ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ

วันที่ ๑๗ - ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๓ มูลนิธิรอยยิ้มสู่เด็ก (Le Sourire de Chiang Khong Foundation) กลุ่มเพื่อนนักสังคมสงเคราะห์เชียงราย และหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ ร่วมจัดอบรมการสื่อสาร: ภาษาผสานความสัมพันธ์ (NVC Model)  รุ่นที่ ๑๐ ทักษะการสื่อสารเพื่อเสริมประสิทธิภาพในการทำงานให้กับคนทำงานด้านสงเคราะห์ (ขั้นพื้นฐาน) ณ ห้องโสตทัศนวัสดุ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่







วันนี้ (วันจันทร์ที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๓) เวลา ๑๑.๓๐ น. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้แทนพระองค์ นำ ส.ค.ส.พระราชทานประจำปี ๒๕๖๓ มามอบให้กรมศิลปากร โดยนายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร เป็นผู้รับมอบ


          พื้นที่บริเวณภาคเหนือของไทย ประกอบด้วยวัดวาอารามที่มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมหลากหลาย ทั้งแบบพื้นถิ่นล้านนา แบบอิทธิพลจากภาคกลาง และแบบพม่า ซึ่งในแบบหลังนี้ได้แตกแขนงออกเป็น ๓ กลุ่มใหญ่ได้แก่ กลุ่มพม่า (ม่าน) กลุ่มมอญ และกลุ่มไทใหญ่ (เงี้ยว) โดยในที่นี้ขอเรียกรวมว่าอาคารแบบพม่า ซึ่งล้วนมีคุณค่าทั้งในด้านสุนทรีภาพและประวัติศาสตร์ เนื่องจากสร้างขึ้นในช่วงที่บ้านเมืองในอาณาจักรล้านนาประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย เศรษฐกิจรุ่งเรืองจากการค้าไม้สัก             ชาวพม่านั้นได้ชื่อว่ามีความเป็นเลิศในงานจำหลักไม้และงานปั้นรักประดับกระจก งานประดับอาคารในวัฒนธรรมพม่าจึงแสดงถึงความวิจิตรบรรจงอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น งานจำหลักไม้ที่แผงโก่งคิ้วของวิหาร      วัดศรีชุม จังหวัดลำปาง แสดงลวดลายพันธุ์พฤกษาและบุคคล ซึ่งจัดว่าเป็นลวดลายที่พบมากในงานประดับอาคารของพม่า ส่วนวิหารที่วัดศาสนโชติการาม (วัดป่าฝาง) วัดไชยมงคล (จองคา) และมณฑปที่วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม จังหวัดลำปาง มีงานปั้นรักประดับกระจกที่แสดงถึงฝีมือช่างอันละเอียดประณีต แสดงลวดลายพันธุ์พฤกษา ลายสัตว์ บุคคล และลวดลายแบบประดิษฐ์              บริเวณเพดานในวิหารวัดหนองคำ จังหวัดเชียงใหม่ มีการประดับด้วยงานฉลุโลหะ แสดงรูปดวงดาวและสัตว์ทั้ง ๘ ทิศ ประกอบด้วยช้าง แพะ เสือ ครุฑ พญานาค และหนู จากการสอบถามพระสงฆ์ภายในวัด สันนิษฐานว่าคงเป็นการแสดงความหมายของกลุ่มดาวทางโหราศาสตร์ของชาวไทใหญ่             ลวดลายประดับอาคารมิได้มีหน้าที่เพียงแค่ส่งเสริมให้อาคารมีความสวยงามเท่านั้น แต่ยังสะท้อนแนวคิดในการ “ออกแบบ” ได้เป็น ๒ ประเด็น คือ   แสดงลักษณะของการเป็นพระป่าหรืออรัญวาสีของภิกษุชาวพม่ามาก่อน และยังสัมพันธ์กับตำนานกาลิงคโพธิชาดก ที่กล่าวถึงเชตวันมหาวิหาร โดยสัมพันธ์กับรูปแบบสถาปัตยกรรมของอาคารทั้งหมด กล่าวคือ การมีเสาไม้เป็นจำนวนมากเสมือนป่า เครื่องบนประดับด้วยลายพันธุ์พฤกษา เป็นส่วนที่ช่วยเสริมให้ส่วนบนของอาคารเสมือนกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ที่ปกคลุมให้ร่มเงาแก่ผู้อาศัย[๑] แสดงความเชื่อทางโหราศาสตร์ที่สัมพันธ์กับวันเกิดและดาวเคราะห์ประจำวันเกิด ลวดลายประดับที่ปรากฏนั้นมิได้แสดงลักษณะอย่างพม่าเพียงอย่างเดียว แต่มีอิทธิพลอังกฤษด้วย บางแห่งพบตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์อังกฤษ (ลายอาร์ม) ตัวพุกามหรือคิวปิด ลวดลายริบบิ้นและก้านขดแบบยุโรป แสดงให้เห็นถึงการอยู่ภายใต้ร่มธงอังกฤษผ่านการแสดงออกทางศิลปกรรม งานประดับอาคาร จึงมิได้เป็นเพียงแค่เครื่องประดับ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยแสดงออกถึงมุมมอง ความคิด ความเชื่อ และความศรัทธาของผู้สร้างและผู้ใช้สอย การศึกษาเรื่องดังกล่าวจึงช่วยสร้างความเข้าใจ และการตระหนักถึงคุณค่าในศิลปกรรมพม่าในล้านนาไทยยิ่งขึ้น     ภาพที่ ๑ แผงโก่งคิ้วจำหลักไม้ ประดับทางเข้าวิหารวัดศรีชุม จังหวัดลำปาง แสดงลายพันธุ์พฤกษา     ภาพที่ ๒ งานปั้นรักประดับกระจก แสดงลายพันธุ์พฤกษาและพระพุทธเจ้าประดับบริเวณเสาและเพดาน มณฑปวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม จังหวัดลำปาง     ภาพที่ ๓ ตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์อังกฤษ (ลายอาร์ม) มณฑปวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม จังหวัดลำปาง           ภาพที่ ๔ งานปั้นรักประดับกระจก แสดงลายพันธุ์พฤกษา ที่วัดศาสนโชติการาม (วัดป่าฝาง) และวัดไชยมงคล (วัดจองคา) จังหวัดลำปาง     ภาพที่ ๕ ดาวเพดานวัดหนองคำ จังหวัดเชียงใหม่       ข้อมูล : นางกิริยา ชยะกุล สิทธิวัง นักวิชาการช่างศิลป์ชำนาญการ กลุ่มอนุรักษ์โบราณสถาน กองโบราณคดี กรมศิลปากร     [๑]Chotima Chaturawong,“The architecture of Burmese Buddhist monasteries in upper Burma and northern Thailand : the biography of trees,” Ph.D. Dissertation, Faculty of Graduate School, Cornell University, 2003.


          วันอังคารที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. H.E. Mr.Asim lftikhar Ahmad, Ambassador เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจำประเทศไทย พร้อมคณะ เข้าเยี่ยมคารวะนายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร พร้อมหารือเรื่องการจัดนิทรรศการโบราณวัตถุพุทธศิลป์แบบคันธาระในประเทศไทย ในการนี้ นางรักชนก โคจรานนท์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง นางสาวนิตยา กนกมงคล ผู้อำนวยการสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมหารือด้วย ณ ห้องประชุมกรมศิลปากร


วัดศรีชุม เมืองสุโขทัย ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นกลุ่มโบราณสถานที่มีคูน้ำล้อมรอบทั้งสี่ด้าน มีพื้นที่นี้กว้างประมาณ ๑๐๐ เมตร และยาวประมาณ ๑๕๐ เมตร ประกอบไปด้วยสิ่งก่อสร้างดังนี้           ๑. อาคารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งขนาดใหญ่เต็มพื้นที่ภายในอาคารหรือเรียกว่ามณฑป มีขนาดหน้าตักกว้างประมาณ ๑๑.๓๐ เมตร  เชื่อกันว่าชื่อพระพุทธรูปเรียกตามที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๑ กล่าวว่า “เบื้องตีนนอนเมืองสุโขทัยนี้ มีตลาดปสาน มีพระอจนะ มีปราสาทมีป่าหมากพร้าว มีป่าหมากลาง”  ชื่อพระอจนะสัญนิษฐานว่ามีความหมายว่า ผู้ไม่หวั่นไหว สร้างเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย  องค์ที่เห็นในปัจจุบันนี้ได้บูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ราวปี พ.ศ. ๒๔๙๖ - ๒๔๙๙ มณฑปนี้ตรงประตูทางเข้าเจาะเป็นช่องสูง ผนังด้านซ้ายมีทางเดินเข้าไปภายในผนังและขึ้นไปได้จนถึงหลังคา บนเพดานผนังทางเข้านี้ มีรอยพระพุทธบาท, ภาพสลักอยู่บนหินชนวนจำนวน ๖๔ แผ่น โดยทุกภาพมีอักษรไทยสมัยสุโขทัยโบราณบรรยาย บางภาพมีลักษณะทางศิลปกรรมคล้ายกับศิลปะลังกาและในช่องผนังของมณฑปได้ค้นพบศิลาจารึกหลักที่  ๒ เรียกว่า จารึกวัดศรีชุม ที่เล่าเรื่องราวของการก่อตั้งราชวงศ์สุโขทัย รูปแบบมณฑปนี้นักวิชาการสันนิษฐานน่าจะได้รับอิทธิพลทางรูปแบบศิลปะมาจากศิลปะพุกามในพม่า           ๒. ฐานวิหาร ๖ ห้อง ขนาดกว้าง ๑๒.๕๐ เมตร ยาว ๒๒ เมตร มีผนังก่อด้วยอิฐเจาะช่องเป็นรูปกากบาท ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกหรือด้านหน้าของมณฑป สันนิษฐานว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นภายหลังมณฑปเนื่องจากด้านหลังของอาคารไม่มีทางเชื่อมต่อไปยังมณฑป           ๓. วิหารอยู่ทางทิศเหนือของมณฑป ก่อด้วยอิฐขนาดกว้าง ๙.๕๐ เมตร ยาว ๑๔ เมตร           ๔. มณฑปขนาดเล็กก่อด้วยอิฐ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปกว้าง ยาว ด้านละ ๙.๕๐ เมตร อยู่ทางด้านหลังวิหารเล็กหรือทางทิศเหนือของมณฑปใหญ่           ๕. ฐานเจดีย์รายจำนวน ๙ องค์ ตั้งอยู่ด้านข้างวิหารใหญ่ และมณฑปใหญ่ด้านทิศเหนือ           ๖. พระอุโบสถอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑปใหญ่และอยู่นอกคูน้ำที่ล้อมรอบกลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่           ๗. คูน้ำล้อมรอบวัด มีขนาดกว้างโดยประมาณ ๖ เมตร ล้อมรอบพื้นที่ที่ตั้งโบราณสถานเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีขนาดพื้นที่กว้าง ๑๐๐ เมตร และยาว ๑๕๐ เมตร             ชื่อวัดศรีชุมสัญนิษฐานว่า มาจากคำว่า ศรี มาจากคำเรียกพื้นเมืองเดิมของไทยว่า สะหลี ซึ่งหมายถึงต้นโพธิ์  ดังนั้นชื่อศรีชุม จึงหมายถึง ดงของต้นโพธิ์  แต่ในหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาที่เขียนในสมัยอยุธยาตอนปลาย ไม่เข้าใจความหมายนี้แล้ว จึงเรียกสถานที่นี้ว่า ฤๅษีชุม ว่าเป็นสถานที่ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช มาประชุมทัพกันอยู่ที่นั้น ก่อนที่จะยกทัพไปปราบเมืองสวรรคโลก  อันเป็นต้นตอของตำนานเรื่อง พระพุทธรูปพูดได้ ที่เล่าขานกันต่อมา   เรื่อง/ภาพ : อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย


          วันอังคารที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น.  นายประทีปเพ็ง ตะโก อธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานในการประชุมหารือแนวทางการจัดกิจกรรมคอนเสิร์ตเพชรในเพลงของคณะกรรมการประกวดเพลง (เพชรในเพลง) โดยก่อนการประชุมอธิบดีกรมศิลปากรได้มอบช่อดอกไม้แสดงความยินดีแก่นายวินัย พันธุรักษ์ ในโอกาสที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นศิลปินแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๖๒ สาขาดนตรีไทยสากล- ขับร้อง ณ ห้องประชุมกรมศิลปากร


  วันอังคารที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น.  นายประทีปเพ็ง ตะโก อธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานในการประชุมหารือแนวทางการจัดกิจกรรมคอนเสิร์ตเพชรในเพลงของคณะกรรมการประกวดเพลง (เพชรในเพลง) โดยก่อนการประชุมอธิบดีกรมศิลปากรได้มอบช่อดอกไม้แสดงความยินดีแก่นายวินัย พันธุรักษ์ ในโอกาสที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นศิลปินแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๖๒ สาขาดนตรีไทยสากล- ขับร้อง ณ ห้องประชุมกรมศิลปากร


วันอาทิตย์ ที่ ๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๓   อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ได้จัดกิจกรรมสักการะพระพุทธรูปโบราณสมัยทวารวดีและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของลุ่มน้ำโขงด้วย “หมากเบง” เพื่อระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ เนื่องในวันสำคัญทางพุทธศาสนา (วันพระใหญ่ ๑๕ ค่ำ) และสืบทอดภูมิปัญญาโบราณของชาวอีสาน โดยจัดทำเครื่องสักการะ “หมากเบง” แจกผู้เยี่ยมชมอุทยานฯ จำนวน ๖๐ ชุด โดยไม่มีค่าใช้จ่าย


นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับประกาศกรมศิลปากร เรื่อง แก้ไขเขตที่ดินโบราณสถานภาพเขียนสีเขายะลา ตำบลลิดล-ยะลา อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา นั้น ขอเรียนชี้แจง ดังนี้             ๑. ประกาศดังกล่าว ไม่ใช่การประกาศเพิกถอนภาพเขียนสีเขายะลาออกจากการเป็นแหล่งโบราณคดี แต่เป็นการประกาศแก้ไขเขตที่ดินโบราณสถานโดยรอบภาพเขียนสีเขายะลา โดยภาพเขียนสีเขายะลายังคงสภาพเป็นโบราณสถานเหมือนเดิม และได้รับการปกป้องตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ ฯ (รายละเอียดการประกาศขอบเขตตามภาพที่แนบ)              ๒. การประกาศดังกล่าวไม่ใช่การเปลี่ยนพื้นที่โบราณสถานให้เป็นแหล่งสัมปทานเหมืองหิน เนื่องจากพื้นที่บริเวณดังกล่าว เป็นแหล่งสัมปทานเดิมอยู่ก่อนแล้วไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปี ก่อนที่จะมีการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน และบริเวณดังกล่าวไม่ใช่ตำแหน่งที่ตั้งของแหล่งภาพเขียนสี ทั้ง ๒ แห่ง              ๓. กรณีที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวการสัมปทานแร่หินในบริเวณใกล้เคียง มีผลทำให้ภาพเขียนสีเขายะลา เสียหายไปแล้วหนึ่งจุดนั้น ผลจากการตรวจสอบ โดย สำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เขต ๑ สงขลา พบว่าการพังทลายดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๑ จากรอยเลื่อน และการกัดเซาะของน้ำใต้ดิน ทำให้รอยแตกขยายกว้างขึ้น ประกอบกับบริเวณเชิงเขามีลักษณะเป็นโพรง รวมถึงการทำเหมืองในอดีตด้วยวิธีแบบโบราณที่มีมาก่อนการให้ประทานบัตร ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริมการพังทลาย โดยไม่เกี่ยวข้องกับสัมปทานเหมืองหินที่อยู่โดยรอบแต่อย่างใด             ๔. เหตุผลการประกาศแก้ไขเขตที่ดินฯ ในครั้งนี้ มีที่มาจากการขอความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ ประกอบด้วย ๑) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ตำบลเขาตูม อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี  ๒) ศูนย์อำนวยการบริหารส่วนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๓) กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม ๔) จังหวัดยะลา และ ๕) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งในครั้งนั้นกรมศิลปากรพิจารณาแล้วเพื่อเหตุผลด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม และความมั่นคงของประเทศ จึงพิจารณาให้ความร่วมมือ โดยการพิจารณาแก้ไขเขตพื้นที่ดังกล่าวยังอยู่ในเกณฑ์ที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อแหล่งศิลปกรรมภาพเขียนสีเขายะลาแต่อย่างใด             สำหรับกรณีตัวแทนเครือข่ายประชาชนปกป้องเขายะลา ได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นั้น นายประสพ เรียงเงิน ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และนายพนมบุตร จันทรโชติ รองอธิบดีกรมศิลปากร ผู้แทนกรมศิลปากร ได้รับหนังสือร้องเรียนดังกล่าว และได้นำเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมตามลำดับ หลังจากนี้จะได้ดำเนินการตามขั้นตอน โดยกรมศิลปากรจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือ เพื่อหาข้อสรุปชี้แจงแก่ผู้ร้องเรียนโดยด่วนต่อไป   ภาพ : เส้นสีแดงแสดงขอบเขตการประกาศขึ้นทะเบียนฯ พ.ศ. ๒๕๔๔ พื้นที่สีเขียวแสดงการประกาศแก้ไขเขตที่ดินฯ พ.ศ. ๒๕๖๒ ลูกศรสีชมพูแสดงระยะห่างระหว่างภาพเขียนสีทั้ง ๒ จุด กับพื้นที่ประกาศแก้ไขเขตที่ดิน (พื้นที่สีเขียว)


          วันนี้ (วันจันทร์ที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๓) เวลา ๐๙.๔๕ น. นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “วิชชาแห่งบูรพา:พระศรีอารยเมตไตรย-พระโพธิสัตว์ไมเตรยะ”ณ ห้องประชุมใหญ่ สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพฯ โดยมีนายอรุณศักดิ์ กิ่งมณี รองอธิบดีกรมศิลปากร กล่าวรายงาน และมีผู้สนใจเข้าร่วมฟังการสัมมนากว่า ๒๐๐ คน ทั้งนี้ ได้มีการติดตั้งเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย และแจกหน้ากากอนามัยให้แก่ผู้เข้าร่วมฟังการสัมมนาและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเพื่อสวมใส่ป้องกันการติดเชื้อไวรัส COVID-19             อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า การจัดสัมมนาทางวิชาการในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการของซีกโลกตะวันออก เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับคติความเชื่อในพระพุทธศาสนา พระศรีอารยเมตไตรยพระอนาคตพุทธ ตามคติพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท หรือพระโพธิสัตว์ไมเตรยะ พระโพธิสัตว์ตามคติพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ซึ่งแม้ว่าพระพุทธศาสนาจะมีกำเนิดจากประเทศอินเดีย แต่จากแหล่งโบราณคดีต่าง ๆ ในประเทศไทยได้มีการพบหลักฐานประติมากรรม รูปเคารพพระศรีอารยเมตไตรย-พระโพธิสัตว์ไมเตรยะไม่น้อย การสัมมนาในวันนี้ นอกจากจะเป็นการเผยแพร่ข้อมูลวิชาการในเรื่อง ประติมานวิเคราะห์ และศิลปะของพระศรีอารยเมตไตรย-พระโพธิสัตว์ไมเตรยะแล้ว ยังเป็นการทบทวนความรู้ในเรื่องราวของคติความเชื่อในพระพุทธศาสนาทั้งฝ่ายเถรวาทและฝ่ายมหายานให้แพร่หลายในวงกว้างไม่เฉพาะเพียงแวดวงวิชาการเท่านั้น             ประติมากรรมพระศรีอารยเมตไตรย หรือ พระโพธิสัตว์ ไมเตรยะ แสดงถึงอิทธิพลทางศาสนาที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชน ซึ่งเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ศิลปะสำคัญที่พบอยู่เป็นจำนวนมาก อันจะบอกเล่าเรื่องราว และแสดงให้เห็นถึงการถ่ายทอดทางศาสนา และศิลปวัฒนธรรมระหว่างดินแดนต่าง ๆ ในภูมิภาคตะวันออก ทั้งในดินแดนประเทศไทยเอง และประเทศที่เป็นแหล่งอารยธรรมสำคัญของโลกตะวันออก เช่น อินเดีย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ซึ่งกรมศิลปากรได้เชิญนักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ เกี่ยวกับโบราณวัตถุและประติมานวิเคราะห์ของพระศรีอารยเมตไตรย หรือ พระโพธิสัตว์ ไมเตรยะ มาร่วมบรรยาย และแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการ โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องหรือแสดงถึงคติ แนวคิด การติดต่อสัมพันธ์ รับและแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมกันมาอย่างยาวนานแต่โบราณ โดยช่วงเช้าเป็นการบรรยาย เรื่อง “พระศรีอาริยเมตไตรย อนาคตพุทธ” โดย ดร. นันทนา ชุติวงศ์ ช่วงบ่าย เป็นการเสวนาทางวิชาการเรื่อง “พระศรีอารยเมตไตรย-พระโพธิสัตว์ไมเตรยะ:จากต่างแดนสู่สุวรรณภูมิ” โดย ดร. อมรา ศรีสุชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านโบราณคดี กรมศิลปากร ผศ. ดร. ชานป์วิชช์  ทัดแก้ว คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายเดชา  สุดสวาท ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี ดำเนินการเสวนา โดย นางสาวศุภวรรณ  นงนุช ภัณฑารักษ์ชำนาญการ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ             กรมศิลปากรหวังว่า การสัมมนาในครั้งนี้จะทำให้ผู้เข้าร่วมการสัมมนาเกิดความรู้ความเข้าใจในประวัติศาสตร์ศิลปะที่เกี่ยวข้องกับพระศรีอารยเมตไตรย-พระโพธิสัตว์ไมเตรยะ ซึ่งจะนำไปสู่การเห็นคุณค่าและความสำคัญของมรดกทางศิลปวัฒนธรรมและช่วยกันอนุรักษ์ให้คงอยู่สืบไป


black ribbon.