ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ

    สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระราชหฤทัยงานด้านจดหมายเหตุมาตั้งแต่ครั้งยังทรงศึกษา ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในสาขาวิชาเอกประวัติศาสตร์ และทรงให้ความสำคัญกับเอกสารจดหมายเหตุในฐานะเป็นเอกสารชั้นต้นที่สะท้อนถึงภารกิจของหน่วยงานเจ้าของเอกสาร ซึ่งสามารถนำไปอ้างอิงวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์ได้ในทุกสาขาวิชา             สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีสายพระเนตรที่กว้างไกล พระองค์มีพระราชปรารภถึงความจำเป็นที่ควรจัดให้มีหลักสูตรการศึกษาวิชาการจดหมายเหตุในระดับอุดมศึกษา เพื่อพัฒนาวิชาชีพจดหมายเหตุในประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้า เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือจากนานาอารยประเทศ อีกทั้งเพื่อปลูกฝังให้ประเทศไทยได้รู้จักงานจดหมายเหตุ เข้าใจถึงคุณค่าและมีความหวงแหนเอกสารประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์และมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ ในชั้นแรกหอจดหมายเหตุแห่งชาติได้มอบหมายให้นักวิชาการที่มีความรู้และประสบการณ์ในงานจดหมายเหตุ ร่วมกันจัดทำเอกสารเรื่อง “วิชาการพื้นฐานการบริหารและจัดการจดหมายเหตุ” เพื่อเป็นเอกสารทางวิชาการสำหรับผู้ปฏิบัติงานจดหมายเหตุและผู้สนใจทั่วไป และได้นำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย  พร้อมทั้งจัดทำคู่มือเทคนิควิธีเกี่ยวกับกระบวนงานจดหมายเหตุ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องออกเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ หอจดหมายเหตุแห่งชาติยังจัดหลักสูตรการฝึกอบรมความรู้ด้านกระบวนงานจดหมายเหตุ ทั้งระยะสั้นและระยะยาวตามความประสงค์ของผู้ขอรับการฝึกอบรม ทั้งที่เป็นหน่วยงาน ผู้ฝึกประสบการณ์วิชาชีพ และผู้สนใจทั่วไปด้วย             สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระราชหฤทัยและทรงให้ความสำคัญในขั้นตอนการซ่อมอนุรักษ์เอกสารจดหมายเหตุมากเป็นพิเศษ เพราะทรงเข้าพระราชหฤทัยในธรรมชาติของเอกสารจดหมายเหตุซึ่งเป็นของเก่า และมีอยู่เพียงชุดเดียวหรือมีเพียงจำนวนจำกัด แต่ต้องเก็บรักษาให้คงอยู่ตลอดไป จึงโปรดให้ผู้มีหน้าที่ดูแลหอพระสมุดส่วนพระองค์ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน มาเรียนวิธีซ่อมอนุรักษ์เอกสาร และหนังสือส่วนพระองค์อย่างง่ายๆ เพื่อนำความรู้ไปใช้ที่หอพระสมุดดังกล่าว ทรงแนะนำให้บรรณารักษ์หอสมุดโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า มาเรียนวิธีซ่อมอนุรักษ์เอกสารที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ รวมทั้งทรงนำนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ามาศึกษาดูงานที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติและหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้หอจดหมายเหตุแห่งชาติดำเนินการอนุรักษ์และซ่อมสงวนรักษาแผนที่โบราณในหอพระสมุดส่วนพระองค์ และพระราชทานความเห็นในการซ่อมเอกสารของหอจดหมายเหตุแห่งชาติว่า “หนังสือซ่อมแล้วทำให้เอกสารอ่านยาก เพราะกระดาษสาใช้เสริมความแข็งแรงของเอกสารเป็นกระดาษสาที่ผลิตในประเทศ กระดาษสามีความหนากว่ากระดาษสาของญี่ปุ่น แต่กระดาษสาของญี่ปุ่นมีราคาสูง”หอจดหมายเหตุแห่งชาติจึงได้ประสานกับบริษัทผู้ผลิตกระดาษสาให้พัฒนาปรับปรุงการผลิตกระดาษสาให้บางลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อีกทั้งให้มีสีหลากหลาย เพื่อให้พนักงานซ่อมเอกสารสามารถเลือกสีที่ใกล้เคียงกับสีของกระดาษของเอกสารที่จะซ่อมได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้เอกสารที่ซ่อมแล้วอ่านได้ง่ายขึ้น และนำตัวอย่างกระดาษสาไทยไปให้หน่วยงานที่ผลิตกระดาษสาสำหรับการซ่อมอนุรักษ์ของญี่ปุ่นวิเคราะห์ ซึ่งทางหน่วยงานของญี่ปุ่นชื่นชมบริษัทผลิตกระดาษสาของไทยที่ผลิตกระดาษสาได้บางมาก แม้จะยังไม่เหนียวเท่ากระดาษสาของญี่ปุ่น เพราะกระดาษสาของญี่ปุ่นมีเยื่อกระดาษมากและยาวกว่ากระดาษสาของไทย ซึ่งอาจเนื่องมาจากดินที่ปลูกต้นปอสาที่ใช้ผลิต             สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระมหากรุณาเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดนิทรรศการของหอจดหมายเหตุแห่งชาติไม่น้อยกว่า ๑๑ ครั้ง ซึ่งทุกครั้งจะทรงตรัสถามถึงความเป็นอยู่ สุขภาพพลานามัยของเจ้าหน้าที่ของหอจดหมายเหตุแห่งชาติด้วยความห่วงใย และมีพระเมตตาให้คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล จัดทำโครงการตรวจและรักษาสุขภาพเจ้าหน้าที่ของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๐ นอกจากนี้ ในการเสด็จพระราชดำเนินมาแต่ละครั้งได้มีพระราชดำริพร้อมคำแนะนำในการปฏิบัติงานเพื่อพัฒนางานจดหมายเหตุอยู่เสมอ             หอจดหมายเหตุแห่งชาติได้สนองพระราชดำริในด้านนี้ โดยได้จัดทำโครงการอ่านภาพเก่า โครงการประกวดภาพเก่า โครงการอวดภาพเก่า โครงการรวบรวมและรับบริจาคภาพจากบุคคลสำคัญ รวมทั้งการรับมอบภาพจากการประกวดภาพถ่ายของหน่วยงานต่างๆ             นอกจากเสด็จพระราชดำเนินเปิดนิทรรศการของหอจดหมายเหตุแห่งชาติแล้ว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ และทรงประกอบพิธีเปิดหอจดหมายเหตุแห่งชาติในส่วนภูมิภาค เช่น ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์หอจดหมายเหตุนายรัฐมนตรี พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๙ ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่      เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๖ ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิม   พระเกียรติฯ ตรัง เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๖ ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ สงขลา เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๓๖ ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ยะลา เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๓๖ และทรงประกอบพิธีเปิดหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช  เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓             ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะทรงกำหนดให้มีการศึกษาดูงานด้านจดหมายเหตุในหมายกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินในแต่ละครั้งด้วยเสมอ ซึ่งเป็นการขยายองค์ความรู้ด้านจดหมายเหตุในพระองค์ และพระราชทานพระราชดำริในการพัฒนางานจดหมายเหตุในประเทศไทย อาทิ ทรงเสนอให้จัดทำโครงการรวบรวมศึกษาเอกสารที่เกี่ยวกับประเทศไทยในต่างประเทศ หอจดหมายเหตุแห่งชาติได้สนองแนวพระราชดำริในเรื่องนี้ ซึ่งในปัจจุบัน        หอจดหมายเหตุแห่งชาติมีเอกสารที่เกี่ยวกับประเทศไทยจากประเทศต่างๆ อาทิ ประเทศออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ โปรตุเกส ฝรั่งเศส เดนมาร์ก เบลเยี่ยม ไว้ให้บริการค้นคว้า             สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนับสนุนและพระราชทานคำแนะนำในการปฏิบัติงานด้านจดหมายเหตุเสมอมา ซึ่งบรรดาข้าราชการและบุคลากรผู้ปฏิบัติงานทุกคนของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และซาบซึ้งในน้ำพระราชหฤทัยที่พระองค์ทรงห่วงใยอาทรบุคลากรและงานจดหมายเหตุ บุคลากรของ       หอจดหมายเหตุแห่งชาติทุกคนจึงร่วมใจกันมุ่งมั่นพัฒนาการบริหารจัดการงานจดหมายเหตุ การปฏิบัติงาน รวมทั้งให้การบริการเอกสารจดหมายเหตุให้ผู้มาใช้บริการได้รับความพึงพอใจและได้รับประโยชน์สูงสุด   เพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณอย่างเต็มกำลังความสามารถตลอดไป   หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สงขลา              หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สงขลา  เกิดขึ้นจากกรมศิลปากรขยายงานหอจดหมายเหตุแห่งชาติออกไปสู่ส่วนภูมิภาคทั้ง ๑๒  เขตการศึกษา การจัดตั้งหอจดหมายเหตุแห่งชาติในเขตการศึกษาที่ ๓  ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดชุมพร  สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา กรมศิลปากรพิจารณาว่าควรจัดตั้งขึ้นที่จังหวัดสงขลา และได้รับความร่วมมือจากนายกเทศมนตรีเทศบาลนครหาดใหญ่ (นายเคร่ง  สุวรรณวงศ์) อนุญาตให้ใช้ที่ดินในบริเวณสวนสาธารณะเทศบาลนครหาดใหญ่  จำนวน ๓ ไร่ เพื่อก่อสร้างอาคารหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ในการนี้  กรมศิลปากรได้รับพระมหากรุณาจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานพระบรมราชานุญาต  ให้ใช้ชื่ออาคารนี้ว่า  “หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ  สงขลา”  เมื่อวันที่ ๗  พฤษภาคม  พุทธศักราช ๒๕๓๖ ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  เสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาฤกษ์อาคารแห่งนี้เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๓๖                 หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สงขลาปฏิบัติงานตามภารกิจหลักในการรับมอบ ติดตาม เเสวงหา และประเมินคุณค่าเพื่อการจัดเก็บ พัฒนา อนุรักษ์  เผยเเพร่เเละให้บริการเอกสารจดหมายเหตุประเภทต่าง ๆ บันทึกเหตุการณ์สำคัญของชาติ ภารกิจดังกล่าว หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ สงขลา ได้น้อมนำพระราชดำรัสของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาใช้ปฏิบัติงาน ดังกระแสพระราชดำรัสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานเกี่ยวกับการศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากภาพถ่ายเก่าและจัดทำคำบรรยายภาพที่เก็บรักษาเป็นหลักฐานด้านจดหมายเหตุในพิธีเปิดนิทรรศการ เรื่อง “สังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕”   เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑  ความว่า    “การจัดนิทรรศการอย่างนี้เป็นผลดีแน่ ภาพจดหมายเหตุจะสามารถเล่าเรื่องต่างๆ ได้เอง โดยไม่ต้องอาศัยคำบรรยายมากนัก ขอแสดงความคิดเห็นบางประการ (เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ คงกำลังกระทำอยู่บ้างแล้ว)ถ้าทำได้ควรจะคอยสอดส่องหาภาพต่างๆ ในอดีตทั้งใกล้และไกลมาเก็บไว้อีก พยายามขอจากคนที่มีภาพ ถ้าเจ้าของไม่มอบให้เป็นสมบัติของหอจดหมายเหตุแห่งชาติก็พยายามขอยืมมาก๊อบปี้เอาไว้  ค่อยๆ ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับภาพให้ดีที่สุด โดยค้นจากเอกสารและสอบถามจากผู้รู้เรื่องหลายๆ ท่าน สอบทานกัน”               อ่านต่อ ที่นี่   ที่มาข้อมูล : หนังสือสิปปธัช : พระผู้เป็นธงชัยแห่งสรรพศิลป์ (จัดพิมพ์เนื่องในโอกาส ๑๐๔ ปี แห่งการสถาปนากรมศิลปากร)   


พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา จัดกิจกรรมพิพิธภัณฑ์สัญจร ณ โรงเรียนบ้านทัพหลวง ตำบลคูหา อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2558 โดยมีกิจกรรมแนะนำหน่วยงาน และการต่อจิ๊กซอ ให้นักเรียนทุกระดับชั้นได้ร่วมสนุกและเพิ่มพูนความรู้   


บัญชีค่าเข้าชมโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้วและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ   ท้ายกฎกระทรวง กำหนดค่าเข้าชมและค่าบริการอื่นสำหรับโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้ว และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ ลำดับ จังหวัด รายชื่อ อัตราค่าเข้าชม (บาท) สัญชาติไทย สัญชาติอื่น บัตรปลีก บัตรรวม บัตรปลีก บัตรรวม 1 กรุงเทพมหานคร 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร      เขตพระนคร 2.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ   เรือพระราช-พิธี เขตบางกอกน้อย 3.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป     เขตพระนคร 4.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ช้างต้น   เขตดุสิต 30.- 20.- 30.- 5.- 60.- 200.- 100.- 200.- 5.- 350.- 2 กาญจนบุรี 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเก่า   อำเภอเมืองกาญจนบุรี 2.อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์   อำเภอไทรโยค 10.- 20.- - - 50.- 100.- - - 3 กำแพงเพชร 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร   อำเภอเมืองกำแพงเพชร 2.อุทยานประวัติศาสตร์ กำแพงเพชร   เขตอรัญญิก อำเภอเมืองกำแพงเพชร 3.อุทยานประวัติศาสตร์ กำแพงเพชร   เขตในกำแพงเมือง   อำเภอเมืองกำแพงเพชร 20.- 20.- 20.- 30.- 100.- 100.- 100.- 150.- 4 ขอนแก่น 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น   อำเภอเมืองขอนแก่น 20.- - 100.- - 5 จันทบุรี 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พาณิชย์นาวี   อำเภอเมืองจันทบุรี 20.- - 100.- - 6 ชัยนาท 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งขาติ ชัยนาทมุนี   อำเภอเมืองชัยนาท 10.- - 50.- - 7 เชียงราย 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงแสน   อำเภอเชียงแสน 2.โบราณสถานวัดป่าสัก อำเภอเชียงแสน 20.- 10.- - - 100.- 50.- - - 8 เชียงใหม่ 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่   อำเภอเมืองเชียงใหม่ 20.- - 100.- - 9 ชุมพร 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร   อำเภอเมืองชุมพร 20.- - 100.- - 10 นครปฐม 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์   อำเภอเมืองนครปฐม 20.- - 100.- - 11 นครราชสีมา 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวีรวงค์   อำเภอเมือง นครราชสีมา 2.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย   อำเภอพิมาย 3.โบราณสถานวัดพนมวัน   อำเภอเมืองนครราชสีมา 4.อุทยาประวัติศาสตร์พิมาย อำเภอพิมาย 5.โบราณสถานเมืองแขก อำเภอสูงเนิน 10.- 20.- 10.- 20.- 10.- - - - - - 50.- 100.- 50.- 100.- 50.- - - - - - 12 นครศรีธรรมราช 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช   อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช 30.- - 150.- - 13 น่าน 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน   อำเภอเมืองน่าน 20.- - 100.- - 14 บุรีรัมย์ 1.อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง   อำเภอนางรอง 2.โบราณสถานปราสาทเมืองต่ำ   อำเภอประโคนชัย 20.- 20.- 30.- 100.- 100.- 150.- 15 ปราจีนบุรี 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี   อำเภอเมืองปราจีนบุรี 30.- - 150.- - 16 พระนครศรีอยุธยา 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม   อำเภอพระนครศรีอยุธยา 2.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา   อำเภอพระนครศรีอยุธยา 3.โบราณสถานวัดมเหยงค์   อำเภอพระนครศรีอยุธยา 4.โบราณสถานวัดมหาธาตุ   อำเภอพระนครศรีอยุธยา 5.โบราณสถานวัดราชบูรณะ   อำเภอพระนครศรีอยุธยา 6.โบราณสถานวัดพระศรีสรรเพชญ์   และพระราชวังโบราณ   อำเภอพระนครศรีอยุธยา 7.โบราณสถานวัดพระราม   อำเภอพระนครศรีอยุธยา 8.โบราณสถานวัดไชยวัฒนาราม   อำเภอพระนครศรีอยุธยา 20.- 30.- 10.- 10.- 10.- 10.- 10.- 10.-   40.- 100.- 150.- 50.- 50.- 50.- 50.- 50.- 50.- 220.- 17 พัทลุง 1.โบราณสถานวังเจ้าเมืองพัทลุง   อำเภอเมืองพัทลุง 10.- - 50.- - 18 เพชรบุรี 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี   และอุทยาน ประวัติศาสตร์พระนครคีรี 20.- - 150.- - 19 เพชรบูรณ์ 1.อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ   อำเภอศรีเทพ 20.- - 100.- - 20 ภูเก็ต 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง   อำเภอถลาง 20.- - 100.- - 21 ราชบุรี 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี   อำเภอเมืองราชบุรี 20.- - 100.- - 22 ร้อยเอ็ด 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ร้อยเอ็ด 20.- - 100.- - 23 ลพบุรี 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ   สมเด็จพระนารายณ์ อำเภอเมืองลพบุรี 2.โบราณสถานบ้านวิชาเยนทร์   อำเภอเมืองลพบุรี 3.โบราณสถานปรางค์สามยอด   อำเภอเมืองลพบุรี 4.โบราณสถานพระที่นั่งไกรสร   สีหราช(พระที่นั่งเย็น) อำเภอเมืองลพบุรี 5.โบราณสถานวัดพระศรีมหาธาตุ   อำเภอเมืองลพบุรี 30.- 10.- 10.- 10.- 10.- 30.- 50.- 50.- 50.- 50.- 50.- 150.- 24 ลำพูน 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย   อำเภอเมืองลำพูน 20.- - 100.- - 25 สตูล 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สตูล 10.- - 50.- - 26 สุพรรณบุรี 1.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี   อำเภอเมืองสุพรรณบุรี 2.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง   อำเภออู่ทอง 20.- 30.- - - 100.- 150.- - -  


หอสมุดแห่งชาติกาญจนาภิเษก สงขลา จัดกิจกรรม จุดประกายฝันสร้างสรรครักการอ่าน ระหว่างวันที่ ๒๘ - ๓๐ เมษายน ๒๕๕๘


ทีมนักโบราณคดีได้ทำการวิเคราะห์แนวโบราณถสถานในพื้นที่ขุดค้นระยะที่ 4 เรียบร้อยแล้ว พบแนวโบราณสถานทั้งสิ้น 11 แนว ที่สำคัญเช่นแนวฉนวนทางเดินอิฐ ที่มีความยาวหลายเมตร ฐานรากอาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมจำนวน 4 หลัง แนวขอบพื้นปูศิลาด้านข้างพระที่นั่งพุทไธสวรรค์ บางแนวมีอายุเก่าไปถึงสมัยรัชกาลที่ 4 การขุดค้นทางโบราณคดีครั้งนี้ถือเป็นมิติการค้นพบครั้งใหม่และกุญเเจสำคัญ ที่ช่วยตอบคำถามการใช้พื้นที่และตำแหน่งสิ่งปลูกสร้างพระราชวังบวรสถานมงคล บริเวณเขตพระราชฐานชั้นกลาง (หมู่พระมณเฑียร และที่ออกว่าราชการของพระอุปราช) ในช่วงก่อนการยกเลิกตำแหน่งพระมหาอุปราชในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งถือว่ามีหลักฐานในอดีตหลงเหลือน้อยอย่างยิ่ง   ข้อมูลจาก https://www.facebook.com/WangnaArchaeologicalProject2012            


        วันอังคารที่ 10 มีนาคม 2558 ศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน พร้อมท่าผู้หญิงมณฑิณี มงคลนาวินได้ มอบเอกสารส่วนบุคคลให้แก่สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ เพื่อทำการอนุรักษ์และให้บริการศึกษาค้นคว้าในโอกาสต่อไป และได้เยี่ยมชมการดำเนินงานของสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ        



พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา จัดกิจกรรมพิพิธภัณฑ์สัญจร ณ โรงเรียนวัดป่าขาด ตำบลป่าขาด อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2558 โดยมีกิจกรรมแนะนำหน่วยงาน การระบายสี และการต่อจิ๊กซอ ให้นักเรียนทุกระดับชั้นได้ร่วมสนุก และเพิ่มพูนความรู้   


พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา ร่วมกับกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ในโครงการภูมิปัญญาสงขลา โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา จัดกิจกรรมพิพิธภัณฑ์สัญจร ณ โรงเรียนมหาวชิราวุธ ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2558 โดยมีกิจกรรมแนะนำหน่วยงาน การให้ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์และศิลปกรรมสงขลาผ่านกิจกรรมทายภาพโบราณวัตถุ รวมถึงกิจกรรมต่อจิ๊กซอ เพิ่อให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้ไปพร้อมกับการเล่น     


พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา จัดกิจกรรมพิพิธภัณฑ์สัญจร ณ โรงเรียนกลับเพชรศึกษา ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขา เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2558 โดยมีกิจกรรมการแนะนำหน่วยงาน การระบายสี และการต่อจิ๊กซอ ให้เด็กนักเรียนทุกระดับชั้นได้ร่วมสนุกและเพิ่มพูนความรู้ 


พระราชวินิจฉัยให้งานศิลปกรรมงามตามขนบช่าง   พุทธศักราช ๒๕๕๘ เป็นปีมหามงคลที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระชนมายุครบ ๕ รอบในวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ ยังความปลื้มปีติโสมนัสมาสู่ปวงข้าราชการกรมศิลปากรและประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าด้วยพระองค์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ในงานด้านศิลปวัฒนธรรมของชาติไทยหลายแขนง ซึ่งรวมถึงด้านศิลปกรรมสาขาต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อันเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ปวงชนชาวไทย และหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านศิลปวัฒนธรรมของชาติ ดังเช่น สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีหน้าที่ธำรง รักษา และสืบทอดงานศิลปกรรมไทยที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ ดำเนินงานด้านผดุงรักษา ฟื้นฟู และสืบทอดศิลปะวิทยาการด้านช่างฝีมือด้านช่าง และงานศิลปะในการบูรณะซ่อมแซม เพื่ออนุรักษ์งานศิลปกรรมที่มีคุณค่าของชาติ ปฏิบัติงานด้านการออกแบบสร้างสรรค์งานศิลปกรรมไทย ทั้งแบบประเพณีร่วมสมัย และศิลปะแบบประยุกต์   กรมศิลปากร โดยสำนักช่างสิบหมู่ ได้ดำเนินงานเพื่อสนองพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการจัดสร้างบานประตูประดับมุก ณ หอพระมณเฑียรธรรม ภายในวัดพระศรีรัตนศาสาดรามขึ้นใหม่จำนวน ๑ คู่ ด้วยพระองค์ทรงห่วงใยบานประตูประดับมุกคู่เดิม ที่ต้องกรำแดดและถูกละอองฝน จนทำให้ลวดลายมุกเสื่อมสภาพเกิดความทรุดโทรม และทรงห่วงใยว่าต่อไปเยาวชนรุ่นใหม่อาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นงานช่างศิลป์อันงดงามของบานประตูคู่นี้ที่ประกอบไปด้วยเรื่องราวทางวัฒนธรรม ซึ่งมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของประเทศชาติ   สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร เริ่มดำเนินการจัดสร้างเมื่อต้นพุทธศักราช ๒๕๕๐ ดำเนินงานจัดสร้างด้วยความประณีต วิจิตรบรรจง และละเอียดอ่อน ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดหาวัสดุที่นำมาใช้ปฏิบัติงาน ได้แก่ หอยโข่งมุก ซึ่งเป็นหอยชนิดหนึ่งที่มีความแวววาวในตัว ต้องนำมาขัดหินปูนออก แล้วนำมาขัดเจียนให้มีขนาดบางจนได้ขนาดที่เหมาะสม จากนั้นนำมาฉลุลวดลาย และประดับลวดลายมุกลงบนบานประตู โดยใช้กรรมวิธีและวัสดุแบบโบราณ คือใช้ยางรักเป็นตัวประสานพื้น และถมลายด้วยยางรักผสมสมุกกะลา ปล่อยให้แห้งสนิททีละชั้นจนเต็ม จึงขัดแต่งผิวหน้าลายด้วยกระดาษทรายน้ำจนเนื้อรักสมุกที่ทับบนตัวลายมุกออกหมด จนปรากฏลวดลายประดับมุกครบทั้งบาน นำกระดาษทรายอย่างละเอียดมากๆ มาขัดจนเรียบ และขัดมันโดยใช้ผ้านุ่มชุบด้วยสมุกเขากวางบดละเอียด(เขากวางแก่นำมาเผาไฟจนเป็นถ่านสีขาว)มาขัดบนผิวงานให้เป็นมัน ถ้าปรากฏจุดใดไม่เป็นมัน แสดงว่ายังต้องขัดเพิ่มด้วยกระดาษทรายละเอียดและทดสอบด้วยสมุกเขากวางใหม่จนผิวเป็นมัน ใช้ยางรักน้ำเกลี้ยงชโลมทั่วผิวแล้วเช็ดถอนยางรักออก แล้วขัดถูด้วยผ้าให้เกิดความร้อน จนได้ผิวงานมันวาว เรียบร้อยสวยงาม   เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ ขณะสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดนิทรรศการพิเศษ เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทยเรื่อง “งานช่างหลวง”ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ทรงพระกรุณาประดับลวดลายชุดสุดท้ายบนบานประตูบานใหม่ และคณะช่างนำกลับมาดำเนินการต่อจนกระทั่งแล้วเสร็จในพุทธศักราช ๒๕๕๕ รวมระยะเวลาดำเนินงานทั้งสิ้น ๕ ปี   ปัจจุบัน สำนักช่างสิบหมู่อยู่ในระหว่างการดำเนินการซ่อมอนุรักษ์บานประตูบานเก่า เพื่อเสริมความสมบูรณ์ สวยงาม ด้วยกระบวนการวิธีแบบโบราณ ณ สำนักช่างสิบหมู่ ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ก่อนที่จะเก็บรักษาไว้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เพื่อให้ประชาชนได้ศึกษารูปแบบศิลปกรรมของโบราณวัตถุอันมีค่าของชาติต่อไป   เนื่องในพุทธศักราช ๒๕๕๘ อันเป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมายุครบ ๕ รอบ ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สำนักช่างสิบหมู่ได้มีโอกาสรับสนองเบื้องพระยุคลบาทอีกวาระหนึ่ง โดยนายสมชายศุภลักษณ์อำไพพร ตำแหน่งนายช่างศิลปกรรมอาวุโส สังกัดสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ได้รับมอบหมายให้ออกแบบตราสัญลักษณ์ เพื่อใช้เป็นตราสัญลักษณ์ งานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๕ รอบ ในวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ ซึ่งรัฐบาลโดยคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้มีตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติฯ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติฯ ที่ออกแบบโดยสำนักช่างสิบหมู่ เพื่อใช้ในกิจกรรมต่างๆ ต่อไป   อ่านต่อ ที่นี่    ที่มาข้อมูล : หนังสือสิปปธัช : พระผู้เป็นธงชัยแห่งสรรพศิลป์ (จัดพิมพ์เนื่องในโอกาส ๑๐๔ ปี แห่งการสถาปนากรมศิลปากร)


พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา จัดกิจกรรมพิพิธภัณฑ์สัญจร ณ โรงเรียนวิเชียรชม ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2558 โดยมีกิจกรรมการแนะนำหน่วยงาน การตอบคำถามชิงรางวัล และการต่อจิ๊กซอ ให้เด็กนักเรียนทุกระดับชั้นได้ร่วมสนุกและเพิ่มพูนความรู้    


การดำเนินงานด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์   ภายในพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า)   วัตถุประสงค์   ๑.สำรวจ รวบรวม ศึกษาข้อมูลทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า)   - การสำรวจเชิงเอกสาร   - การสำรวจระยะไกล   ๒. นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษา สรุปเป็นเรื่องราวของพระราชวังบวรสถานมงคลและกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทั้ง       ทางด้านประวัติความเป็นมา พัฒนาการของพื้นที่ และจัดทำเป็นรูปแบบสันนิษฐาน   ๓. จัดทำให้เป็นแหล่งเรียนรู้ สำหรับนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ในรูปแบบของนิทรรศการชั่วคราวใน       แหล่ง รวมถึงการมีส่วนร่วมขณะปฏิบัติงานทางโบราณคดี   ๔. เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ เรื่องราวของพระราชวังบวรสถานมงคลและกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ตลอดการ       ดำเนินโครงการเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง ในรูปแบบต่างๆ เช่น หนังสือ รายงาน เอกสารเผยแพร่   ๕. นำข้อมูลที่ได้รับมาสังเคราะห์เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลสนับสนุนการจัดทำพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ให้เป็น       แหล่งเรียนรู้ตามอัธยาศัย และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม   ๖. นำเสนอโบราณสถานพระราชวังบวรสถานมงคลทั้งบริเวณ ในรูปแบบต่างๆ ตามความเหมาะสม   ๗. เป็นโครงการที่มุ่งนำวิทยาการแผนใหม่มาประยุกต์ใช้เพื่อการศึกษา ภายใต้กรอบแนวคิดในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการ       พลิกฟื้นอดีตด้วยรูปแบบ และวิธีการนำเสนอที่เหมาะสม   ......อ่านต่อ


คุณค่าความสำคัญของพระราชวังบวรสถานมงคล             พระราชวังบวรสถานมงคล มีคุณค่าความสำคัญซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น ๔ ประการ ดังนี้   ๑) พระราชวังบวรสถานมงคลมีฐานะเป็นองค์ประกอบสำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระราชวังที่มีความสำคัญอย่างยิ่งรองจากพระบรมมหาราชวัง โดยเป็นที่ประทับของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ซึ่งเป็นตำแหน่งพระมหาอุปราชมาตั้งแต่เมื่อแรกสถาปนา     ราชธานี   ๒) เป็นสถานที่ซึ่งยังคงปรากฏร่องรอยของโบราณสถานในสมัยแรกสร้างกรุงรัตนโกสินทร์หลงเหลืออยู่เป็นจำนวนมากซึ่งหาได้ยากยิ่งในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร   ๓) พระราชวังบวรสถานมงคลเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ   ทั้งสถาปัตยกรรมและภูมิสถาปัตยกรรม อันเป็นเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงประโยชน์การใช้สอยพื้นที่ สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการทางการเมือง การปกครอง และสังคม จึงมีคุณค่าทั้งในด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศิลปกรรม ในฐานะที่เป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่น ประเทศ และในระดับโลก   ๔) สถาปัตยกรรมในพระราชวังบวรสถานมงคลมีคุณค่าและความหลากหลายทางศิลปะ โดยมีรูปแบบสืบเนื่องมาจากศิลปะอยุธยา(พ.ศ.๒๓๒๕-๒๓๖๗) ต่อมาได้รับอิทธิพลศิลปะจีน(พ.ศ.๒๓๖๗-๒๓๙๔) และได้รับอิทธิพลศิลปะจีนผสมผสานกับศิลปะตะวันตก (พ.ศ.๒๓๙๔ –๒๔๒๘)   ...อ่านต่อ


สมัยกรุงรัตนโกสินทร์  เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชมหาราชเสด็จปราบดาภิเษกขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์แล้ว  ทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ  พระเจ้าสุรสีห์พิศณวาธิราช  เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลฝ่ายหน้า  และโปรดฯ ให้ย้ายพระนครจากกรุงธนบุรีมาสร้างกรุงเทพมหานคร  เป็นพระนครแห่งใหม่ยังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา  ให้สร้างวังหลวงและวังหน้าขึ้นในเขตกรุงธนบุรีเดิม  โดยใช้คลองคูเมืองธนบุรี  เป็นคลองคูเมืองชั้นใน  และให้ขุดคลองใหม่เป็นคลองคูเมืองของกรุงเทพฯ  เรียกว่าคลองรอบกรุง  สร้างวังหลวงที่ตอนใต้ของพระนคร  ระหว่างวัดโพธิ์ (วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม)  กับวัดสลัก (วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์)  และตั้งวังหน้าขึ้นทางตอนเหนือระหว่างวัดสลักกับคลองคูเมืองเดิม กำหนดให้ท้องที่อาณาบริเวณฟากเหนือของพระนคร  ตั้งแต่แนวถนนพระจันทร์  นับแต่ท่าน้ำตรงไปทางตะวันออกจนถึงประตูสำราญราษฎร์ (ถนนบำรุงเมือง) อันเป็นที่ตั้งของวังหน้า เป็น แขวงอำเภอพระราชวังบวร เป็นเขตปกครองของวังหน้า  คือ  ปกครองกึ่งพระนคร  ตามธรรมเนียมประเพณีสืบมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา             “วังหน้า”มีประวัติการสร้างพร้อมกับวังหลวง  โดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท พระมหาอุปราชในรัชกาลที่ ๑ โปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๓๒๕  แล้วเสร็จเป็นเบื้องต้นเมื่อราว พ.ศ.๒๓๒๘  จากนั้นได้มีการก่อสร้างอาคารสถาน  ตลอดจนการบูรณะปฏิสังขรณ์สืบมาเป็นลำดับ วังหน้าเมื่อแรกสร้างสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์  คงยึดถือแบบแผนการสร้างวังแต่ครั้งกรุงเก่า  กล่าวกันว่าวังหน้าได้รับแบบอย่างมาจากพระราชวังหลวง  รวมถึงแบบแผนบางประการจากพระราชวังจันทรเกษมหรือวังหน้าในสมัยกรุงศรีอยุธยา  กล่าวคือแผนที่ตั้งของวังตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าวังหลวงและสร้างหันหน้าวังไปทางทิศตะวันออกเช่นเดียวกับพระราชวังจันทรเกษม  ส่วนอาคารพระที่นั่งพระราชมณเฑียรสถานบางแห่งวางผังตามแบบพระราชมณเฑียรสถานภายในพระราชหลวงพระนครศรีอยุธยา             พระราชวังบวรสถานมงคล  มีกำแพงและป้อมปราการล้อมรอบทั้ง ๔ ด้าน  เป็นกำแพงใบเสมาตามธรรมเนียมวังพระมหาอุปราช  ป้อมที่มุมทั้ง ๔ ของพระราชวังบวรฯ  ทำเป็นป้อมรูปแปดเหลี่ยม  หลังคาทรงกระโจม  ส่วนป้อมตามแนวกำแพงสร้างเป็นรูปหอรบ  หลังคาทรงคฤห  นอกกำแพงมีคูและถนนรอบวังทุกด้าน  โดยที่ด้านทิศตะวันตกมีลำน้ำเจ้าพระยาแทนคู  และใช้กำแพงพระนครเป็นกำแพงวังชั้นนอก  ส่วนทิศเหนือเป็นคูพระนครเดิม  มีถนนตัดผ่านพระราชวังตามแนวทิศเหนือ –ใต้ ๓ สาย สายตะวันตก คือ ถนนริมพระนครด้านใน  สายกลาง คือ ถนนหน้าพระธาตุ เป็นเส้นทางพระมหาอุปราชเสด็จไปพระราชวังหลวง  และถนนสายทิศตะวันออก คือ ถนนด้านหน้าพระราชวัง  ด้านเหนือจรดสะพานเสี้ยว  ใกล้กับแนวถนนราชดำเนินทุกวันนี้ ...........อ่านต่อ


black ribbon.