ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ
วันเสาร์ที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๒ สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา จัดพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระเกียรติพระชนมพรรษา ๖๗ พรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒ และลงนามถวายสัตย์ปฏิญาณฯ ณ สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา
ประเทศไทยมีวงมโหรีมาแต่โบราณ มีการประสมวงมโหรีกับวงเครื่องสาย วงปี่พาทย์ วงขับไม้ และวงประเภทเครื่องกลองแขก (สุพรรณี เหลือบุญชู ๒๕๒๙ : ๕๒) ในจังหวัดสุรินทร์นิยมเล่นกันแพร่หลายในเขตอำเภอสังขะ และอำเภอเมืองสุรินทร์ จากการสัมภาษณ์นายกุน ผลแมน หัวหน้าวงมโหรีบ้านภูมิโปน ทราบว่าเริ่มเรียนดนตรีครั้งแรกจากครูนิล ซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากข้าหลวง ที่รัฐบาลได้ส่งมาปกครองมณฑลอีสานในสมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ.๒๔๓๖ –๒๔๕๑ (หม่อมอมร วงศ์วิจิตร ๒๕๐๖) การเล่นมโหรีจึงได้แพร่หลายสู่ชาวบ้าน ต่อมานายกุน ผลแมน ได้ถ่ายทอดแก่คณะดนตรีหมู่บ้านภูมิโปน และบ้านดม
เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบในการเล่นมโหรีของวงบ้านภูมิโปน –บ้านดม อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ประกอบด้วย
๑. ซอกลาง ลักษณะเหมือนซออู้ แต่มีเสียงสูงกว่าซออู้เล็กน้อย หรือเรียกว่าซออู้เสียงกลาง
๒. ซออู้ ตัวกะโหลกซอทำด้วยกะลามะพร้าว ขึงหนังวัว มีสาย ๒ สาย คันชักทำด้วยขนหางม้า มีเสียงทุ้มนุ่มนวล
๓. ซอด้วง เป็นซอ ๒ สาย กะโหลกซอทำด้วยไม้ไผ่ ใช้หนังงูเหลือมขึง คันชักทำด้วยขนหางม้า มีเสียงแหลม
๔. ปี่ใน(ชลัย) เป็นปี่ที่ทำด้วยไม้ชิงชัน หรือไม้พยูงกลึงให้ป่องกลาง และบานปลายทั้งสองข้างเล็กน้อย เจาะเป็นรูกลวงภายใน มีรูสำหรับปิดเปิดนิ้วเพื่อให้เกิดเสียงต่างๆ เจาะรูปี่ ๖ รู ลิ้นปี่ทำด้วยใบตาลตัดกลมมนซ้อนสี่ชั้น ผูกติดกับโลหะ
๕. กลองสองหน้า เป็นกลองที่ขึงด้วยหนังทั้งสองหน้าเสียงแบบเดียวกับตะโพน ใช้มือตีทั้งสองด้าน ใช้ใบเดียวตีประกอบจังหวะในวงมโหรี
๖. ฉิ่ง เป็นโลหะหล่อหนา ชุดหนึ่งมี ๒ ฝา เสียงจะดังฉิ่ง –ฉับ จำทำหน้าที่เป็นหลักในการบรรเลง
๗. ฉาบ เป็นโลหะหล่อเช่นเดียวกับฉิ่ง แต่มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างกว่าฉิ่ง และบางกว่า จะใช้ฉาบตีขัดกับฉิ่ง เพื่อให้การบรรเลงสนุกสนาน
จากเครื่องดนตรีที่กล่าวมาจะเห็นว่ามีเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายและ ประเภทปี่พาทย์บางชิ้นมาประสมกัน โดยมีซอกลางเป็นเครื่องดนตรีหลักของวงมโหรี ใช้บรรเลงในงานต่างๆ
เพลงที่ใช้ประกอบในวงมโหรี แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑. เพลงขับร้อง เป็นการบรรเลงดนตรีที่มีคำร้องประกอบ มีทั้งร้องส่ง ร้องคลอ และร้องรับกับการบรรเลงดนตรี เนื้อร้องเป็นภาษาเขมรที่ถ่ายทอดมาแต่ดั้งเดิม บางครั้งเป็นการด้นกลอนสดๆ ให้เข้ากับทำนองเพลง เรียกว่า การเจรียง(ร้อง) จังหวะของเพลงจะตีฉิ่งในอัตราจังหวะ ๒ ชั้น ประเภทเพลงขับร้อง ได้แก่
เพลงขับร้อง คำร้องของเพลงขึ้นต้นด้วยคำว่า “อาเล”
เพลงกแอกคเมา (แปลว่า กาดำ)
เพลงซองซาร แปลว่าที่รัก หรือบทเพลงแห่งความรัก ในการเจรียงเพลงนี้จะมีการเรือม(รำ) เกี้ยวกันระหว่างชายหญิง เพราะบทร้องเพลงซองซารจะเป็นบทร้องโต้ตอบระหว่างชาย –หญิง
เพลงกันตบ เป็นบทร้องสอนหญิง
เพลงลาวเสี่ยงเทียน เป็นบทเพลงไทยเดิม เนื้อร้องอาจจะใช้เพลงลาวเสี่ยงเทียน หรืออาจแปลงเนื้อร้องเป็นภาษาเขมรหากนักร้องมีความชำนาญ
เพลงอายัยโบราณ เป็นการด้นกลอนสด โดยใช้เนื้อร้องตามโอกาส หรืองานที่ไปเล่น การเล่นเพลงนี้จะมีการเรือม(รำ) ประกอบ
เพลงอมตูก หมายถึง พายเรือ เนื้อหาจะกล่าวถึงการพายเรือ และแจวเรือ มีการเรือม(รำ) ประกอบ
เพลงสีนวล เป็นเพลงไทยเดิม
เพลงเขมรปากท่อ เป็นเพลงไทยเดิม
เพลงมลบโดง หมายถึง ร่มมะพร้าว
เพลงตำแร็ยยูลได หมายถึง ช้างแกว่งงวง
เพลงก็อทกรูว
เพลงกระซิงเตียม
เพลงเขมรเป่าใบไม้
เพลงเมื้อนตึก
ฯลฯ
จะเห็นว่าเพลงขับร้องที่กล่าวมา หรืออาจมากกว่านี้จะมีทั้งเพลงที่เป็นเพลงไทยเดิม และเป็นเพลงภาษาเขมรที่นำมาจากวงกันตรึม มาใช้บรรเลงในวงมโหรีของคณะบ้านภูมิโปนและบ้านดม ลักษณะของเพลงส่วนมากจะเป็นเพลงเบ็ดเตล็ดต่างๆ จัดอยู่ในประเภทเพลงเกร็ด หมายถึง เพลงที่ไม่ได้เรียบเรียงเข้าเป็นชุดต่างๆ เช่น เพลงเรื่อง เพลงตับ เพลงเถา ใช้สำหรับบรรเลงในเวลาสั้นๆ
๒. เพลงบรรเลง หมายถึง เพลงที่ใช้ดนตรีล้วนๆ ไม่มีการร้องหรือเจรียงประกอบ แบ่งออกเป็น
เพลงโหมโรง เพื่อเป็นการไหว้ครูหรือระลึกถึงครูบาอาจารย์ นอกจากนี้เมื่อเพลงโหมโรงเป็นการประกาศให้ทราบว่า จะมีการแสดงหรือมีมหรสพ การโหมโรงยังเป็นการเตรียมตัวในการบรรเลงเพลงต่อไป เพลงโหมโรงในวงมโหรีของคณะบ้านภูมิโปน –บ้านดม เช่น เพลงหัวคำปัน เป็นเพลงที่ใช้สำหรับขบวนแห่ไม่มีเนื้อร้อง
เพลงหน้าพาทย์ ชาวไทยเขมรจะเรียกว่าเพลง “ประพาทย์”หรือ “หน้าพาทย์”ในวงมโหรีคณะบ้านภูมิโปน –บ้านดม จะบรรเลงเพลงกล่อม เพลงต้นฉิ่ง ฯลฯ ซึ่งจะเห็นว่าเป็นเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้บรรเลงประกอบอากับกิริยา อารมณ์ ของตัวละครที่ทางภาคกลางนำมาใช้หรือใช้สำหรับนาฏศิลป์จากราชสำนัก เพลงหน้าพาทย์ดังกล่าว ชาวบ้านภูมิโปน –บ้านดม นำมาใช้บรรเลงในพิธีมงคลต่างๆ ทั้งด้านเกี่ยวกับศาสนา หรือในพิธีเชิญครู อาจารย์ ให้มาร่วมในพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ ลักษณะของเพลงหน้าพาทย์จะมีทำนองและจังหวะกำหนดเป็นแบบแผน ไม่มีบทร้อง เป็นการบรรเลงดนตรีอย่างเดียว
บรรณานุกรม
เติม วิภาคย์พจนกิจ. ประวัติศาสตร์อีสาน. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๐.
ปฐม คเนจร(หม่อมอมร วงศ์วิจิตร), ม.ร.ว. ประชุมพงศาวดารภาค ๔. กรุงเทพฯ : ก้าวหน้า, ๒๕๐๗.
วิทยาลัยครูสุรินทร์ เอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการ เรื่องเพลงพื้นบ้านและการละเล่นพื้นบ้านจังหวัดสุรินทร์. สุรินทร์: วิทยาลัยครูสุรินทร์, ๒๕๒๖.
สุรินทร์, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เอกสารประกอบการประชุมคณะทำงานทางวิชาการจัดทำข้อมูลการจัดแสดงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์. เอกสารอัดสำเนา.
พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ได้จัดพิมพ์ในเล่มนี้ เป็นพระบรมราโชวาทซึ่งมีไปพระราชทานพระบรมโอรสาธิราช ขณะประทับศึกษาอยู่ ณ ต่างประเทศภาคหนึ่ง และอีกภาคหนึ่งเป็นพระบรมราโชวาททรงมีพระราชทานพระเจ้าลูกยาเธอ เนื่องในโอกาสเสด็จออกไปศึกษาวิชา ณ ต่างประเทศ เมื่อพุทธศักราช 2428 พระบรมราโชวาทภาคหลังนี้แม้จะทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเฉพาะสำหรับแนะนำสั่งสอนพระเจ้าลูกยาเธอในกาละหนึ่ง แต่เนื้อความล้วนเป็นคติสอนใจที่เป็นผลได้แก่ผู้อ่านทั่วไป โดยเฉพาะกุลบุตร กุลธิดา ซึ่งกำลังอยู่ในวัยเรียน ทั้งที่ศึกษาอยู่ในบ้านเมืองของเรา และที่ออกไปศึกษาอยู่ ณ ต่างประเทศ ส่วนพระบรมราโชวาทภาคแรกนั้น นอกจากเนื้อความอันเป็นคติสอนใจที่ดีเยี่ยมแล้ว ผู้อ่านยังได้มีโอกาสทราบถึงความจริงในพระราชหฤทัยของพระองค์ที่ทรงมีต่อการดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขของชาติ รวมทั้งความห่วงใยที่พระองค์มีต่อพระบรมราชโอรส ซึ่งจะเป็นผู้สืบต่อตำแหน่งพระมหากษัตริย์นั้นด้วย
วันพุธที่ ๑ เมษายน. ๒๕๕๘ ที่ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาการเกษตรอ่างเก็บน้ำห้วยไฟอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หมู่ที่ ๑๑ ตำบลภูซาง อำเภอเมืองภูซาง จังหวัดพะเยา หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา ได้จัดนิทรรศการ และร่วมวาง พานพุ่มดอกไม้สดต่อหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเนื่องโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษา ๒๕๕๘ และ
วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน 2560 หัวหน้าหอสมุดแห่งชาติฯ กาญจนบุรี และเจ้าหน้าที่ ได้ร่วมทำกิจกรรม Big Cleaning Day” ณ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก กาญจนบุรี เพื่อผู้ใช้บริการได้บรรยากาศดี สถานที่สะอาด นั่งอ่านหนังสือสบายตา และรับความร่มรื่นจากธรรมชาติ
สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ โดยกลุ่มแปลและเรียบเรียง ได้จัดพิมพ์หนังสือบันทึกการเดินทางสำรวจประเทศสยาม โดยเจมส์ แมคคาร์ธี ซึ่งเป็นผลงานการแปลและเรียบเรียงของนางพรพรรณ ทองตัน นักอักษรศาสตร์ชำนาญการพิเศษ จำหน่ายในราคาเล่มละ ๒๗๐ บาท หนังสือเรื่องนี้เป็นผลงานของนายเจมส์ แมคคาร์ธี มีเนื้อหาส่วนใหญ่กล่าวถึงการเดินทางสำรวจ พื้นที่ เขตแดน และสถานที่ต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักรสยาม อาทิ คาบสมุทรมลายู เชียงใหม่ เชียงราย หัวเมืองภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตลอดจนถึงเมืองเวียงจันทน์ หลวงพระบาง ฯลฯ เขาได้บันทึกข้อมูลเรื่องราว จากประสบการณ์ที่ได้พบเห็นไว้อย่างละเอียด เช่น ได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์สู้รบ เพื่อปราบฮ่อที่ทุ่งเชียงคำใน พ.ศ. ๒๔๒๘ ได้เข้าพบสนทนากับบุคคลสำคัญ ในสถานที่ต่าง ๆ ได้พบเห็นสภาพบ้านเมือง ขนบธรรมเนียมประเพณีและชีวิต ความเป็นอยู่ของผู้คนในสถานที่เหล่านั้น ตลอดจนสอดแทรกเกร็ดความรู้ ในเรื่องความเชื่อและแนวความคิดของผู้คนในแต่ละท้องถิ่นที่มีวัฒนธรรม แตกต่างกัน ฯลฯ รวมทั้งมีภาพประกอบจำนวนมาก ผู้สนใจสามารถติดต่อซื้อหนังสือผ่านระบบขายหนังสือกรมศิลปากรออนไลน์ ทางเว็บไซต์ http://bookshop.finearts.go.th จำหน่ายเล่มละ ๒๗๐ บาท (ไม่รวมค่าจัดส่ง) หรือซื้อได้ที่ร้านหนังสือกรมศิลปากร ชั้น ๑ ภายในอาคารกรมศิลปากร (เทเวศร์) เขตดุสิต กรุงเทพฯ สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐๘ ๑๖๕๙ ๕๓๕๙ (คุณคูณ)
รายงานการเดินทางไปราชการประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ตามโครงการจัดทำแผนแม่บทอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเสมา จังหวัดนครราชสีมา
สมเดช ลีลามโนธรรม
นักโบราณคดีชำนาญการ
สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครราชสีมา ดำเนินการโครงการจัดทำแผนแม่บทอนุรักษ์และพัฒนาเมืองโบราณเสมา จังหวัดนครราชสีมา โดยว่าจ้างคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และนฤมิตศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นผู้ศึกษา ซึ่งแนวทางการศึกษาได้กำหนดให้มีการศึกษาดูงานโบราณสถานในต่างประเทศ ๑ ครั้ง และในประเทศ ๑ ครั้ง เพื่อให้คณะทำงานและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับความรู้และเข้าใจการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานและเมืองโบราณของประเทศใกล้เคียงและภายในประเทศ
คณะทำงานและผู้ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย
๑. ข้าราชการและเจ้าหน้าที่จากสำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครราชสีมา และสำนักโบราณคดี กรมศิลปากร
๒. คณะอาจารย์และเจ้าหน้าที่จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
๓. ข้าราชการจากหน่วยงานในจังหวัดนครราชสีมา
๔. ผู้แทนชุมชนเมืองโบราณเสมา
การศึกษาดูงานโบราณสถานในต่างประเทศ กำหนดให้มีการศึกษาโบราณสถานในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ระหว่างวันที่ ๕ – ๗ มีนาคม ๒๕๕๘ โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
๑. จัดทำแผนการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองโบราณเสมา จังหวัดนครราชสีมา
๒. ศึกษาโบราณสถานปราสาทวัดพูและเมืองโบราณเศรษฐปุระ ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับชุมชนโบราณในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และเป็นโบราณสถานที่ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(UNESCO)
๓. ศึกษาการอนุรักษ์และการบริหารจัดการโบราณสถานปราสาทวัดพูและเมืองโบราณเศรษฐปุระในฐานะของแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม
กิจกรรมหลักของการปฏิบัติราชการ
๑. ศึกษาดูงานการอนุรักษ์และบริหารจัดการโบราณสถานปราสาทวัดพูและเมืองโบราณเศรษฐปุระ แขวงจำปาสัก ทางตอนใต้ของประเทศลาว โดยคณะได้เข้าพบและฟังการบรรยายประวัติ ที่มา แนวคิด การอนุรักษ์และการบริหารจัดการแหล่งมรดกโลก จากนายบุนลับ แก้วกันยา(Bonlap Keokangna) ผู้อำนวยการห้องการคุ้มครองมรดกโลกจำปาสักวัดพู กระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว
๒. ศึกษาดูงานโบราณสถานวัดพู เมืองโบราณเศรษฐปุระ เมืองจำปาสักเก่า ซึ่งแบ่งออกได้เป็น ๒ กลุ่ม ได้แก่ โบราณสถานประเภทวัด เช่น วัดเชียงทอง พระธาตุภูศรี วัดวิชุนราช วัดใหม่สุวรรณภูมาราม เป็นต้น และโบราณสถานประเภทอาคารที่พักอาศัยซึ่งเป็นอาคารเก่าสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงที่ประเทศฝรั่งเศสปกครองประเทศลาว ชมพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง
๓. ศึกษาภูมิประเทศและสภาพทางธรรมชาติ ได้แก่ น้ำตกคอนพะเพ็ง น้ำตกหลี่ผี
๔. สัมมนาเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ การอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเสมา จากการศึกษาเปรียบเทียบกับการอนุรักษ์และบริการจัดการโบราณสถานของรัฐบาลลาวที่ปราสาทวัดพูและเมืองโบราณเศรษฐปุระ
สาระสำคัญของการศึกษาดูงาน สรุปได้ดังนี้
๑. การศึกษาโบราณสถานโบราณสถานวัดพู เมืองโบราณเศรษฐปุระ เมืองจำปาสักเก่า ประเทศลาว ทำให้คณะทำงานได้รับความรู้ใหม่ๆ เข้าใจและเห็นภาพของชุมชนและโบราณสถานในวัฒนธรรมเขมรโบราณที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมเขมรโบราณในภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย จากร่องรอยหลักฐานและรูปแบบของโบราณสถานที่หลงเหลืออยู่ การใช้พื้นที่ และการใช้งานที่ยังคงต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน หลักและแนวความคิดในการอนุรักษ์โบราณสถานของรัฐบาลลาว ยังคงรักษารูปแบบความเป็นของแท้ดั้งเดิม การให้ความเคารพศรัทธาในฐานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งสำคัญทางจิตใจของประชาชนที่มีส่วนช่วยในการดูแลรักษาโบราณสถาน
๒. โบราณสถานวัดพู เมืองโบราณเศรษฐปุระ ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี ค.ศ.๒๐๐๑(พ.ศ.๒๕๔๔) โดยรัฐบาลลาวได้เสนอความสำคัญตามหลักเกณฑ์ ๕ ข้อ ดังนี้
ข้อ ๑ แสดงถึงอัจฉริยะภาพในการสร้างสรรค์ของมนุษยชาติ
ปราสาทวัดพูมีการวางผังที่เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนากับภูมิทัศน์ทางธรรมชาติ เป็นผลงานสร้างสรรค์ทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมชั้นเลิศ เป็นหลักฐานที่ที่สมบูรณ์ที่แสดงให้เห็นการตั้งถิ่นฐานในรูปแบบของเมืองยุคแรกๆของภูมิภาค
ข้อ ๒ นำเสนอจุดเปลี่ยนที่สำคัญของคุณค่าของมนุษย์ผ่านกาลเวลาหรือในพื้นที่วัฒนธรรมของโลก บนพัฒนาการทางสถาปัตยกรรมหรือเทคโนโลยี, อนุสรณ์สถาน, การวางผังเมืองหรือการออกแบบภูมิทัศน์
ภูมิทัศน์ของที่ราบจำปาสักแสดงให้เห็นถึงการวางผังเมืองโบราณ, เทคนิคทางวิศวกรรม, การใช้พื้นที่ที่สะท้อนให้เห็นความเชื่อทางศาสนา การใช้พื้นที่เพื่อการเกษตรกรรม การดำรงชีวิตของชาวเมือง สถาบันทางสาสนาและชนชั้นสูงของสังคม หลักฐานทางโบราณคดีแสดงให้เห็นถึงการขยายตัวและการวางผังเมืองเพื่อตอบสนองการใช้สอย โดยเมืองโบราณเศรษฐปุระเป็นเมืองโบราณที่ยังสามารถใช้ศึกษาในฐานะตัวแทนของเมืองที่การตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยในสมัยก่อนเมืองพระนครและสมัยเมืองพระนคร จึงจัดเป็นเมืองโบราณที่มีความสำคัญอย่างสูง นอกจากนี้การวางผังของเมืองยังแสดงให้เห็นการผสมผสานแนวความคิดทางศาสนาฮินดูและศรัทธาของพื้นที่เกี่ยวกับการนับถือน้ำและภูเขา
ข้อ ๓ เป็นหลักฐานแสดงความเป็นเอกลักษณ์อย่างน้อยในความไม่เหมือนใครถึงประเพณีวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ยังคงอยู่หรือสูญหายไปแล้ว
วัฒนธรรมเขมรเป็นวัฒนธรรมที่ทรงอิทธิพลมากในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งพื้นที่จำปาสักเป็นพื้นที่ที่แสดงให้เห็นภาพรวมของทุกองค์ประกอบทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ วิถีชีวิต ศรัทาในศาสนา และแนวคิดทางวัฒนธรรมการปกครองที่สุญหายไปแล้ว
ข้อ ๔ เป็นตัวแทนที่โดดเด่นของสถาปัตยกรรม รูปแบบอาคาร เทคโนโลยี ภูมิทัศน์ ซึ่งมีคุณค่าของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
ข้อ ๕ สามารถสัมผัสได้ของความสัมพันธ์ของเหตุการณ์สำคัญ ประเพณี แนวความคิด ความศรัทธา สุนทรีย์ และวรรณคดีที่มีคุณค่าโดดเด่น
พื้นที่จำปาสักแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมทางศาสนาฮินดูที่ส่งผลต่อแนวความคิด เทคนิคทางวิศวกรรมเพื่อการสร้างศาสนสถานให้สมบูรณ์ตามคติจักรวาล ซึ่งแนวความคิดได้ถูกนำเสนอในรูปของสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ มีการประยุกต์เอาลักษณะทางกายภาพของธรรมชาติ ความเชื่อทางศาสนา แรงบันดาลใจของคนดั้งเดิมในพื้นที่ วิทยาการ จนกลายเป็นมาตรฐานทางศิลปกรรมแห่งศตวรรษและพัฒนาคุณค่าทางสุนทรียศาสตร์
นอกจากนี้ ในปัจจุบันปราสาทวัดพูเป็นพุทธสถานที่สำคัญของชาวจำปาสักและลาวตอนใต้ ตลอดจนแนวความเชื่อเรื่องผีและสิ่งศักดิ์สิทิ์ก็ยังปรากฏร่วมกันในพื้นที่ วัดพูเป็นพื้นที่ทางจิตวิญญาณ เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชุมชนท้องถิ่นมาโดยตลอด
ซึ่งความสำคัญของวัดพูได้รับการพิจารณาและประเมินคุณค่าเข้าเกณฑ์ของมรดกโลก ๓ ข้อ ได้แก่
ข้อ ๓ เป็นเอกลักษณ์หรือเป็นหลักฐานสำคัญทางด้านขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม หรือทางด้านวิวัฒนาการของวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่กำลังจะหมดไป
ข้อ ๔ เป็นตัวอย่างลักษณะหรือรูปแบบของสิ่งก่อสร้าง การตกแต่งทางด้านสถาปัตยกรรมหรือทางเทคนิควิทยาการหรือเป็นภูมิทัศน์ซึ่งแสดงให้เห็นสถานภาพที่โดดเด่นทางด้านประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ข้อ ๕ เป็นตัวอย่างลักษณะที่เด่นชัด ที่เกี่ยวข้องกับขนบธรรมเนียมประเพณี การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ การใช้ประโยชน์ที่ดินทั้งบนบกและในทะเล ซึ่งเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมหรือปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ สิ่งแวดล้อมที่มีความเปราะบางหรือเสื่อมสลายได้ง่าย ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนะรรมที่ไม่สามารถกลับคืนดังเดิมได้
๓. การกำหนดเขตในการอนุรักษ์มรดกโลกวัดพู จำปาสัก กำหนดไว้ดังนี้
๑.เขตปกป้องรักษาวัดพู จำปาสัก มีเนื้อที่ ๓๙๐ ตารางกิโลเมตร
๒.เขตรักษาสภาพแวดล้อมทางศาสนา มีเนื้อที่ ๙๒ ตารางกิโลเมตร
๓.เขตอนุรักษ์เพื่อดำเนินการศึกษาค้นคว้าด้านโบราณคดี มีเนื้อที่ ๒๑ ตารางกิโลเมตร
๔.เขตอนุรักษ์คุ้มครองอย่างเข้มข้น มีเนื้อที่ ๒.๘๕ ตารางกิโลเมตร
๔. แนวทางการบริหารจัดการโบราณสถานของรัฐบาลลาว
๔.๑ การดำเนินการต่างๆ เช่น การเสนอชื่อเพื่อขึ้นเป็นมรดกโลก แผนปฏิบัติการ ทางรัฐบาลยังได้ให้ความสำคัญกับประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณา สร้างความร่วมมือกับประชาชน มีการประชุมร่วมกัน โดยรัฐบาลดำเนินการบริหารจัดการโบราณสถาน และให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในด้านการบริการ เช่น ร้านค้า ห้องน้ำ
๔.๒ การอนุรักษ์เมืองโบราณเศรษฐปุระและปราสาทวัดพู
เมืองโบราณเศรษฐปุระเป็นเมืองในวัฒนธรรมเขมรสมัยก่อนเมืองพระนคร ที่เรียกกันว่า เจนละ สันนิษฐานว่าตั้งขึ้นเมื่อราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ตัวเมืองมีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด ๑.๘ x ๒.๔ กิโลเมตร มีกำแพงเมืองที่ก่อด้วยดิน ๒ ชั้น เมืองโบราณแห่งนี้ ในปัจจุบันมีการตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยร่วมอยู่ด้วย การอยู่อาศัยของชุมชนที่ซ้อนทับกับเมืองโบราณ ทางรัฐบาลจึงการกำหนดระเบียบการใช้พื้นที่ เพื่อการอนุรักษ์และคุ้มครองโบราณสถาน โดยคำนึงถึงประชาชนที่อยู่อาศัย และการสร้างสิ่งปลูกสร้างใหม่จะต้องได้รับการตรวจสอบจากรัฐบาลก่อน ปัจจุบันมีการสร้างถนนสายใหม่เพื่อรองรับการท่องเที่ยวและลดจำนวนรถจากถนนสายเดิมที่ผ่านเข้าไปในตัวเมืองโบราณ
ถัดจากเมืองเศรษฐปุระไปทางทิศตะวันตก เป็นที่ตั้งของปราสาทวัดพูซึ่งตั้งอยู่ที่ลาดเชิงเขาภูเก้า นักวิชาการสันนิษฐานว่าปราสาทหลังนี้สร้างขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๗ และมีการสร้างต่อเนื่องมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ อย่างไรก็ตามบริเวณวัดพู อาจมีการใช้พื้นที่หรือให้ความสำคัญเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เป็นต้นมา
๔.๓ สร้างความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส อินเดีย เกาหลีใต้ ในการศึกษาทางโบราณคดี การวางแผนในการคุ้มครองและพัฒนาโบราณสถาน การบูรณะโบราณสถาน รวมทั้งการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ในการบูรณะโบราณสถาน
๔.๔ การบูรณะโบราณสถานใช้เทคนิคเดิมผสมผสาน เช่น ใช้สิ่วสกัดหินทรายเพื่อให้ปรากฏร่องรอยเหมือนในอดีต
๕. การจัดแสดงโบราณวัตถุที่พบจากปราสาทวัดพูในอาคารสำนักงานมรดกโลก มีความเรียบง่าย คำบรรยายไม่มาก แต่โบราณวัตถุและที่จัดแสดง เช่น ประติมากรรม ชิ้นส่วนสถาปัตยกรรม ก็ให้ข้อมูลด้านโบราณคดีและวัฒนธรรมเขมรเป็นอย่างมาก และมีข้อปฏิบัติห้ามถ่ายภาพโบราณวัตถุ และมีข้อสังเกตประการหนึ่งว่า บริเวณอาคารสำนักงานและโบราณสถานวัดพูจะไม่ปรากฏตราสัญลักษณ์มรดกโลกมากนัก
๖. การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ได้มีการรวบรวมข้อมูล ความคิดเห็น มุมมอง และประสบการณ์ของคณะทำงานจากทั้งหน่วยงานของกรมศิลปากร สถาบันการศึกษา หน่วยงานในจังหวัดนครราชสีมาและท้องถิ่น ในด้านการอนุรักษ์ การบริหารจัดการโบราณสถานประเภทชุมชนและเมืองโบราณ ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้จะใช้เป็นแนวทางหนึ่งในการจัดทำแผนแม่บทที่กำลังดำเนินการ
ข้อเสนอแนะ
การศึกษาโบราณสถานในพื้นที่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์หรือมีรูปแบบที่คล้ายคลึงกับโบราณสถานเมืองเสมา เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เนื่องจากคณะทำงานจะได้เข้าใจลักษณะ รูปแบบของโบราณสถาน การอนุรักษ์ การพัฒนาโบราณสถานที่มีรูปแบบและวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน รวมทั้งวิธีการอนุรักษ์และบริหารจัดการโบราณสถานที่มีทั้งส่วนที่เหมือนและแตกต่างกัน