ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ

         วันนี้ในอดีต 21 เมษายน 2566 ครบรอบ 241 ปี วันสถาปนา “กรุงรัตนโกสินทร์” ตอนที่ 1          ต่อมาในเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ ซึ่งตรงกับวันที่ 21 เมษายน ปีพุทธศักราช 2325 เวลา 06.54 นาฬิกา เป็นวันที่พระองค์ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทำ “พิธียกเสาหลักเมือง” โดยเป็นประเพณีไทยโบราณเมื่อมีการสร้างเมืองขึ้นใหม่ จะต้องหาฤกษ์มงคลสำหรับฝังเสาหลักเมืองเป็นประการแรก เพื่อความเป็นสิริมงคลของบ้านเมืองและประชาชน           โดยเรื่องราวของ “หลักเมือง” คือเรื่องราวที่ปรากฏในลักษณะเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมา และแฝงด้วยความอาถรรพ์ แต่ทว่ายังคงมีเรื่องราวแห่งความจริง ซึ่งเป็นแก่นรวมอยู่ด้วย ยกตัวอย่างเช่นเรื่องราวในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่เล่าถึง “หลักเมือง” ไว้ว่า          “พิธีสร้างพระนครหรือสร้างบ้านสร้างเมืองต้องฝังอาถรรพณ์ ๔ ประตูเมือง ต้องฝังเสาหลักเมือง การฝังเสาหลักเมือง และเสามหาปราสาท ต้องเอาคนมีชีวิตทั้งเป็น ๆ ลงฝังในหลุมเพื่อให้เป็นผู้เฝ้าทวารมหาปราสาทบ้านเมืองป้องกันอริราชศัตรู ในการทำพิธีดังกล่าวนี้ต้องเอาคน ชื่อ อิน จัน มั่น คง มาลงฝังในหลุมจึงจะศักดิ์สิทธิ์ ”          สำหรับเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ เชื่อว่าได้รับอิทธิพลทางพิธีการของพราหมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องในพิธีจารึกดวงชะตาพระนคร โดยสำคัญอย่างยิ่งในด้านความเชื่อถือ ซึ่งมีผลโดยตรงทางด้านจิตใจและเป็นการสร้างความมั่นใจผ่านทางพิธีกรรมเพื่อความมงคลว่าบ้านเมืองจะอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข  นอกจากนั้น ภายหลังยังมีการประดิษฐาน “ศาลเทพารักษ์” เพื่อเป็นที่สถิตของเทพารักษ์ประจำหลักเมือง คอยอำนวยความสุข ความมงคล และป้องกันเภทภัยแก่ผู้ที่เคารพบูชา ประกอบด้วยเทพารักษ์จำนวน ๕ พระองค์ ได้แก่ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระกาฬไชยศรี เจ้าเจตคุปต์ และ เจ้าหอกลอง           ปัจจุบันเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยามีเนื้อที่ประมาณ ๑ งาน ๑๕ ตารางวา อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของท้องสนามหลวง ภายในบริเวณเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ ได้จัดพื้นที่ใช้สอยเป็นสัดส่วนรับรองการมาสักระนมัสการของประชาชน          ในวาระการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๒๔๑ ปี ในวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๖ นี้ ถือเป็นโอกาสดีที่คนไทย โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ จะได้เรียนรู้และสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์ความเป็นมาของการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก่อให้เกิดความรักและภาคภูมิใจในความเป็นไทย ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรม  


ธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก), หลวง, 2401-2471.  โคลงนิราศวัดรวก.  พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2466.


องค์ความรู้ : สำนักหอสมุดแห่งชาติ เรื่อง พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ โดย นายจุง ดิบประโคน นักภาษาโบราณชำนาญการพิเศษ



          พิพิธภัณฑ์ไทยถือกำเนิดมาตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2417 ตลอดระยะเวลา 149 ปี พิพิธภัณฑ์ในฐานะสถาบันแห่งการอนุรักษ์มรดกอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ แหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตและแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ได้แสดงบทบาทให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่มีคุณภาพมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ ในปีพุทธศักราช 2538 คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบประกาศให้วันที่ 19 กันยายนของทุกปี เป็นวันพิพิธภัณฑ์ไทย           เนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย 2566 (Thai Museum Day 2023) กรมศิลปากร โดยสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ร่วมกับเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ไทย จึงจัดกิจกรรมเพื่อสังคมในมิติของความยั่งยืน ภายใต้หัวข้อ “การจัดการคลังและวัตถุพิพิธภัณฑ์สู่ความยั่งยืน” ด้วยเล็งเห็นว่าคลังพิพิธภัณฑ์และวัตถุพิพิธภัณฑ์เป็นหัวใจสำคัญของพิพิธภัณฑ์ การดูแลบริหารคลังพิพิธภัณฑ์และวัตถุพิพิธภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเปรียบเสมือนการสร้างความยั่งยืนแก่มรดกทางวัฒนธรรมของชาติและสังคม ภายในงานนี้ท่านจะได้พบกับกิจกรรมหลากหลายจากเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ไทยทั่วประเทศ > นิทรรศการ “Museum Unveiling” เรื่องลึก เบื้องหลังพิพิธภัณฑ์ไทย  : พบกับวัตถุหาชมยาก เรื่องราวเชิงลึกของวัตถุพิพิธภัณฑ์ที่ไม่เคยเปิดเผย และเบื้องหลังความสมบูรณ์แบบของวัตถุพิพิธภัณฑ์จากหลายพิพิธภัณฑ์ > พิพิธภัณฑ์เสวนา (Museum Talk) หัวข้อ”การจัดการคลังและวัตถุพิพิธภัณฑ์สู่ความยั่งยืน”  : การบรรยายแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากผู้บริหารระดับสูงและนักวิชาชีพพิพิธภัณฑ์ในหลายมิติ ได้แก่ Museum Technology เทคโนโลยีการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ ,Collection Care การดูแลรักษาวันถุพิพิธภัณฑ์,  Storage Engagement ถอดบทเรียนจากการบริหารจัดการคลังช่วงวิกฤตโควิด, Museum Storage มองคลังคนละมุม โดยสามารถรับชมการถ่ายทอดสด Facebook Live : Office of National Museum, Thailand> กิจกรรมเวิร์คช็อปการอนุรักษ์วัตถุพิพิธภัณฑ์ (Conservation Lab)  : พบการสาธิตการอนุรักษ์วัตถุพิพิธภัณฑ์จากนักอนุรักษ์มืออาชีพ พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้ลงมือปฏิบัติและเรียนรู้ด้วยตัวเอง (สำรองที่นั่งได้ที่ https://shorturl.at/lpAJ4 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าร่วมแต่ละกิจกรรม วันที่ 14 กันยายน 2566 *ขยายเวลา) > การออกร้านจากเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ (Museum Fair)  : พบสินค้าและนวัตกรรมต่อยอดจากพิพิธภัณฑ์ ต้นแบบความสำเร็จตามแนวเศรษฐกิจสร้างสรรค์           กิจกรรมเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย 2566 (Thai Museum Day 2023) ในหัวข้อ “การจัดการคลังและวัตถุพิพิธภัณฑ์สู่ความยั่งยืน” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-19 กันยายน 2566 ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ติดตามรายละเอียดกิจกรรมและสอบถามเพิ่มเติมได้ทาง Facebook: Office of National Museums, Thailand


องค์ความรู้ทางวิชาการ ชุด อิทธิพลจีนในภาคใต้ ตอน เครื่องถ้วยจีน          เครื่องถ้วย....คือ คำเรียกเครื่องปั้นดินเผา ตรงกับภาษาอังกฤษว่า เซรามิกส์ (Ceramics)  คือการทำขึ้นโดยมีดิน เป็นส่วนประกอบหลัก สามารถแบ่งออกได้เป็น ๓ ชนิด ตามลักษณะของเนื้อดิน และอุณหภูมิที่ใช้เผา ได้แก่  ๑. เนื้อดินธรรมดา (Earthenware) เป็นเครื่องปั้นดินเผาเนื้อหยาบ เนื้อดินสีแดง เผาในอุณหภูมิต่ำ ราว ๘๐๐ - ๙๐๐ องศา  ๒. เนื้อดินแกร่ง (Stoneware) เป็นเครื่องปั้นดินเผาที่มีส่วนผสมของหินจำพวกซิลิกาปนอยู่เกินครึ่งหนึ่ง เผาในอุณหภูมิสูง ๑๑๙๐ - ๑๓๙๐ องศา ๓. เครื่องถ้วยเนื้อดินชนิดพอร์สเลน (Porcelain)  หรือเนื้อกระเบื้อง เป็นเครื่องถ้วยที่ต้องเตรียมดินขึ้นเป็นพิเศษ มีส่วนผสมของหินควอตซ์ (หินฟันม้า) ดินเกาลิน ดินเหนียวขาว (ball clay) และวัตถุอื่นๆ เมื่อเผาสุกตัวจะมีสีขาว และโปร่งแสง โดยเผาในอุณหภูมิตั้งแต่ ๑,๒๕๐ องศาเซลเซียส ขึ้นไป    เครื่องถ้วยจีน.....จดหมายเหตุจีน กล่าวว่า มีชาวจีนเดินทางเข้ามาติดต่อกับดินแดนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจีนเรียกว่า “ประเทศในแถบทะเลจีนใต้” มาเป็นเวลากว่าพันปีแล้ว รวมทั้งดินแดนของประเทศไทยในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นแหล่งกำเนิดของสมุนไพร ของป่า และเครื่องเทศ ซึ่งชาวจีนใช้ปรุงยาและประกอบอาหาร           ด้วยสภาพภูมิประเทศบริเวณคาบสมุทรภาคใต้ อันมีลักษณะเป็นคาบสมุทรยื่นขนาบด้วยชายทะเลทั้งสองฝั่งมีอ่าวและแหลมยื่น ซึ่งเป็นลักษณะทางภูมิประเทศที่เหมาะสำหรับการเดินเรือ และเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในเส้นทางการค้าทางทะเล เนื่องจากเป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับการพักสินค้าและพบปะระหว่างพ่อค้าจีนกับพ่อค้าอินเดีย ซึ่งต่างก็อาศัยลมมรสุมเดินทางมาพบกันครึ่งทาง จึงทำให้พื้นที่บริเวณภาคใต้มีการค้นพบเครื่องถ้วยจีนจากแหล่งโบราณคดีต่างๆจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่พบตามแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งหลุมฝังศพ แหล่งเรืออับปาง และแหล่งศาสนสถานบริเวณฐานของโบสถ์หรือวิหาร ซึ่งเป็นที่ฝังภาชนะที่ทำหน้าที่การใช้งานเป็นโกศบรรจุอัฐิของผู้ตาย หรือเป็นของอุทิศบรรจุไว้ในโถหรือไหพร้อมกับสิ่งของอื่นๆ เช่น เครื่องใช้หรือเครื่องประดับที่ทำด้วยสำริด เงิน หรือทอง เพื่ออุทิศให้แก่ผู้ตาย หรือบรรจุไว้ในองค์พระเจดีย์ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาตามความเชื่อถือทางศาสนาพุทธ และมักพบร่วมกับโบราณวัตถุอื่นๆ อยู่เสมอ ทั้งในสภาพสมบูรณ์และสภาพแตกหัก (ณัฐพงษ์ แมตสอง, ๒๕๕๖)           จากการสำรวจและขุดค้นของกรมศิลปากร ได้มีการค้นพบเครื่องถ้วยจีน โดยเครื่องถ้วยจีนที่พบส่วนใหญ่มีอายุตั้งแต่ปลายสมัยราชวงศ์ถังลงมา ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๔ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ ๙)  โดยเฉพาะจากแหล่งโบราณคดีที่สำคัญ ๒ แหล่ง คือ แหล่งโบราณคดีแหลมโพธิ์ ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และแหล่งโบราณคดีเหมืองทอง ตำบลเกาะคอเขา อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา นอกจากนั้นได้ค้นพบเครื่องถ้วยจีนกระจายอยู่ในหลายแหล่งโบราณคดีในพื้นที่คาบสมุทรภาคใต้ รวมไปถึงในเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของการส่งออกเครื่องถ้วยในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๔ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ ๙)  โดยอาศัยการเดินเรือและการค้าทางทะเล ที่สามารถเชื่อมต่อชุมชนโบราณของทั้งสองฝั่งทะเลผ่านเส้นทางข้ามคาบสมุทร (ปริวรรต ธรรมาปรีชากร, มปพ)   ++ เครื่องถ้วยจีนที่ค้นพบในภาคใต้แบ่งออกเป็น ๖ สมัย ได้แก่ ๑. ปลายสมัยราชวงศ์ถังถึงสมัยห้าราชวงศ์ ๒. สมัยราชวงศ์ซ่ง ๓. สมัยราชวงศ์เยวี๋ยน (หยวน) ๔. สมัยราชวงศ์หมิง ๕. สมัยราชวงศ์ชิง ๖. สมัยสาธารณรัฐ   เรียบเรียง :  นางสาวจุตินาฏ บวรสาโชติ นักโบราณคดีชำนาญการ   นางสาวอนุธิดา ส่งบำเพ็ญ และ นางสาวลัดดาวัลย์ สุวรรณคีรี นักวิชาการวัฒนธรรม กราฟฟิก : นางสาวอนุธิดา ส่งบำเพ็ญ  กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช        อ้างอิง :  ปริวรรต ธรรมาปรีชากร. (มปพ). ความรู้ใหม่เกี่ยวกับการกำหนดอายุและแหล่งผลิตของเครื่องปั้นดินเผาจีน ที่พบจากแหล่งโบราณคดีในประเทศไทย, เอกสารอัดสำเนา  ปิยชาติ สึงตี. (๒๕๕๐). การศึกษาเปรียบเทียบบทบาทของเมืองท่าปัตตานี นครศรีธรรมราช สงขลา ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๒๓๑.  สำนักศิลปากรที่ ๑๔ นครศรีธรรมราช. (๒๕๕๖). เอกสารประกอบการสัมมนาการประชุมสัมมนาถวายความรู้แด่พระสังฆาธิการและฆราวาสผู้สนับสนุนวัด. นครศรีธรรมราช : สำนักศิลปากรที่ ๑๔ นครศรีธรรมราช กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม. Li Pingshun. (๒๕๔๙). เครื่องถ้วยจีน การสำรวจขุดค้นในประเทศไทย. เอกสารอัดสำเนา. (ม.ป.ท.)   ที่มาภาพ : สำนักศิลปากรที่ ๑๔ นครศรีธรรมราช. (๒๕๕๖). เอกสารประกอบการสัมมนาการประชุมสัมมนาถวายความรู้แด่พระสังฆาธิการและฆราวาสผู้สนับสนุนวัด. นครศรีธรรมราช : สำนักศิลปากรที่ ๑๔ นครศรีธรรมราช กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม.



นาคทัณฑ์ - คันทวย ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่่ ๒๔ไม้แกะสลัก สูง ๑๖๕ ซม. กว้าง ๕๔ ซม.ย้ายมาจากวัดพระธาตุหริภุญชัยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ นาคทัณฑ์ เป็นภาษาท้องถิ่นภาคเหนือ ส่วนในภาษาไทยภาคกลาง เรียกว่าคันทวย หมายถึงส่วนประกอบทางสถาปัตยกรรม สำหรับค้ำยันรองรับส่วนของชายคา โครงสร้างเป็นแผ่นไม้ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก  สลักวและฉลุลวดลายอย่างวิจิตรงดงามนาคทัณฑ์หรือคันทวยนี้ เดิมคงเป็นส่วนประกอบของวิหารใดวิหารหนึ่ง                           ภายในวัดพระธาตุหริภุญชัย ด้วยเดิมประกอบด้วยวิหารที่สร้างจากไม้มีทั้งวิหารขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ต่อมาเมื่อมีการบูรณะวิหารเหล่านั้น ส่วนประกอบสถาปัตยกรรมบางประเภท         อย่างเช่น นาคทัณฑ์ หรือคันทวย ซึ่งเป็นส่วนรองรับหลังคาที่เสื่อมสภาพช้ากว่าส่วนประกอบอื่นๆ หลงเหลือไว้สำหรับศึกษารูปแบบทางลวดลาย เทคนิคทางเชิงช่างได้ นาคทัณฑ์ทรงสามเหลี่ยมมุมฉาก ส่วนบนเป็นชุดบัวหงาย สลักเป็นรูปตัวลวง เป็นสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายนาค ลำตัวยาว มีหงอน มีเขา ปีก และเท้า จำนวน ๔ เท้า ปลายหางเป็นช่อกระหนก พื้นหลังสลักลายช่อพันธุ์พฤกษา ถัดลงมาเป็นชุดฐานบัวลูกแก้วออกไก่ กลีบบัวมีขนาดใหญ่ ส่วนล่างสุดสลักเป็นลายก้านขดในกรอบสามเหลี่ยมยาวตลอดปลายนาคทัณฑ์ ในศิลปะล้านนา พบว่ามีการประดับตัวลวงหรือพญาลวง ที่เป็นสัตว์มีรูปร่างยาวคล้ายงูหรือนาค  มีหงอน มีเครา ครีบ และที่สำคัญคือมีปีกและขา 4 ขา คำว่าลวง คงมีที่มาจากคำว่า หลง               ในภาษาจีนที่แปลว่ามังกร ตัวแทนของธาตุไฟ มีอำนาจเหนือธรรมชาติ และเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ โดยนำมาผสมผสานกับความเชื่อเรื่องนาคที่มีอยู่เดิม นิยมในงานช่างล้านนาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลงมา อ้างอิงปรัชญา เหลืองแดง. “มังกรจีนในงานประดับหลังคาพุทธสถานไทยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๔.” วิทยนิพน์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๖. วรลัญจก์ บุณยสุรัตน์, วิหารล้านนา กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ ๒๕๔๔


         ภาชนะดินเผาสามขา          ภาชนะดินเผาสามขาเป็นภาชนะรูปแบบหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของวัฒนธรรมบ้านเก่า เนื่องจากมีรูปแบบพิเศษและยังแสดงถึงเทคนิคขั้นสูงในการผลิตภาชนะดินเผาด้วย นอกจากที่แหล่งโบราณคดีบ้านเก่าแล้วยังพบหลักฐานการผลิตภาชนะดินเผาสามขาแพร่กระจายอยู่ตามแหล่งโบราณคดีสมัยหินใหม่ในลุ่มน้ำแควน้อย – แควใหญ่ ลำตะเพิน และลุ่มน้ำท่าจีน เช่น แหล่งโบราณคดีหนองราชวัตร อำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี แหล่งโบราณคดีบ้านหัวอุด ตำบลสนามคลี อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ทั้งยังพบแพร่กระจายลงมาทางภาคใต้ เช่น แหล่งโบราณคดีถ้ำเบื้องแบบ อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี แหล่งโบราณคดีถ้ำยายตุ๊ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร นอกจากนี้ยังพบหลักฐานว่าภาชนะสามขาในประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับภาชนะสามขาจากแหล่งโบราณคดีสมัยหินใหม่ในประเทศจีนและมาเลเซียด้วย   แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ https://smartmuseum-v2.finearts.go.th/3d_object/?obj=34057   ที่มา: https://smartmuseum.finearts.go.th



           อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย ชวนร่วมรับชมภาพยนตร์เรื่อง มันดาลา (Rivulet of Universe) โดยฝีมือของคนพิมาย รอบพิเศษ ในวันที่ 13 - 14 กันยายน 2567 นี้ ณ อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย ตั้งแต่เวลา 17.00 - 22.30 น. โดยสามารถจองบัตรเข้าร่วมงานได้แล้วที่ https://shorturl.at/N3T9f จำกัดเพียงรอบละ 100 ที่ เท่านั้น!!! รวมทั้งยังสามารถร่วม “ชิม ช็อป ชิล” ในตลาดเมืองพิมาย ณ บริเวณด้านหน้าสถานีดับเพลิง เทศบาลตำบลพิมายได้อีกด้วย



วารสารเครือข่ายกรมศิลปากรเป็นวารสารรายไตรมาสออกทุก ๓ เดือน


ชื่อเรื่อง : การสร้างวัตถุมงคลท่านพ่อทอก ธมฺมรตุตโน วัดหนองชิ่ม อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558 คำค้น : ท่านพ่อทอก ธมฺมรตุตโน, วัดหนองชิ่ม, วัตถุมงคล, พระเครื่อง รายละเอียด :  - ผู้แต่ง :  - แหล่งที่มา : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี หน่วยงานที่รับผิดชอบ : วัดหนองชิ่ม อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี วันที่ : 2558 วันที่เผยแพร่ : 12 ตุลาคม 2567 ผู้ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน : - ลิขสิทธิ์ :  - รูปแบบ : PDF. ภาษา : ภาษาไทย ประเภททรัพยากร : หนังสือท้องถิ่น (ห้องจันทบุรี) ตัวบ่งชี้ :  - รายละเอียดเนื้อหา : หนังสือกล่าวถึงการสร้างวัตถุมงคลท่านพ่อทอก ธมฺมรตุตโน วัดหนองชิ่ม อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี ประวัติท่านพ่อทอก ธมฺมรตุตโน ประวัติการสร้างวัตถุมงคล รายละเอียดการจัดสร้าง และรายนามพระคณาจารย์ที่เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษก เลขทะเบียน : น 58 บ. 71441 จบ. (ร) เลขหมู่ : 294.31218 ก523  


“4 วัด 1 วัง เมื่อครั้งต้นกรุงฯ” ชวนย้อนเวลา ส่องวิถี ปลุกแสงสี พระนครศรีอยุธยา ในวันที่ 9 - 17 พฤศจิกายน 2567 ณ วัดไชยวัฒนาราม วัดราชบูรณะ วัดมหาธาตุ วัดพระราม และพระราชวังจันทรเกษม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา             วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน 2567 เวลา 13.30 น. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงาน “4 วัด 1 วัง เมื่อครั้งต้นกรุงฯ” โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร นายเกียรติปราโมทย์ ฉายศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกรมศิลปากร หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยองค์กรภาคีและเครือข่ายทางวัฒนธรรมและสื่อมวลชน เข้าร่วมการแถลงข่าว ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร            ตามที่รัฐบาลได้จัดกิจกรรม Thailand Winter Festival เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวนั้น กระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงได้ขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาล โดยเปิดให้เข้าชมโบราณสถานยามราตรี เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เร่งผลักดันการท่องเที่ยวศักยภาพสูงให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าเที่ยวตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยใช้เสน่ห์วิถีไทย เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้สัมผัสความสวยงามของโบราณสถานในยามค่ำคืน ให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเยี่ยมชมบรรยากาศ “4 วัด 1 วัง เมื่อครั้งต้นกรุงฯ” สร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวรูปแบบใหม่            ภายใต้แนวคิด “ย้อนเวลา ส่องวิถี ปลุกแสงสี พระนครศรีอยุธยา” ชวนสัมผัสมนต์เสน่ห์วิถีไทยกรุงศรีอยุธยาช่วงต้นกรุงศรีฯ ในยุคที่รุ่งเรืองทั้งศิลปะ วัฒนธรรม และการค้าขาย วิถีชีวิตของผู้คนในยุคนั้นมีความสุข และเสน่ห์ไทยอย่างไร ผ่านกิจกรรมการแสดง การละเล่น พร้อมทั้งการประดับไฟ Lighting Art Installation และ Projection Maping โบราณสถานอันทรงคุณค่าให้ได้เห็นความงดงามยามค่ำคืน ในวันที่ 9 - 17 พฤศจิกายน 2567 ณ วัดไชยวัฒนาราม วัดราชบูรณะ วัดมหาธาตุ วัดพระราม และพระราชวังจันทรเกษม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบกับกิจกรรมไฮไลต์             - Lighting Art Installation – การประดับตกแต่งไฟ “4 วัด 1 วัง” ให้สวยงามยามค่ำคืน สัมผัสบรรยากาศที่มีมนต์เสน่ห์เมื่อครั้งต้นกรุงฯ ในวันที่ 9 - 17 พฤศจิกายน 2567 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป             - Projection Mapping – พบกับการฉายภาพเรื่องราวด้วยแสงสีอันวิจิตรตระการตา ณ วัดพระราม และวัดไชยวัฒนาราม ในวันที่ 9 - 17 พฤศจิกายน 2567 เวลา 18.30 น. เป็นต้นไป             - การประกวดแมวไทยโบราณคืนถิ่นกรุงศรี – สืบสานตำนานแมวไทย ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2567              - พิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ – ณ วิหารหลวง วัดมหาธาตุ ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป             - การประกวดนางนพมาศ ประจำปี 2567 – ยลโฉมสาวงามนางนพมาศแห่งกรุงศรี ในวันลอยกระทง ณ วัดพระราม ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป             นอกจากนี้ ยังมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมและละเล่นไทยโบราณ เชิญชวนแต่งชุดไทยย้อนยุค พร้อมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ภายใต้บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสวยงามของสถานที่ทางประวัติศาสตร์ยามค่ำคืน พร้อมเชิญชวนชิมอิ่มอร่อยจากการออกบูธอาหารจากทุกภูมิภาคตลอดการจัดงาน              อย่าพลาดโอกาสสำคัญในครั้งนี้ มาร่วมเดินทางย้อนเวลากลับไปสู่ช่วงต้นกรุงศรีอยุธยา พร้อมทั้งดื่มด่ำกับบรรยากาศโบราณสถานยามค่ำคืน ได้ที่งาน “4 วัด 1 วัง เมื่อครั้งต้นกรุงฯ” ในวันที่ 9 - 17 พฤศจิกายน 2567 ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา Ayutthaya Historical Park 


black ribbon.