ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,777 รายการ

เลขวัตถุ ชื่อวัตถุ ขนาด (ซม.) ชนิด สมัยหรือฝีมือช่าง ประวัติการได้มา ภาพวัตถุจัดแสดง 35/2553 (6/2549) ขวานหินกะเทาะ ย.16.5 ก.7.2 หนา 3 หิน สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย อายุราว 2,500-2,000 ปีมาแล้ว ได้จากบ้านเขาเพิ่ม อำเภอบ้านนา จ.นครนายก เมื่อประมาณ พ.ศ. 2539


เลขทะเบียน : นพ.บ.423/ค/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 48 หน้า ; 4.5 x 56 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 151  (96-103) ผูก ค5 (2566)หัวเรื่อง : มูลกัจจายน์--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.564/2                                ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 48 หน้า ; 4 x 51 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 184  (337-339) ผูก 2 (2566)หัวเรื่อง : ชนสันทชาดก--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


"ตระเวนเลาะสูงเนิน ชมร่องรอย 2 วัฒนธรรมโบราณ" สำหรับท่านใดที่ไม่มีแพลนเที่ยวในช่วงหยุดยาวนี้ พี่นักโบ ขอฝากเส้นทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมในพื้นที่อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ไว้เป็นอีกหนึ่งทางเลือก เพื่อศึกษาเรียนรู้ ตามรอยเรื่องราวทางโบราณคดี เเละประวัติศาสตร์ กับ 2 วัฒนธรรมโบราณ อันได้แก่ 1) วัฒนธรรมทวารวดี เเละ 2) วัฒนธรรมเขมรหรือขอมโบราณ โดยเริ่มต้นเส้นทางกันที่เมืองโบราณเสมา เเละไปจบเส้นทางกันที่ปราสาทเมืองเก่า กับระยะเวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง หวังใจว่าเส้นทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมเส้นนี้จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับทุกท่าน


องค์ความรู้ จากสำนักการสังคีต การแสดงเบิกโรง เรื่อง ตำนานท้าวเวสสุวัณ การแสดงเบิกโรง เรื่อง ตำนานท้าวเวสสุวัณ เป็นนาฏกรรมสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ ของสำนักการสังคีต กรมศิลปากร แนวคิดและการออกรูปแบบการแสดงโดยนายจรัญ พูลลาภ นักวิชาการละครและดนตรีชำนาญการ ได้นำบทบาทและความเป็นมาของท้าวเวสสุวัณมาจากพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มาจัดทำเป็นบทนาฏกรรม ซึ่งไม่เคยมีจัดแสดงมาก่อน และเป็นการแสดงเบิกโรงชุดใหม่นอกเหนือจากที่กรมศิลปากรเคยจัดแสดงมา จัดแสดงครั้งแรกในรายการศรีสุขนาฏกรรม ประจำปี ๒๕๖๓ เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๙ และวันอาทิตย์ที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๓ ณ โรงละครแห่งชาติ เรื่องราวท้าวเวสสุวัณ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกล่าวไว้ว่าเป็นบุตรพระฤษีวิศระวัส (วิศราวะ) หรือเปาลัสตยะกับนางธาดาหรือเทพวรรณี ธิดาพระภารทวาชมหาฤษี ตั้งแต่กำเนิดมามีร่างกายไม่งดงาม จึงมีอีกนามหนึ่งว่า “กุเวร” หมายถึง ตัวขี้ริ้ว อาศัยในป่าหิมพานต์เมื่อเจริญวัยได้บำเพ็ญตบะอยู่หลายพันปี พระพรหมและพระอินทร์จึงพากันเสด็จลงมาโปรด ท้าวเวสสุวัณขอพรให้ตนมีฤทธิ์อำนาจเป็นผู้ดูแลมนุษย์โลก พระพรหมประทานพรให้ตามที่ขอ และมอบหน้าที่ให้เป็นโลกบาลประจำทิศอุดร (ทิศเหนือ) แล้วยังประทานบุษบก วิเศษสำหรับใช้เดินทางไปในอากาศตามต้องการ พระอินทร์เชิญให้ไปประทับยังพิมานชั้นจาตุมหาราชิกา เพราะเป็นที่สถิตของท้าวโลกบาล อีก ๒ องค์ คือพระวรุณและพระยม แต่ท้าวเวสสุวัณขอผัดผ่อนโดยให้เหตุผลว่า ต้องการอยู่ปรนนิบัติพระบิดาที่ชรามากแล้วไปจนกว่าจะละสังขาร ต่อมาพระวิศระวัสผู้เป็นพระบิดาแนะนำให้ไปอยู่เมืองลงกา ซึ่งพระวิษณุกรรมได้สร้างขึ้นไว้ในปางก่อนเพื่อเป็นที่อยู่ของพวกรากษส แต่ได้ทิ้งร้างหนีไปอยู่บาดาลเพราะเกรงเดชพระนารายณ์ อยู่มามีพญารากษสตนหนึ่งชื่อ ท้าวสุมาลี ซึ่งถูกพระนารายณ์ขับไล่ลงไปอยู่บาดาล ได้ขึ้นมาเยี่ยมมนุษย์โลกเห็นท้าวเวสสุวัณขึ้นบุษบกลอยไปในอากาศเพื่อไปเฝ้าพระบิดา ก็มีใจริษยาคิดอุบายจะแย่งชิงและเอาพระนครลงกาคืน จึงใช้ให้ธิดา ชื่อ“ไกกะสี” ไปยั่วยวนพระฤษีวิศระวัส จนเป็นที่พอใจรับนางไว้เป็นชายา ให้กำเนิดบุตรธิดา คือ ท้าวราพณ์ (ทศกัณฐ์) กุมภกรรณ พิเภษณ์ (พิเภก) และนางศูรปนขา (สำมนักขา) นางไกกะสียุยงท้าวราพณ์ลูกชายให้ไปแย่งชิงเอาเมืองลงกาและบุษบก ท้าวเวสสุวัณสู้ไม่ได้จึงหลบหนีภัยออกจากกรุงลงกา แรมรอนมาในป่าแทบสิ้นชีวิต จนพระพรหมต้องเสด็จมาช่วยเหลือ สร้างเมืองใหม่ให้ทางทิศอุดร ชื่อว่า “อลกา” หรือมีชื่อเรียกอื่นๆว่า “ประภา”หรือ“วสุสถลี” (วสุธา) บ้าง เป็นเมืองทิพย์ มีอุทยานวิเศษรโหฐานชื่อว่า เจตระรถหรือเจตรถ อยู่บนเขามันทรอันต่อเนื่องกับเขาพระสุเมรุ พระนครและสวนขวัญ เป็นรมณียสถานสำราญ ผู้ที่อยู่ในที่นั้นจะปราศจากโรค ความเหน็ดเหนื่อย ความวิตก ความหิว และไม่กลัวเกรงภัยต่าง ๆ มีอายุยืนถึงหมื่นปี ต้นไม้มีใบเป็นผ้าเนื้อดี มีดอกเป็นมณีมีค่าและมีผลออกเป็นนารี (นารีผล) เหล่าข้าบาทบริจา ในเมืองอลกาล้วนแต่เป็นกินรี กินรา จึงมีนามเรียกอีกว่า“มยุราช” (เจ้าแห่งมยุคือกินนร) นอกจากนี้ ยังประทานให้เป็นเจ้าแห่งทรัพย์สินทั้งหลายบนแผ่นดินโลกมนุษย์ จึงมีนามอีกนามหนึ่งว่า “ธนบดี” (หมายถึง เจ้าแห่งทรัพย์ทั้งหลาย) และให้อยู่เป็นอมฤตหรืออมตะ (ไม่มีตาย) ท้าวเวสสุวัณ มีนามเรียกอีกว่า กุเวร เวสสวัณ ไพษรพน์ กุตนุ ยักษราช กำเนิดเป็นยักษ์ เชื้อสายพรหมพงศ์ มีกายสีขาว รูปร่างลักษณะค่อนข้างประหลาด ถืออาวุธ คือ กระบองยาว เพราะร่างกายพิการขาโกงมี ๓ ขา (ขาที่ ๓ หมายถึงกระบองยาว ที่ใช้ช่วยค้ำยันเวลาเดิน ซึ่งตั้งไว้ในลักษณะของไม้เท้าเพื่อให้ดูสวยงามภูมิฐาน เป็นยักษ์ที่ยึดถือคุณธรรม ในเรื่องรามเกียรติ์ได้กล่าวประวัติไว้ว่า ชื่อ “กุเปรัน” พี่ชายต่างมารดาของทศกัณฐ์ บทบาทปรากฏเพียงแค่ เมื่อถูกทศกัณฐ์แย่งชิงบุษบกไป ต่อจากนั้นก็มิได้กล่าวถึง เรียบเรียง : นายจรัญ พูลลาภ นักวิชาการละครและดนตรีชำนาญการ สำนักการสังคีต กรมศิลปากร


ชื่อเรื่อง                         ธมฺมบทวณฺณนา ธมฺมบทฏฺฐกถา (ขุทฺทกนิกายฏฺฐกถา) อย.บ.                            243/20 หมวดหมู่                       พุทธศาสนา ลักษณะวัสดุ                   64 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54 ซม. หัวเรื่อง                         พระธรรมเทศนา                                                                       บทคัดย่อ/บันทึก           เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับชาดทึบ ไม้ประกับธรรมดา


-- องค์ความรู้จากเอกสารจดหมายเหตุ : ไปดูเค้าซ่อมถนน -- ปี 2515 นายอำเภอศรีสัชนาลัยขอความร่วมมือจากราษฎรช่วยกันซ่อมแซมถนนให้แล้วเสร็จภายใน 2 วัน เค้าทำได้อย่างไร ? . . . มาดูหลักฐานกัน. เอกสารจดหมายเหตุอำเภอศรีสัชนาลัยลงวันที่ 18 มกราคม 2515 ระบุว่านายอำเภอพร้อมพนักงานปกครองดำเนินการซ่อมแซมถนนสายหมอนสูง - ไร่ไผ่ใหญ่ หรือระยะทางหลวงแผ่นดินสายอำเภอสวรรคโลก - อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ประมาณ 6 กิโลเมตร โดย. 1. ขอแรงราษฎร 2 หมู่บ้าน เฉลี่ยวันละ 200 คน มาช่วยกรุยทาง ถางป่า ขุดตอไม้ ขยายถนนให้ได้ความกว้าง 6 เมตร 2. ให้ค่าแรงตอบแทนต่อคนวันละ 10 บาท 3. ขอรถไถ 5 คันมาช่วยยกคันดินขึ้นรูปถนนให้สูง 50 เซนติเมตรตลอดสาย 4. ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 11,200 บาท ซึ่ง " ไม่ได้ใช้เงินของทางราชการแต่อย่างใด ". ข้อมูลในเอกสารกล่าวเพียงเท่านี้ และแนบภาพถ่ายการดำเนินงาน จำนวน 6 ภาพร่วมด้วย. คำถามคือ " แล้วอำเภอนำงบประมาณมาจากไหน ?? ". เอกสารไม่มีข้อความอ้างถึง ได้แต่สันนิษฐานเรื่องการบริหารจัดการที่ดีเยี่ยม ฝ่ายปกครองและราษฎรสมัครสมานรักใคร่ปรองดองกันเป็นอย่างดี ด้วยราษฎรได้ประโยชน์จากถนน ฝ่ายปกครองได้พัฒนาท้องที่ให้เจริญ ใจเค้าใจเรา สมความคาดหมายเพื่อส่วนรวมโดยทั่วกัน ในปัจจุบันสามารถใช้คำว่า " เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา " ได้อย่างแท้จริง .ผู้เขียน: นายธานินทร์ ทิพยางค์ (นักจดหมายเหตุ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา).เอกสารอ้างอิง: หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา. เอกสารสำนักงานปกครองจังหวัดสุโขทัย สท 1.2.1/67 เรื่อง รายงานพัฒนาท้องถิ่นของอำเภอศรีสัชนาลัย [ 18 ม.ค. 2515 ].#จดหมายเหตุ #องค์ความรู้จากจากจดหมายเหตุ #หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯพะเยา #เอกสารจดหมายเหตุ


องค์ความรู้เรื่องเวียงเจ็ดลิน : จากหลักฐานการดำเนินงานทางโบราณคดีเรียบเรียงโดย : นางสาวนงไฉน  ทะรักษานักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ที่ตั้งและสภาพปัจจุบันของพื้นที่     เวียงเจ็ดลินตั้งอยู่ห่างจากเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 3 กิโลเมตร มีสภาพพื้นที่เป็นที่ลาดเชิงเขาทางทิศตะวันออกของดอยสุเทพ พื้นที่ลาดเอียงจากทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก ผังเวียงเป็นรูปวงกลม ปัจจุบันยังคงเหลือกำแพงเวียงคูเวียงบางส่วน บริเวณทางทิศเหนือในพื้นที่ของสำนักงานปศุสัตว์เขต 5 ทิศตะวันตกเฉียงใต้ในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เรื่อยมาจนถึงทิศใต้ในพื้นที่สวนรุกขชาติห้วยแก้ว พื้นที่ทางทิศใต้ของเมืองถูกถนนห้วยแก้วตัดผ่าน ซึ่งเป็นบริเวณที่สามารถมองเห็นกำแพงเวียงได้อย่างชัดเจน บริเวณเกือบกึ่งกลางเวียงค่อนมาทางทิศเหนือ มีร่องรอยทางน้ำเก่าผ่ากลางจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออกของเวียงหลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเวียงเจ็ดลิน        ตำนานของล้านนาปรากฏเรื่องราวของพื้นที่เวียงเจ็ดลินว่าเป็นที่ตั้งชุมชนมาแต่ก่อนหน้าสมัยล้านนาแล้ว โดยในตำนานเชียงใหม่ปางเดิมและตำนานสุวรรณคำแดงสามารถกล่าวถึงพื้นที่บริเวณเชิงดอยสุเทพ ซึ่งอาจเป็นพื้นที่บริเวณเดียวกับเวียงเจ็ดลิน ว่าบริเวณนั้นมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า เวียงเชฏฐบุรี เป็นเวียงที่สร้างขึ้นก่อนการสร้างเมืองเชียงใหม่ เป็นที่ตั้งของชุมชนชาวลัวะ ซึ่งได้กระจายตัวสร้างชุมชนลงไปตามแม่น้ำปิงและรับวัฒนธรรมจากภายนอก จนสามารถตั้งศูนย์กลางระดับแคว้นได้ คือเมืองหริภุญไชย และนับถือดอยสุเทพในฐานะภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นการเข้ามาตั้งถิ่นฐานชุมชนในช่วงก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 และควรเป็นช่วงก่อนที่พระญามังรายจะเสด็จมาถึงแอ่งที่ราบเชียงใหม่ แต่ก็ต้องเป็นระยะเวลานานพอกระทั่งพื้นที่ได้เปลี่ยนแปลงเป็นที่รกร้าง เป็นป่า เพราะการสำรวจบริเวณดอยสุเทพของพระญามังรายที่ปรากฏในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่นั้น ได้กล่าวถึงพื้นที่ว่าเป็นทุ่งและราวป่า ไม่มีการอาศัยของชุมชนหนาแน่นจนมีลักษณะเป็นหมู่บ้าน        ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ได้กล่าวถึงการสร้างเวียงเจ็ดลินขึ้นในสมัยล้านนา ตามรับสั่งของพระญาสามฝั่งแกนที่ให้สร้างเวียงขึ้นบริเวณที่ได้รับชัยชนะแก่ศัตรู เนื่องจากเมื่อพญาไสลือไทได้ยกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ เคยได้สรงเกศยังผาลาดหลวงแล้วทำให้เกรงกลัวกองทัพของเชียงใหม่จนต้องยกทัพหนี ซึ่งเวียงเจ็ดลินได้ถูกสร้างแปงขึ้นในปี พ.ศ.1954 เป็นปีเดียวกับที่เจ้าสี่หมื่นเจ้าเมืองพะเยาได้ถวายหมู่บ้านและที่นากับพระสุวรรณมหาวิหาร สอดคล้องกับจารึกพระสุวรรณมหาวิหาร ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ยังกล่าวอีกว่าพระญาสามฝั่งแกนมาประทับอยู่ที่เวียงเจ็ดลินเป็นปกติ จนมีการลอบวางเพลิงพื้นที่ประทับทั้งหมดในช่วงปลายรัชสมัย ชื่อของเวียงเจ็ดลินปรากฎในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง ในสมัยพระมหาเทวีจิรประภา เมื่อเกิดสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยาและล้านนา โดยสมเด็จพระไชยราชาทรงนำกองทัพจากกรุงศรีอยุธยายกมาตีเมืองเชียงใหม่ ใน พ.ศ.2088 พระมหาเทวีจิรประภาใช้ยุทธวิธีแต่งเครื่องบรรณาการไปถวาย และได้นำเสด็จพระไชยราชาไปสรงน้ำที่เจ็ดลิน ซึ่งน่าจะเป็นเวียงเจ็ดลินหรือดอยเจ็ดลิน ที่เป็นจุดเดียวกับที่พญาไสลือไทได้มาสรงเกศการดำเนินการทางโบราณคดีในพื้นที่เวียงเจ็ดลิน     สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ได้ดำเนินการขุดค้นศึกษาทางโบราณคดีในพื้นที่เวียงเจ็ดลิน จำนวน ๓ ครั้ง ในปี พ.ศ.2541 พ.ศ.2552 และ พ.ศ.2562 โดยในปี พ.ศ.2541 ได้ดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีบริเวณพื้นที่ทางทิศใต้ของเวียงหรือพื้นที่สวนรุกขชาติห้วยแก้ว ซึ่งพบหลักฐานการใช้พื้นที่ในสมัยล้านนา ราวพุทธศตวรรษที่ 20-22 ปี พ.ศ.2552 ได้ดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดี จำนวน 6 หลุม กระจายตามตำแหน่งต่างๆ ภายในเมือง ประกอบด้วย บริเวณกลางเวียง บริเวณทิศเหนือ บริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณทิศตะวันตก และบริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งผลการขุดค้นฯในครั้งนั้นทำให้ทราบถึงการเลือกใช้พื้นที่ของเวียงเจ็ดลิน โดยพบว่าบริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันออกเฉียงใต้พบโบราณวัตถุกระจายตัวค่อนข้างหนาแน่น แสดงให้เห็นว่าพื้นที่กิจกรรมหลักของเวียงอยู่บริเวณทิศตะวันออกเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นพื้นที่ๆมีระดับความสูงมากกว่าพบหลักฐานเบาบางมาก ขณะที่พื้นที่กลางเวียงเป็นที่ลุ่มต่ำมาก มีสภาพชื้นแฉะ ชั้นดินเป็นโคลนเนื้อดินอัดกันแน่นพอสมควร และมีระดับน้ำใต้ดินที่สูงมาก ซึ่งบริเวณกลางเวียงนี้อาจเป็นพื้นที่เกษตรกรรมหรือเป็นแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค โดยสงวน โชติสุขรัตน์ ได้เขียนถึงเวียงเจ็ดลินไว้ในหนังสือนำเที่ยวเชียงใหม่-ลำพูน เมื่อ พ.ศ.2514 ว่าภายในเวียงเจ็ดลินมีสระน้ำก่อด้วยศิลาแลงอย่างแข็งแรง ยังปรากฏอยู่ในบริเวณปศุสัตว์เลี้ยงโคนมของเยอรมัน น่าจะเป็นตำแหน่งเดียวกับที่ปัจจุบันเป็นตาน้ำที่มีน้ำไหลตลอดปี ส่วนโบราณวัตถุที่พบจากการขุดค้นฯ ซึ่งสามารถกำหนดอายุช่วงที่มีการใช้พื้นที่ ได้แก่ ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจากแหล่งเตาเวียงกาหลงและสันกำแพง มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 20-21 อย่างไรก็ตาม การขุดค้นทางทิศเหนือของเวียงพบโบราณวัตถุประเภทเครื่องมือหินกะเทาะ ซึ่งนักโบราณคดีผู้ทำการขุดค้นได้ระบุว่าเป็นหลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และไม่พบโบราณวัตถุอื่นๆ ร่วมด้วย จึงไม่จะสามารถระบุถึงช่วงอายุสมัยที่แน่ชัดของเครื่องมือหินดังกล่าวได้ ปี พ.ศ.2562 ได้ดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีจำนวน 3 หลุม ภายในพื้นที่ทางทิศเหนือของเวียง บริเวณกำแพงเวียง/คันดินทิศเหนือ และพื้นที่กลางเวียงค่อนมาทางทิศตะวันออก ผลจากการขุดค้นทางโบราณคดีในครั้งนี้ พบการใช้พื้นที่ในสมัยล้านนาเช่นเดียวกัน ราวพุทธศตวรรษที่ 19-21 โดยแบ่งได้เป็น 2 ช่วงเวลา ช่วงแรกเป็นช่วงของการก่อสร้างคูน้ำคันดินเวียงเจ็ดลินซึ่งน่าจะสัมพันธ์กับเรื่องราวที่พระญาสามฝั่งแกนสร้างเวียงขึ้น ในราวพุทธศตวรรษที่ 20 ช่วงที่สองควรจะมีอายุอยู่ราวพุทธศตวรรษที่ 20-21 โดยน่าจะมีการทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับรัชสมัยพระมหาเทวีจิรประภา         จากการดำเนินการศึกษาทางโบราณคดีทั้ง 3 ครั้งแสดงให้เห็นการใช้พื้นที่เวียงเจ็ดลินในสมัยล้านนา โดยไม่พบการใช้พื้นที่ในสมัยหริภุญไชยหรือสมัยก่อนล้านนาแต่อย่างใด มีเพียงชิ้นส่วนภาชนะดินเผาแบบหริภุญไชย ซึ่งปัจจุบันยังไม่พบแหล่งเตาที่ผลิตอย่างชัดเจน จึงยังไม่สามารถกำหนดช่วงอายุของผลิตภัณฑ์นี้ได้เช่นเดียวกัน โบราณสถานที่สัมพันธ์กับเวียงเจ็ดลิน      จากการสำรวจทางโบราณคดีพบโบราณสถานใกล้กับเวียงเจ็ดลินในรัศมี 1 กิโลเมตร จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ วัดหมูบุ่น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือภายในเวียงเจ็ดลิน และ วัดกู่ดินขาว ตั้งอยู่ห่างจากกำแพงเวียง/คันดินเวียงเจ็ดลินทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณ 700 เมตร ปัจจุบันอยู่ภายในพื้นที่สวนสัตว์เชียงใหม่    วัดกู่ดินขาว ได้รับการดำเนินการขุดค้นขุดแต่งทางโบราณคดีและบูรณะ เมื่อปี พ.ศ.2544 พบว่าวัดแห่งนี้มีลักษณะพิเศษ คือ อิฐที่ใช้ในการก่อสร้างเจดีย์ประธานมีขนาดเฉลี่ย 26 x 55 x 15 เซนติเมตร มีน้ำหนักร่วม 50 กิโลกรัม ถือเป็นอิฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาอิฐที่ใช้ในการก่อสร้างโบราณสถานในเขตล้านนา โบราณสถานวัดกู่ดินขาว ประกอบด้วย เจดีย์ประธานซึ่งน่าจะเป็นเจดีย์ทรงระฆัง สันนิษฐานจากการก่ออิฐโครงสร้างเป็นเอ็นยึดภายในเจดีย์ที่ก่อเป็นเส้นทะแยงมุมผสมช่องกากบาทตารางถมอัดดิน ทำสลับกันเป็นระยะๆในส่วนเรือนธาตุ วิหาร อยู่ในผังสี่เหลี่ยมผืนผ้าไม่มีการยกเก็จหน้าและหลัง มีบันไดทางขึ้นด้านหน้าทางทิศตะวันออกและทางทิศเหนือตอนหน้า มีฐานชุกชีวางตัวในแนวขนานกับวิหาร ด้านหน้ายกพื้นคล้ายเป็นที่สำหรับบูชา และมีพื้นที่ทางด้านหลัง จึงสามารถเดินประทักษิณได้ ต่างจากฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธรูปทั่วไปที่จะวางตัวขวางตัวแนวอาคารและติดกับผนังสกัดตะวันตกของวิหาร ลักษณะเช่นนี้สันนิษฐานว่าภายในวิหารน่าจะเป็นมณฑปหรือโขงพระเจ้า ซึ่งพบชิ้นส่วนปูนปั้นรูปสัตว์และลวดลายตกแต่งอื่นๆ ที่ใช้ในการตกแต่งซุ้มพระ และเจดีย์รายแปดเหลี่ยม ที่พบเฉพาะส่วนฐานตอนล่าง ลักษณะเป็นฐานปัทม์แปดเหลี่ยม มีชั้นท้องไม้เตี้ยๆประดับด้วยเส้นลูกแก้วอกไก่คู่ โบราณวัตถุที่ได้จากการขุดค้นฯ ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเนื้อแกร่งไม่เคลือบ และพบชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเคลือบจากแหล่งเตาเวียงกาหลง สามารถกำหนดอายุได้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20-22 ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเวลาที่มีการใช้พื้นที่บริเวณเวียงเจ็ดลินสรุป     จากการดำเนินการทางโบราณคดีในพื้นที่เวียงเจ็ดลินทั้ง 3 ครั้ง ยังไม่พบหลักฐานทางโบราณคดีก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ผลการวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดีร่วมกับเอกสารทางประวัติศาสตร์สามารถแบ่งช่วงเวลาของเวียงเจ็ดลิน ได้เป็น 3 ช่วง ได้แก่     ช่วงแรก : สมัยก่อนล้านนาหรือสมัยตำนาน โดยมีเพียงข้อมูลที่กล่าวถึงในตำนานเชียงใหม่ปางเดิมและตำนานสุวรรณคำแดง ที่ปรากฏเรื่องราวของฤาษีวาสุเทพและท้าวสุวรรณคำแดง แต่จากการขุดค้นทางโบราณคดีไม่พบหลักฐานที่สามารถเชื่อมโยงหรือสอดคล้องกับช่วงเวลาดังกล่าวได้ ซึ่งอุดมลักษณ์ ฮุ่นตระกูล และพิพัฒน์ กระแจะจันทร์ นักโบราณคดีผู้ทำการขุดค้น เสนอว่าเป็นการสะท้อนถึงการต่อสู้และปฏิสัมพันธ์ระหว่างชาวลัวะและชาวไทยโดยอาศัยเรื่องเล่า พิจารณาจากการสถาปนาชื่อเวียงเจ็ดลินเป็นเวียงเชฏฐบุรี  ซึ่ง หมายถึงผู้พี่ คือชาวลัวะ ที่เป็นกลุ่มชนดั้งเดิมก่อนการเคลื่อนย้ายมาของเชื้อสายชาวไทยคือท้าวสุวรรณคำแดง    ช่วงที่สอง : สมัยพระญาสามฝั่งแกน คือช่วงที่มีการสร้างแปงเวียงเจ็ดลินขึ้น เป็นช่วงเวลาที่หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีมีความสอดคล้องกัน    ช่วงที่สาม : น่าจะเป็นช่วงพุทธศตวรรษที่ 20-21 โดยน่าจะมีการทำกิจกรรมในเวียงเจ็ดลินที่เกี่ยวข้องกับรัชสมัยพระมหาเทวีจิรประภาทั้งนี้ หลักฐานทางโบราณคดียังไม่สามารถวิเคราะห์ลักษณะการใช้งานพื้นที่เวียงเจ็ดลินได้อย่างชัดเจน ทำได้เพียงสันนิษฐานเบื้องต้นว่า การสร้างเวียงเจ็ดลินมีความจำเป็นต้องสร้างคูน้ำคันดิน เพื่อผลของการควบคุมน้ำที่ไหลผ่านจากที่สูงบนเขาลงมายังที่ต่ำกว่าบริเวณเชิงเขา เพื่อใช้ในการเกษตรกรรมและสำหรับการอุปโภคบริโภคภายในเวียงเจ็ดลิน    เอกสารอ้างอิงห้างหุ้นส่วนจำกัด ซี ดี วัสดุภัณฑ์. เสนอต่อ สวนสัตว์เชียงใหม่, รายงานการบูรณะโบราณสถานในเขตสวนสัตว์เชียงใหม่ วัดกู่ดินขาว (ร้าง) ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่. เสนอ สวนสัตว์เชียงใหม่. 2544.ห้างหุ้นส่วนจำกัด โบราณนุรักษ์. รายงานการขุดค้นทางโบราณคดีเวียงเจ็ดลิน ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่. เสนอ สำนักศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่. 2552.ห้างหุ้นส่วนจำกัด โบราณนุรักษ์. รายงานการขุดค้นทางโบราณคดีเวียงเจ็ดลิน ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่. เสนอ สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่. 2562.



-- องค์ความรู้จากเอกสารจดหมายเหตุ : “อยากให้ย้าย” หรือ “อยากให้อยู่” : ว่าด้วยเหตุผลของคนสองจังหวัด (ตอนที่ 1) -- เมื่อเกือบร้อยปีก่อน พื้นที่จังหวัดสุโขทัยในปัจจุบันเคยเป็นท้องที่ของสองจังหวัด คือ จังหวัดสุโขทัย ตั้งศาลาว่าการที่อำเภอสุโขทัยธานี และจังหวัดสวรรคโลก ตั้งศาลาว่าการที่อำเภอเมืองสวรรคโลก จนกระทั่งปี พ.ศ. 2475 ได้มีประกาศพระบรมราชโองการยุบรวมมณฑลและจังหวัดบางแห่ง โดยมีจังหวัดต่างๆ ที่ถูกยุบรวมตามประกาศนี้จำนวน 8 จังหวัด หนึ่งในนั้นคือจังหวัดสุโขทัย ที่ถูกยุบรวมท้องที่เข้าไว้ในการปกครองของจังหวัดสวรรคโลก โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2475 เป็นต้นไป ผลจากประกาศนี้ทำให้เกิดปฏิกิริยาในหมู่ชาวสุโขทัย และพากันยี่นคำร้องขอให้ย้ายศาลากลางจังหวัดกลับมาที่สุโขทัยเป็นจำนวนมาก ดังตัวอย่างคำร้องฉบับหนึ่งในเอกสารจดหมายเหตุชุดกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 7 - รัชกาลที่ 8 ดังนี้. วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 หรือหลังจากยุบจังหวัดสุโขทัยไปแล้ว 3 เดือน ร้อยโทช้อย พรหมวิภา นายทหารนอกราชการ ได้ทำหนังสือมีใจความว่า ตนเคยรับราชการทหาร แต่ได้ลาออกจากราชการมาประกอบอาชีพที่ตำบลธานี อำเภอสุโขทัยธานี จังหวัดสวรรคโลก ทราบว่ามีราษฎรอำเภอสุโขทัยธานีจำนวนมากยื่นหนังสือร้องขอให้ที่ทำการจังหวัดสวรรคโลกย้ายมาตั้ง ณ ที่ทำการจังหวัดสุโขทัย (เก่า) ตนจึงขอเสนอความเห็นว่า ควรตั้งที่ทำการที่จังหวัดสุโขทัย (เก่า) โดยให้เหตุผลสรุปได้ดังนี้ 1. จำนวนพลเมืองในจังหวัดสุโขทัย (เก่า) มีมากกว่าจังหวัดสวรรคโลก ฉะนั้นเมื่อมีคนมาก ก็ย่อมต้องมีเจ้าหน้าที่ตรวจตราดูแลมาก และต้องให้การศึกษามาก จะส่งครูมาดูแลแค่ 3-4 คน โดยไม่มีผู้ใหญ่ตรวจตราดูแลไม่ได้ 2. จังหวัดสุโขทัย (เก่า) มีอาณาเขตกว้างขวางกว่า และมีพื้นที่ราบทำนาได้มากกว่าสวรรคโลก เมื่อนาได้รับการบำรุงให้อุดมสมบูรณ์แล้ว จำนวนพลเมืองก็จะมากขึ้นจนตั้งที่ทำการจังหวัดได้ 3. เงินรายได้ของจังหวัดสุโขทัย (เก่า) มีมากกว่าสวรรคโลก สามารถบำรุงให้เกิดความเจริญได้เร็วขึ้น 4. จำนวนคดีความในจังหวัดสุโขทัย (เก่า) มีมากกว่าสวรรคโลก รัฐบาลจึงควรเร่งแก้ไขด้วยการส่งข้าราชการมาช่วยดูแลกวดขันพลเมือง 5. ที่ทำการจังหวัดสุโขทัย (เก่า) ตั้งอยู่แทบใจกลางเมือง จะทำให้พลเมืองได้รับความสะดวกในกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางราชการ 6. สถานที่ราชการของจังหวัดสุโขทัย (เก่า) มีความกว้างขวางและงดงามกว่า และตั้งอยู่เป็นระเบียบไม่ปะปนกับบ้านเรือนของราษฎรเหมือนที่สวรรคโลก จึงสะดวกแก่การระวังรักษาและปกครองดูแล 7. บ้านพักของข้าราชการจังหวัดสุโขทัย (เก่า) มีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เงินก่อสร้างเพิ่มเติมโดยเปล่าประโยชน์. ทั้งหมดนี้คือเหตุผลในมุมของชาวสุโขทัย ที่อยากให้ย้ายที่ทำการจังหวัดกลับมาอยู่ที่สุโขทัย เพื่อการพัฒนาจังหวัดให้มีความเจริญมากยิ่งขึ้น และเมื่อความสะดวกของราษฎรในการติดต่อราชการ แต่กว่าที่ชาวสุโขทัยจะสมหวังได้ที่ทำการจังหวัดตนเองกลับมา ต้องรออีกเกือบ 7 ปี และต้องแลกกับการหายไปของ “จังหวัดสวรรคโลก” ซึ่งในตอนหน้าจะนำเสนอมุมมองอีกด้านหนึ่งของชาวสวรรคโลกที่ไม่อยากให้ย้ายที่ทำการจังหวัดไปจากถิ่นของตน.ผู้เขียน: นายธัชพงศ์ พัตรสงวน (นักจดหมายเหตุปฏิบัติการ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา).เอกสารอ้างอิง: 1. สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารชุดกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 7 – รัชกาลที่ 8 ร.7-ร.8.2 ช/822 เรื่อง นายร้อยโทช้อย พรหมวิภา ขอให้ที่ทำการจังหวัดสวรรคโลกย้ายไปตั้งที่อำเภอสุโขทัยธานี [ 17 ก.ค. – 16 ก.ย. 2475 ].2. “ประกาศ เรื่องยุบรวมท้องที่บางมณฑลและบางจังหวัด.” (2474) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 48, ตอน ก (21 กุมภาพันธ์): 576-578.#จดหมายเหตุ #องค์ความรู้จากจากจดหมายเหตุ #หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯพะเยา #เอกสารจดหมายเหตุ


"กัลปพฤกษ์ ไม้มงคลสารพัดนึกแห่งสวรรค์"วัดหนองบัว ตำบลป่าคา อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน--- กัลปพฤกษ์ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Cassia bakeriana ชื่อสามัญ: Pink Shower, Wishing tree) เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ความสูงประมาณ 10–15 เมตร เปลือกนอกสีเทาลำต้นมีรอยเป็นเส้นเล็กน้อยแตกกิ่งก้านพุ่งสู่ด้านบนไม่ค่อยเป็นระเบียบ ใบเป็นแผงมีใบย่อยประมาณ 5–6 คู่ออกเรียงตรงกันตามก้านใบเป็นคู่ๆใบบางเรียบปลายใบแหลม ขนาดของใบกว้างประมาณ 2–4 เซนติเมตร ใบยาวประมาณ 4–7 เซนติเมตร  --- ลักษณะดอกออกเป็นช่อตามกิ่งก้านมีกลิ่นหอมมีสีชมพูแกมขาวดอกบาน มีความกว้างประมาณ 23 เซนติเมตร มีกลีบดอก 5 กลีบ ตรงกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้สีเหลืองผลเป็นฝักกลม ยาว มีสีดำ เมื่อแก่เนื้อในฝักมีสีขาวกั้นเป็นชั้น ๆ แต่ละชั้นจะมีเมล็ดเรียงอยู่ภายใน ฝักหนึ่งยาวประมาณ 15–30 เซนติเมตร จะออกดอกในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ จนถึงปลายเดือนมีนาคม--- ประโยชน์และสรรพคุณ คือ เนื้อในฝักเป็นยาระบายอ่อน ๆ เปลือกฝักและเมล็ดทำให้อาเจียน ลดไข้ และนอกจากนั้นยังปลูกเป็นไม้ประดับเพื่อความสวยงามอีกด้วย--- ต้นกัลปพฤกษ์ พบมากในประเทศพม่าและทางภาคเหนือของประเทศไทย มีชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น ชัยพฤกษ์ (ภาคเหนือ), กานล์ (เขมร-สุรินทร์), เปลือกขม (ปราจีนบุรี), กาลพฤกษ์ เป็นต้น--- ความเชื่อตามคติโบราณเชื่อกันว่า ต้นกัลปพฤกษ์ มีอยู่ในแดนสวรรค์ หากผู้ใดปรารถนาสิ่งใด จึงไปอธิษฐานจากต้นไม้นี้ได้ ในสมัยโบราณจึงมีการทำรูปแบบจำลองตันกัลปพฤกษ์ขึ้น โดยเกี่ยวเนื่องกับพิธีสำคัญในบางโอกาส และนอกจากนั้นยังพบในงานจิตรกรรมไทยประเพณี ในรูปลักษณ์ของต้นไม้ที่มีข้าวของเครื่องใช้เงินทองห้อยจากกิ่งหรือพาดกับต้นไม้ โดยบางแห่งจะมีการเขียนอักษรกำกับไว้  ตามความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ดังเช่นข้อความในไตรภูมิพระร่วงที่กล่าวว่า "แลในแผ่นดินอุตรกุรุทวีปนั้น มีต้นกัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง โดยสูงได้ 100 โยชน์ โดยกว้างได้ 100 โยชน์ โดยรอบปริมณฑลได้ 300 โยชน์ แลต้นกัลปพฤกษ์นั้นผู้ใดจะปรารถนาหาทุนทรัพย์สรรพเหตุอันใดๆ ก็ดี ย่อมได้สำเรทธิในต้นไม้นั้นทุกประการ แล..."--- วัดหนองบัว เป็นวัดเก่าแก่ที่มีรูปแบบศิลปะไทลื้อ ลักษณะวิหารเป็นอาคารที่ทรงคุณค่าในด้านสถาปัตยกรรมพื้นบ้านที่สวยงามและหาชมได้ยาก วัดนี้สร้างขึ้นในราวพุทธศักราช 2405 สมัยรัชกาลที่ 4 โดยท่านครูสุนันต๊ะ ครูบาหลวง สิ่งที่น่าสนใจในวัดหนองบัวคือภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ได้สะท้อนให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการแต่งกายของผู้หญิงที่นุ่งผ้าซิ่นลายน้ำไหล หรือผ้าซิ่นตีนจกที่สวยงาม นับว่ามีคุณค่าทางศิลปะและความสมบูรณ์ของภาพใกล้เคียงกับภาพจิตรกรรมฝาผนังของวัดภูมินทร์ในเมืองน่าน ภาพจิตรกรรมฝาผนังในวิหารเล่าเรื่องหนึ่งในปัญญาสชาดก ซึ่งเป็นพระชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า สันนิษฐานว่าเขียนโดยทิดบัวผัน ช่างเขียนลาวพวน และยังมีภาพของเรือกลไฟและดาบปลายปืน ซึ่งเริ่มเข้ามาในประเทศไทย ในสมัยรัชกาลที่ 4 - รัชกาลที่ 5  นอกจากนี้ด้านหลังวัดหนองบัวยังเป็นที่ตั้งของศูนย์บริการวัฒนธรรมสายใยชุมชน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตและขายผ้าซิ่นทอมือพื้นเมืองของชาวน่าน รวมถึงแสดงข้าวของเครื่องใช้ของชาวบ้านในชุมชนอีกด้วย--- หากนักท่องเที่ยวท่านใดมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมวัดหนองบัวในช่วงนี้ นอกจากจะได้เยี่ยมชมวิหารที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของไทลื้อ และภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สำคัญและงดงามแห่งหนึ่งในจังหวัดน่าน ท่านยังจะได้ชมดอกกัลปพฤกษ์ที่กำลังออกดอกบานสะพรั่งอวดโฉมสีชมพูขาวสดใสที่ทางวัดปลูกประดับไว้ภายในวัดหนองบัวอีกด้วย#วัดหนองบัว #ท่าวังผา #น่าน


         พระโพธิสัตว์เมตไตรย          แบบศิลปะ : ทวารวดี          ชนิด :  สำริด          ขนาด : กว้าง 3 เซนติเมตร สูง 9.5 เซนติเมตร          ลักษณะ : พระโพธิสัตว์เมตไตรย          สภาพ : ชำรุด          ประวัติ : พบที่โบราณสถานหมายเลข 18 (วัดโขลงสุวรรณคีรี) เมืองโบราณคูบัว จังหวัดราชบุรี          สถานที่จัดแสดง : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี จังหวัดราชบุรี        แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/ratchaburi/360/model/11/   ที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/ratchaburi



          นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากมีการสำรวจพบชิ้นส่วนโครงกระดูกมนุษย์ภายในถ้ำเขาค้อม หมู่ที่ 10 ตำบลควนกาหลง อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล จึงมอบหมายให้สำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา ลงพื้นที่ตรวจสอบ ซึ่งได้รับรายงานว่าเจ้าหน้าที่สำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 พบว่า ถ้ำเขาค้อมตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาหินปูนลูกโดดซึ่งตั้งอยู่บริเวณริมอ่างเก็บน้ำด้านหลังของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสตูล จากการสำรวจทางโบราณคดี พบหลักฐานที่สำคัญ ได้แก่ ชิ้นส่วนโครงกระดูกมนุษย์  ชิ้นส่วนภาชนะดินเผา ชิ้นส่วนกระดูกสัตว์ เปลือกหอยน้ำจืดและเปลือกหอยทะเล เป็นต้น              ผลจากการศึกษาวิเคราะห์โบราณวัตถุในเบื้องต้นกำหนดให้เขาค้อมเป็นแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ สมัยหินใหม่ กำหนดอายุราว 3,000 – 6,000 ปีมาแล้ว อ้างอิงผลจากการขุดค้นทางโบราณคดีที่แหล่งโบราณคดีเพิงผาปาโต๊ะโร๊ะ อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล เมื่อปี พ.ศ.2553 ซึ่งพบโครงกระดูกยุคก่อนประวัติศาสตร์ กำหนดอายุทางวิทยาศาสตร์ราว 3,000 ปีมาแล้ว ผลจากการดำเนินงานทางด้านโบราณคดีที่ผ่านมาพบแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์เป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นพื้นที่จังหวัดสตูลเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญของประเทศไทย โดยสำรวจพบแหล่งโบราณคดีอย่างน้อย 46 แหล่ง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูลเพื่อประกาศรายชื่อให้ครอบคลุมทั้งหมด              อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวอีกว่า กรมศิลปากรขอขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ที่ร่วมกันปกป้องคุ้มครองและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้และท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม การค้นพบครั้งนี้ถือเป็นการค้นพบที่สำคัญซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดีของกรมศิลปากรและการพัฒนางานวิชาการต่อไปในอนาคต


ชื่อเรื่อง                     ตำนานธาตุพนม (ธาตุพนม)สพ.บ.                       447/1หมวดหมู่                   พุทธศาสนาภาษา                       บาลี-ไทยอีสานหัวเรื่อง                     พุทธศาสนา                              ตำนาน                              ประวัติประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ               18 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 38 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก        เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ไม่มีไม้ประกับ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


black ribbon.