ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ

          อปัสมารปุรุษ ร่างเป็นภูติคนแคระ (ยักษ์ค่อม) ตัวแทนของโง่เขลา ภาษาทมิฬเรียกว่า มูยฬกะ (Mūyaḷaka) หรือ มูยฬกัน (Mūyaḷakan) พระศิวะในปางนาฏราช (Nāṭarāja-ผู้เป็นเจ้าแห่งการเต้นรำ) ทรงเหยียบพระบาทขวาอยู่เหนืออปัสมารปุรุษ เป็นสัญลักษณ์ของการสร้างโลก การขับเคลื่อนธาตุแห่งชีวิตให้เป็นไปตามวัฏจักร พระบาทอีกข้างหนึ่งซึ่งยกขึ้นมีความหมายถึงการปลดปล่อย ดังนั้นพระบาททั้ง 2 ข้างของพระองค์ จึงแสดงถึงวงวัฏจักรที่ต่อเนื่องของภาวะจิตที่เข้าสู่และออกจากความโง่เขลา มุทราของอปัสมารปุรุษ คือ อัญชลีมุทรา (Añjalinudrā-ท่าแสดงความเคารพ) บางครั้งพบอยู่ร่วมกับพระศิวะในปางจันทรเศขรมูรติ (Candraśekharamūrti) และตริปุรานตกะมูรติ (Tripurāntakamūrti) เมื่อปรากฏอยู่ใต้พระบาทพระศิวะในปางวยาขยานทักษิณามูรติ (Vyākhyānadakṣiṇāmūrti) มือขวาของอปัสมารอยู่ในท่า สรรป (Sarpa) หรือ ท่า“งู” และถืองูเห่าอยู่ในมือ ภาพ 1. พระศิวะปาง ชญาน-ทักษิณามูรติ (Jñāna-dakṣiṇāmūrti) ในฐานะครูแห่งจักรวาลผู้ประทานความรู้สูงสุด แก่เหล่ามุนีและโยคีผู้แสวงหาทางพ้นไปจากความทุกข์ในโลก พระนามหมายถึงผู้หันหน้าไปทางทิศใต้ อันเป็นทิศของวิชาความรู้ พระบาทขวาเหยียบอยู่บนอปัสมารปุรุษ บุคคลาธิษฐานแห่งอวิชา ภาพจาก Asian Art Museum ภาพ 2. อปัสมารปุรุษ รูปร่างเป็นภูติคนแคระ ภาพจาก Asian Art Museum -------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล: นางสาวเด่นดาว ศิลปานนท์ ภัณฑารักษ์เชี่ยวชาญ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ -------------------------------------------อ้างอิงจาก 1. Stutley , Margaret. The illustrated dictionary of Hindu iconography. London : Routledae & Kegan Paul, 1985.


ผู้แต่ง : - ฉบับพิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ 1  สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร ปีที่พิมพ์ : 2474 หมายเหตุ : พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ ท่านผู้หญิงยมราช (ตลับ สุขุม) วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2474             ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ 19 ตำราแบบธรรมเนียมในราชสำนัก ครั้งกรุงศรีอยุธยา นี้ ในตอนต้นกล่าวถึงตำรากระบวนเสด็จพระราชดำเนินครั้งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีทั้งกระบวนเสด็จโดยทางชลมารคและกระบวนเสด็จทางสถลมารค สำหรับกระบวนเสด็จทางสถลมารคนั้นประกอบไปด้วยกระบวนราบ กระบวนช้าง และกระบวนม้า กล่าวถึงกระบวนเสด็จพระพุทธบาท และการรักษาพระนครเวลาเสด็จไม่อยู่ และในตอนปลายกล่าวถึงตำราหน้าที่มหาดเล็ก ตำราหน้าที่ชาวที่ ตำราหน้าที่ตำรวจ ตำราหน้าที่กรมวัง ตำราราชาภิเษกครั้งกรุงศรีอยุธยา ตำราอุปราชาภิเษกเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต และพระตำราทรงเครื่องต้น


ชื่อเรื่อง : พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3 เล่ม 2 ชื่อผู้แต่ง : ทิพากรวงศ์, เจ้าพระยา ปีที่พิมพ์ : 2504 สถานที่พิมพ์ : -สำนักพิมพ์ : -จำนวนหน้า : 216 หน้าสาระสังเขป : หนังสือพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3 เล่ม 2 เล่มนี้ มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3 และพระราชประวัติ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2382-2394





          ประติมากรรมปูนปั้นรูปสิงห์ สภาพชำรุดเหลือเพียงส่วนใบหน้า มีตาโปน คิ้วหยักเป็นเส้นต่อกัน จมูกใหญ่ อ้าปากกว้าง แลบลิ้น มีร่องรอยของการปั้นแผงคอรอบใบหน้า ประติมากรรมชิ้นนี้น่าจะใช้สำหรับประดับส่วนฐานของศาสนสถาน เนื่องจากพบว่าส่วนฐานของโบราณสถานที่พบประติมากรรมชิ้นนี้ทำเป็นช่อง ซึ่งจากตัวอย่างสถาปัตยกรรมในวัฒนธรรมทวารวดีส่วนฐานที่เจาะเป็นช่องนี้มักประดับด้วยประติมากรรม ทั้งที่เป็นดินเผา หรือปูนปั้น บางครั้งปั้นเป็นเรื่องชาดก รูปคนแคระแบก หรือรูปสัตว์ เป็นต้น             ประติมากรรมรูปสัตว์ที่ช่างสมัยทวารวดีนิยมสร้างเพื่อประดับส่วนฐานของศาสนสถาน มักทำเป็นรูปช้างหรือสิงห์ เพราะเป็นสัตว์ที่มีอำนาจและพละกำลัง หมายถึงผู้พิทักษ์ ปกปักรักษา และค้ำจุนศาสนสถานแห่งนั้น ซึ่งมีต้นแบบและคติการสร้างมาจากศิลปะอินเดียสมัยคุปตะ ทั้งนี้มีการพบหลักฐานประติมากรรมรูปสิงห์ประดับศาสนสถานในเมืองโบราณวัฒนธรรมทวารวดีหลายแห่งในภาคกลางของประเทศไทย เช่น เมืองโบราณโคกไม้เดน จังหวัดนครสวรรค์ เมืองโบราณคูบัว จังหวัดราชบุรี และเมืองนครปฐมโบราณ เป็นต้น ที่มีรูปแบบศิลปะแตกต่างกันไป น่าจะเกิดจากการผสมผสานศิลปะอินเดียซึ่งเป็นต้นแบบเข้ากับงานช่างท้องถิ่นแต่ละที่ จึงสามารถกำหนดอายุประติมากรรมสิงห์นี้ได้ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๔ (ประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๓๐๐ ปีมาแล้ว) ซึ่งเป็นช่วงที่ศิลปะทวารวดีเริ่มมีพัฒนาเป็นรูปแบบการทางศิลปะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ที่แตกต่างจากศิลปะอินเดียแล้ว           การพบประติมากรรมรูปสิงห์ ซึ่งไม่ใช่สัตว์ประจำถิ่นที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ เป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกว่าเมืองในวัฒนธรรมทวารดี ติดต่อกับอารยธรรมภายนอก ที่สำคัญคืออินเดีย ในช่วงก่อนช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๓ – ๑๔   บรรณานุกรม กรมศิลปากร. ศิลปะทวารวดี ต้นกำเนิดพุทธศิลป์ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด, ๒๕๕๒.  ศักดิ์ชัย สายสิงห์, ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมทางศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย. นนทบุรี : เมืองโบราณ, ๒๕๖๒. สุภัทรดิศ ดิศกุล, ม.จ., ศิลปะขอม.  กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๓๙.


ชื่อเรื่อง                           อรรถกถาอภิธรรมเจ็ด (วิภังค์-ยมก)สพ.บ.                                  190/2ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           44 หน้า กว้าง 5.3 ซ.ม. ยาว 56.6 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           บทสวดมนต์บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม  เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจาก วัดพยัคฆาราม ต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี


ชื่อเรื่อง                                ปญฺญาบารมี (ปัญญาบารมี)สพ.บ.                                  227/1ขประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           18 หน้า กว้าง 6 ซ.ม. ยาว 59 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           ธรรมเทศนา บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ภาษาบาลี-ไทยอีสาน ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


***รายงานการขุดค้นทางโบราณคดีวัดศรีสวาย พ.ศ.๒๕๕๓***  อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยขอเผยแพร่รายงานทางโบราณคดี "รายงานการขุดค้นทางโบราณคดีวัดศรีสวาย อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ปีพุทธศักราช ๒๕๕๓" สามารถดาวน์โหลดเพื่ออ่านหรือใช้ในการศึกษาตามลิ้งค์ที่แนบนี้ >>> https://drive.google.com/.../1uVVaNhkkLCslnEN0SRV.../view... .  รายงานฉบับนี้ประกอบด้วยข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับวัดศรีสวาย การปฏิบัติงานขุดค้นทางโบราณคดี ชั้นดินทางโบราณคดี การจำแนกและวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดี และผลจากการขุดค้นทางโบราณคดี ซึ่งการขุดค้นทางโบราณคดีในครั้งนี้ดำเนินการโดยนายภานุวัฒน์ เอื้อสามาลย์ นักโบราณคดีของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยในขณะนั้น (พ.ศ.๒๕๕๓) จากร่องรอยหลักฐานที่พบทำให้สามารถวิเคราะห์ แปลความหมายและสรุปการใช้งานพื้นที่วัดศรีสวาย โดยแบ่งตามลำดับชั้นทับถมทางวัฒนธรรมได้ดังนี้ .  ๑.) สมัยก่อนสุโขทัย อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ พบหลักฐานทางโบราณคดีอย่างเบาบาง ได้แก่ เศษภาชนะดินเผาเนื้อดินธรรมดา ปริมาณน้อยมาก และมีชิ้นหนึ่งที่สามารถระบุรูปทรงได้ เป็นภาชนะเนื้อดินธรรมดาขึ้นรูปด้วยมือ ลักษณะก้นกลมที่ไม่มีคอตกแต่งด้วยลายเชือกทาบทั้งใบ ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกันกับที่เคยพบจากการขุดค้นทางโบราณคดีระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๒๐ – ๒๕๒๕ และในสมัยนี้น่าจะยังไม่มีการก่อสร้างอาคารใด ๆ เนื่องจากไม่พบหลักฐานประเภทอิฐดินเผา กระเบื้องมุงหลังคาดินเผา วัตถุปูนปั้น และสะเก็ดหินชนวน ซึ่งเป็นวัสดุก่อสร้างเลย  แต่กลับพบในสมัยถัดมาคือราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ข้อมูลดังกล่าวจึงมีความขัดแย้งกับการกำหนดอายุสมัยการสร้างปราสาท ๓ หลัง ที่กล่าวว่าควรสร้างขึ้นในราวครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๘ อย่างไรก็ตามช่วงระยะเวลาดังกล่าวก็จัดว่ามีความใกล้เคียงกันมาก หรืออาจจะอธิบายได้ว่าวัสดุก่อสร้างดังกล่าวนั้นเป็นวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างสมัยหลัง เพราะในสมัยแรกสร้างนั้นได้ใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุหลัก .  ๒.) สมัยสุโขทัย อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๐ ในสมัยนี้พบโบราณวัตถุที่มีความหลากหลาย ได้แก่ เศษภาชนะดินเผาจากแหล่งเตาเมืองศรีสัชนาลัย เศษเครื่องถ้วยสมัยล้านนา เศษเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์สุ้งใต้ และสมัยราชวงศ์หยวน อันแสดงให้เห็นถึงการติดต่อสัมพันธ์กับต่างถิ่นทั้งที่ห่างไกลและใกล้เคียง แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่พบเศษภาชนะดินเผาประเภทชามหรือจานเขียนลายสีดำใต้เคลือบจากแหล่งเตาเมืองสุโขทัยและเมืองศรีสัชนาลัยเลย  จึงสันนิษฐานว่าภาชนะดินเผาประเภทดังกล่าวอาจมีความนิยมแพร่หลายในสมัยหลัง หรือเนื่องจากพื้นที่แห่งนี้เป็นเขตศาสนสถานที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาจึงไม่ค่อยพบภาชนะประเภทที่ใช้สอยกันในครัวเรือนมากนัก แต่ที่พบและมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ด้วยนั้น ได้แก่ ผางประทีปที่ใช้จุดไฟเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ไหดินเผาเนื้อแกร่งทั้งแบบขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ที่อาจใช้เป็นภาชนะบรรจุอัฐิ อ่างดินเผาขนาดใหญ่ ที่สันนิษฐานว่าอาจเป็นอ่างน้ำมนต์ (?) ภาชนะประเภทคนทีและคนโท ที่ควรเป็นภาชนะแบบพิเศษสำหรับการประกอบพิธีกรรมโดยเฉพาะ และหม้อดินเผาก้นกลมรูปทรงค่อนข้างแป้น ผิวภายนอกมีร่องรอยปูนขาวฉาบอยู่ ซึ่งก็คงจะเกี่ยวข้องกับการประกอบพิธีกรรมเช่นเดียวกัน และสันนิษฐานว่าวิหารน้อยที่ก่อด้วยศิลาแลงก็ควรสร้างขึ้นในสมัยนี้ .  ๓.) สมัยหลังสุโขทัยที่ร่วมสมัยอยุธยาตอนกลาง อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ – ๒๒ เป็นชั้นที่พบโบราณวัตถุหนาแน่นและมีความหลากหลาย ทั้งประเภทที่มีอายุเก่าที่สุด คือ เศษเครื่องถ้วยสมัยลพบุรีและเศษเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์สุ้งใต้ และที่มีอายุในสมัยถัดมาคือ เศษเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หยวน เศษเครื่องถ้วยสมัยล้านนา เศษภาชนะดินเผาจากแหล่งเตาเมืองสุโขทัยและเมืองศรีสัชนาลัย และเศษเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หมิง อันแสดงให้เห็นถึงการติดต่อสัมพันธ์กับต่างถิ่นทั้งที่ห่างไกลและใกล้เคียง สำหรับเครื่องใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาก็ยังคงพบต่อเนื่องมาในสมัยนี้ด้วย ที่สำคัญคือ ตะคันดินเผาสภาพค่อนข้างสมบูรณ์จำนวนหลายใบ ชิ้นส่วนฐานประติมากรรมศิลาทรายขนาดเล็ก ที่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นฐานพระพุทธรูป (?) ชิ้นส่วนดอกไม้และใบไม้ทองคำ ที่สันนิษฐานว่าเป็นต้นไม้จำลองทองคำ รวมทั้งผลึกแร่ควอตซ์ ที่สันนิษฐานว่าเป็นวัตถุศิลาฤกษ์ ซึ่งชิ้นหลังนี้ควรมีมาตั้งแต่แรกสร้างศาสนสถานแต่อาจถูกขุดรื้อจนมาปะปนอยู่ในชั้นวัฒนธรรมสมัยนี้  และสันนิษฐานว่ากำแพงแก้วที่มีส่วนฐานและผนังเป็นหินชนวน ก็ควรทำขึ้นในสมัยนี้ด้วยเช่นกัน  .  และจากการขุดค้นที่ระดับชั้นดินบนยังพบหลักฐานที่มีอายุสมัยหลังต่อมาอีก คือ เศษเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ชิง ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ – ๒๓ ด้วย อันแสดงให้เห็นถึงกิจกรรมที่ยังคงมีต่อมาอีกระยะเวลาหนึ่ง .  สุดท้ายนี้ ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาและวิเคราะห์ดังกล่าว เป็นสิ่งที่ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่เพียงส่วนหนึ่งของวัดศรีสวาย ในอนาคตหากมีการศึกษาและขุดค้นทางโบราณคดีเพิ่มเติมก็น่าจะทำให้สามารถสรุปเรื่องราวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประเด็นที่สำคัญคือการตรวจสอบอายุสมัยแรกสุดของการสร้างปราสาท ๓ หลัง ที่ได้ข้อสรุปจากการขุดค้นครั้งนี้ว่า “น่าจะสร้างขึ้นในราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ หรือปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ (ไม่ควรเก่าไปกว่านั้น)”


ชื่อเรื่อง                                โพธิปกฺขิยธมฺมกถา (พระโพธิปักขิยธรรม)สพ.บ.                                  165/2ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           40 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 56 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา--หัวข้อธรรม                                           โพธิปักขิยธรรม--พระธรรมเทศนา                                           พุทธศาสนา บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดพยัคฆาราม ต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี 


เลขทะเบียน : นพ.บ.125/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  52 หน้า ; 4.5 x 51.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  มีฉลากไม้  ชื่อชุด : มัดที่ 72 (248-256) ผูก 2 (2564)หัวเรื่อง : เอกนิปาต (นิไสเอกนิปาต)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม



      วิถีชาวนากับภาษาไทย ตอนที่ ๑ "ควายจมปลัก"       จมปลัก ประกอบด้วยคำว่า "จม" กับ "ปลัก"       "จม" หมายถึง หายลงไปในดินหรือน้ำ หรือหมายถึงทำให้อยู่ใต้น้ำ        นอกจากนี้ คำว่า จม ยังมีความหมายโดยปริยายว่า อยู่กับที่ เช่น       - เขาจมอยู่กับความทุกข์       - เก็บเงินไว้เฉย ๆ  เงินจมอยู่เปล่า ๆ ไม่ได้ประโยชน์อะไร      - เขาจมอยู่กับกองหนังสือทั้งวัน      "ปลัก" หมายถึง แอ่งที่เป็นโคลนเลน เช่น       - ควายนอนแช่ปลัก      - ม้าวิ่งเตลิดตกลงไปในปลัก (เตลิด ภาษาโคราช แปลว่า เลยไป)      เมื่อใช้ จมปลัก เป็นสำนวน จะหมายความว่า      "ติดอยู่ที่เดิม ติดอยู่กับที่ ทำให้ไม่เจริญก้าวหน้า" เช่น       - พี่สาวจมปลักอยู่แต่ในบ้าน ความคิดอ่านจึงสู้น้องสาวที่ออกไปทำงานนอกบ้านไม่ได้       - คนมีความสามารถอย่างคุณไม่ควรจมปลักอยู่ในบริษัทนี้ ควรจะหาบริษัทที่คุณมีโอกาสก้าวหน้ากว่านี้ ภาพของชาวนากับควายนั้น ในอดีตมีความผูกพันกันมาก เมื่อเห็นควายก็สื่อได้ถึงภาพของชาวนา คันไถ ทุ่งนา รวงข้าว หรือแม้แต่ประเพณีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำนาคือพิธีสู่ขวัญควาย ประเพณีเฉพาะของท้องถิ่น ประเพณีวิ่งควายจังหวัดชลบุรี ประเพณีบวชควายในงานบุญบั้งไฟของภาคอีสาน เป็นต้น ซึ่งพิธีและประเพณีต่าง ๆ นั้นทำเพื่อขอบคุณควายที่ชาวนาได้ใช้แรงงานของควายไถนา เพื่อปลูกข้าวมาเป็นอาหารหล่อเลี้ยงชีวิตของคน จึงกล่าวได้ว่าควายนั้นมีบุญคุณกับคน เนื่องจากได้อาศัยใช้แรงงานควายทำงานต่าง ๆ      นอกจากนั้นแล้วควายยังเป็นพาหนะสำคัญในอดีตใช้ขี่หรือใช้เทียมเกวียน ลากเกวียน หรือแม้แต่การใช้ควายเป็นพาหนะเพื่อใช้ในการสู้รบของชาวบ้านบางระจันกับกองทัพพม่าก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒    นางสาวภัทรา เชาว์ปรัชญากุล ภัณฑารักษ์ชำนาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย สุพรรณบุรี เรียบเรียง/เผยแพร่ ภาพได้รับความอนุเคราะห์และการสนับสนุนจาก page facebook : แค่อยากออกไป โดยคุณวราภรณ์ ไทยานันท์ Warabhorn Taiyanun   ที่มาข้อมูล - สืบค้นระบบออนไลน์จาก www.royin.go.th (วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๓) - วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดสุพรรณบุรี - วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดชลบุรี - วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดแพร่ - วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดมหาสารคาม - วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดร้อยเอ็ด - วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดยโสธร - วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดสกลนคร


อภิธัมมัตถสังคหะ ชบ.ส. ๔๕ เจ้าอาวาสวัดบุญญฤทธยาราม ต.บ้านบึง อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี มอบให้หอสมุด ๒๒ ก.ค. ๒๕๓๕เอกสารโบราณ (สมุดไทย)


black ribbon.