ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ

ผ้าไหมมัดหมี่ เป็นศิลปะการทอผ้าพื้นเมืองชนิดหนึ่งนิยมทำมานานแล้ว ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และบางท้องที่ในเขตภาคกลาง เช่น จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานี กาญจนบุรี ลพบุรี และชัยนาท วิธีการทำผ้ามัดหมี่คือการมัดด้ายให้เป็นลายที่เส้นพุ่งหรือเส้นยืนด้วยเชือกแล้วนำไปย้อมสี เพื่อให้สีและลายตามที่กำหนด แล้วจึงนำมาทอเป็นผ้า ผ้าไหมมัดหมี่ในบ้านเราส่วนใหญ่นิยมทอผ้ามัดหมี่เส้นพุ่ง แต่มีบางจังหวัดที่มีการทำผ้ามัดหมี่โดยใช้เส้นยืน ซึ่งได้แก่จังหวัด เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ราชบุรี เพชรบุรี ส่วนใหญ่เป็นผ้าชาวเขาซึ่งเป็นผ้าซิ่นมัดหมี่ ราชบุรี สุพรรณบุรี ฯลฯ บางแห่งมีการทอผ้ามัดหมี่สลับกันกับลายขิต เพื่อเพิ่มความงดงามให้แก่ผ้าไหมมากยิ่งขึ้น ส่วนผ้ามัดหมี่จากสุรินทร์ มีชื่อเสียงทั้งในด้านความสวยงามของเส้นไหมและลวดลายซึ่งได้รับอิทธิพลจากเขมร มัดหมี่ (Ikat) เป็นชื่อเรียกกรรมวิธีการสร้างลวดลายบนผืนผ้าแบบหนึ่ง ที่เกิดจากการมัดเส้นด้ายที่จะนำไปใช้ในการทอผืนผ้าโดยมัดเส้นด้ายให้เป็นเปลาะ ๆ ตามลวดลายที่กำหนดไว้ให้แน่นด้วยวัสดุต่าง ๆ ตามแต่ละท้องถิ่นนิยมใช้ เช่น เชือกกล้วย เส้นด้ายฝ้าย ใบว่านสากเหล็กหรือต่อเหล่าอี้ หรือเส้นเชือกพลาสติกเพื่อปิดกั้นไม่ให้เส้นด้ายที่มัดไว้สัมผัสกับสีย้อม แล้วนำเส้นด้ายที่มัดแล้วไปย้อมสี แล้วแกะวัสดุที่มัดนั้นออก หากต้องการให้เกิดลวดลายที่มีหลายสี ต้องมัดและย้อมสีทับกันหลายครั้งเพื่อให้ได้ลวดลาย สีสันตามต้องการ ผ่านกระบวนการเตรียมเส้นเพื่อใช้ทอเป็นผืนผ้า เมื่อทอออกมาเป็นผืนผ้าสำเร็จแล้วจะเกิดเป็นลวดลายและสีสันที่ต้องการ มัดหมี่ เป็นชื่อเรียกที่รู้จักกัน โดยทั่วไป ในประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานซึ่งมีการทอผ้ามัดหมี่มากที่สุด ในภาคเหนือนิยมเรียกว่า มัดก่าน ในต่างประเทศนิยมใช้คำว่า ikatซึ่งเป็นคำศัพท์ภาษาอินโดนีเซีย-มลายูโดยกรรมวิธีการมัดหมี่แบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้ มัดหมี่เส้นยืน (warp ikat) คือมัดหมี่ที่มัดเส้นด้ายเฉพาะที่ใช้เป็นเส้นยืน ส่วนเส้นพุ่งจะย้อมให้เป็นสีพื้นเพียงสีเดียว โดยไม่มีการมัดลวดลายใด ๆ เลย ลวดลายของมัดหมี่ชนิดนี้จะปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อนำเส้นยืนมาขึงโยงยึดเข้ากับกี่เรียบร้อยพร้อมที่จะทอแล้ว แม้ว่าจะยังไม่นำเส้นพุ่งมาสอดทอเลยก็ตาม มัดหมี่เส้นพุ่ง (weft ikat) คือ มัดหมี่ที่มัดย้อมเส้นด้ายเฉพาะที่ใช้เป็นเส้นพุ่งลวดลายที่เกิดจากการมัดย้อมจะปรากฎให้เห็นได้ก็ต่อเมื่อทอออกมาเป็นผืนผ้าสำเร็จแล้วเท่านั้น มัดหมี่สองทาง (double ikat) คือ มัดหมี่ที่ต้องมัดย้อมเส้นด้ายทั้งเส้นยืนและเส้นพุ่ง ด้วยความประณีตและซับซ้อนเป็นอย่างมาก เพราะต้องมีการคำนวณด้วยมาตราส่วนของช่างทอเอง เพื่อให้การมัดย้อมเส้นยืนและเส้นพุ่งมีลวดลายตรงกันเมื่อนำมาทอเป็นผืนผ้า และในขณะที่ทอนั้นเองก็ต้องมีความระมัดระวังมากต้องคอยขยับเส้นพุ่งที่ทอให้ตรงกับลวดลายที่มัดย้อมไว้ก่อนแล้วบนเส้นยืน จึงทำให้มัดหมี่ประเภทนี้มีราคาสูงมาก การทอผ้ามัดหมี่โดยทั่วไป 2 ลักษณะ คือ 1.การทอผ้ามัดหมี่ 2 ตะกรอ เป็นลายขัดธรรมดา ผ้าจะใช้ได้เพียงหน้าเดียว 2. การทอผ้ามัดหมี่ 3 ตะกรอ เป็นการทอผ้าลายสอง เนื้อผ้าจะแน่น สามารถใช้ผ้าได้ทั้ง 2 ด้าน โดยด้านหน้าจะให้สีสดใส และลวดลายชัดกว่าด้านใน ผ้ามัดหมี่มีการทำกันอย่างแพร่หลาย สามารถทำได้ดีทั้งผ้าฝ้ายและผ้าไหม โดยเฉพาะผ้าไหมจะมีความสวยงามมาก นอกจากตัวผ้าไหมเองแล้ว ลวดลายและสีสันยังเป็นปัจจัยที่ช่วยสร้างความสวยงามให้มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันมีการทอผ้ามัดหมี่หลากหลายรูปแบบ รวมทั้งมีการดัดแปลงลายพื้นบ้านผสมกับลายโบราณที่ถ่ายทอดสืบต่อมาเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังได้มีการนำผ้าไหมมัดหมี่มาออกแบบเสื้อผ้าสตรี-บุรุษได้อย่างสวยงามและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่นมากผ้าไหมมัดหมี่มีการผลิตกันมาก และเป็นที่ต้องการของตลาด เช่น ผ้าไหมมัดหมี่ลายต่างๆ ทั้ง 2 ตะกรอ และ 3 ตะกรอ ผ้าไหมมัดหมี่หน้านางธรรมดา ผ้ามัดหมี่หน้านางประยุกต์ ผ้ามัดหมี่หน้านางพิเศษ ซึ่งแต่ละชนิดจะมีความยากง่ายในการมัด และทอต่างกัน ความสวยงามก็จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความปราณีตละเอียดของขบวนการมัดหมี่และทอผ้าสำหรับลวดลายต่างๆ ที่ผู้ทอผ้ามัดหมี่ได้มีการออกแบบลวดลายนั้น ก็จะนำมาจากลวดลายเก่าแก่ที่ยังคงอยู่ ผสมกับแนวความคิดในการผสมลวดลายต่างๆ กัน เช่น ลายเครื่องตำลึง ลายพญานาคคู่ ลายลูกศร ลายมัดหมี่ผ้าปูมเขมร ลายขอพระเทพ เป็นต้น ข้อมูลอ้างอิง ประวัติผ้าไหมมัดหมี่.[ออนไลน์].สืบค้นเมื่อ 3 พฤษภาคม 2565, จาก:https://www.ketysmile.com/2020/11/13/ประวัติผ้าไหมมัดหมี่. 2563. กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. งานช่างฝีมือดั้งเดิม : มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ.พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2560. เผ่าทอง ทองเจือ และกิตติกรณ์ นพอุดมพันธุ์. มัดหมี่ สายสัมพันธ์แห่งเอเชีย.พระนครศรีอยุธยา: ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน), 2559. เรียบเรียงโดย : นางสุพัชรี ฉันทเลิศวิทยา บรรณารักษ์ชำนาญการ สำนักหอสมุดแห่งชาติ


      สร้อยลูกปัดหินกึ่งมีค่า       สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ประมาณ ๑,๗๐๐-๒,๓๐๐ ปีมาแล้ว       ได้จากนักเรียนโรงเรียนวัดสาลวนราม ตำบลดอนตาเพชร อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๙       ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ณ ห้องก่อนประวัติศาสตร์ อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร       สร้อยลูกปัดหินคาร์เนเลียน (Carnelian) ทั้งแบบกลม และแบบห้าเหลี่ยม กับลูกปัดหินอาเกต (Agate) ลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอกตกแต่งด้วยลายเส้นสีขาว* (Etched bead) กลางสร้อยเป็นจี้หินอาเกต       การพบสร้อยเครื่องประดับดังกล่าว สะท้อนความสำคัญได้หลายประการ กล่าวคือ ประการแรก พัฒนาการของชุมชนบ้านดอนตาเพชรยุคเหล็กมีการติดต่อแลกเปลี่ยนทำการค้ากับชุมชนโบราณจากทางอินเดีย อาจเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างทรัพยากรในพื้นที่กับของมีค่าจากต่างพื้นที่ (นอกจากนี้หลุมฝังศพบางหลุมพบร่องรอยของเศษผ้าไหมซึ่งน่าจะนำเข้ามาจากจีน) ประการที่สอง เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงสถานะทางสังคมของผู้สวมใส่ ผู้ครอบครอง เนื่องจากลูกปัดดังกล่าวเป็นของที่ทำขึ้นจากวัสดุหายาก ประการที่สาม การพบลูกปัดในหลุมฝังศพยังสะท้อนถึงระบบความเชื่อเกี่ยวกับการอุทิศข้าวของเครื่องใช้แก่ผู้วายชนม์ เพื่อนำติดตัวไปยังภพภูมิหลังความตาย      ลูกปัดหินคาร์เนเลียนและลูกปัดหินอาเกต เป็นตัวอย่างของโบราณวัตถุที่สะท้อนว่า ชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่แหล่งโบราณคดีบ้านดอนตาเพชรช่วงยุคเหล็ก มีการติดต่อสัมพันธ์กับชุมชนต่างพื้นที่ โดยเฉพาะกับชุมชนโบราณในอินเดีย ซึ่งมีหลักฐานว่าแหล่งโบราณคดีบางแห่งปรากฏร่องรอยการเป็นแหล่งผลิตลูกปัดหินสี เช่น ที่เมืองอริกาเมดุ (Arikamedu) เมืองท่าชายฝั่งตะวันออกของอินเดีย* เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบโบราณวัตถุชิ้นอื่น ๆ ที่เชื่อว่าน่าจะนำเข้ามาจากอินเดียเช่นกัน อาทิ จี้รูปสิงโตทำจากหินคาร์เนเลียน ชิ้นส่วนภาชนะสัมฤทธิ์ทรงขันมีลวดลายรูปสตรีแต่งกายอย่างชาวอินเดีย ชิ้นส่วนสัมฤทธิ์รูปนกยูง เป็นต้น      *การฝังเส้นสีขาว ด้วยวิธีขูดผิวลูกปัดให้เป็นร่องแล้วแต้มสีขาวลงไป โดยใช้ด่างโปแตสผสมน้ำตะกั่วขาว และน้ำจากต้นไม้ชนิดหนึ่งชื่อ กิราร (Kair tree : Capparis decidua) ในประเทศอินเดียและนำไปเผาไฟเพื่อให้สีติดแน่น      **อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากการนำเข้าลูกปัดจากอินเดียแล้ว ในแหล่งโบราณคดีบ้านดอนตาเพชรยังพบลูกปัดแก้วที่มีส่วนผสมของแร่โพแทสเซียม (potassium) สูงเป็นจำนวนมาก (เช่นเดียวกับลูกปัดแก้วที่พบในแหล่งโบราณคดีร่วมสมัยกันในพื้นที่ประเทศไทยและเวียดนาม) ซึ่งต่างจากลูกปัดแก้วที่ทำขึ้นในอินเดีย ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้น่าจะมีการผลิตลูกปัดแก้วขึ้นเองในพื้นที่อีกด้วย        สำหรับที่บ้านดอนตาเพชรมีตัวอย่างสำคัญคือ แก้วทรงลูกน้ำ (comma-shaped) ลักษณะโปร่งแสง ไม่มีสี (จัดแสดงอยู่ ณ ห้องก่อนประวัติศาสตร์ อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร) เป็นรูปแบบที่ไม่พบในอินเดียจึงสันนิษฐานว่าเป็นของที่ผลิตขึ้นในท้องถิ่นโดยการนำเศษแก้วมาหลอมขึ้นเอง   อ้างอิง กรมศิลปากร. จากบ้านสู่เมือง: รัฐแรกเริ่มบนแผ่นดินไทย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๖๑. ผุสดี รอดเจริญ. ความรู้เรื่องลูกปัดแก้วในงานโบราณคดีไทย. กรุงเทพฯ: ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๙. พรชัย สุจิตต์. ลูกปัดในอดีต-ปัจุบัน. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๔๖.



          วันพุธที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการ “Bridge of Colors” สะพานแห่งสีสัน เนื่องในโอกาสครบรอบ ๗๗ ปี วันชาติของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยมีนายระห์หมัด บูดีมัน (H.E. Mr. Rachmat Budiman) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินโดนีเซียประจำประเทศไทย นายสถาพร เที่ยงธรรม รองอธิบดีกรมศิลปากร และนางสาวนิตยา กนกมงคล ผู้อำนวยการสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เข้าร่วมในพิธี ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า กรุงเทพฯ             กรมศิลปากร โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินโดนีเซียประจำประเทศไทย จัดนิทรรศการ “Bridge of Colors” สะพานแห่งสีสัน เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบวันชาติของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ครบรอบ ๗๗ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ และเป็นสะพานเชื่อมสายสัมพันธ์ระหว่างไทยและอินโดนีเซียเข้าไว้ด้วยกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ผ่านความร่วมมือทางด้านศิลปวัฒนธรรม โดยนิทรรศการในครั้งนี้ถ่ายทอดความหมายของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ผ่านภาพวาดที่หลากหลายทั้งทางด้านสุนทรียศาสตร์ การใช้สีสัน แนวความคิดการถ่ายทอดภาพและเทคนิคในการสร้างสรรค์ผลงานที่แตกต่างกันของศิลปินชาวอินโดนีเซีย ๑๑ ท่าน           ประเทศไทยและสาธารณรัฐอินโดนีเซีย สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ นับตั้งแต่นั้นมาเป็นเวลา ๗๒ ปีแล้ว แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศที่มีมาอย่างยาวนาน ได้มีการแลกเปลี่ยน การส่งเสริม และการสานสัมพันธ์ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และศิลปวัฒนธรรม โดยเฉพาะด้านศิลปวัฒนธรรมนั้น ทั้งสองประเทศต่างมีวัฒนธรรมร่วมกัน ดังจะเห็นได้จากศิลปะ วรรณกรรม นาฏยศิลป์ แตกต่างเพียงบริบทแวดล้อมทางวัฒนธรรมของแต่ละประเทศเท่านั้น การสร้างความรับรู้และเข้าใจในความหลากหลายผ่านผลงานศิลปะ นับเป็นวิธีการสื่อสารทางการทูตรูปแบบหนึ่งที่ถูกหยิบยกมาใช้เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของชาติ โลกศิลปะที่ไร้พรมแดนสามารถหล่อหลอมให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกรับรู้ร่วมกันได้อย่างน่ามหัศจรรย์ และตกผลึกกลายเป็นความตระหนักรู้ถึงคุณค่า และ “อัตลักษณ์” แห่งวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละท้องที่ สร้างพลังแห่งศรัทธาและสายสัมพันธ์ที่เชื่อมผู้คนเข้าไว้ด้วยกันผ่านงานศิลปะ           นิทรรศการพิเศษ “Bridge of Colors” จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๕ - ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๕ ณ ห้องจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียน ๖ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป เปิดให้เข้าชมวันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา ๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. หยุดวันจันทร์และอังคาร ค่าเข้าชม ชาวไทย ๓๐ บาท ชาวต่างชาติ ๒๐๐ บาท 


ขั้นตอนการทำลายเอกสาร ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 ข้อ 66-70 ได้กำหนดขั้นตอนการทำลายเอกสาร ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้1.สำรวจเอกสารที่จะทำลาย ภายใน 60 วัน นับจากวันสิ้นปีปฏิทิน ให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการเก็บเอกสาร ดำเนินการสำรวจเอกสารที่สิ้นกระแสการใช้งานและครบอายุการเก็บรักษาตามที่กฎหมายหรือระเบียบกำหนด2.การจัดทำบัญชีหนังสือขอทำลาย ให้หน่วยงานของรัฐจัดทำบัญชีหนังสือขอทำลายตามแบที่ 25 ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ.2526 โดยจัดทำอย่างน้อย 2 ฉบับ คือ ต้นฉบับและสำเนาคู่ฉบับเพื่อเก็บไว้ที่หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่อง 1 ฉบับ และส่งมอบให้สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร พิจารณา 1 ฉบับ2.1 การลงรายการในบัญชีหนังสือขอทำลาย(1) ชื่อบัญชีขอทำลายประจำปี ให้ลงเลขของปี พ.ศ. ที่จัดทำบัญชี(2) กระทรวง ทบวง กรม กอง ให้ลงชื่อส่วนราชการที่จัดทำบัญชี(3) วันที่ ให้ลงวันที่ที่จัดทำบัญชี(4) แผ่นที่ ให้ลงลำดับของแผ่นที่(5) ลำดับที่ ให้ลงเลขลำดับของเรื่องที่ขอทำลาย(6) รหัสแฟ้ม ให้ลงหมายเลขรหัสหมวดหมู้ของแฟ้มเอกสาร(7) ที่ ให้ลงเลขของหนังสือแต่ละฉบับ(8) ลงวันที่ ให้ลง วัน เดือน ปี ของหนังสือแต่ละฉบับ(9) เลขทะเบียนรับ ให้ลงเลขทะเบียนรับของหนังสือแต่ละฉบับ(10) เรื่อง ให้ลงชื่อเรื่องของหนังสือแต่ละฉบับ(11) การพิจารณา ให้คณะกรรมการทำลายเอกสารลงผลการพิจาณา(12) หมายเหตุ ให้ลงข้อความอื่นใด (ถ้ามี) เช่น ความเห็นแย้ง เห็นสมควรขยายเวลา ในกรณีขยายเวลาขยายเวลา ให้ระบุระยะเวลาที่ขอขยายเวลา และปี พ.ศ. ที่ครบกำหนดเวลาไว้ ทั้งในบัญชีและบนปกแฟ้มหรือบนปกเอกสารแต่ละฉบับ2.2 การลงบัญชีหนังสือขอทำลาย กรณีส่วนราชการมีระบบจัดเก็บเอกสารและประสงค์จะขอทำลายทั้งแฟ้มเรื่อง ให้ลงรายการในบัญชีหนังสือขอทำลาย ดังนี้(1) ลำดับที่ ให้ลงลำดับที่แฟ้มที่จะขอทำลาย(2) รหัสแฟ้ม ให้ลงหมายเลขรหัสหมวดหมู่ของแฟ้ม(3) ที่ เรื่อง ให้เว้นว่าง ไม่ต้องลงรายละเอียด (4) ลงวันที่ ให้ลงวัน/เดือน/ปี พ.ศ. ที่เปิดปิดแฟ้ม เช่น 2 มกราคม - 29 ธันวาคม 2560(5) เลขทะเบียนรับ ให้เว้นว่าง ไม่ต้องลงรายละเอียด(6) เรื่อง ให้ลงชื่อเรื่องแฟ้มเอกสาร(7) การพิจารณา ให้คณะกรรมการทำลายเอกสารลงผลการพิจารณา(8) หมายเหตุ ให้ลงข้อความอื่นใด(ถ้ามี)3.การแจ้งผลการสำรวจให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมหรือผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณา เมื่อจัดทำบัญชีหนังสือขอทำลายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในกรณีราชการส่วนกลางให้จัดทำบันทึกเสนอหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม หรือในกรณีราชการบริหารส่วนภูมิภาคให้เสนอผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมบัญชีหนังสือขอทำลาย และเสนอรายชื่อคณะกรรมการทำลายเอกสาร4.หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมหรือผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการทำลายเอกสาร คณะกรรมการทำลายเอกสารประกอบด้วยประธานกรรมการ 1 คน และคณะกรรมการอย่างน้อย 2 คน รวม 3 คน ก็ได้ คณะกรรมการทำลายเอกสารโดยปกติให้แต่งตั้งจากข้าราชการระดับ 3 หรือเทียบเท่าขึ้นไป หน้าที่ของคณะกรรมการทำลายเอกสาร(1)พิจารณาเอกสารที่ขอทำลายตามบัญชีหนังสือขอทำลาย การพิจารณามี 2 กรณี คือ ควรทำลาย ให้ทำเครื่องหมาย (x) ในช่องการพิจารณาในบัญชีหนังสือขอทำลาย ไม่ควรทำลาย ในกรณีขยายเวลาการเก็บหรือห้ามทำลาย ให้แก้ไขอายุการเก็บ หรือระบุไว้ว่า "ห้ามทำลาย" ในช่องการพิจารณาในบัญชีหนังสือขอทำลาย โดยให้ประธานกรรมการทำลายหนังสือลงลายมือชื่อกำกับการแก้ไข(2)รายงานผลการพิจาณา ให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมหรือผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาสั่งการต่อไป(3)เมื่อได้รับอนุมัติให้ทำลายหนังสือแล้ว รายงานผู้อนุมัติทราบ5.การพิจารณาสั่งการของหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมหรือผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมหรือผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับรายงานการขอทำลายเอกสารจากหน่วยงานของรัฐให้ดำเนินการ ดังนี้5.1 หากพิจารณาเห็นว่าหนังสือฉบับใดควรขยายเวลาการเก็บหรือห้ามทำลายให้สั่งการส่วนราชการที่ขอทำลายเก็บเอกสารไว้ต่อไปจนกว่าจะครบระยะเวลาทำลาย5.2 หากพิจารณาเห็นว่าหนังสือฉบับใดควรทำลาย ให้ส่งบัญชีหนังสือขอทำลายให้สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร พิจารณาก่อน เว้นแต่เอกสารที่ได้รับความตกลงเป็นหลักการไว้กับสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ส่วนราชการไม่ต้องส่งเรื่องให้พิจารณา แต่จะส่งสำเนาเรื่องแจ้งผลการดำเนินการทำลายเอกสารตามข้อตกลงเพื่อให้สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ เก็บไว้เป็นสถิติการทำลายเอกสารต่อไป6.ผลการพิจารณาของสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากรสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ มีหน้าที่พิจารณาคัดเลือกเอกสารประวัติศาสตร์จากบัญชีหนังสือขอทำลายส่วนราชการส่งมาภายใน 60 วัน ในกรณีที่ต้องการข้อมูลประกอบการพิจารณาเพิ่มเติม สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ อาจส่งนักจดหมายเหตุไปสำรวจเอกสารหรือประสานขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ผลการพิจารณาของสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ มี 2 กรณี คือ6.1 ขอสงวนเอกสารประวัติศาสตร์ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ จะมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาขอสงวนเอกสารประวัติศาสตร์ทั้งหมดหรือบางส่วนให้หน่วยงานของรัฐทราบและให้หน่วยงานขิงรัฐดำเนินการส่งมอบเอกสารประวัติศาสตร์ที่ขอสงวนตามรายการที่ระบุไปในหนังสือให้สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ6.2 เห็นชอบให้ทำลายเอกสาร สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ พิจารณาบัญชีหนังสือขอทำลายแล้วไม่ประสงค์จะสงวนเอกสาร สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ จะมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการทำลายเอกสารนั้นได้ตามระเบียบต่อไป


       50Royalinmemory ๘ มิถุนายน ๒๔๑๗ (๑๔๘ ปีก่อน) - วันประสูติพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ [สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น ๕ พระองค์เจ้าชั้นเอก]        พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) กับเจ้าจอมมารดาอ่วม (สกุลเดิม พิศลยบุตร) (พระนามเดิม : พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์) ดำรงพระอิสริยยศ “พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ” เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๙ มีพระโอรส-ธิดา ๑๒ พระองค์ ทรงเป็นต้นราชสกุล กิติยากร ณ อยุธยา สิ้นพระชนม์วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๔๗๔ พระชันษา ๕๘ ปี (ดูเพิ่มเติมใน กรมศิลปากร, ราชสกุลวงศ์, พิมพ์ครั้งที่ ๑๔, (กรุงเทพฯ: สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๕๔), ๘๓.)       Cigarette Cards ชุดเจ้านายไทย (๑ สำรับ ประกอบด้วย พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ พระฉายาสาทิสลักษณ์ และรูปเขียนคล้ายพระรูปพระบรมวงศานุวงศ์บนแผ่นกระดาษ จำนวน ๕๐ รูป) ลำดับที่ ๑๖ โดยบริษัท ยาสูบซำมุ้ย จำกัด (SUMMUYE & CO) ผลิตราวปี พ.ศ. ๒๔๗๗ (หมายเลขทะเบียน ๒/๒๕๑๖/๑) มีประวัติระบุว่า คุณหลวงฉมาชำนิเขต มอบให้เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๑๖)     (เผยแพร่โดย ศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ / เทคนิคภาพ อริย์ธัช นกงาม ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร)


ชื่อเรื่อง                               อาทิกมฺมปาลิ(ปาราชิกปาลิ)มหาวิยงฺคปาลิ(ปาราชิกัณฑ์) สพ.บ.                                  อย.บ.2/11ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           52 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 56 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา          บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ลานดิบ ร่องชาด ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


ประเพณียี่เป็ง ตอนที่ ๓  : ผางประทีป แสงสว่างส่องนำทางศรัทธาแห่งล้านนา         ผางประทีป ภาชนะดินเผาขนาดเล็ก ใส่น้ำมันหรือขี้ผึ้ง มีไส้ทำมาจากเส้นฝ้าย ใช้จุดให้เกิดแสงสว่าง เพื่อสักการบูชาตามความเชื่อทางพระพุทธศาสนา โดยจุดวางตามวัดวาอารามหรือศาสนสถานในวันสำคัญทางศาสนาหรือเทศกาลสำคัญ         ก่อนถึงช่วงประเพณียี่เป็ง จะมีการนำดินเหนียวที่มีการหมักมาปั้นเป็นตัวภาชนะขนาดเล็กใหญ่ต่างกันไป ในปัจจุบันมีวางขายทั่วไป มักจากมีขนาดประมาณ ๒ - ๓ เซนติเมตร จากนั้นนำมาผึ่งลมทิ้งไว้ให้พอหมาดนำไปเผา ใส่ไส้เทียน เทขี้ผึ้ง ทิ้งไว้จนขี้ผึ้งแข็งตัวเป็นอันเรียบร้อย         เมื่อถึงช่วงประเพณียี่เป็ง ชาวล้านนาจะนิยมจุดผางประทีปเป็นพุทธบูชา และใช้จุดบูชาแสดงออกถึงความเคารพผู้มีพระคุณ สักการบูชาสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ใช้ประโยชน์ เช่น ประตูบ้าน บ่อน้ำ ยุ้งข้าว เตาไฟ บันได และยังเป็นการบูชาแสงสว่างโดยเชื่อว่าจะทำให้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีแสงสว่างนำทางชีวิตให้โชติช่วงชัชวาลอีกด้วยผู้เรียบเรียง : นายวีระยุทธ  ไตรสูงเนิน นักจดหมายเหตุชำนาญการภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่อ้างอิง           ๑. รุ่งวิทย์ สุวรรณอภิชน.  (๒๕๓๗).  ชีวิตแสนสุขที่เชียงใหม่. กรุงเทพฯ : หจก. เม็ดทรายพริ้นติ้ง.           ๒. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่.  (๒๕๔๘). ประเพณีพิธีกรรมเมืองเชียงใหม่.  เชียงใหม่ : บริษัท เชียงใหม่พริ้นติ้ง จำกัด.


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           32/4ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              50 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54.5 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


สตฺตปริตฺต (พฺรสตฺตปริตฺต) ชบ.บ 123/1ข เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 162/1 เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


    “การไหว้ครู” หมายถึง การทำพิธีแสดงความเคารพสักการบูชาครูบาอาจารย์ด้วยความสำนึกในพระคุณของท่าน เป็นจารีตประเพณีไทยมาช้านาน เป็นพิธีกรรมที่ปรากฏอยู่ในศาสตร์หลายแขนง เช่น ศาสตร์ด้านการแพทย์ การช่าง เป็นต้น          โดยเฉพาะศาสตร์ที่เกี่ยวกับนาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ ซึ่งให้ความสำคัญกับบุคคลที่เป็นครูบาอาจารย์อย่างยิ่ง ด้วยเหตุที่เพลงดนตรีบางเพลง หรือท่ารำบางท่าเป็นเพลงและท่ารำที่มีความศักดิ์สิทธิ์ หากไม่ได้ทำการไหว้ครูและครอบครู* เสียก่อนก็มิอาจสอนลูกศิษย์ได้ หรือหากสอนลูกศิษย์ไปแล้วเกิดผลร้ายแก่ผู้สอนหรือลูกศิษย์ในภายหลัง ถือกันว่าเป็นการผิดครู ดังนั้นจึงต้องมีพิธีการ “ไหว้ครู” และ “ครอบครู”          หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับพิธีการไหว้ครูและครอบครูมีตัวอย่าง ตามหมายรับสั่งรัชกาลที่ ๔ เรื่อง ไหว้ครูละครหลวง ปีขาล ฉศก พ.ศ. ๒๓๙๗ โปรดเกล้าฯ ให้ทำพิธีไหว้ครูและครอบครู ณ ชาลา พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท กระทำพิธีในวันพฤหัสบดี** ในหมายรับสั่งนี้ ระบุการมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ จัดเตรียมสิ่งของที่ใช้ในงานพิธีไหว้ครูครอบครูเท่านั้น อย่างไรก็ตามใน “พระตำราครอบโขนละคร เล่ม ๒ ฉบับหลวงครั้งรัชกาลที่ ๔” กล่าวถึงขั้นตอนในพิธีการไหว้ครูและครอบครูไว้อย่างละเอียด ตั้งแต่การตั้งเครื่องพิธีสงฆ์ ตั้งเครื่องละคร การจุดเทียนบูชาพระ การทำน้ำพระพุทธมนต์ บูชาเทวรูป-กล่าวคำเชิญเทพเทวดา ถวายเครื่องเซ่นไหว้ สักการะ การนำหัวโขนมาครอบแก่ลูกศิษย์ ฯลฯ ลำดับพิธีการดำเนินกระทั่งจบพิธีการเจิมหน้าโขนและเจิมหน้าลูกศิษย์ ลูกศิษย์เอาของมาบูชาครูและรำถวายครู ดังความตอนท้ายของเอกสารกล่าวว่า    “...แล้วครูก็ดับควันเทียน เอาแป้งหอมน้ำมันหอมเจิมหน้าโขน แล้วเจิมหน้าลูกศิษย์ทุก ๆ คน แล้วลูกศิษย์เอาของมาคำนับครู แล้วก็รำถวายมือ...”          การประกอบพิธีไหว้ครูและครอบครูนั้น ผู้ประกอบพิธีจะสมมติตนเป็นพระภรตฤษี ซึ่งเป็นผู้รับเทวโองการจากพระพรหมให้มาถ่ายทอดแก่มนุษย์โลก (นาฏศาสตร์ การฟ้อนรำ มีกำเนิดจากพระอิศวรเป็นปฐม แล้วมอบให้พระพรหมแต่งเป็นตำรา ผ่านมาถึงพระภรตฤษี)          ราชสำนักในสมัยรัตนโกสินทร์ มีบุคคลที่เป็นผู้ประกอบพิธีไหว้ครูและครอบครูหลายท่านด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือ พระยานัฏกานุรักษ์ (ทองดี สุวรรณภารต) เจ้ากรมโขนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) เป็นผู้ประกอบพิธีไหว้ครูและครอบครูมาแต่ครั้งนั้น และเคยเป็นผู้ประกอบพิธีในพระราชพิธีครอบโขนละครและมีปี่พาทย์ครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ ต่อเบื้องพระพักตร์          ท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ อุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ คุณหญิงนัฏกานุรักษ์ (เทศ สุวรรณภารต) ได้รักษาไว้ จวบจนศิษย์ของท่าน คือ นายอาคม สายาคม ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ประกอบพิธีฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ คุณหญิงฯ จึงได้มอบ “สัตตมงคล” ที่พระยานัฏกานุรักษ์เคยใช้ประกอบพิธีและครอบครูให้เป็นสิริมงคลและเกียรติประวัติ         กระทั่งนายอาคม สายาคม ถึงแก่มรณกรรม เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๕ ทายาทได้เก็บรักษาไว้ และเมื่อคำนึงถึงประโยชน์สำหรับการศึกษาในศาสตร์แขนงนี้สืบไป จึงได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระกนิษฐาธิราช กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันพุธที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำมาจัดแสดง ไว้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร         สัตตมงคลเหล่านี้ แต่ละชิ้นมีที่มาและความสำคัญอย่างยิ่ง ประกอบด้วย            ๑. พระตำราไหว้ครูฉบับครูเกษ พระราม ตั้งแต่พ.ศ. ๒๓๙๗            ๒. หัวโขนพระภรตฤษี (ผู้รับเทวโองการจากพระพรหมมาถ่ายทอดแก่มนุษย์โลก)            ๓. หัวโขนพระพิราพ (ปางหนึ่งของพระอิศวรผู้ให้กำเนิดการฟ้อนรำ)            ๔. เทริดโนราพร้อมหน้าพราน (โนราเป็นละครดั้งเดิมปรากฏตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา)            ๕. ตู้เทวรูป พร้อมเทวรูป ๕ องค์            ๖. ไม้เท้าหน้าเนื้อ (เป็นไม้ไผ่หัวเป็นรูปหน้าเนื้อสมัน แต่ไม่มีเขา)            ๗. ประคำโบราณ และแหวนพิรอด (ทำจากผ้าถักลงยันต์แล้วพันด้วยด้าย)           *คำว่า “ครอบครู” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายว่า พิธีตั้งครูโขนเพื่อให้ผู้นั้นสามารถเป็นผู้ครอบศิษย์ต่อไป         **วันพฤหัสบดี เป็นวันที่มีความหมายถึงวันครู เนื่องจากพระพฤหัสบดี (หรือ คุรุ) เป็นครูของเทพทั้งหลาย ประติมากรรมแสดงเป็นรูปนักบวชสวมสร้อยประคำ มีพาหนะเป็นกวางที่น่าจะหมายถึง กวางในป่าอิสิปปตนมฤคทายวัน สถานที่ปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้าและเป็นที่อยู่ของเหล่าฤๅษีนักบวช   อ้างอิง กรมศิลปากร. พิธีไหว้ครูและตำราครอบโขนละคร. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: ไทยแบบเรียน (แผนกการพิมพ์) (ในงานพระราชทานเพลิงศพ มหาเสวกเอก พระยาอนุรุทธเทวา (ม.ล. ฟื้น พึ่งบุญ) อดีตผู้บัญชาการกรมมหรสพ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๔) กรมศิลปากร. เทวดานพเคราะห์. กรุงเทพฯ: เฮงศักดิ์มั่นคง, ๒๕๖๐. มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. ศกุนตลา. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๕, จาก: https://vajirayana.org/ศกุนตลา/ภาคผนวก-๑-กล่าวด้วยนาฏกะ


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           16/3ประเภทวัดุ/มีเดีย                          คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                                46 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง                                       พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


ชื่อผู้แต่ง             - ชื่อเรื่อง              ประวัติวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ครั้งที่พิมพ์           - สถานที่พิมพ์        กรุงเทพมหานคร สำนักพิมพ์          โรงพิมพ์วิจิตรหัตถกร ปีที่พิมพ์              ๒๕๒๒ จำนวนหน้า          ๕๔  หน้า                         วัดเบญจมบพิตรเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ราชวรวิหาร ตั้งอยู่ริมถนนนครปฐม(ถนนฮก) ติดคลองเปรมประชากรด้านตะวันตก แขวงดุสิต(ตำบลดุสิต) เขตดุสิต(อำเภอดุสิต) กรุงเทพมหานคร(จังหวัดพระนคร) ซึ่งอยู่ระหว่างสถานที่สำคัญคือ พระราชวังสวนจิตลดา พระที่นั่งอนันตสมาคม-ทำเนียบรัฐบาล-เขาดินวนา และอยู่ระหว่างถนนใหญ่ คือ ถนนศรีอยุธยา - ถนนราชดำเนิน – ถนนพระรามที่ ๕ และถนนพิษณุโลก


ชื่อผู้แต่ง              - ชื่อเรื่อง               อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพนายวิรัตน์  การุณยวนิช ครั้งที่พิมพ์           - สถานที่พิมพ์         - สำนักพิมพ์           - ปีที่พิมพ์              ๒๕๓๖ จำนวนหน้า          ๑๕๔  หน้า                          คุณปรีชา  พบสุข บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ “บางแสน” ได้ขออนุญาตพิมพ์หนังสือเรื่อง “เขาเล่าว่า” พิมพ์แจกเป็นที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ นายวิรัตน์  การุณยวนิช ท.ม. ป.ม. และฌาปนกิจศพนายดนัย  การุณวนิช ณ เมรุวัดอรัญญิกาวาส อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๖   หนังสือ เขาเล่าว่า เล่มนี้แม้จะได้จัดพิมพ์มาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ปรากฏว่าเป็นที่ต้องการของนักหนังสืออยู่มาก พิมพ์แต่ละครั้ง เรื่องเขาเล่าว่าก็เพิ่มขึ้นทุกครั้ง ถ้าจะนับวันเวลาเขียนหนังสือเล่มนี้แล้ว ต้องใช้เวลาเขียน ๓๐ ปี เป็นหนังสืออ่านเพลิน ๆ เรื่องจริง และเกือบจริง เชิงโบราณคดี ประวัติศาสตร์ ตลอดจนสาระประจำวันในเหตุการณ์ที่ผ่านไป


black ribbon.