ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,784 รายการ

***บรรณานุกรม***     ผดุงถิ่นยุคข่าวเศรษฐกิจ     ปีที่ 16(7)     ฉบับที่ 665(259)    วันที่ 1-15 พฤศจิกายน 2534


สมัยก่อนลายสือไทยนี้บ่มี 1209 ศฏ ปีมะแมพ่อขุนรมคำแหงหาใคร่ใจในใจ แลใส่ลายสือไทยนี้ ลายสือไทยนี้จึงมีเมื่อขุนผู้นั้นใส่ไว้...



ชื่อเรื่อง                           วิมานวตฺถุ (พระวิมานวัตถุเผด็จ)สพ.บ.                                  173/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           54 หน้า กว้าง 4.8 ซ.ม. ยาว 56.9 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                          ธรรมเทศนาบทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับทองทึบ ภาษาบาลี-ไทย ได้รับบริจาคมาจากวัดพยัคฆาราม อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี    


ชื่อเรื่อง                                อานิสงส์โกนจุก (อานิสงส์โกนจุก)สพ.บ.                                  118/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               ขนบธรรมเนียม ประเพณีลักษณะวัสดุ                           18 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 55 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 โกนจุก                                           ไทย -- ความเป็นอยู่และประเพณี  บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรไทย  เส้นจาร ฉบับล่องชาด  ได้รับบริจาคมาจากวัดประสพสุข  ต.ทับตีเหล็ก อ.เมืองฯ จ.สุพรรณบุรี


     พระพิมพ์รูปพระสาวกมีจารึก       จากเจดีย์หมายเลข ๑๑ เมืองโบราณอู่ทอง      พระพิมพ์ดินเผา จำนวน ๘ องค์ ได้จากการขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข ๑๑ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองโบราณอู่ทองไปทางทิศตะวันตก ใกล้เชิงเขาทำเทียม ในพื้นที่ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี พบพร้อมกับธรรมจักร แท่นและเสาตั้ง พระพุทธรูปสำริด และประติมากรรมดินเผารูปพระเจ้าสุทโธทนะ       รูปแบบศิลปกรรมของพระพิมพ์ทั้ง ๘ องค์ บางองค์มีสภาพสมบูรณ์สามารถศึกษารูปแบบศิลปกรรมได้ บางองค์ชำรุดเหลือเฉพาะส่วนฐาน สันนิษฐานว่า พระพิมพ์ทุกองค์น่าจะมีรูปแบบเดียวกัน คือเศียรไม่มีอุษณีษะเหมือนพระพุทธรูป ดังนั้นจึงได้รับการตีความว่าเป็นรูปพระสาวก มีพักตร์กลม ขนงต่อกันเป็นรูปปีกกา นาสิกแบน โอษฐ์แบะ ครองจีวรห่มเฉียง หัตถ์ทั้งสองประสานกันในท่าสมาธิ นั่งขัดสมาธิเพชร บนฐานหน้ากระดานเรียบ แผ่นหลังอยู่ในกรอบสามเหลี่ยมปลายมน พระพิมพ์รูปแบบนี้ยังพบที่เจดีย์พุหางนาคหมายเลข ๑ ซึ่งตั้งอยู่บนเทือกเขารางกะปิด ในพื้นที่ตำบลอู่ทอง ด้วย      ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับพระพิมพ์ในกลุ่มนี้คือ ด้านหลังพระพิมพ์จำนวน ๗ องค์ มีจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาบาลี กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๒ (ราว ๑,๔๐๐ ถึง ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว) แต่ละองค์มีจารึกแตกต่างกัน ซึ่งเป็นพระนามของพระสาวก ได้แก่ สาริปุตฺโต, เมตฺเตยฺยโก, มหาก…, โกลิวีโส, กงฺขาเร..., ...รนฺโต, และ ...ธ...  ซึ่งตรงกับนามพระสาวกในกลุ่ม “พระอสีติมหาสาวก” หมายถึงพระสาวกสำคัญ คือ พระอสีติมหาสาวก จำนวน ๘๐ รูป ของพระพุทธเจ้าในคัมภีร์ภาษาบาลีของพุทธศาสนานิกายเถรวาท ดังนี้  สาริปุตฺโต  คือ พระสารีบุตร มหาก …   หมายถึง มหากสฺสโป หรือ มหากจฺจายโน คือ พระมหากัสสปะ หรือ พระมหากัจจายนะ โกลิวีโส    หมายถึง โสโณ โกฬิวิโส คือ พระโสณโกฬิวิสะ กงฺขาเร...  หมายถึง กงฺขาเรวโต คือ พระกังขาเรวตะ ...รนฺโต     หมายถึง ปุณโณ สุนาปรนฺโต คือ พระปุณณะสุนาปรันตะ  ...ธ...        ไม่สามารถระบุได้      ส่วนพระพิมพ์มีจารึกว่า เมตฺเตยฺยโก อาจการแปลความได้ ๒ แบบ คือ      ๑. หมายถึง พระศรีอาริยเมตไตรย พระอนาคตพุทธ ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป แต่มีข้อสังเกตว่าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงเวลาดังกล่าว (พุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๒) ไม่นิยมสร้างพระศรีอาริยเมตไตรยในรูปลักษณ์ของพระสงฆ์ แต่พระพิมพ์องค์นี้อาจเป็นความนิยมเฉพาะท้องถิ่นก็เป็นได้     ๒. หมายถึง พระติสสเมตเตยยะ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาวกกลุ่ม “พระอสีติมหาสาวก” เช่นเดียวกับจารึกด้านหลังพระพิมพ์องค์อื่น ๆ  แต่มีข้อสังเกตว่า นามที่ปรากฏในคัมภีร์คือ ติสฺสเมตฺเตยฺโย ซึ่งมีความแตกต่างจากจารึก เมตฺเตยฺยโก อยู่เล็กน้อย  ปัจจุบันพระพิมพ์กลุ่มนี้จัดแสดง ณ ห้องอู่ทองศรีทวารวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง เอกสารอ้างอิง ธนกฤต ลออสุวรรณ. การศึกษาคติความเชื่อของชุมชนโบราณสมัยทวารวดีในลุ่มแม่น้ำแม่กลองและท่าจีน : กรณีศึกษาจากพระพิมพ์ดินเผา. วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม. (โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์))--มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๖.  ปีเตอร์ สกิลลิ่งและศานติ ภักดีคำ. จารึกพระสาวกและจารึกพระเจ้าศุทโธทนะพบใหม่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี. เอกสารประกอบการประชุมสัมมนาเรื่องความก้าวหน้าในการศึกษาโบราณคดีและเมืองโบราณในวัฒนธรรมทวารวดี.  สุพรรณบุรี : สำนักงานศิลปากรที่ ๒, ๒๕๔๖.


เลขทะเบียน : นพ.บ.77/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  66 หน้า ; 4.4 x 56 ซ.ม. : ลานดิบ ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 47 (52-58) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : พระเจ้า 28 พระองค์ --เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.138/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  32 หน้า ; 5.5 x 58.4 ซ.ม. : ทองทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา  มีฉลากไม้ชื่อชุด : มัดที่ 82 (326-329) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : อาการวตฺตสุตฺต (อาการวัตตสูตร)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.89/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  54 หน้า ; 4.6 x 50 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  มีฉลากไม้ชื่อชุด : มัดที่ 52 (103-117) ผูก 3 (2564)หัวเรื่อง : ธมฺมปทวณฺณนา ธมฺปทฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฐกถา (ธรรมบท)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.9/1-7 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)



ชื่อผู้แต่ง              พระปัญานันทมุนี      ชื่อเรื่อง                บทธรรมเรืองปัญญา เล่ม ๒       ครั้งที่พิมพ์           -      สถานที่พิมพ์         พระนคร สำนักพิมพ์            ห้างหุ้นส่วนจำกัด  การพิมพ์พระนคร ปีที่พิมพ์                ๒๕๑๕    จำนวนหน้า            ๑๗๐  หน้า หมายเหตุ               การแสดงธรรมเทศนาของท่านปัญญานันทภิกขุวัดชลประทานรังสฤษฎ์ ปากเกร็ด นนทบุรี                                  ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่๘ สิงหาคม  ๒๕๑๔    -   กันยา  ๒๕๑๔  รวม ๕ วัน


          การทำบุญตักบาตรข้าวสารไม่ปรากฏหลักฐานว่าแท้จริงเริ่มขึ้นเมื่อใด ในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง การพระราชกุศลตักบาตรน้ำผึ้ง อันเป็นพระราชพิธีที่จัดขึ้นในเดือนสิบ ทรงอธิบายถึงที่มาของการพระราชกุศลตักบาตรน้ำผึ้งว่า น่าจะรับมาจากอินเดีย และเพิ่งจัดการพระราชพิธีในสมัยรัชกาลที่ ๔ เบื้องต้นได้ทรงตั้งปุจฉาข้องกังขาเหตุผลที่มาของประเพณีว่า “...ข้าพเจ้าเห็นว่าควรจะนำมูลเหตุตามทางที่เทศนานั้นมากล่าวในที่นี้ พอจะได้รู้เรื่องตลอดว่าเหตุการณ์อย่างไรจึงได้เกิดตักบาตรน้ำผึ้งขึ้น และน้ำผึ้งซึ่งดูก็ไม่เป็นประโยชน์อันใดนัก สู้ข้าวสารไม่ได้ ทำไมจึงได้ต้องถึงตักบาตรตักพกดูก็น่าจะถามอยู่ แต่เรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่านั้น จะไม่เดินเนื้อความแต่ตามที่เทศนาอย่างเดียว จะขอแสดงความเห็น และตามที่ตัวทราบเพิ่มเติมปนลงบ้างตามสมควรแก่ข้อความ...”           จากนั้นทรงอธิบายว่า ในฤดูสารทสมัยพุทธกาล พระสงฆ์เกิดอาการเจ็บป่วยอาพาธกันมาก ด้วยอาการไข้ที่เรียกว่า “สรทิกาพาธ” คือ อาการป่วยในฤดูสารท มีอาการฉันอาหารไม่ได้และอาเจียน อ่อนเพลีย พระพุทธองค์จึงทรงมีพุทธานุญาต ให้พระสงฆ์ฉันอาหารซึ่งไม่ใช่อาหารหยาบ ๕ สิ่งที่จัดว่าเป็น ทั้งอาหารและเป็นเภสัช ได้แก่ “คือ เนยใสอย่างหนึ่ง เนยข้นอย่างหนึ่ง น้ำมันอย่างหนึ่ง น้ำผึ้งอย่างหนึ่ง น้ำอ้อยอย่างหนึ่ง” แม้ว่าจะเป็นเวลาในช่วงหลังเที่ยงจนถึงรุ่งสว่างของอีกวันก็ตาม จึงทำให้เกิดความนิยม มีผู้นำมาถวายเป็นจำนวนมาก จนเกิดข้อติเตียนหลายประการ เช่น ติเตียนในการสะสมอาหาร จึงทรงกำหนดให้คิลานะเภสัชทั้ง ๕ สิ่งนี้เป็น “สัตตาหกาลิก” คือ กำหนดให้เก็บไว้ได้เพียง ๗ วันนับแต่วันรับ หากเกินกว่านั้นถือว่าเป็นนิสสัคคีย์ “ของเดน ของบูด” ภิกษุที่ยังครองไว้ถือว่าต้องอาบัติปาจิตตีย์           จากนั้นทรงอธิบายเพิ่มเติมว่าอาหารที่เป็นยาทั้ง ๕ สิ่งที่กล่าวนี้ สำหรับในประเทศไทยแล้ว เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำอ้อย ทางการแพทย์ได้ระบุว่าแสลงโรคทั้งสิ้น “คงใช้ได้บ้างแต่น้ำผึ้ง” แต่ไม่สู้จะใช้ประโยชน์ทางยา คงเอามากวนเป็นตังเมเท่านั้น ไม่รู้สึกว่าเป็นยาอันใดเลย สู้น้ำข้าวต้มซึ่งน่าจะเป็นยาที่เหมาะสำหรับคนไทยพระภิกษุไทยมากกว่าไม่ได้ และหากพระพุทธองค์ยังทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ และทรงทราบ น่าจะทรงอนุญาตให้ถวายน้ำข้าวต้มได้ ทั้งนี้ ในพระราชนิพนธ์เรื่องดังกล่าว มิได้ทรงกล่าวถึงการถวายอาหารเป็นยาของคนไทย และการถวายข้าวสารแต่อย่างใด           เมื่อพิจารณาต่อมาเรื่อง การบิณฑบาตจากพระวินัยซึ่งมีข้อกำหนดที่เกี่ยวเนื่อง ๒ ประการ ได้แก่ ๑. พระสงฆ์ไม่ควรเก็บอาหารไว้ข้ามวัน และ ๒. ห้ามไม่ให้พระสงฆ์ทำอาหาร สำหรับอาหารที่ถวายทำบุญตักบาตร จึงมักเป็นอาหารปรุงสำเร็จพร้อมฉัน และหากฉันไม่หมดภายในเพลวันนั้น ต้องบริจาคเป็นทานต่อไป จะนำกลับมาถวายมื้อต่อต่อไปหรือในวันรุ่งขึ้นอีกไม่ได้ ถือว่าเป็นของเดน ของบูด ส่วนในข้อที่ ไม่อนุญาตให้พระสงฆ์ทำครัวหุงหาอาหารนั้น เนื่องจากบางครั้งวัตถุดิบในการทำอาหาร อาจมีเมล็ดพืช หรือพืชซึ่งที่ยังมีรากติดกับดิน อาจจะยังงอกงามเป็นต้นพืชเป็นชีวิตได้ การทำอาหารจึงอาจทำให้เกิดอาบัติปาจิตตีย์เพราะพรากของสีเขียว คือฆ่าชีวิตของต้นพืช โดยข้อห้ามอันนี้จึงทำให้แต่เดิมหากจะถวายภัตตาหารเป็นพืชหรือผลไม้ที่มีเมล็ดที่อาจให้กำเนิดชีวิตต่อไปได้ จึงต้องเอาเมล็ดออกเสียก่อน รวมทั้งจะไม่ถวายวัตถุดิบในการประกอบอาหารจำพวก ข้าวสาร อาหารแห้ง เนื้อสัตว์ ไข่ ตลอดจนเครื่องปรุงรสต่าง ๆ ด้วย           พระวินัยซึ่งบัญญัติขึ้นนี้ เพื่อให้พระภิกษุละกิเลส ไม่เป็นผู้สะสมอาหาร และสิ่งอื่นใดนอกจากอัฏฐบริขาร ดังนั้นหากมีญาติโยมบริจาคข้าวสารอาหารแห้ง ซึ่งอาจบรรจุไว้ในถังสังฆทาน พระท่านมักให้ลูกศิษย์ญาติโยมสำรวจ และนำข้าวสารอาหารแห้งดังกล่าว ออกจากเครื่องสังฆทานเสียก่อนที่จะถวาย และนำไปมอบให้แก่ญาติโยมที่ดูแลโรงครัว หรือจัดเตรียมสำหรับทำทานต่อไป เพื่อที่มิให้ของเหล่านั้นกลายเป็น “ของเดน ของบูด” มิอาจนำมาถวายเป็นจังหันได้อีกดังกล่าวมาข้างต้น           ทว่า ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป แม้ว่าจะมีข้อกำหนดดังกล่าว ประเพณีการทำบุญตักบาตรข้าวสารนั้นกลับเป็นที่นิยมของพุทธศาสนิกชนและปฏิบัติตามกันมา เพราะญาติโยมเห็นว่า “ข้าวสาร”เป็นของที่เก็บรักษาไว้ได้นาน และยังเป็นผลดีต่อวัดที่มีพระภิกษุสงฆ์ สามเณรที่จำพรรษาอยู่ในวัดเป็นจำนวนมาก หรือวัดที่มิได้มีพุทธศาสนิกชนมาทำบุญกันเป็นประจำจะได้เป็นคลังอาหารของวัด รวมทั้งพระสงฆ์จะได้บริจาคทานแก่ชาวบ้านต่อไปตามควร เดิมจัดทำบุญตักบาตรข้าวสารในวันพระใหญ่เช่น เทศกาลออกพรรษา ที่เรียกว่าประเพณีตักบาตรเทโวโรหณะ แต่เมื่อพุทธศาสนิกชนเห็นพ้องต้องกันว่าการทำบุญตักบาตรข้าวสารส่งผลดีเช่นนี้ จึงนิยมทำกันอย่างแพร่หลายมิได้จำกัดช่วงเวลา แต่บางท้องถิ่นนิยมทำในช่วงพรรษาระหว่างเดือน ๑๐ ถึงเดือน ๑๒ หรืออาจจัดทำในพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การติดกัณฑ์เทศน์ เป็นต้น ในระหว่างพรรษาพุทธศาสนิกชนนิยมทำบุญตักบาตรข้าวสาร การประกอบพิธีกรรมมีลักษณะทั่วไปคล้ายกันโดยการกำหนดวัน เวลาขึ้นอยู่กับความสะดวก มรรคนายกแจกฎีกาให้พุทธศาสนิกชนที่มาทำบุญทราบทั่วกันเมื่อถึงเวลาให้นำข้าวสาร อาหารแห้งไปวางไว้รวมกันยังสถานที่ที่กำหนดไว้ จากนั้นพระภิกษุสงฆ์ สามเณร มาประชุมพร้อมกัน มรรคนายกนำอาราธนาศีล มีการรับศีลรับพร จากนั้นอาราธนาธรรม เจ้าอาวาสหรือผู้แทน อนุโมทนาทาน มรรคนายกกล่าวนำคำถวายข้าวสาร พุทธศาสนิกชนกล่าวตาม เมื่อกล่าวคำถวายข้าวสารจบ พระภิกษุสงฆ์ สามเณรอนุโมทนาเป็นอันเสร็จพิธี ประเพณีไทยทั้งหลายในปัจจุบันพบว่ามีการแก้ไข ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างไปบ้าง เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับยุคสมัยอยู่เสมอ แต่ยังคงรักษาและคำนึงถึงแก่นสำคัญของประเพณีนั้นไว้ ซึ่งการทำบุญตักบาตรข้าวสารเป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมประเพณีให้เหมาะสมแก่ยุคสมัย การทำบุญตักบาตรข้าวสาร ------------------------------------------------------------ค้นคว้าเรียบเรียง : กมลพรรณ บุญสุทธิ์ นักอักษรศาสตร์ กลุ่มจารีตประเพณี  สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์


    มหามกุฏราชสันตติวงศ์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส      พระราชโอรสพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔      พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส มีพระนามเดิมว่า หม่อมเจ้านภวงศ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อย (ธิดาพระอินทอำไพ หรือพระอินทรอภัย คือ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าทัศไภย พระราชโอรสสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ) ประสูติเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๓๖๕ (นับแบบปัจจุบันตรงกับปีพุทธศักราช ๒๓๖๖) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ พระองค์เป็นพระราชโอรสหนึ่งในสองพระองค์ที่ประสูตินอกเศวตฉัตร (อีกพระองค์หนึ่งคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร) แรกประสูติมีพระยศที่หม่อมเจ้านพวงศ์ ในรัชกาลที่ ๔ ทรงสถาปนาเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้านภวงศ์ วรองค์อรรคมหามกุฎ ปรมุตมราโชรส ภายหลังทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นมเหศวรศิวลาส ได้ทรงกำกับกรมล้อมพระราชวัง และเมื่อกรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธรสิ้นพระชนม์แล้ว ได้ทรงกำกับกรมพระคลังมหาสมบัติ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๔๑๐ สิริพระชันษา ๔๖ ปี พระราชทานเพลิงศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง เป็นต้นราชสกุล นพวงศ์   เรียบเรียง : ณัฐพล ชัยมั่น ภัณฑารักษ์พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี กรมศิลปากร อ้างอิงภาพ : พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส อ้างอิง ศิลปากร, กรม. ราชสกุลวงศ์. พิมพ์ครั้งที่ ๑๔. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค.ลาดพร้าว, ๒๕๕๔.



black ribbon.