ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,793 รายการ
กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน "คัมภีร์มรณญาณสูตร : ภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยว่าด้วยการพยากรณ์ความตาย" วิทยากร นางศิวพร เฉลิมศรี นักภาษาโบราณชำนาญการพิเศษ กลุ่มหนังสือตัวเขียนและจารึก สำนักหอสมุดแห่งชาติ ผู้ดำเนินรายการ นายสิทธิพร บุปผา นักวิชาการเผยแพร่ กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น. ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และ Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร
รายการ “ไขความรู้จากครูกรมศิลป์” มีรูปแบบเนื้อหาของรายการเกี่ยวกับประวัติความเป็นไทย เกร็ดประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวันสำคัญ ประเพณี วัฒนธรรม วีถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ผ่านการบอกเล่า ถ่ายทอดความรู้ แนวความคิด เนื้อหาวิชาการ จากประสบการณ์ของผู้บริหาร นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญกรมศิลปากร กำหนดถ่ายทอดสดผ่านเฟสบุ๊กไลฟ์ (Facebook Live) ทุกวันพฤหัสบดี เวลา ๑๑.๐๐ น. ตลอดปีงบประมาณ ๒๕๖๙ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๖๘ - กันยายน ๒๕๖๙
เว็ปไซต์หอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช: www.finearts.go.th/nakhonsithammaratlibrary
หอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2477 โดยกรมศิลปากร กระทรวงธรรมการ (กระทรวงวัฒนธรรมในปัจจุบัน) เพื่อรวบรวมโบราณคดี วรรณกรรม และหนังสือเกี่ยวกับศีลธรรมให้ประชาชนได้ศึกษาค้นคว้า มีคณะกรรมการอำนวยการชั้นต้น 15 คน นายอินทร์ รัตนวิจิตร เป็นพนักงานหอสมุดแห่งชาติวัดพระมหาธาตุจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นคนแรก โดยใช้วิหารสามจอมในบริเวณวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเป็นครั้งแรก ต่อมาพระรัตนธัชมุนี (แบน คณฐาภรโณ) เจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ได้ย้ายหอสมุดแห่งชาตินี้ไปอยู่ที่วิหารพระธรรมศาลา เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2478
พ.ศ. 2496 วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ได้รับงบประมาณซ่อมวิหารพระธรรมศาลา ดังนั้นที่ทำการหอสมุดแห่งชาติสาขานครศรีธรรมราชจึงมีความจำเป็นต้องย้ายออกไปอยู่ที่วิหารทับเกษตรใกล้องค์พระบรมธาตุเจดีย์
พ.ศ. 2511 กรมศิลปากรได้รับงบประมาณก่อสร้างอาคารหอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราชชั่วคราวในบริเวณหน่วยศิลปากรที่ 8 ณ วัดสวนหลวงตะวันออก (ร้าง)
พ.ศ. 2513 อาคารชั่วคราวของหอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช ชำรุดจำเป็นต้องย้ายกลับไปตั้งที่วิหารพระระเบียงในบริเวณวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารอีกครั้งหนึ่ง
พ.ศ. 2518 กรมศิลปากรได้รับงบประมาณก่อสร้างอาคารหอสมุดแห่งชาติสาขานครศรีธรรมราช ถาวรขึ้นภายในบริเวณเดียวกับหน่วยศิลปากรที่ 8 และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กทรงไทย 3 ชั้น มีพื้นที่ทั้งหมด 1,084 ตารางเมตร ได้ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยเมื่อวันที่
25 มิถุนายน 2519 และเปิดให้บริการเป็นทางการเมื่อวันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2521 โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช ทรงกรุณาเสด็จมาเป็นประธานในพิธี
พ.ศ. 2535 กรมศิลปากรได้จัดสรรงบประมาณเพื่อก่อสร้างอาคารหอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช เพิ่มขึ้นอีก 1 หลัง (อาคาร 2) ต่อมาในปี พ.ศ. 2548 ได้มีการซ่อมแซม ทาสีอาคาร และปรับภูมิทัศน์ ทั้ง 2 อาคาร ด้วยงบประมาณ 1,300,000 บาท (หนึ่งล้านสามแสนบาทถ้วน)
พ.ศ. 2553 กรมศิลปากรได้รับงบประมาณปรับปรุงระบบไฟฟ้าอาคาร 1 เป็นจำนวนเงิน 1,200,000 บาท (หนึ่งล้านสองแสนบาทถ้วน) และงบประมาณปรับปรุงพื้นกระเบื้องยาง ชั้น 3 อาคาร 1 เป็นเงิน 160,000 บาท (หนึ่งแสนหกหมื่นบาทถ้วน)
หอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช เป็นแหล่งให้ความรู้ทางศิลปะวิทยาการต่าง ๆ ที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับสำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ปัจจุบันหอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช สังกัดสำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
วันอาทิตย์ ที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๖.๔๕ น. นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร พร้อมด้วย นายสุพจน์ พรหมมาโนช ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ นายเมธาดล วิจักขณะ ที่ปรึกษากรมศิลปากร ตรวจเยี่ยมความคืบหน้างานอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานวัดพระธาตุภูเข้า ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย จากนั้นเดินทางต่อไปยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงแสน เพื่อตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายในการปรับปรุงพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงแสน จากนั้นเดินทางไปตรวจเยี่ยมการพัฒนาปรับปรุงพระธาตุจอมกิตติ พร้อมมอบนโยบายในการปรับปรุงเรื่องของภูมิทัศน์รอบบริเวณอีกด้วย
กรมศิลปากรชี้แจงประเด็นข่าวกุฏิพระโบราณ ที่วัดสิงห์ จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหาย สาเหตุจากช่างที่กรมศิลปากรจ้างมาซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์
เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ กรมศิลปากรแถลงข่าวชี้แจงประเด็นกุฏิพระโบราณที่วัดสิงห์ จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหาย โดยนายเอนก สีหามาตย์ รองอธิบดีกรมศิลปากร นายประทีป เพ็งตะโก ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี นายช่างโยธาและวิศกรควบคุมงาน เป็นผู้แถลงข่าว ณ ห้องประชุมกรมศิลปากร
ตามที่รายการเรื่องเล่าเสาร์ – อาทิตย์ ประจำวันอาทิตย์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ประจำวันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง ๓ และหนังสือพิมพ์ข่าวสด หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ได้เสนอข่าวเกี่ยวกับกุฏิพระโบราณ ที่วัดสิงห์ ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหายทั้งหมด สาเหตุจากช่างที่กรมศิลปากรจ้างมาซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์ นั้น
กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ขอชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวดังนี้
๑. วัดสิงห์ ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นวัดเก่าแก่ซึ่งยังปรากฏเจดีย์ โบสถ์ วิหารเก่าแก่ ควรค่าแก่การศึกษาด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี พระพุทธรูปสำคัญของวัดคือ หลวงพ่อโต พระพุทธรูปลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย สมัยกรุงศรีอยุธยา พระพุทธไสยาสน์ (หลวงพ่อเพชร) นอกจากนี้ยังมีโกศบรรจุอัฐิหลวงพ่อพญากราย ซึ่งเป็นพระมอญธุดงค์มาจำพรรษา ที่วัดสิงห์ บนกุฏิของวัดมีพิพิธภัณฑ์ เก็บรักษาของเก่า ได้แก่ ตุ่มสามโคก แท่นบรรทมของพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองสามโคก ใบลานอักษรมอญ ตู้พระธรรม และพระพุทธรูป ด้านหน้าวัดสิงห์มีการขุดค้นพบโบราณสถานเตาโอ่งอ่าง ซึ่งถือ เป็นหลักฐานของการตั้งชุมชนมอญในสมัยแรกในบริเวณนี้นับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดขอบเขตโบราณสถาน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ เล่มที่ ๑๐๙ ตอนที่ ๑๐๙
๒. กรมศิลปากร สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้รับการจัดสรรงบประมาณโครงการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานที่ประสบอุทกภัย โครงการบูรณะโบราณสถานวัดสิงห์ จำนวน ๑๒,๐๒๐,๐๐๐ บาท โดยแบ่งเป็น ๒ โครงการ
- โครงการงานบูรณะโบราณสถาน จำนวนเงิน ๔,๔๕๐,๐๐๐ บาท
- โครงการงานปรับยกระดับ (ปรับดีด) วงเงินสัญญาจ้าง ๗,๕๓๙,๐๐๐ บาท ดำเนินการว่าจ้างบริษัทกันต์กนิษฐ์ ก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้ดำเนินงาน ตามสัญญาจ้างเลขที่ ๑๒/๒๕๕๕ เริ่มสัญญาวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สิ้นสุดวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยมีนายเฉลิมศักดิ์ ทองมา นายช่างโยธาชำนาญงาน สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี เป็นผู้ควบคุมงาน
๓. เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๒๑.๓๐ น. นายเฉลิมศักดิ์ ทองมา ได้รับแจ้งจากตัวแทนบริษัทกันต์กนิษฐ์ ก่อสร้าง จำกัด ในเวลาประมาณ ๑๖.๓๐ น. ขณะที่คนงานอยู่ในช่วงพัก ไม่มีใครอยู่ภายในบริเวณอาคารกุฏิโบราณ ได้ยินเสียงพร้อมทั้งปูนฉาบของตัวอาคารกะเทาะหลุดร่วงลงมา แล้วมุมอาคารด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เกิดการทรุดตัวลง ทำให้กระเบื้องหลังคาและโครงสร้างหลังคาทั้งหมด ทรุดลงมากองอยู่บริเวณพื้นไม้ชั้นสองของอาคาร ทำให้น้ำหนักบรรทุกของพื้นมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากนั้นผนังด้านทิศใต้ ก็ได้พังทลายตามลงมาเนื่องจากรับหนักของหลังคาที่ทรุดลงมาไม่ไหว
๔. เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๙.๐๐ น.ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี (นายประทีป เพ็งตะโก) นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ วิศวกรชำนาญการพิเศษ นายจมร ปรปักษ์ประลัย สถาปนิกชำนาญการ นายเฉลิมศักดิ์ ทองมา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสามโคก และคณะกรรมการวัดสิงห์ ได้ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายและหาสาเหตุของการพังทลาย ได้ข้อสรุปดังนี้
๔.๑ การที่อาคารเกิดการทรุดตัว เนื่องจากพื้นดินรับฐานรากอาคารอยู่ในที่ต่ำชุ่มน้ำตลอดทั้งปี ทำให้อ่อนตัวรับน้ำหนักอาคารไม่ไหวทำให้ผนังอาคารทรุดตัวลงมาประมาณ ๑ ใน ๔ ส่วน
๔.๒ ผนังอาคารมีร่องรอยแตกร้าวจำนวนมาก พบร่องรอยนี้จากการสำรวจเพื่อจัดทำรูปแบบรายการการอนุรักษ์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๐ - ๒๕๕๔
๔.๓ ปูนสอเสื่อมสภาพจากการถูกน้ำแช่ขังและใช้งานอาคารมาเป็นเวลานาน ทำให้การยึดตัวของอิฐและปูนสอไม่ดี เป็นสาเหตุให้ตัวอาคารทรุดลงมา
๔.๔ สภาพอาคารที่ปูนฉาบผนังนอกหลุดร่อน ทำให้น้ำซึมผ่านเข้าไปในผนังทำให้ ปูนสอชุ่มน้ำ ทำให้แรงยึดเกาะระหว่างอิฐต่ำ
๔.๕ ขณะที่อาคารทรุดตัวอยู่ระหว่างการขุดเพื่อตรวจสอบฐานของอาคารส่วนที่ จมดินเพื่อเตรียมการกำหนดระยะที่ทำการตัดผนังเพื่อเสริมคานถ่ายแรง ยังไม่ได้ทำการตัดผนัง จึงยังมิได้มีการรบกวนโครงสร้างของอาคารโบราณ แต่ตัวอาคารก็เกิดการทรุดตัวลงมาเสียก่อน
หลังจากทำการตรวจสอบพื้นที่แล้ว สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้สั่งการให้บริษัทผู้รับจ้างทำการค้ำยันผนังส่วนที่เหลือโดยให้ดำเนินการตามคำแนะนำของวิศวกร และทำการจัดเก็บวัสดุส่วนที่สามารถนำมาก่อสร้างเพื่อคืนสภาพอาคารไปจัดเก็บในที่ให้เรียบร้อย รวมทั้งได้เร่งรัดให้ผู้รับจ้างดำเนินการบูรณะกุฏิให้คืนสภาพโดยเร็ว โดยให้บริษัทผู้รับจ้างร่วมกับสถาปนิก วิศวกร และผู้เกี่ยวข้อง ปรับปรุงรูปแบบรายการ และวิธีปรับดีดให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพปัจจุบันของกุฏิ และให้ดำเนินการบูรณะกุฏิให้กลับคืนสภาพเดิม โดยให้เป็นไปตามรูปแบบรายการบูรณะที่ได้รับอนุญาต