ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ

เลขทะเบียน : นพ.บ.433/1กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 16 หน้า ; 5 x 60 ซ.ม. : ทองทึบ-ชาดทึบ-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 156  (131-140) ผูก 1ก (2566)หัวเรื่อง : สังข์ศิลป์ชัย--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.581/2                             ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 38 หน้า ; 4 x 52 ซ.ม. : ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 188  (365-371) ผูก 2 (2566)หัวเรื่อง : เวสฺสนฺดรชาดก--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


#องค์ความรู้อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรคูเมืองโบราณกำแพงเพชร..เมืองกำแพงเพชรเป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิง ผังเมืองมีลักษณะคล้ายรูปสี่เหลี่ยมคางหมู วางตัวยาวขนานไปกับแม่น้ำปิง มีคูเมืองและกำแพงที่สร้างด้วยศิลาแลงล้อมรอบเมืองทั้ง 4 ด้าน มีระบบการนำน้ำจากแม่น้ำปิงเข้ามาหล่อเลี้ยงคูเมือง มีทางระบายน้ำออกบริเวณมุมท้ายเมืองทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แนวกำแพงเมืองชั้นในก่อด้วยศิลาแลง ประกอบด้วย แนวกำแพงเมืองที่มีเชิงเทินและใบเสมา ปัจจุบันปรากฏประตูเมืองจำนวน 9 ประตู และป้อมปราการจำนวน 11 ป้อม ซึ่งสันนิษฐานว่ามีการก่อสร้างในช่วงพุทธศตวรรษที่ 21-22.กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานกำแพงเมือง-คูเมืองกำแพงเพชร ในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 85 ตอนที่ 41 วันที่ 7 พฤษภาคม 2511 บริเวณที่ 3 เนื้อที่ประมาณ 503 ไร่ .คูเมืองกำแพงเพชรมีลักษณะเป็นร่องน้ำหรือทางน้ำที่ขุดขึ้นขนานกับแนวกำแพงเมืองล้อมรอบเมืองกำแพงเพชร คูเมืองปัจจุบันกว้างประมาณ 11-33 เมตร ลึกประมาณ 4.20 เมตร และมีความยาวรวม 5,466 เมตร โดยคูเมืองด้านทิศเหนือยาวประมาณ 2,563 เมตร ด้านทิศใต้ยาวประมาณ 2,041 เมตร ด้านทิศตะวันออกยาวประมาณ 632 เมตร และด้านทิศตะวันตกยาวประมาณ 230 เมตร..เมื่อ พ.ศ. 2449 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมืองกำแพงเพชร และทรงพระราชนิพนธ์ เรื่อง “เสด็จประพาสต้นครั้งที่ 2” มีเนื้อความกล่าวถึงคูเมืองกำแพงเพชรดังนี้.“...น่าประตูนี้เป็นทางลึกลงไปจากฝั่งจนถึงท้องคูแล้วจึงขึ้นเมือง ๆ ตั้งอยู่ในที่ดอนน้ำไม่ท่วม เลียบไปตามทางริมกำแพงซึ่งเขาว่าได้ตัดแล้วรอบ เมืองนี้ไม่ได้ทำเป็นเหลี่ยม โอนรูปไปตามแม่น้ำ ประมาณว่าด้านเหนือด้านใต้ 50 เส้น ด้านสกัดทิศใต้ 12 เส้น สกัดข้างเหนือ 6 เส้นรูปสอบ ใช้พูนดินเปนเชิงเทิน คิดทั้งท้องคูข้างนอกสูงมาก กำแพงก่อด้วยแลง ใบเสมาเป็นรูปเสมาหยักแต่ใหญ่ คออ้วนเหลืออยู่น้อย ตามประตูน่าจะเป็นป้อมทุกแห่ง แต่ที่ได้เห็น 3 ประตู คือประตูน้ำอ้อย ประตูบ้านโนน ประตูดั้น ประตูหลังยังคงมีป้อมก่อด้วยแลงปรากฏป้อมนั้นเป็นลับแลอยู่ปากคูข้างนอก...”.เมื่อ พ.ศ. 2450 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จประพาสเมืองกำแพงเพชร และทรงพระราชนิพนธ์หนังสือ เรื่อง “เที่ยวเมืองพระร่วง” มีเนื้อความกล่าวถึงคูเมือง-กำแพงเมืองกำแพงเพชรดังนี้.“...กำแพงเชิงเทินทำแน่นหนาก่อด้วยแลง มีใบเสมาก่อเป็นแผ่นตรงขึ้นไปสักศอกหนึ่งแล้วจึงก่อเป็นรูปหลังเจียดขึ้นไปอีกศอกหนึ่ง บนกำแพงมีทางเดินได้รอบกว้างพอคนเดินหลีกกันได้สบาย นอกกำแพงมีคูลึก เดี๋ยวนี้น้ำยังขังอยู่บ้างเป็นแห่ง ๆ มีทางน้ำไหลเข้ามาจากลำแควน้อยได้ สังเกตว่าเปนเมืองที่แขงแรงมั่นคง น่าจะรักษาไว้ให้มั่นได้นาน ๆ..”.การศึกษาดำเนินงานทางโบราณคดีเมืองกำแพงเพชรโดยกรมศิลปากร เริ่มต้นเมื่อ พ.ศ. 2507-2512  หลังจากนั้นได้มีการดำเนินงานต่าง ๆ ทั้งการสำรวจ ขุดค้น ขุดแต่ง บูรณะ รวมทั้งปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์โบราณสถานทั้งบริเวณเขตอรัญญิก เขตในกำแพงเมือง และบริเวณนอกเมือง สำหรับการดำเนินงานทางโบราณคดีบริเวณคูเมืองกำแพงเพชร มีสาระโดยสังเขปดังต่อไปนี้.เมื่อ พ.ศ. 2528 โครงการอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรดำเนินการขุดลอกคูเมืองกำแพงเพชร เป็นความยาวประมาณ 3,735 เมตร เพื่ออนุรักษ์คูเมืองให้มั่นคงตามร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดี ทำให้พบร่องรอยเดิมของคูเมืองกำแพงเพชร ซึ่งมีความกว้าง 15-40 เมตร ลึกประมาณ 0.50-1.50 เมตร.เมื่อ พ.ศ. 2539-2541 อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ดำเนินโครงการปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์คูเมืองกำแพงเพชร โดยมีการดำเนินงาน 2 ส่วน ประกอบด้วย งานขุดลอกคูเมือง และงานบูรณะแนวกำแพงเมือง สำหรับงานขุดลอกคูเมืองนั้นมีการปรับแต่งขอบคูเมืองด้านนอกคูเมืองด้านทิศเหนือ ด้านทิศตะวันตก และด้านทิศใต้ตั้งแต่ป้อมมุมเมืองทิศตะวันตกเฉียงใต้ถึงป้อมเจ้าจันทร์ โดยเน้นการอนุรักษ์สภาพพื้นที่เดิม.เมื่อ พ.ศ. 2548 อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ดำเนินการทางโบราณคดีภายใต้โครงการพัฒนาอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรเพื่อการอนุรักษ์และเสริมสร้างศักยภาพการท่องเที่ยว โดยดำเนินการขุดแต่งคูเมือง กำแพงเมือง และป้อมปราการ จากการขุดแต่งคูเมืองพบว่า ส่วนคันดินชั้นกลาง คูเมืองชั้นกลาง และคูเมืองชั้นนอก ด้านทิศเหนือ มีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างจากคูเมืองชั้นใน เนื่องจากระดับก้นคูตื้นกว่าคูเมืองชั้นในประมาณ 2-3 เมตร อีกทั้งก้นคูเมืองยังเป็นดินทรายที่ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ จึงสันนิษฐานว่า คูเมืองและคันดินชั้นกลางและชั้นนอกทางด้านทิศเหนือ ไม่น่าจะใช้ประโยชน์ในการกักเก็บน้ำ แต่น่าจะมีวัตถุประสงค์ในการป้องกันข้าศึกศัตรูมากกว่า ส่วนคูเมืองทางด้านทิศใต้ ใช้ประโยชน์ในการกักเก็บน้ำและใช้ในการป้องกันข้าศึกศัตรูด้วย.การดำเนินการทางโบราณคดีครั้งนี้ พบตัวอย่างหลักฐานทางโบราณคดีที่สามารถกำหนดอายุเชิงเทียบ (relative dating) ได้ เช่น ชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเนื้อแกร่งตกแต่งด้วยลายขูดขีดและลายกดประทับจากแหล่งเตาบ้านบางปูน กำหนดอายุได้พุทธศตวรรษที่ 18-21 ชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเนื้อแกร่งเคลือบสีเขียว ชิ้นส่วนตุ๊กตาดินเผาเคลือบสีเขียว จากแหล่งเตาเมืองศรีสัชนาลัย กำหนดอายุได้พุทธศตวรรษที่ 20-21 ชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเนื้อแกร่งเคลือบสีขาวนวลเขียนลวดลาย จากแหล่งเตาเมืองสุโขทัย กำหนดอายุได้พุทธศตวรรษที่ 19-21 ชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเนื้อแกร่งตกแต่งด้วยลวดลายตัวอุ ชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเนื้อแกร่งเคลือบสีน้ำตาลดำ จากแหล่งเตาแม่น้ำน้อย กำหนดอายุได้พุทธศตวรรษที่ 20-23 ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจีนเขียนสีน้ำเงินใต้เคลือบ สมัยราชวงศ์หมิง กำหนดอายุได้พุทธศตวรรษที่ 20-22 ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจีนเขียนสีน้ำเงินใต้เคลือบ สมัยราชวงศ์ชิง กำหนดอายุได้พุทธศตวรรษที่ 22-23 เป็นต้น..เอกสารอ้างอิงกฤษฎา พิณศรี, ปริวรรต ธรรมาปรีชากร และอุษา ง้วนเพียรภาค, เครื่องถ้วยสุโขทัย พัฒนาการของเครื่องถ้วยไทย (กรุงเทพฯ: โอสถสภา, 2535.กรมศิลปากร, เตาแม่น้ำน้อย, (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร), 2531.ธงชัย สาโค, สังคโลกเตาทุเรียงเมืองสุโขทัย: ข้อมูลใหม่จากหลักฐานโบราณคดี (กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม, 2564.นารีรัตน์ ปรีชาพีชคุปต์, ธาดา สังข์ทอง และอนันต์ ชูโชติ ; ผู้แปลภาษาอังกฤษ, นันทนา ตันติเวสสะ และ สุรพล นาถะพินธุ. นำชมอุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร (Guide to Sukhothai Si Satchanalai and Kamphaeng Phet historical parks). พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ,2542.ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน, (2511, 7 พฤษภาคม), ราชกิจจานุเบกษา, (เล่ม 85, ตอนที่ 41), 1340.พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. เที่ยวเมืองพระร่วง. กรุงเทพฯ : มูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์, 2519.มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. ครบ ๑๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสต้น เมืองกำแพงเพชร วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2549. กรุงเทพฯ : จังหวัดกำแพงเพชร, 2549.สายันต์ ไพรชาญจิตร์, โบราณคดีเครื่องถ้วยในสยาม แหล่งเตาล้านนาและสุพรรณบุรี, (กรุงเทพฯ : โครงการศิลปากรพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยศิลปากร), 2554.ห้างหุ้นส่วนจำกัด สามเพชร, รายงานผลการขุดค้น ขุดตรวจ ขุดแต่งพื้นที่สนามด้านหน้าที่ว่าการอำเภอเมืองกำแพงเพชร (ฝั่งตะวันตก) คูเมืองและคันดินชั้นใน ชั้นกลาง และชั้นนอก ด้านทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ป้อมด้านหน้าประตูวัดช้าง ป้อมด้านหน้าประตูเตาอิฐ ป้อมมุมเมืองตะวันออกเฉียงเหนือ, (กำแพงเพชร : โครงการพัฒนาอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรเพื่อการอนุรักษ์และเสริมสร้างศักยภาพการท่องเที่ยว), ไม่ระบุปีที่พิมพ์.อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร, รายงานการขุดลอกคูเมือง เมืองกำแพงเพชร, (กำแพงเพชร : โครงการอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร), ไม่ระบุปีที่พิมพ์.



          สำนักหอสมุดแห่งชาติ ขอเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมโครงการบรรยาย - อภิปราย เนื่องในวันสุนทรภู่ ประจำปี 2566 รับชมรับฟังการอภิปรายประกอบการแสดงหุ่นกระบอกไทย เรื่อง "พระอภัยมณี ตอน หนีนางผีเสื้อ" โดย ดร.นิเวศ แววสมณะ แห่งบ้านตุ๊กตุ่นไทย ในวันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน 2566 เวลา 13.00 - 16.00 น. ณ ห้องประชุมใหญ่ สำนักหอสมุดแห่งชาติ           ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนออนไลน์เพื่อเข้าร่วมโครงการล่วงหน้า ได้ที่ https://forms.gle/8d7dqfKSBWd3kLPu9 หรือ สแกน QR code ในภาพ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0 2280 9828 ต่อ 734 (ในวันและเวลาราชการ)


          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร ขอเชิญชมนิทรรศการ “แรงบันดาลใจ” ครั้งที่ 7 จัดโดยบ้านรักศิลปะชุมพร จัดแสดงฝีมือของน้องๆ ระดับชั้นอนุบาลจนถึงศิลปิน ร่วมวาดภาพผ่านเฟรมแคนวาสมากกว่าร้อยภาพ เปิดให้ชมตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2566 ถึง 18 สิงหาคม 2566  ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร โดยผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เป็นประธานในพิธิีเปิด พร้อมทำกิจกรรม Work Shop วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม 2566 เวลา 9.30 น. เป็นต้นไป            สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บ้านรักศิลปะ ชุมพร โทร. 08 1268 2740


         น้ำต้นนั้นเป็นภาษาถิ่นเหนือตรงกับ คนโท ในภาษากลางนั่นเอง น้ำต้นที่กล่าวถึงนี้พบจำนวน ๒ ใบ ในคลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สำคัญคือบริเวณส่วนคอมีจารึกอักษรไทย ภาษาไทย จำนวน ๔ บรรทัด ความว่า “กองทัพฝ่ายเหนือ ๑๒๕๐ ทำ เมืองหลวงพระบาง” พร้อมลงลายมือชื่อกำกับว่า “สุรศักดิ์” เมื่อตรวจสอบประวัติที่มาจากสมุดทะเบียนระบุเพียงว่าเป็นของอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมาแต่เดิม          เมื่อสืบย้อนประวัติศาสตร์จากหลักฐานปีบนจารึกพบว่าช่วงเวลานั้นมีสงครามสำคัญคือสงครามปราบฮ่อ ซึ่งสงครามดังกล่าวยืดเยื้อมาตั้งแต่ราว พ.ศ. ๒๕๑๘ แล้ว กระทั่งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๘ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชดำรัสต่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระบำราบปรปักษ์ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในการประชุมเสนาบดี ว่า “...หม่อมฉันก็จะขอจัดกองทัพเป็นอย่างใหม่...จะจัดกองทัพเป็น ๒ กอง คือ กองทัพฝ่ายเหนือและกองทัพฝ่ายใต้ กองทัพฝ่ายเหนือนั้นหม่อมฉันจะให้พระนายไวยฯ เป็นแม่ทัพ...ส่วนแม่ทัพฝ่ายใต้นั้น หม่อมฉันจะให้กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมเป็นแม่ทัพ...”          กองทัพทั้งสองที่ถูกส่งไปเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘ และได้รับชัยชนะ พร้อมจับบุตรเจ้าเมืองไลลงมากรุงเทพฯ เนื่องด้วยเจ้าหมื่นไวยวรนารถเห็นว่าเมืองไลเอาใจออกห่างสยาม จึงหวังให้เจ้าเมืองไลยอมอ่อนน้อม แต่ไม่เป็นเช่นนั้น เมืองไลยกทัพมาพร้อมกับฮ่อธงดำเข้าปล้นและทำลายเมืองหลวงพระบางเพราะเข้าใจว่าพี่น้องของตนถูกจับไว้ที่เมืองแห่งนี้ ทำให้ พ.ศ. ๒๔๓๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงส่งทัพเพื่อขึ้นไปรักษาความสงบและป้องกันการเข้าแทรกแซงดินแดนลาวของฝรั่งเศส โดยโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าหมื่นไวยวรนารถ (ขณะนั้นได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นพระยาสุรศักดิ์มนตรี) เป็นผู้รับผิดชอบ โดยการยกทัพขึ้นไปครั้งนี้เป็นการยืนยันสิทธิของไทยในดินแดนลาวต่อฝรั่งเศส พร้อมส่งคณะทำแผนที่เพื่อปักปันเขตแดน มีการจัดการบ้านเมือง เช่น ทำสำมะโนประชากร ฝึกกองทหาร ตัดถนน ตั้งโรงพยาบาล กระทั่งบ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อยจึงเดินทัพกลับและถึงกรุงเทพฯ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๒          การยกทัพไปคราวนี้ เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีได้เขียนบันทึกในไดอารี่ไว้ตอนหนึ่งช่วง พ.ศ. ๒๔๓๑ ว่า “ระหว่างราชการสงบในคราวฤดูฝนคราวนี้ ข้าพเจ้าว่างราชการ ได้ประชุมกันคิดทำนุบำรุงบ้านเมืองขึ้นตามกำลังและความสามารถ...ได้สังเกตเห็นดินเมืองนครหลวงพระบางเหนียวดี จึงได้ทำอิฐและกระเบื้องขึ้นไว้...ส่วนอิฐและกระเบื้องในบริเวณคุ้มและศาลาว่าการนั้น ได้มีตรานามแม่ทัพและจุลศักราชที่ได้ยกทัพขึ้นไปปราบฮ่อ เพื่อไว้เป็นที่ระลึก...” อีกทั้งยังพบหลักฐานยืนยันบันทึกดังกล่าว คือ แผ่นอิฐปูพื้นพระอุโบสถ วัดจอมเพชร วัดไทยขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง มีจารึกเนื้อความเช่นเดียวกันตอกประทับไว้บนอิฐทุกแผ่น ดังนั้นอาจสันนิษฐานว่าน้ำต้นคู่นี้คงผลิตขึ้นหลังการปราบฮ่อลุล่วงแล้ว และเป็นคราวเดียวกับที่ทำนุบำรุงบ้านเมืองที่นครหลวงพระบาง          อย่างไรก็ตาม จากรูปแบบของน้ำต้น ที่ตกแต่งด้วยการรมดำขัดมัน รูปแบบเช่นนี้ไม่นิยมนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เนื่องจากการรมดำทำให้เกิดกลิ่นเขม่าควันเจือปนกับน้ำ ดังนั้นน้ำต้นรูปแบบดังกล่าวหากเป็นชาวบ้านมักใช้ถวายเป็นพุทธบูชา และหากเป็นเจ้านายมักใช้เป็นเครื่องประกอบยศ          เมื่อพิจารณาจากรูปแบบของน้ำต้นร่วมกับบันทึกความทรงจำของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีจึงสันนิษฐานว่า หน้าที่ของน้ำต้นนี้ไม่ได้ผลิตขึ้นเพื่อบรรจุน้ำสำหรับดื่มกิน แต่ผลิตขึ้นและนำกลับมายังกรุงเทพฯ เพื่อเป็นของที่ระลึกในการยกทัพไปปราบฮ่อที่เมืองหลวงพระบางนั่นเอง   บรรณานุกรม - กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, สมเด็จ. ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๒๔ พระนคร: โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๖๕. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ จอมพล เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตฯ (ม.ร.ว.อรุณ ฉัตรกุล ณ กรุงเทพ) พ.ศ. ๒๔๖๕. - ไกรฤกษ์ นานา. หน้าหนึ่งในสยาม : ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์ กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๕๖. - แจ้งราชการ. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๒. ๒๔ พฤศจิกายน ๒๔๓๐. - เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม). ประวัติการของจอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี เล่ม ๑ มปพ, ๒๔๗๖. คุณหญิงสงวน สุรศักดิ์มนตรี พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีฯ ๘ เมษายน ๒๔๗๖. -  ประวัติการของจอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี เล่ม ๒ มปพ, ๒๔๗๖. คุณหญิงสงวน สุรศักดิ์มนตรี พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีฯ ๘ เมษายน ๒๔๗๖. - นิธิ เอียวศรีวงศ์. การปราบฮ่อและการเสียดินแดน พ.ศ. ๒๔๓๑ วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, ๒๕๐๙. - พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์. เรื่องตั้งเจ้าพระยา ในกรุงรัตนโกสินทร์ กรุงเทพฯ: หอพระสมุดวชิรญาณ, ๒๔๖๑. - พระวิภาคภูวดล, เขียน. สุทธิศักดิ์ ปาลโพธิ์, แปล. บุกเบิกสยาม : การสำรวจของพระวิภาคภูวดล (เจมส์ แมคคาร์ธี) พ.ศ. ๒๔๒๔ - ๒๔๓๖ กรุงเทพฯ: ริเวอร์ บุ๊คส์, ๒๕๖๑. - มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่. พจนานุกรมภาษาล้านนา เชียงใหม่: สถาบันภาษา ศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่, ๒๕๕๐. - มัณฑนา ชอุ่มผล. “ลายมือ” และ “ลายเซ็น” ของรัชกาลที่ ๔.” ใน ศิลปวัฒนธรรม ๒๔, ๗ พฤษภาคม ๒๕๔๖. - ประกาศให้เสนาบดีลงชื่อข้างท้ายท้องตรา. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕ วันเสาร์ เดือนสี่ ขึ้นแปดค่ำ ปีชวด สัมฤทธิศก ๑๒๕๐. - ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๙ (ประชุมพงศาวดาร ภาค ๙ และภาค ๑๐ ตอนต้น) กรุงเทพฯ: คุรุสภา, ๒๕๐๗. - เปลี่ยนตำแหน่งแลเพิ่มบรรดาศักดิทหารที่ไปราชการทัพ. ๒๔๓๐, ๒๔ พฤศจิกายน. ราชกิจจานุเบกษา. [ออนไลน์]. เล่ม ๔ หน้า ๒๘๐ สืบค้นเมื่อ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๕. จาก: ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2430/035/280.PDF - สุรพล ดำริห์กุล. แผ่นดินล้านนา กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๓๙ - อัญชลี โสมดี และคณะ. “น้ำต้น” อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของอนุภาคลุ่มน้ำโขง กรุงเทพฯ: สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม, ๒๕๕๗. - Liu Xu Yin และ ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์. “ข้อถกเถียงในประวัติศาสตร์นิพนธ์ เกี่ยวกับการต่อสู้ของ ตู้เหวินซิ่วในประเทศจีน ค.ศ. ๑๙๕๕-๒๐๑๕.” ใน ศาสตร์แห่งการจำ ศิลป์แห่งการลืม เล่ม ๒ ปัตตานี: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, ๒๕๕๙.



นิตยสารรายสองเดือน กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ปีที่ ๖๖ ฉบับที่ ๕ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๖๖ SILPAKORN JOURNAL Vol.66 No. 5 September - October 2023 ISSN 0125-0531


-- องค์ความรู้จากเอกสารจดหมายเหตุ : “รถแตรมเว” ที่บางมูลนาก -- ครั้งหนึ่งเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เราเคยเกือบมีเส้นทางรถไฟจากบางมูลนากไปยังหล่มสัก เรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร เอกสารจดหมายเหตุมีคำตอบ. ข้อมูลจากเอกสารจดหมายเหตุชุดกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 5 กระทรวงโยธาธิการ ระบุว่า เมื่อเดือนกันยายน ร.ศ. 125 (พ.ศ. 2449) พระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม) ผู้แทนเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการในขณะนั้น ได้มีหนังสือกราบทูลพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสมมตอมรพันธ์ ราชเลขานุการ ความว่า มิสเตอร์เย. เฟอร์แรนโด ได้ยื่นขออนุญาตสร้างทางรถแตรมแว (tramway) หรือทางรถไฟขนาดกว้าง 0.75 เมตร แยกจากทางรถไฟสายเหนือที่ตำบลบางบุญนาค (ปัจจุบันคืออำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร – ผู้เขียน) ไปยังเมืองหล่มศักดิ์ (หล่มสัก) ในมณฑลเพชรบูรณ์ โดยมิสเตอร์เฟอร์แรนโดให้เหตุผลในการยื่นขออนุญาตว่า พื้นที่นี้แม้จะมีความอุดมสมบูรณ์ แต่เส้นทางสัญจรมีความทุรกันดาร ไม่สะดวกต่อการขนส่งสินค้า ครั้นจะใช้การขนส่งทางเรือขึ้นล่องตามแม่น้ำป่าสัก ปีหนึ่งก็จะเดินเรือได้เพียงสามเดือนเท่านั้น ดังนั้นการสร้างทางรถไฟจะช่วยให้พ่อค้าสามารถขนส่งสินค้าไปมาได้อย่างสะดวก และนำผลประโยชน์มาป้อนทางรถไฟสายเหนือด้วย. อย่างไรก็ตาม พระยาสุขุมนัยวินิตเห็นว่า การสร้างทางรถไฟในประเทศนั้น รัฐบาลจะเป็นผู้ดำเนินการเอง ซึ่งในขณะนั้นกรมรถไฟได้จัดตั้งกองพนักงานสำหรับสำรวจเส้นทางที่จะก่อสร้างทางรถไฟ จึงไม่อนุญาตให้เอกชนรายใดก่อสร้างทางรถไฟอีก ทั้งนี้พระยาสุขุมนัยวินิตได้ตอบปฏิเสธมิสเตอร์เย. เฟอร์แรนโด ไปแล้วโดยอ้างถึงเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ด้วยเหตุนี้จึงยังไม่มีการก่อสร้างทางรถไฟช่วงระหว่างบางมูลนาก – หล่มสักมาจนถึงปัจจุบัน.ผู้เขียน: นายธัชพงศ์ พัตรสงวน (นักจดหมายเหตุปฏิบัติการ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา).เอกสารอ้างอิง: สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารชุดกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 5 กระทรวงโยธาธิการ ร.5 ยธ. 5.2/15 เรื่อง มิสเตอร์เฟอรันโดขออนุญาตสร้างทางรถไฟคลองรังสิตกับเมืองวัฒนา และขออนุญาตสร้างทางรถแตรมเวที่มณฑลเพ็ชรบูรณ์ [ 14 พ.ย. 115 – 7 ก.ย. 125 ].      #จดหมายเหตุ #องค์ความรู้จากจากจดหมายเหตุ #หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯพะเยา #เอกสารจดหมายเหตุ


          หลังจากผ่านพ้นกิจกรรมการเสวนาทางวิชาการ เรื่อง อัตลักษณ์ทับหลังปราสาทพิมาย และทับหลังพบใหม่ในจังหวัดนครราชสีมาไปแล้ว เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2566 เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับทับหลัง กรมศิลปากรมีไฟล์เอกสารประกอบการเสวนามาแจก ฟรี!! โดยทุกท่านสามารถดาวน์โหลดได้ผ่านQR หรือทางลิงก์ ที่นี่


ตรังสาร จัดทำขึ้นเพื่อจัดจำหน่ายในงานฉลองรัฐธรรมนูญ ประจำปี 2482 โดยรวบรวมเอกสารทางราชการที่ประชาชนควรทราบ รวมทั้งเรื่องราวของจังหวัดตรัง เพื่อให้บุคคลภายนอกจังหวัดได้รู้จักเมืองตรังมากยิ่งขึ้น


          สถูปจำลอง           แบบศิลปะ : ลพบุรี           ชนิด :  สำริด            ขนาด : สูง 23 เซนติเมตร กว้าง 8 เซนติเมตร           อายุสมัย : พุทธศตวรรษที่ 18            ลักษณะ : สถูป มีฐานเขียงรองรับชุดฐานบัว เหนือฐานบัวประดับด้วยเจดีย์ขนาดเล็กที่มุมทั้งสี่ด้าน ที่เรือนธาตุด้านล่างเป็นสี่เหลี่ยมประดิษฐานแถวพระพุทธรูปปางมารวิชัย ด้านละ 3 องค์ทั้งสี่ด้าน ถัดขึ้นมาเป็นแถวกลีบบัวหงายรองรับองค์ระฆัง มีรัดอกที่กึ่งกลางองค์ระฆัง เหนือองค์ระฆังขึ้นไปเป็นแถวกลีบบัวคว่ำ รองรับปล้องไฉนและปลียอด             สภาพ : สมบูรณ์ สามารถถอดชิ้นส่วนได้             ประวัติ : นายอี่ กรรณสูต เจ้าเมืองสุพรรณบุรี มอบให้เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2470 ย้ายจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2544           สถานที่จัดแสดง : ห้องศาสนศิลป์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี   แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/suphanburi/360/model/03/   ที่มา: hhttp://www.virtualmuseum.finearts.go.th/suphanburi


ข้อมูลสำคัญในการที่จะดำเนินการจำลองแบบคำจารึกบนแผ่นหินอ่อนของกู่เจ้าหลวงเชียงใหม่ ภายในพื้นที่โบราณสถานวัดสวนดอก พระอารามหลวง จังหวัดเชียงใหม่  กู่พระเจ้าอินทรวิชยานนท์ฯ ที่ถูกคนร้ายทุบทำลายเสียหายเมื่อวันที่ื 22 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ขอกราบขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ธนโชติ เกียรติณภัทร ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้บันทึกภาพนี้ไว้เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นรูปที่มีความละเอียดชัดเจนที่สุดและเป็นภาพล่าสุดที่มีการบันทึกภาพแผ่นจารึกนี้  และขอขอบพระคุณ หอจดหมายเหตุแห่งชาติฯเชียงใหม่ ที่ได้ประสานรายละเอียดต่างๆ กราบขอบพระคุณด้วยใจจริงครับ ท่านใดที่มีข้อมูลภาพถ่ายที่มีคุณค่านี้เพิ่มเติม  ขอความอนุเคราะห์ด้วยนะครับ เพื่อทางเราจะได้นำมาใช้ประโยชน์ในการอนุรักษ์แผ่นจารึกบนกู่เจ้าหลวงฯ แห่งนี้ต่อไปครับ #วัดสวนดอกเชียงใหม่ #กู่เจ้าหลวงเชียงใหม่


#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่วิหารจำลอง (โลหะเชตวันวิหาร)รูปแบบ ศิลปะล้านนา พุทธศักราช 2269วัสดุ สำริดประวัติ  - สันนิษฐานว่าที่ตั้งเดิมอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงแสน เนื่องจากข้อความในจารึกมีการกล่าวถึง บ้านของผู้สร้างคือหมื่นสรภิรมย์ ว่าตั้งอยู่หน้าวัดขาวป๊าน ซึ่งคงเป็น วัดผ้าขาวป้าน ในตัวเมืองเชียงแสน ใกล้แม่น้ำโขง- วิหารจำลองหลังนี้ถูกนำไปไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม และย้ายไปไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ ----------------------------------------------------ลักษณะวิหารจำลองเป็นการจำลองรูปแบบและโครงสร้างคล้ายกับวิหารขนาดจริงที่เป็นอาคารหลังคาคลุมเครื่องไม้มุงกระเบื้อง โดยย่อส่วนให้มีขนาดเล็กลงและอยู่ในวัสดุสำริด .แผนผังของวิหารจำลองอยู่ในผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีมุขด้านหน้า 3 มุข ด้านหลัง 2 มุข (เป็นที่มาของหลังคาลดชั้นที่นิยมเรียกว่า หน้า 3 หลัง 2) ซึ่งเป็นรูปแบบเฉพาะของศิลปะล้านนา .มีฐานเขียงรองรับฐานบัวลูกแก้วอกไก่ บริเวณฐานด้านหน้าทางเข้าประดับประติมากรรมรูปสัตว์ครึ่งตัว สันนิษฐานว่าเป็นสิงห์ จำนวน 2 ตัว .ตัวอาคารเป็นแบบมีฝาผนัง โดยทำฉลุลายคล้ายก้อนเมฆหรือลายช่องกระจกในศิลปะจีน และสลักลายรูปยักษ์ถือกระบอง เปรียบเสมือนทวารบาลที่มักอยู่ที่บานประตู คอยปกป้องสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้าภายในวิหาร มีซุ้มประตูทางเข้าที่ด้านหน้า และด้านข้างทั้งสอง.เครื่องบนหลังคา ในส่วนของปราสาทเฟื้อง (ส่วนประดับกลางสันหลังคา) ขอบป้านลม และหางหงส์ ถูกประดับด้วยรูปหงส์ โดยรูปแบบนี้เป็นการจำลองเครื่องบนซึ่งอาจจะทำจากเครื่องเคลือบดินเผาประดับร่วมอยู่ด้วย เป็นการจำลองวิหารที่เกิดขึ้นในยุคที่ล้านนาอยู่ภายใต้ปกครองของพม่า.วิหารจำลองหลังนี้มีจารึกอักษรธรรมล้านนา ภาษาไทยยวน ปรากฏอยู่ที่ ฝาผนังหลังวิหารด้านนอก ส่วนฐานวิหาร และรอบกรุเจดีย์ในวิหาร ข้อความที่จารึกมีใจความเหมือนกับการจารึกที่ฐานพระพุทธรูป เพียงแต่นำออกมามาจารึกที่ตัววิหารแทน กล่าวคือ บอกวันเดือนปีที่สร้าง นามผู้สร้างพร้อมคณะ บอกสิ่งที่สร้าง เจตนาการสร้าง คำปรารถนาของผู้สร้าง และคำบาลี .โดยสรุปใจความโดยย่อได้ว่า... เมื่อจุลศักราช 1088 (ตรงกับปีพุทธศักราช 2269) หมื่นสรภิรมย์ และนางหมื่นสรภิรมย์ บ้านอยู่ที่หน้าวัดขาวป๊าน (คาดว่าเป็นวัดผ้าขาวป้าน) เป็นประธาน พร้อมลูกหลานเหลน วงศาคณาญาติทุกคน มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพุทธศาสนา จึงสร้างโลหะเชตวันวิหารหลังนี้ และยังได้สร้างพระพุทธรูปองค์หนึ่งและมหาเจดีย์เจ้าหลังหนึ่ง ตั้งไว้ในวิหารจำลองหลังนี้ด้วย (แต่ปัจจุบันภายในเหลือเพียงส่วนฐานของพระพุทธรูปและเจดีย์) เพื่อให้เป็นที่ไหว้สักการะ และสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ถึง 5,000 พระวัสสา ขอให้ผลบุญที่ได้นำไปสู่นิพพาน .นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึง น้ำหนักทองสำริดที่ใช้ในการสร้างหมดไป 120,000 (ประมาณ 132 กิโลกรัม) เป็นเงิน 1,170 อีกด้วย.แม้ว่าจะการสร้างวิหารจำลอง อาจจะมีสัดส่วนผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ก็ยังคงมีการเก็บรายละเอียดโดยรวมให้คล้ายคลึงกับวิหารขนาดจริงมากที่สุด อาจเป็นไปได้ว่ามีความเชื่อเกี่ยวกับอานิสงค์ของการสร้างวิหารจำลองว่าเปรียบเสมือนได้สร้างวิหารขนาดจริง เพียงแต่สร้างเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปที่สร้างถวายไว้----------------------------------------------------อ้างอิง - ฮันส์ เพนธ์, ศรีเลา เกษพรหม และศราวุธ ศรีทา. ประชุมจารึกล้านนา เล่ม 8 : จารึกในจังหวัดเชียงใหม่. เชียงใหม่ : โรงพิมพ์มิ่งเมือง, 2547. หน้า 299-304- ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะล้านนา. กรุงเทพฯ : มติชน, 2556. หน้า 170-174.- ฐาปกรณ์ เครือระยา. เครื่องเคลือบดินเผาประดับในศิลปกรรมล้านนา. เชียงใหม่ :โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (อพ.สธ.-มจ.), 2566. หน้า 100 – 103.


black ribbon.