ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 40,618 รายการ
บทความออนไลน์จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี
“พระคเณศศิลา เมืองศรีมโหสถ จากบทวิเคราะห์ของศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล”
พระคเณศศิลา ประติมากรรมหินขนาดใหญ่ที่สุดชิ้นหนึ่งในประเทศไทย พบจากการขุดค้นเมืองโบราณศรีมโหสถ เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งในอดีตบริเวณนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ เมืองพระรถ ดงศรีมหาโพธิ์ หลังจากการค้นพบดับกล่าว ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ได้ทรงวินิจฉัย และได้ทรงนิพนธ์ไว้ในบทความเรื่อง “ประติมากรรม ๔ รูป ซึ่งเพิ่งค้นพบใหม่ภายในประเทศไทย” เพื่อการแสดงปาฐกถาเป็นภาษาอังกฤษในการประชุม Congress of Orientalists ครั้งที่ ๒๙ ประเทศฝรั่งเศส พ.ศ. ๒๕๑๖ ดังนี้“....ได้ค้นพบประติมากรรมที่สำคัญ ๔ รูป ภายในประเทศไทยเมื่อเร็วๆ นี้ รูปแรกเป็นพระคเณศศิลา สูง ๑.๗๐ เมตร พบ ณ เทวาลัยกลางเมืองพระรถ ดงศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี เมืองนี้มีชื่อว่าอวัธยปุระในต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ตามจารึกภาษาขอมสั้นๆ ที่สลักบนฐานคันฉ่องสัมฤทธิ์ ค้นพบที่ซากโบราณสถานหมายเลข ๑๑ ซึ่งอยู่นอกเมืองพระรถทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ภายในและนอกเมืองนี้ได้เคยค้นพบประติมากรรมสมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖) และลพบุรี (พุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๘) รวมทั้งเทวรูปรุ่นเก่า (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๓) เมืองพระรถเป็นเมืองรูปไข่ กว้าง ๑ กิโลเมตร ยาว ๒ กิโลเมตร มีคูกว้าง ๑๖ เมตรล้อมรอบ ใกล้คูทางทิศใต้ ตะวันออก และตะวันตกยังคงมีร่องรอยของกำแพงศิลาแลงสูง ๖ เมตร กำแพงนี้คงเป็นกำแพงล้อมรอบเมืองมาก่อนเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรได้ค้นพบประติมากรรมรูปพระคเณศองค์นี้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่ในหมู่เทวาลัยในศาสนาพราหมณ์กลางเมืองพระรถใน พ.ศ. ๒๕๑๕ เทวาลัยเหล่านี้ปัจจุบันคงเหลือแต่ฐานศิลาแลง มีอยู่ ๖ หลัง ที่ได้รับการขุดแต่งในบริเวณใกล้เคียงกัน สี่หลังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าและสองหลังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส เทวรูปพระคเณศถูกค้นพบหน้าเทวาลัยหลังสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ใหญ่ที่สุดซึ่งอยู่ตรงกลางของหมู่ และมีบ่อน้ำอยู่เบื้องหลัง ได้ค้นพบเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และปัจจุบันเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครก็ได้คุมเข้าเป็นรูปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เป็นเทวรูปซึ่งไม่ทรงเครื่องอาภรณ์ประทับนั่งอยู่เหนือฐานศิลาใหญ่ซึ่งมีร่องสำหรับให้น้ำมนต์ไหลอยู่เบื้องหน้า (โยนี) เส้นนูนซึ่งอาจเป็นสายรัดองค์หรือขอบผ้าทรงยังคมมีเหลืออยู่บนบั้นพระองค์ด้านหลัง จากด้านหลังของพระเศียรลงมามีรอยสลักเว้าเข้าไปทางตอนกลางของพระองค์ พระคเณศทรงมีแต่เพียง ๒ พระหัตถ์ และหัตถ์ทั้งสองก็หักไปหมดสิ้น ด้านหน้าของพระพักตร์ก็แตกหักไปเช่นเดียวกัน แต่ยังคงมองเห็นงาด้านขวาและสีพระพักตร์ซึ่งแสดงถึงความมีอำนาจได้ มีลายก้านขดเล็กๆ และเส้นข้างใต้อีกเส้นหนึ่งเหนือต้นงวงทางด้านขวา พระกรรณและด้านบนของพระเศียรสลักตามแบบศรีษะช้างอย่างแท้จริง ถ้าพิจารณาจากรูปร่างอย่างง่ายๆ และไม่มีเครื่องอาภรณ์ของเทวรูปองค์นี้ ก็อาจนำไปเปรียบเทียบได้กับเทวรูปพระคเณศจากตวลผักกิน (Tual Phak Kin) ในสาธารณัฐเขมรซึ่งศาสตราจารย์ ปิแอร์ ดูปองต์ (Pierre Dupont) กะกำหนดอายุอายุไว้ว่าอยู่ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๒ และพระคเณศซึ่งค้นพบที่เมืองพระรถ ดงศรีมหาโพธิ์ ก็อาจมีอายุอยู่ในสมัยใกล้เคียงกัน พระคเณศซึ่งค้นพบที่เมืองพระรถยังมีฐานกลมหรือรูปไข่ประดับด้วยกลับบัวหงายอีก ลายเช่นนี้ยังคงมีเหลืออยู่บ้างทางด้านซ้ายภายใต้องค์ของพระคเณศ ฐานนี้อยู่เหนือฐานใหญ่ (โยนี) ที่กล่าวมาแล้วอีกต่อหนึ่ง”เมื่อพิจารณาจากบทวิเคราะห์ดังกล่าว รูปแบบสันนิษฐานของพระคเณศที่พบจากเมืองศรีมโหสถ เมื่อขณะแรกสร้างที่ในสภาพสมบูรณ์คงเป็นดังเช่นภาพลายเส้นประกอบ
เอกสารอ้างอิง :
- ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล. “ประติมากรรม ๔ รูป ซึ่งเพิ่งค้นพบใหม่ภายในประเทศไทย” แสดงปาฐกถาเป็นภาษาอังกฤษในการประชุม Congress of Orientalists ครั้งที่ ๒๙ ประเทศฝรั่งเศส พ.ศ. ๒๕๑๖
ผู้เรียบเรียบ: นางสาววัชรี ชมภู ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 148/7 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 178/6ขเอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อผู้แต่ง สมบัติ พลายน้อย
ชื่อเรื่อง ชาวต่างชาติในประวัติศาสตร์ไทย
ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ ๓
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ รวมสาส์น
ปีที่พิมพ์ ๒๕๒๓
จำนวนหน้า ๕๔๔ หน้า
รายละเอียด
หนังสือ ชาวต่างชาติในประวัติศาสตร์ไทย เป็นหนังสือสำหรับศึกษาประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งได้รวบรวมชาวต่างชาติที่ได้มาเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทย ได้แก่ ปลัดเล หมอสมิธ เลโอโนเวลส์ สังฆราชเลอกัว เป็นต้น เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของชาวต่างชาติเหล่านั้นที่ได้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทย นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความเป็นมาของนิกายโรมันคาทอลิกในประเทศไทย พร้อมภาพประกอบ
ชื่อผู้แต่ง -
ชื่อเรื่อง วารสารคหเศรษฐศาสตร์ (ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๓)
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ ธนบุรี
สำนักพิมพ์ โรงเรียนช่างพิมพ์เพชรรัตน
ปีที่พิมพ์ ๒๕๐๓
จำนวนหน้า ๗๒ หน้า
รายละเอียด
วารสารของสมาคมคหเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทยประกอบด้วยบทความเรื่องสภาพเกเร อาหารหญิงมีครรภ์และแม่ลูกอ่อน อาหารผัก ส่วนประกอบของอาหาร รายงานสัมมนา การส่งเสริมเผยแพร่คหกรรมศาสตร์แห่งภาคตะวันออกไกล ครั้งที่ ๒ ยูนิเซฟช่วยครอบครัวไทยชนบท ห้องเรียนและอุปกรณ์สำหรับวิชา คหกรรม การวัดผลการศึกษาทางคหกรรมศาสตร์ การจัดเวลาและแรงงานทั้งในห้องเรียนและบ้านและข่าวเคลื่อนไหวเกี่ยวกับคหกรรมศาสตร์
ชื่อผู้แต่ง กรมศิลปากร
ชื่อเรื่อง ๔ สมเด็จกรมพระยา : เสด็จเมืองนครศรีธรรมราช
ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ ๒
สถานที่พิมพ์ นครศรีธรรมราช
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์อักษรการพิมพ์
ปีที่พิมพ์ ๒๕๕๗
จำนวนหน้า ๑๓๔ หน้า
รายละเอียด
๔ สมเด็จกรมพระยา : เสด็จเมืองนครศรีธรรมราช เป็นการรวบรวมพระราชนิพนธ์ของพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ที่เสด็จมายังเมืองนครศรีธรรมราช ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงนิพนธ์ถึงเมืองนครศรีธรรมราชในแง่มุมต่างๆ เรื่องที่ ๑ เป็นบทพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เรื่องที่ ๒ เป็นบทพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชายุภาพ เรื่องที่ ๓ เป็นบทพระนิพนธ์ ของสมเด็จพระเจ้าบรมพวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ และ เรื่องที่ ๔ เป็นบทพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช
#องค์ความรู้อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรการอนุรักษ์ประติมากรรมปูนปั้นวัดช้างรอบ เมืองกำแพงเพชร..วัดช้างรอบ ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของเนินเขาลูกรังในเขตอรัญญิก เมืองกำแพงเพชร มีความสูง 98 เมตรจากระดับน้ำทะเล ผังวัดมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กลุ่มโบราณสถานสำคัญภายในวัดได้แก่ อุโบสถ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของวัด มีใบเสมาทำจากหินชนวนปักบนพื้นดินโดยรอบ 8 ทิศ วิหาร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัด ทางด้านทิศตะวันตกของวิหาร เป็นเจดีย์ประธานทรงระฆังตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม กว้างด้านละ 31 เมตร ส่วนฐานประดับด้วยประติมากรรมปูนปั้นรูปช้างครึ่งตัว จำนวน 68 เชือก โดยมีการตกแต่งด้วยเครื่องทรงและเครื่องประดับต่างๆ ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากประติมากรรมรูปช้างที่ล้อมรอบฐานเจดีย์แห่งอื่นในวัฒนธรรมสุโขทัย เช่น เจดีย์ประธานวัดช้างล้อม เมืองศรีสัชนาลัย กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 19 - 20 และเจดีย์ประธานวัดสรศักดิ์ เมืองสุโขทัย กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 20.สามารถกำหนดอายุเจดีย์ประธานวัดช้างรอบ ได้ในราวพุทธศตวรรษที่ 21 ด้วยวิธีการศึกษาเปรียบเทียบลวดลายเครื่องประดับของประติมากรรมปูนปั้นรูปช้างที่มีความคล้ายคลึงกับลวดลายชายผ้านุ่งของเทวรูปพระอิศวรสำริดปรากฏจารึกที่ฐานประติมากรรม ระบุศักราช พ.ศ. 2053 รวมถึงลวดลายดอกบัว และเทพพนม ที่ปรากฏบนกระเบื้องเชิงชายซึ่งพบจากการดำเนินการทางโบราณคดีมีลักษณะคล้ายคลึงกับลายบนกระเบื้องเชิงชายสมัยอยุธยา อาทิเช่น พระราชวังหลวง วัดสุวรรณาราม วัดพลับพลาชัย และตำหนักมเหยงคณ์ กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 20-21 ..กรมศิลปากรโดยกลุ่มอนุรักษ์จิตรกรรมและประติมากรรม กองโบราณคดี และอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย ได้ดำเนินการโครงการอนุรักษ์ประติมากรรมปูนปั้น เจดีย์ประธานวัดช้างรอบ ตำบลหนองปลิง อำเภอเมืองกำแพงเพชร กำหนดระยะเวลา วันที่ 2 มิถุนายน 2565 – 2 มีนาคม 2566 .ขั้นตอนการอนุรักษ์ประติมากรรมปูนปั้นแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนหลัก ดังนี้.1. ขั้นตอนการเตรียมการ- สำรวจเก็บข้อมูล และหลักฐานประติมากรรมปูนปั้น- วิเคราะห์ปัญหาสภาพความชำรุด และพิจารณาเทคนิคการอนุรักษ์ที่เหมาะสมกับประติมากรรมปูนปั้น2. ขั้นตอนการปฏิบัติการ- บันทึกหลักฐานก่อนการอนุรักษ์ประติมากรรมปูนปั้น โดยบันทึกสภาพความชำรุดของประติมากรรม (ความชื้น วัชพืช รอยแตกร้าว) ด้วยภาพสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลหลักฐานอ้างอิง- บันทึกหลักฐานระหว่างการอนุรักษ์ประติมากรรมปูนปั้น- การทำความสะอาดประติมากรรมปูนปั้น สารที่ใช้ในการทำความสะอาดเป็นสารเคมีที่มีชื่อว่า Benzalkonium Chloride หรือ BKC 80 เจือจางกับน้ำกลั่นหรือน้ำสะอาด. BKC เป็นสารทำความสะอาดที่สามารถกำจัดเชื้อจุลชีพ (สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ได้แก่ แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ปรสิต) โดยจะทำความสะอาดสารเคมีดังกล่าวอีกครั้งภายหลังด้วยน้ำสะอาด และใช้กระบอกฉีดน้ำเป็นอุปกรณ์ในการทำความสะอาดเพื่อลดผลกระทบต่อประติมากรรมปูนปั้นที่ทำความสะอาด .- การเสริมความมั่นคงประติมากรรมปูนปั้น สืบเนื่องจากการสำรวจประติมากรรมก่อนการอนุรักษ์ ในกรณีประติมากรรมปูนปั้นเป็นโพรงภายใน ใช้น้ำปูนผสมกับผงอิฐธรรมชาติเพื่อคงความดั้งเดิมของวัสดุในการเสริมความมั่นคง โดยน้ำปูนจะไปยึดเกาะกับผิวประติมากรรมกับศิลาแลง- การซ่อมแซมประติมากรรมปูนปั้น- การบันทึกหลักฐานหลังการอนุรักษ์ประติมากรรมปูนปั้น3. ขั้นตอนการติดตามผล- ติดตามผลหลังการอนุรักษ์ประติมากรรมปูนปั้น.การดำเนินการอนุรักษ์ประติมากรรมปูนปั้น เจดีย์ประธานวัดช้างรอบ จัดทำขึ้นเพื่ออนุรักษ์ประติมากรรมรูปช้างและลวดลายปูนปั้นที่อยู่ในสภาพชำรุดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ทั้งในฐานะมรดกทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของชาติ และแหล่งท่องเที่ยว – แหล่งเรียนรู้ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร..อ้างอิงกรมศิลปากร. ประชุมจารึก ภาคที่ 8 จารึกสุโขทัย. กรุงเทพฯ : สำนักหอสมุดแห่งชาติ, 2548.กลุ่มอนุรักษ์จิตรกรรมและประติมากรรม กองโบราณคดี กรมศิลปากรนารีรัตน์ ปรีชาพีชคุปต์, ธาดา สังข์ทอง และอนันต์ ชูโชติ ; ผู้แปลภาษาอังกฤษ, นันทนา ตันติเวสสะ และ สุรพล นาถะพินธุ, นำชมอุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร (Guide to Sukhothai Si Satchanalai and Kamphaeng Phet historical parks). พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ, 2542.ประทีป เพ็งตะโก. กระเบื้องเชิงชายสมัยอยุธยา. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2540.
เลขทะเบียน : นพ.บ.400/6ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 60 หน้า ; 4 x 53 ซ.ม. : ชาดทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 145 (48-57) ผูก 6 (2566)หัวเรื่อง : สัมมหาวัคค์--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
UNESCO ประกาศขึ้นทะเบียน "คัมภีร์ใบลานเรื่องอุรังคธาตุ" เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก !!
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การยูเนสโก ครั้งที่ 216 ณ องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ได้พิจารณาวาระการขึ้นทะเบียนมรดกความทรงจำแห่งโลก (Nominations of new items of documentary heritage to be inscribed on the Memory of the World International Register) โดยคัมภีร์ใบลานเรื่องอุรังคธาตุ (National Collection of Palm-Leaf Manuscripts of Phra That Phanom Chronicle) ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกความทรงจำแห่งโลกในครั้งนี้ด้วย
คัมภีร์ใบลาน เรื่องอุรังคธาตุ อยู่ในความดูแลและให้บริการของกลุ่มหนังสือตัวเขียนและจารึก สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม มีจำนวน ๑๐ รายการ ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องตำนานอุรังคธาตุ ได้ที่ https://www.nlt.go.th/unesco_award/40
วัดห้วยเสือ ตั้งอยู่ ณ บ้านห้วยเสือ หมู่ที่ 5 ตำบลสมอพรือ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งจากการเข้าไปสำรวจพบว่าวัดแห่งนี้มีการรวบรวมภาพจิตรกรรม โดยเป็นเรื่องราวของ “พระเวสสันดรชาดก” ชาติที่ 10 ของเรื่องราว “ทศชาติชาดก” หรือก็คือ 10 ชาติ ของการเล่าเรื่องราวการที่พระพุทธเจ้าทรงเวียนว่ายตายเกิด จนเป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย ซึ่งในปัจจุบันภาพดังกล่าวได้ถูกจัดเก็บไว้เป็นอย่างดี ณ วัดห้วยเสือ เพื่อเป็นการดำรงและรักษาภาพจิตรกรรมการแสดงคำสอนอันดีงามและเรื่องราวความเป็นมาทางพุทธศาสนาให้คงอยู่ต่อไป
สำหรับ ทศชาติ เรื่อง “พระเวสสันดรชาดก” ว่าด้วยเรื่อง 13 กัณฑ์ ถือได้ว่าเป็นเรื่องราวที่รู้จักมากที่สุดและมีความสำคัญมากที่สุดในบรรดาทศชาติชาดกทั้ง 10 ตอน และเป็นสาเหตุที่เวสสันดรชาดกถูกยกให้เป็นมหาชาตินั้น ก็เนื่องจากชาดกเรื่องนี้ถือเป็นพระชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ก่อนจะได้เป็นพระพุทธเจ้า อีกทั้งยังเป็นพระชาติที่ทรงบำเพ็ญบารมีครบทั้ง 10 ประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ทานบารมี” ที่ทรงบริจาคทุกสิ่งทุกอย่างทุกอย่าง แม้แต่ภรรยาและบุตรของตนเองก็บริจาค ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ทำได้ยากและเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
นอกจากนั้น สาเหตุที่ “พระเวสสันดรชาดก” นั้นเป็นที่ยกย่องและน่าเลื่อมใส เพราะเรื่องเวสสันดรชาดกนั้นมีคุณค่าที่สามารถนำไปประยุกต์เข้ากับชีวิตประจำวันได้ทุกระดับ โดย 13 กัณฑ์ ของเรื่องราว “พระเวสสันดรชาดก” สามารถศึกษาเเละทำความเข้าใจเพิ่มเติมได้ ดังนี้
เอกสารเเละหลักฐานสำหรับการสืบค้น
1. วัดห้วยเสือ, ภาพจิตรกรรม ทศชาติ เรื่อง “พระเวสสันดรชาดก” ว่าด้วยเรื่อง 13 กัณฑ์.
2. เจริญ ไชยชนะ. (2502), มหาเวสสันดรชาดก ฉบับ 5 กัณฑ์. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ ไชยวัฒน์.
3. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. (2561), เทศน์มหาชาติมหากุศล. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
4. ทิวาวรรณ อายุวัฒน์. (2561). ““ทศชาติชาดก 101”, ใน สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยี (ผู้รวบรวม), บทความทางวิชาการ สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยี. (หน้า 1). นครปฐม :มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม.