย์ ให้กับกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม จำนวน 164 รายการ มูลค่า 82 ล้านบาท โดยทำพิธีรับมอบอย่างเป็นทางการ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการรับมอบ          นายโยธิน และนางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ ได้มอบเครื่องปั้นดินเผาชุดนี้ให้กับกรมศิลปากร เพื่อเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ และจัดแสดงในนิทรรศการเครื่องปั้นดินเผา ห้องลพบุรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ         1. เพื่อให้คนไทยโดยเฉพาะอนุชนรุ่นใหม่ ได้ภาคภูมิใจในความสามารถของคนไทยในอดีต ที่เป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องปั้นดินเผาที่มีคุณภาพดีมาตั้งแต่โบราณ จากหลักฐานแหล่งผลิตที่เตาบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกไปยังราชสำนักเมืองพระนครและเมืองอื่นภายใน อาณาจักรเขมรโบราณ เช่นเดียวกับในปัจจุบันคนไทยยังคงเป็นผู้ผลิตสินค้าชั้นนำที่มีคุณภาพดีส่งไป จำหน่ายทั่วโลก         2. เครื่องปั้นดินเผาสมัยลพบุรีจากแหล่งเตาเมืองบุรีรัมย์ชุดนี้เมื่อจัดแสดงในนิทรรศการ เครื่องปั้นดินเผาที่ห้องลพบุรีแล้ว จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้เข้ามาชม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มากยิ่งขึ้น          นายโยธินใช้เวลาในการศึกษารวบรวมมากว่า 20 ปี ผ่านกระบวนการศึกษาวิจัยโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องปั้นดินเผาทั้งชาวไทยและต่างประเทศ จนเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับจากนักวิชาการด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ทั่วโลกว่าเป็นเครื่องปั้นดินเผาจากแหล่งเตาบุรีรัมย์ที่ดีที่สุดในประเทศไทย          ทั้งนี้ เครื่องปั้นดินเผาสมัยลพบุรี กรมศิลปากรได้พบแหล่งผลิตเป็นเตาเผาจำนวนมากในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ อันเป็นแหล่งอุตสาหกรรมในอดีต ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12-19 นิยมผลิตเครื่องปั้นดินเผาที่เป็นเอกลักษณ์ คือใช้น้ำเคลือบสีน้ำตาล สีเขียว สร้างสรรค์เป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ เพื่อจำหน่ายเป็นสินค้าในภูมิภาค ปัจจุบันจึงพบเครื่องปั้นดินเผาจากเตานี้ ในแหล่งโบราณคดีที่เป็นศาสนสถานทั้งในประเทศไทย และประเทศกัมพูชา           ปัจจุบันกรมศิลปากรได้นำโบราณวัตถุดังกล่าวจัดแสดงให้ประชาชนทั่วไปชม ณ ห้องศิลปะลพบุรี อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ตามเจตนารมณ์ของผู้มอบ


พระที่นั่งพุดตานฝ่ายพระราชวังบวร (พระที่นั่งพุดตานวังหน้า) ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔กระทรวงวังส่งมาปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องเฉลิมพระเกียรติกรมพระราชวังบวรสถานมงคล มุขกระสันพระที่นั่งพุดตาน พระราชยานสำหรับเสด็จกระบวนพยุหยาตรา ใช้พลแบกหาม ๑๖ นาย สันนิษฐานว่ารัชกาลที่ ๔ พระราชทานแก่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นวังหน้าที่มีพระเกียรติยศเสมอพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่สอง ภายหลังจึงใช้เป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสำหรับพระมหาอุปราชและสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร


          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร ขอเชิญชมนิทรรศการพิเศษ เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ปีพุทธศักราช ๒๕๖๕ เรื่อง " สืบสานเพลงนา เพลงพื้นเมืองภาคใต้ "  ภายในนิทรรศการประกอบด้วย องค์ความรู้เรื่องเพลงนาชุมพร วิธีการร้องเพลงนา การสาธิตการร้องเพลงนา และการจัดแสดงโบราณวัตถุ เครื่องมือเครื่องใช้ของชาวนา ที่ชนรุ่นหลังอาจยังไม่เคยเห็นมาก่อน (โหลดเอกสารความรู้เรื่องเพลงนา ออนไลน์ https://online.anyflip.com/dgmzb/jjew/mobile/)          เปิดให้เข้าชม วันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ น. - ๑๖.๐๐ น. หยุดทุกวันจันทร์ - วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์ สอบถามเพิ่มเติม สามารถส่งข้อความผ่านเพจเฟสบุ๊ค พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร หรือโทร. ๐๗๗ ๖๓๐ ๗๕๘ (ในวันและเวลาทำการ)




          ชโย หรือ ไชโย  เป็นคำอุทานที่แสดงถึงความยินดีมีชัย หรือแปลตามราชบัณฑิตยสถาน 2554 หมายความว่า ความชนะ เป็นคำที่เราคนไทยรู้จักเป็นอย่างดี แต่เดิมคนไทยใช้วิธี “โห่” โดยมีต้นเสียงเป็นผู้นำร้องโห่ และผู้ร่วมชุมนุมแสดงความยินดีร้องรับ “ฮิ้ว” พร้อมเพรียงกัน จากนั้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงเริ่มใช้คำว่า ชะโย ที่มีรากศัพท์มาจากคำว่า ชย หรือ ชัยชนะ ทรงนำมาใช้ครั้งแรกในบทเพลงสรรเสริญพระบารมี “ดุจะถวายไชย ชโยฯ” ที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์แก้ไขใหม่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม 2456            ครั้นต่อมาเมื่อเสด็จพระราชดำเนินบวงสรวงพระเจดีย์ยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตามธรรมเนียมโบราณคนไทยจะต้องโห่ร้องเอาชัยตามประเพณี เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายดวงวิญญาณแด่องค์กษัตริย์ผู้กล้าหาญ แต่เนื่องด้วยเหตุบังเอิญหรือใด ๆ ไม่ทราบ ต้นเสียงผู้นำโห่ขึ้น ขบวนเสือป่าไม่สามารถโห่รับให้เป็นเสียงเดียวกันได้ ไม่มีความพร้อมเพรียงกันทั้ง 3 ครั้ง เกิดเป็นเหตุให้ทรงไม่พอพระราชหฤทัย พระองค์ทรงแก้ไขเหตุการณ์ดังกล่าว ทรงมีพระดำรัสขึ้นกล่าวถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นการระลึกพระคุณ และได้ให้ผู้ที่มาชุมนุมนั้นเปล่งเสียงไชโยตามพระองค์ เมื่อสิ้นกระแสรับสั่งแล้ว พระองค์ทรงเปล่งเสียงกังวานนำขึ้นว่า “ชัย” จากนั้นเองเสือป่าและลูกเสือทั้งหลายก็ร้องรับ “โย” เป็นเสียงเดียวกันดังกึกก้องพร้อมเพรียง ซ้อนกันทั้ง 3 ครั้ง ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยซ้อมด้วยกันมาก่อน จนเป็นที่พอพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง นับเป็นครั้งแรกที่คำว่า ไชโย ได้มีการเปล่งเสียงขึ้นมา และคนไทยใช้คำว่าไชโยเป็นคำอวยพรแสดงความยินดีนับแต่นั้นมาจนถึงวันนี้ ภาพ : บทสรรเสริญพระบารมี ภาพ : ดุสิตสมิต ฉบับพิเศษ ภาพ : พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมาชิกกองเสือป่า   -------------------------------------------------------------- รายการอ้างอิง วรชาติ มีชูบท. “ชโย ชโย ชโย,” วชิราวุธานุสรณ์สาร 19, 2 (6 เมษายน 2543): 21-24. อมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช).  เสือป่าและลูกเสือในประวัติศาสตร์ รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว.  กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา, 2514.  -------------------------------------------------------------- เรียบเรียงโดย : นางสาวพีรญา ทองโสภณ บรรณารักษ์ปฏิบัติการ สำนักหอสมุดแห่งชาติ     *เผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ โดยกลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร



      กระโถนค่อมเขียนลายสุวรรณมัจฉา       สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๕ พุทธศักราช ๒๔๒๓        ได้รับมอบจากคุณ วราห์ โรจนวิภาต         ปัจจุบันจัดแสดงในนิทรรศการพิเศษ “เซรามิกแห่งแหลมทองและแดนอาทิตย์อุทัย: สานตำนานสายใยไม่เสื่อมคลายในพาณิชยวัฒนธรรมโลก” พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ถึงวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๕        กระโถนลายน้ำทองขนาดเล็กเขียนเรื่องรามเกียรติ์ ลักษณะทรงค่อมปากกว้าง ลำตัวสอบลง คอกระโถนเขียนแถบเส้นสีแดง ตัวกระโถนเขียนรูปนางสุพรรณมัจฉาถือดอกบัว (ลักษณะเป็นเงือกท่อนบนตั้งแต่ศีรษะลงไปถึงเอวเป็นมนุษย์ สวมเครื่องประดับอาทิ รัดเกล้ามีกรรเจียกจร กรองศอ สังวาล พาหุรัดและทองกร ท่อนล่างเป็นลำตัวปลามีหาง มีครีบ) อีกด้านหนึ่งเป็นรูปมัจฉานุ ท่ามกลางกอบัวและหมู่มัจฉา ขอบกระโถนด้านบนและล่างเขียนแถบลายลูกขนาบดอกสี่กลีบบนพื้นสีทองและด้านล่างเป็นแถบเส้นสีทอง กึ่งกลางก้นกระโถนด้านนอก เขียนตัวเลข ๑๒๔๒ ซึ่งหมายถึงจุลศักราช ๑๒๔๒ ตรงกับพุทธศักราช ๒๔๒๓         กระโถนเป็นภาชนะในวัฒนธรรมไทยมีหลายขนาด หากเป็นใบเล็กนิยมใช้บ้วนน้ำหมาก สำหรับกระโถนใบนี้ เขียนขึ้นโดยช่างไทยเอง กล่าวคือเขียนลายน้ำทอง คือการเขียนสีผสมน้ำเคลือบลงบนผิวภาชนะ ปรากฏหลายสีตัดเส้นด้วยสีทอง ส่วนรูปที่ปรากฏบนกระโถนนั้นคือรูปนางสุพรรณมัจฉา และมัจฉานุ ซึ่งเป็นตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ โดยนางสุพรรณมัจฉาเป็นธิดาของทศกัณฐ์ อาศัยอยู่ในมหาสมุทร ได้พาฝูงปลามาทำลายแผนการทำถนนไปยังกรุงลงกาของฝ่ายพระรามตามคำสั่งของทศกัณฐ์ โดยการลักลอบนำหินที่ถมไว้นั้นออกเสีย กระทั่งหนุมานล่วงรู้และได้ขับไล่ฝูงปลาและตามจับนางสุพรรณมัจฉาได้ นางสุพรรณมัจฉาได้สารภาพต่อหนุมานและให้ฝูงปลาคาบเอาหินกลับมาถมคืนดังเดิม ต่อมานางก็ได้กลายเป็นภรรยาหนุมานและให้กำเนิดบุตรขึ้นมานามว่า มัจฉานุ มีรูปลักษณ์ท่อนบนเป็นลิง ท่อนลางเป็นปลา จากนั้นนางได้เล่าเรื่องหนุมานให้มัจฉานุฟังแล้วจึงกลับสู่มหาสมุทรไป มัจฉานุได้เที่ยวเล่นไปจนไมยราพมาพบโดยบังเอิญจึงรับไว้เป็นบุตรบุญธรรม ต่อมาเมื่อพระรามถูกจับไปขังไว้ที่เมืองบาดาลของไมยราพ หนุมานตามลงไปและพบกับมัจฉานุเฝ้าด่านหน้าอยู่ทั้งสองเข้าต่อสู้กัน แต่ไม่มีฝ่ายใดเพลี้ยงพล้ำจึงซักไซ้ถามชื่อกระทั่งรู้ว่าเป็นพ่อ-ลูกกันในที่สุด        กระโถนใบนี้เป็นตัวอย่างของภาชนะเครื่องเคลือบที่เขียนระบายสีและเผาที่พระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งศักราชที่ปรากฏอยู่ใต้ก้นกระโถนนั้นน่าจะหมายถึงปีที่ผลิตขึ้น กล่าวคือในสมัยรัชกาลที่ ๕ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ โปรดให้มีการตั้งเตาขึ้นในพื้นที่พระราชวังบวรสถานมงคล และทำภาชนะเครื่องเคลือบเขียนสีขึ้นเองโดยฝีมือคนไทย* (ซึ่งก่อนหน้าช่วงเวลานี้ไทยต้องสั่งภาชนะเครื่องเคลือบจากเมืองจีน) แต่ดำเนินการผลิตอยู่เพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็เลิกทำไป สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวถึงเตาวังหน้าไว้ว่า    “...เตาของกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เอาหุ่นเครื่องถ้วยสีขาวของจีนมาเขียนสีนอกเคลือบ ทำลายน้ำทองโดยมาก ผูกลายไทย ต่าง ๆ มาเขียน ทำได้งามดีมาก แต่ทำเป็นของถวายบ้าง ของใช้บ้าง แจกบ้าง ไม่ถึงซื้อขาย ทำอยู่คราวหนึ่งก็เลิก แต่ตัวอย่างของยังมีอีกมาก มักเป็นกระโถนค่อม และถ้วยชาเป็นพื้น...”          นอกจากภาชนะเครื่องเคลือบแล้ว กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญยังโปรดให้มีการตั้งโรงงานการช่างในพระราชวังบวรรสถานมงคลขึ้นหลายแขนง ด้วยเหตุที่พระองค์โปรดการช่างต่าง ๆ ดังความใน “ตำนานวังหน้า” ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพกล่าวว่า    “...กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญโปรดในการช่างต่าง ๆ มาแต่เดิม ทรงจัดตั้งโรงงานการช่างขึ้นในวังหน้าหลายอย่าง ทั้งช่างหล่อ ช่างกลึง ช่างเคลือบ ของที่ทรงประดิษฐ์คิดทำขึ้นล้วนเป็นฝีมืออย่างประณีตจะหาเสมอได้โดยยาก...”          ข้อความดังกล่าวยังสอดคล้องกับพระประสงค์ของรัชกาลที่ ๕ ที่ทรงโปรดให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคลโปรดทำสิ่งของต่าง ๆ ทูลเกล้าถวายดังข้อความ จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ภาค ๑๑ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ความตอนหนึ่งกล่าวว่า    “...วันที่ ๔๔๗๒ วันจันทร์ ขึ้นเก้าค่ำ เดือนสาม ปีมะโรงโทศก จุลศักราช ๑๒๔๒ [ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๒๓-ผู้เขียน] บ่ายโมงเศษ กรมมหาดเล็ก กรมหมอ ถวายของถวายผ้าขาว พระยานรรัตน์ถวายกระโถนเขียนลายและรูปภาพต่าง ๆ และกล่องจันทน์ และของอื่น ๆ อีกหลายสิ่งที่โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคลทำ...”         *เมื่อกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทิวงคต เตาเผาภาชนะเครื่องเคลือบของพระราชวังบวรสถานมงคลก็ปิดตัวลง ไม่ได้มีการสืบทอดทำต่อมาอีก     อ้างอิง จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ภาค 11 พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. พระนคร: โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๘, (พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงเผาศพ หม่อมอ่อน รพีพัฒน์ ณ วัดประทุมวนาราม เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๘). ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ตำนานเรื่องเครื่องโต๊ะและถ้วยปั้น. พระนคร: รุ่งเรืองรัตน์, ๒๕๐๘ (พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระศุลีสวามิภักดิ์ (เศวตร์ พราหมณะนันทน์) ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๘). ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ตำนานวังหน้า. พิมพ์ครั้งที่ ๘. กรุงเทพฯ: แสงดาว, ๒๕๕๓. พิกุล ทองน้อย. รามเกียรติ์ร้อยแก้วประกอบคำกลอน (พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑) ฉบับสมบูรณ์. พิมพ์ครั้งที่ ๔. นนทบุรี: ศรีปัญญา, ๒๕๖๑. The Fine Arts Department. The Endless Epic of Japanese-Thai Ceramic Relationship in the World’s Trade and Culture (CATALOGUE). Bangkok: Central Administrative Office, The Fine Arts Department, 2022.


แนะนำ E-book หนังสือหายากเรื่อง ชีวประวัติพระยาเกษตรรักษา เกษตรรักษา, พระยา. ชีวประวัติพระยาเกษตรรักษา. พระนคร: โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหารบก, 2502.         ความรู้สึกทั้งหมด 22      


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 141/7ก เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 177/1ข เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง : เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าแผ่นดินสยาม สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ภาคพิเศษก่อนเถลิงถวัลยราชสมบัติ ชื่อผู้แต่ง : คณะกรรมการจัดงานพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ปีที่พิมพ์ : 2515 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัยจำนวนหน้า : 34 หน้าสาระสังเขป : บทประพันธ์เฉลิมพระเกียรติ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ถ้าจะแบ่งตามสมัย ก็แบ่งได้เป็นสามตอน คือ ตอนก่อนเด็จเถลิงวัลยราชสมบัติ ระหว่างที่เสวยราชสมบัติ กับภายหลังที่เสด็จสวรรคตแล้ว บทที่ นายถนัด นาวานุเคราะห์ นำมาพิมพ์เพื่อเป็นที่ระลึกในวาระอายุคราบ 6 รอบนี้ เป็นบทประพันธ์เฉลิมพระเกียรติ์ก่อนเสด็จเถลิงวัลยราชสมบัติ และเพื่อเป็นการรักษาประวัติการพิมพ์ได้คงใช้วิธีเขียนตัวสะกดแบบเดิม


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน)  อย.บ.                                           13/2 ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลาน หมวดหมู่                                     พุทธศาสนา ลักษณะวัสดุ                               32 หน้า : กว้าง 4.6 ซม. ยาว 54.8 ซม. หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนา                                                       อภิธรรมปิฎก   บทคัดย่อ/บันทึก                เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


black ribbon.