ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ
ชื่อวัตถุ จานกลม
ทะเบียน ๒๗/๔๓๐/๒๕๓๒
อายุสมัย รัตนโกสินทร์
วัสดุ(ชนิด) เครื่องกระเบื้องเคลือบ
ประวัติที่มา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลางรับมอบจากนายสุรเชษฐ์ วิมลโสภา บ้านเลขที่ ๑๑/๖ ม.๑ ถ.เทพกระษัตรี ต.เกาะแก้ว อ.เมือง จ.ภูเก็ตเก็บได้จากศาลาพระพุทธรูปของวัดศุกชีอ.เมือง จ.ภูเก็ต
สถานที่เก็บรักษา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง
“จานกลม หรือ เครื่องถ้วยยุโรป”
จานกลม หรือ เครื่องถ้วยต่างชาติ เป็นจานทรงกลม ด้านในของขอบจานตกแต่งด้วยสีเขียวเป็นลายดอกไม้และใบไม้ ส่วนกลางของจานตกแต่งด้วยสีแดงเป็นรูปคนล่าสัตว์นั่งบนหลังช้าง เป็นรูปชายถือธนูกำลังล่าเสือและมีคนนั่งกางร่มให้อยู่ด้านหนัง ก้นจานมีตัวอักษรภาษาอังกฤษว่า R.C. V.P.& Co.ตัวอักษรอยู่ระหว่างรูปอาวุธคล้ายกริชไขว้กัน และมีคำว่า “BHAMO”
ตัวอักษร R.C. V.P.& Co.ย่อมาจากคำว่า R. CochranVerreville Pottery&Companyจานรูปแบบนี้ผลิตโดยบริษัทของR.Cochranซึ่งก่อตั้งในปี พ.ศ.๒๓๙๙ มีบริษัทตั้งอยู่ ณ เมืองกลาสโกว์ แถบสกอตแลนด์ประเทศอังกฤษ เครื่องถ้วยจากบริษัทแห่งนี้เป็นที่รู้จักในนาม “Britannia Pottery”โดยบริษัทปิดกิจการในปีพ.ศ.๒๔๗๘
สำหรับก้นจานมีตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนว่า “BHAMO” ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เรียกรูปแบบลวดลายของจานใบนี้ “BHAMO” คือ เป็นรูปคนล่าสัตว์ ซึ่งเป็นลวดลายที่ผลิตขึ้นเพื่อส่งมาขายยังประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ “BHAMO” ยังเป็นชื่อเมืองพะโมซึ่งอยู่ในรัฐกะฉิ่นของประพม่าอีกด้วย
สำหรับจานใบนี้พบในเขตอำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต เป็นหลังฐานที่แสดงให้เห็นว่าชาวภูเก็ตมีความนิยมเครื่องยุโรป ในช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจออยู่หัว ช่วงรัชกาลที่ ๔ (พ.ศ.๒๓๙๔--๒๔๑๑) ซึ่งคาบเกี่ยวกับช่วงที่มีการก่อตั้งบริษัทที่ผลิตเครื่องถ้วย “Britannia Pottery”โดยก่อตั้งตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๓๙๙และปิดกิจการในปีพ.ศ.๒๔๗๘
เอกสารอ้างอิง
-Connie Rogers. “Transfer-Printed Rice Platesfor the South-East Asia Market,”Database Discoveries – Contribution # ๑๗Transferware Collectors Club:,๑-๗.
ภาคอีสานนอกจากจะเป็นแหล่งข้าวชั้นดีของไทยแล้ว ยังเป็นแหล่งสืบสานวัฒนธรรมประเพณีเกี่ยวกับข้าวอันหลากหลาย โดยหนึ่งในนั้น คือ ประเพณี "บุญคูณลาน"หรือการสู่ขวัญข้าวของชาวอีสาน
คำว่า "คูณ"หมายถึง เพิ่ม หรือทำให้มากขึ้น ส่วนคำว่า "ลาน"คือ สถานที่กว้างๆ สำหรับนวดข้าว ซึ่งการนำข้าวที่นวดแล้วกองขึ้นให้สูง เรียกว่า "คูณลาน" สำหรับประเพณีบุญคูณลานจัดขึ้นในเดือนยี่ตามปฏิทินอีสานของทุกปี ทำให้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่างาน "บุญเดือนยี่"ซึ่งการทำบุญคูณลานของแต่ละพื้นที่จะไม่พร้อมกัน ขึ้นอยู่กับการเก็บเกี่ยวข้าวว่าจะเสร็จเมื่อไร วันที่จะขนข้าวขึ้นเล้า (ฉางข้าว) จะเป็นวันทำบุญคูณลานและทำที่นานั่นเลย
แต่ก่อนที่จะทำการนวดข้าวนั้นให้ทำพิธีย้ายแม่ธรณีออกจากลานเสียก่อน และบอกกล่าวแม่โพสพโดยมีเครื่องประกอบพิธี อาทิ ใบคูณ ใบยอ ยาสูบ เขาควายหรือเขาวัว หมาก ไข่ ดอกไม้ ธูปเทียน เป็นต้น จากนั้นเมื่อพร้อมแล้วก็จะบรรจุลงในก่องข้าว (หรือกระติ๊บข้าว) ยกเว้นน้ำและเขาควาย ซึ่งเรียกว่า"ขวัญข้าว"ก่อนเชิญแม่ธรณีออกจากลานและบอกกล่าวแม่โพสพ แล้วจึงนำเครื่องประกอบพิธีบางส่วน ไปวางไว้ที่หน้าลอมข้าว (กองข้าว) เสร็จแล้วเจ้าของนาก็ตั้งอธิษฐาน หลังอธิษฐาน แล้วก็ดึงเอามัดข้าวที่ฐานลอมข้าวออกมานวดก่อน แล้วเอาฟ่อนฟางข้าวที่นวดแล้วห่อหุ้มก่องข้าวมัดให้ติดกัน เอาไม้คันหลาวเสียบฟาง เอาตาแหลวผูกติดมัดข้าวที่เกี่ยวมาจากนาตาแฮกเข้าไปด้วย แล้วนำไปปักไว้ที่ลอมข้าวเป็นอันว่าเสร็จพิธี ต่อไปก็ลงมือนวดข้าวทั้งลอมได้เลย เมื่อนวดเสร็จก็ ทำกองข้าวให้เป็นกองสูงสวยงาม เพื่อจะประกอบพิธีบายศรีสู่ขวัญให้แก่ข้าว โดยเอาต้นกล้วย ต้นอ้อย และตาแหลวไปปักไว้ข้างกองข้าวทั้ง 4 มุม นำตาแหลวและขวัญข้าวไปวางไว้ยอดกองข้าวพันด้วยด้ายสายสิญจน์รอบกองข้าวแล้วโยงมายังพระพุทธรูป ถึง วันงานก็บอกกล่าวญาติพี่น้องให้มาร่วมทำบุญ นิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ เสร็จแล้วก็ถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ พระสงฆ์อนุโมทนาประพรมน้ำมนต์ นำพระพุทธมนต์ไปรดกองข้าว วัว ควาย เมื่อเสร็จพิธีทางพระสงฆ์แล้วก็จะเป็นการประกอบพิธีบายศรีสู่ขวัญให้แก่ข้าว ซึ่งจะกระทำที่ลานนาหรือที่ลานบ้านก็ตามแต่จะสะดวก
หลังสู่ขวัญข้าวเสร็จก็จะเป็นการขนข้าวขึ้นยุ้ง ก่อนขนขึ้นยุ้งเจ้าของจะต้องไปเก็บเอาใบคูณและใบยอเสียบไว้ที่เสายุ้งข้าว ทุกเสา ซึ่งถือเป็นเคล็ดว่าขอให้ค้ำคูณยอ ๆ ยิ่ง ๆ ขึ้นไป และเชิญขวัญข้าวและแม่โพสพขึ้นไปยังเล้าด้วย
ที่มา : https://www.myfirstbrain.com/main_view.aspx?ID=76513
***บรรณานุกรม***
กรมศิลปากร
บันทึกเรื่องสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับนานาประเทศในศตวรรษที่ 17 เล่ม2 กรมศิลปากรจัดพิมพ์ พ.ศ2513
พระนคร
โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว
2513
ชื่อเรื่อง : ฟิล์มกระจกจดหมายเหตุหนึ่งพันภาพประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์
ผู้เขียน : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร
สำนักพิมพ์ : กรมศิลปากร
ปีพิมพ์ : ๒๕๖๐
เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ : ๙๗๘-๖๑๖-๒๘๓-๒๗๓-๔
เลขเรียกหนังสือ : ๙๕๙.๓๐๕๗ ศ๕๒๘ฟ
ประเภทหนังสือ : หนังสือกรมศิลปากร
ห้องบริการ : ห้องหนังสือทั่วไป ๑
สาระสังเขป : ฟิล์มกระจก เป็นเทคนิคการใช้กระจกอาบน้ำยาเป็นตัวรับแสงแล้วนำไปอัดภาพลงบนกระดาษ การถ่ายภาพโดยใช้ฟิล์มกระจกได้เริ่มมีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พุทธศักราช ๒๓๙๔-๒๔๑๑) ฟิล์มกระจกจัดเป็นเอกสารจดหมายเหตุประเภทโสตทัศนวัสดุที่มีความสำคัญยิ่งซึ่งสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติได้รับฟิล์มกระจก จำนวนกว่า ๔,๐๐๐ แผ่น นับว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติด้านจดหมายเหตุอันเป็นข้อมูลความรู้ปฐมภูมิทางประวัติศาสตร์ของชาติในด้านต่างๆ ที่มีคุณค่าต่อการศึกษาค้นคว้าวิจัยประวัติศาสตร์ความเป็นมาและพัฒนาการความเป็นชาติ "ฟิล์มกระจกจดหมายเหตุ หนึ่งพันภาพประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์" ได้นำภาพประวัติศาสตร์จากฟิล์มกระจกที่ทรงคุณค่าและหายากชุดหอพระสมุดวชิรญาณ้ และชุดส่วนพระองค์สมเด็จฯ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน รวมจำนวน ๑,๐๒๕ ภาพ มาจัดพิมพ์เป็นสมุดภาพพร้อมคำอธิบาย จัดแบ่งเป็น ๙ หมวด ประกอบด้วย พระบรมฉายาลักษณ์ส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสหัวเมือง พระราชพิธี พระบรมมหาราชวัง พระราชวังสวนดุสิต วัดโบราณสถาน บุคคล คนไทยกับสายน้ำ และทั่วไป เช่น ภาพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในพระราชอิริยาบถส่วนพระองค์ ณ น้ำตกธารเสด็จ ภาพวงตะกร้อหน้าประตูรัตนพิศาลพระบรมหาราชวัง ภาพเรือกระแซงพายอยู่ในคลองรังสิต ภาพทิวทัศน์นอกเกาะลังกาจิว และภาพพระโกศจันทน์ทรงพระบรมศพสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวงประดิษฐานในพระวิมานเหนือพระจิตกาธาน เป็นต้น เพื่อให้สมุดภาพเล่มนี้เป็นองค์ความรู้ทางปัญญาและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าวิจัยสำหรับผู้ที่สนใจ รวมทั้งสร้างความรัก ความภาคภูมิใจ และความหวงแหน อนุรักษ์สืบทอดมรดกวัฒนธรรมด้านจดหมายเหตุของชาติไว้ให้คงอยู่อย่างยั่งยืน
รายงานการเดินทางไปราชการ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
1. ชื่อโครงการ
การประชุมเรื่องอนุสัญญาว่าด้วยการปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำ (International Meeting on Underwater Cultural Heritage Site Protection 2016) เพื่อสนับสนุนอนุสัญญา ปี 2001 ว่าด้วยการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำ
2. วัตถุประสงค์
วัตถุประสงค์หลักของการประชุมระหว่างประเทศในครั้งนี้ เพื่อดำเนินการสานต่อการประชุมเมื่อปี 2001 ว่าด้วยเรื่องอนุสัญญาการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเกี่ยวกับการดูแลรักษาแหล่งมรดกวัฒนธรรมใต้น้ำ และมาตรการป้องกันการค้าโบราณวัตถุที่ได้จากแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำที่ผิดกฎหมาย
3. กำหนดเวลา การประชุมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-23 กันยายน พ.ศ.2559
(การเดินทางไปราชการระหว่างวันที่ 20-25 กันยายน พ.ศ.2559)
4. สถานที่
สำนักงานใหญ่ยูเนสโก กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ห้องประชุม II และ IX อาคาร Fontenoy
5. หน่วยงานผู้จัด
องค์การร่วมมือทางการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมระหว่างประเทศ (ยูเนสโก : UNESCO
ย่อมาจาก United Nations Educational; Scientific and Cultural Organization)
6. หน่วยงานสนับสนุน
สำนักเลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ
7. กิจกรรม
วันที่ 22 กันยายน พ.ศ.2559 – ห้องประชุม II
10.00 น. กล่าวยินดีต้อนรับโดย Mr. Francesco bandarin ผู้ช่วยผู้อำนวยการทั่วไปยูเนสโก
กล่าวยินดีต้อนรับและข้อคิดเห็นโดย H. E. Mr. Ahmad ผู้แทนถาวรยูเนสโกแห่งสาธารณรัฐ
อิสลามอิหร่าน, รองประธานที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญา 2001
10.30 น. สถานการณ์ปัจจุบันของภัยคุกคามต่อมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำ
ผู้ควบคุมการบรรยายโดย Mr. James Delgado, สหรัฐอเมริกา
· กฎระเบียบข้อบังคับของอนุสัญญาปี 2001 เกี่ยวกับการคุ้มครองแหล่งมรดกวัฒนธรรมใต้น้ำ
โดย Ms. Ulrike Guerin, ยูเนสโก
· ภาพรวมของสถานการณ์ปัจจุบันของการลักลอบงมหาโบราณวัตถุจากแหล่งมรดกวัฒนธรรมใต้น้ำ
ในทวีปยุโรป โดย Mr. Michel L’Hour, ภาควิชาการศึกษาวิจัยทางโบราณคดีใต้น้ำ (DRASSM), ฝรั่งเศส
· กรณีศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของนักโบราณคดีในกรณีที่มีส่วนสำคัญกับการลักลอบงมหาโบราณวัตถุจาก
แหล่งมรดกวัฒนธรรมใต้น้ำ โดย Mr. James Delgado, องค์การบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Oceanic and Atmospheric Administration : NOAA),สหรัฐอเมริกา
· ตัวอย่างสถิติการล่าสมบัติใต้น้ำของประเทศบาฮามาส โดย Mr. Michael Pateman, นักโบราณคดีใต้น้ำ
ประเทศบาฮามาส
· การยึดโบราณวัตถุที่ได้จากแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำ โดย Mr. Jean-Luc Blachon, คณะกรรมการ
กิจการกฎหมายอาญา, กระทรวงยุติธรรม, ฝรั่งเศส
· ถาม - ตอบ
11.40 น. ปัญหาในทางปฏิบัติของการตรวจสอบแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำ
ผู้ควบคุมการบรรยายโดย Ms Helena Barba Meinecke, President STAB
· ความท้าทายที่เราเผชิญในเรื่องเกี่ยวกับการคุ้มครองแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำจากล่าสมบัติ
โดย Mr. Alexandre Monteiro, มหาวิทยาลัยนิวลิสบอน, โปรตุเกส
· เทคนิคการเฝ้าระวังที่ทันสมัย โดย Manuel Angel Sanchez Corbi, หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการกลาง
รักษาความปลอดภัย (Unidad Central Operativa, Guardia Civil), สเปน
· ความท้าทายและรายละเอียดของเหรียญที่พบจำนวนมาก โดย Mr. Peter Van Alfen,
American Numismatic Society, สหรัฐอเมริกา
· การเข้าถึงแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำในขณะที่การรักษาความปลอดภัย โดยSebastiano Tusa,
Sopra-Intendenza Sicily, อิตาลี
· ถาม - ตอบ
13.00 น. - พักรับประทานอาหารกลางวัน
15.00 น. - บริบทที่ยากลำบากในการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำ
ผู้ควบคุมการบรรยายโดย Augustus Ajibola, Scientific and Technical Advisory Body (STAB), ไนจีเรีย
· ความเชี่ยวชาญของตำรวจอิตาลีในการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำ, Romano Gianpietro,
ตำรวจ, อิตาลี
· บริบทที่ยากลำบากในการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำ โดย Mr. Ricardo Duarte,
E. Mondlane University, โมซัมบิก
· การติดตามผลของกรณีการขโมยทรัพย์สินที่สำคัญของหน่วยงานระดับชาติ – กรณีศึกษาการปล้น
พระแม่มารีย์ โดย Ms. Elisa de Cabo, Deputy Director for Heritage, สเปน
· โอกาสที่ได้จากคณะที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคนิคในการประชุมเมื่อปี 2001
โดย Ms. Helena Barba Meinecke, President STAB, เม็กซิโก
· ความรับผิดชอบและศักยภาพของหน่วยนาวิกโยธินติดอาวุธ(NATO) ในการปกป้องมรดกทางวัฒนธรรม
ใต้น้ำ โดยพลเรือตรี Denis Bigot,นาโต
· บทบาทของตำรวจสากลและผลกระทบของการค้าโบราณวัตถุจากแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำ
ระหว่างประเทศ โดย Mr. Corrado Catesi, ตำรวจสากล
· Preventive Archaeology : ผลการวิจัยเป็นคำตอบเพื่อการปล้นสะดมของมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำ
โดย Mr Philippe Pelgas, Chief underwater activities, Inrap, ฝรั่งเศส
· ถาม – ตอบ
วันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2559 ห้องประชุม IX - คณะทำงานของผู้เชี่ยวชาญ10:00 น. การปฏิบัติการป้องกันแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำ (การแต่งตั้ง, การเฝ้าระวัง,
สิ่งของทรัพย์สิน) ผู้ดำเนินรายการโดย Mr. Michel L’Hour, ฝรั่งเศส11:00 น. การบังคับใช้กฎหมาย ผู้ดำเนินรายการโดย Mr. Manuel Angel Sanchez Corbi, สเปน12:00 น. การดำเนินงานของการประชุมในน่านน้ำสากล 2001 ผู้ดำเนินรายการโดย Ms. Ulrike Guerin,
ยูเนสโก13:00 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน15:00 น. ความเป็นไปได้ของการยึดโบราณวัตถุที่ได้มาจากการลักลอบงมจากแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม
ใต้น้ำและการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ผู้ดำเนินรายการโดย Mr. Marnix Pieters, เบลเยียม16:00 น. แนวทางการซื้อขายโบราณวัตถุจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ ผู้ดำเนินรายการโดย Mr. Caesar Bita,
เคนยา18:00 น. ยอมรับของการเสนอแนะ และปิดการประชุม
8. คณะผู้แทนไทย
1. นายเอิบเปรม วัชรางกูร ผู้อำนวยการกองโบราณคดีใต้น้ำ
2. นางสาวมาลีภรณ์ คุ้มเกษม หัวหน้ากลุ่มนิติกร สำนักบริหารกลาง
3. นายอาภากร เกี้ยวมาศ หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพาณิชย์นาวี จันทบุรี
9. สรุปสาระของกิจกรรม
เป็นการรับทราบถึงกิจกรรมในด้านมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำ (UCH : Underwater Cultural Heritage) ของประเทศสมาชิก โดยทำความเข้าใจและซักถามข้อสงสัย ทั้งในที่ประชุมและนอกการประชุม สำหรับประเทศไทยไม่พบปัญหาหรือข้อขัดแย้งใดๆที่เกี่ยวเนื่องกับอนุสัญญาคุ้มครองมรดกวัฒนธรรมใต้น้ำ (The 2001 UNESCO – Convention on the Protection of the Underwater Cultural Heritage) และประเทศไทยยังได้ปฏิบัติตามอนุสัญญาอยู่แล้วเป็นการภายในครบถ้วนทุกข้อ โดยยังมิได้ลงนามในอนุสัญญาดังกล่าว
10. ข้อเสนอแนะจากการจัดกิจกรรม
ให้มีการติดตามผลการดำเนินงานของการประชุมเรื่องอนุสัญญาว่าด้วยการปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำของยูเนสโกต่อไป
นายเอิบเปรม วัชรางกูร
ผู้อำนวยการกองโบราณคดีใต้น้ำ
ป้อมมหากาฬ ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก ริมคลองรอบกรุง คูเมืองกรุงรัตนโกสินทร์ เชื่อมต่อกับแนวกำแพงเมืองที่ขนานไปกับถนนมหาไชย สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๒๔ ก่อด้วยอิฐสอปูน ฉาบปูน ฐานป้อมกว้างประมาณ ๓๘ เมตร และมีความสูงจากฐานถึงหลังคาประมาณ ๑๕ เมตร มีลักษณะเป็นทรงแปดเหลี่ยม ซ้อน ๓ ชั้น มีบันทางขึ้นสู่ชั้นที่ ๒ และ ๓ และมีประตูทางขึ้นสู่หอรบ ทางทิศตะวันตก บนสันกำแพงป้อมมีใบบังรูปสี่เหลี่ยม ส่วนบนสันกำแพงเมืองเป็นใบเสมา หลังคาป้อมทรงโค้งค่ำแบบใบบัว เป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้องดินเผาเคลือบ การขุดค้นทางโบราณคดีที่ป้อมมหากาฬ เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะและโครงสร้างของการก่อสร้างป้อมในสมัยโบราณ สำหรับนำมาเป็นข้อมูลในการออกแบบบูรณะโบราณสถาน ซึ่งนับว่าเป็นการขุดค้นทางโบราณคดีที่บริเวณตัวป้อมเป็นครั้งแรก โดยได้มีการขุดค้นทั้งหมด ๓ จุด ได้แก่ ๑) หลุมขุดค้นบริเวณมุมกำแพงป้อมชั้นล่าง ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ๒) หลุมขุดค้นบริเวณมุมผนังป้อมชั้นที่ ๒ ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ และ ๓) หลุมขุดค้นบริเวณลานป้อมชั้นที่ ๒ ด้านทิศตะวันออก จากกำแพงป้อมชั้นที่ ๑ จรดผนังป้อมชั้นที่ ๒ ซึ่งได้พบหลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวกับลักษณะการก่อสร้างป้อมและกำแพงเมือง ดังนี้ ฐานป้อมชั้นที่ ๑ เป็นฐานป้อมชั้นล่างสุด ก่อด้วยอิฐสอปูน ผนังป้อมฉาบปูนถึงระดับพื้นใช้งานเดิม ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับพื้นปัจจุบันประมาณ ๓๐ เซนติเมตร ผนังป้อมใต้ระดับพื้นใช้งานเดิมลงไปเป็นการก่ออิฐเปลือยไม่ฉาบปูน มีความลึกประมาณ ๓ เมตร ฐานป้อมตั้งอยู่บนชั้นอิฐหักบดอัด ซึ่งเกิดจากการขุดดินเลนเดิมออก แล้วถมอัดด้วยอิฐหัก ลึกประมาณ ๑.๒๐ เมตร (อ้างอิงตามหลักฐานการขุดค้นในบริเวณป้อมมหากาฬ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗) จากนั้นจึงถมด้วยดินเหนียวให้ลาดเอียงไปทางคลองคูเมืองด้านทิศตะวันออกของตัวป้อม ฐานป้อมชั้นที่ ๒ ก่อด้วยอิฐสอปูน ผนังป้อมฉาบปูนถึงระดับพื้นใช้งานเดิม และใต้ระดับพื้นใช้งานเดิมลงไปไม่ฉาบปูน เช่นเดียวกับผนังป้อมชั้นที่ ๑ พบพื้นใช้งานเดิมเป็นการปูอิฐสลับแนวยาวและแนวขวาง ซ้อน ๓ ชั้น และดาดด้วยปูนขาว ฐานป้อมด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีความลึกประมาณ ๓ เมตร ตั้งอยู่บนแนวฐานรากของกำแพงเมือง มีความลึกประมาณ ๔.๒๐ เมตร ซึ่งส่วนที่อยู่เหนือระดับพื้นใช้งานปัจจุบันได้ถูกรื้อไปแล้ว สันนิษฐานว่าเชื่อมต่อกับแนวกำแพงเมืองด้านทิศเหนือและทิศใต้ที่ยังคงปรากฏอยู่ในปัจจุบัน และมีช่องประตูกำแพงบนลานป้อมชั้นที่ ๒ ทั้งทางด้านทิศเหนือและทิศใต้ ใต้พื้นใช้งานเดิมมีการถมอัดด้วยดินเหนียว ลึกลงไปประมาณ ๑.๕๐ เมตร มีชั้นถมอัดด้วยอิฐหักหนาประมาณ ๓๐ เซนติเมตร ถัดลงไปถมอัดด้วยดินเหนียวล้วน ส่วนมุมป้อมด้านทิศตะวันออก ใต้ระดับพื้นใช้งานเดิมลงไปประมาณ ๓๐ เซนติเมตร พบชั้นปูพื้นด้วยอิฐและดาดปูนเช่นเดียวกัน แต่ชั้นดินถมอัดใต้พื้นใช้งานเดิมบริเวณนี้ เป็นก้อนอิฐหักผสมดินเหนียว จากผนังกำแพงป้อมถึงผนังป้อมชั้นที่ ๒ พบการก่อกำแพงใต้ระดับพื้นใช้งานเดิมลงไป ในแนวตะวันออก-ตะวันตก เพื่อค้ำยันผนังป้อมทั้ง ๒ ด้านไว้ โดยมีการก่ออิฐประสานกันระหว่างผนังป้อมและกำแพงนี้ ซึ่งพบว่ามีการทรุดตัวลงไปทางด้านทิศตะวันตกด้วย ฐานป้อมชั้น ๒ และฐานรากของกำแพงใต้ระดับพื้นใช้งานเดิม ตั้งอยู่บนชั้นดินเหนียวถมอัด มีความลึกที่ต่ำกว่าระดับพื้นใช้งานปัจุบันประมาณ ๔.๒๐ เมตร เช่นเดียวกับผนังและกำแพงป้อมด้านทิศตะวันตก การขุดค้นป้อมมหากาฬและกำแพงเมือง ทำให้ทราบข้อมูลและหลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวกับภูมิปัญญาในการก่อสร้างป้อมและกำแพงเมืองสมัยโบราณ เป็นการบูรณาการองค์ความรู้ทางด้านวิชาการโบราณคดีและการอนุรักษ์โบราณสถาน เพื่อสืบสาน รักษา มรดกวัฒนธรรมของชาติ และพัฒนาต่อยอดในฐานะทรัพยากรทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนสืบต่อไป เรียบเรียงข้อมูล : ดร. ภัทรวรรณ พงศ์ศิลป์ นักโบราณคดีชำนาญการ กองโบราณคดี
เลขทะเบียน : นพ.บ.3/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 54 หน้า ; 5 x 55 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 2 (11-19) ผูก 2หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.49/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4.5 x 54 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 30 (308-325) ผูก 9หัวเรื่อง : บาลียมก --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม