ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ
ประเพณีหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับประเพณีทานหลัวหิงไฟพระเจ้า คือ ประเพณีทานข้าวใหม่ ซึ่งนิยมจัดงานในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสี่ภาคเหนือ หรือเดือนยี่ภาคกลาง (ประมาณเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม) เช่นเดียวกับประเพณีทานหลัวหิงไฟพระเจ้าซึ่งเคยนำเสนอไปแล้ว อาจกล่าวได้ว่าเป็นประเพณีที่สืบเนื่องกัน เมื่อชาวบ้านได้ยินสัญญาณที่เกิดจากไม้ไผ่ระเบิด ก็จะจัดเตรียมอาหารไปทำบุญที่วัด และมีการประกอบประเพณีทานข้าวใหม่ คือการนำข้าวใหม่หลังการเก็บเกี่ยวมาถวายพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ก่อนที่ตนเองจะนำไปบริโภค แสดงถึงความนอบน้อมคารวะต่อศาสนาพุทธที่เป็นที่พึ่งทางใจและเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว อาหารที่นำไปใช้ในประเพณีทานข้าวใหม่ในช่วงเช้าของวันเพ็ญเดือนสี่ คือ ข้าวจี่ เป็นข้าวเหนียวที่นึ่งสุกปั้นติดกับปลายไม้ไผ่แล้วนำมาปิ้งไฟ อาจโรยเกลือเพื่อเพิ่มรสชาติ หรือชุบไข่ให้หอมอร่อยยิ่งขึ้น แล้วนำไปถวายพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ โดยอาจปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ ใส่กระทงแล้ววางถวายหน้าพระพุทธรูปในวัด หรือนำไปใส่บาตรของพระสงฆ์ บางทีก็มีการทำข้าวหลามมาถวายด้วย บางวัดจัดพิธีกวนข้าวมธุปายาสที่บางแห่งนิยมเรียกว่า “ข้าวทิพย์” ซึ่งข้าวมธุปายาส คือ ข้าวหุงด้วยน้ำนมเจือน้ำผึ้ง ใช้เป็นของหวานในงานรื่นเริง ข้าวที่นิยมนำมาใช้ในพิธีกวนข้าวมธุปายาสเป็นข้าวใหม่หลังการเก็บเกี่ยว การจัดพิธีนี้เพื่อให้คล้ายคลึงกับพุทธตำนานที่นางสุชาดากวนข้าวทิพย์ถวายพระพุทธเจ้าก่อนการตรัสรู้ธรรม การถวายข้าวทิพย์นิยมทำเป็นก้อนจำนวน ๔๙ ก้อนเช่นเดียวกับที่นางสุชาดาถวายพระพุทธเจ้า หลังจากพิธีกวนข้าวทิพย์ บางวัดจะมีการทำพิธีสวดเบิกอบรมสมโภชพระพุทธรูปองค์เดิมที่อยู่ที่วัด หรือเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นใหม่ ปัจจุบันเรียกว่า พิธีพุทธาภิเษกนอกจากนี้ยังมีประเพณีทานข้าวล้นบาตร คือ การที่ชาวบ้านนำผลผลิตข้าวที่ได้ในปีนั้น ๆ มาถวายพระรัตนตรัยและให้แก่พ่อแม่ปู่ย่าตายายผู้ที่มีพระคุณได้รับประทานก่อน สำหรับการถวายข้าวแก่พระรัตนตรัยนั้น ชาวบ้านจะนำข้าวสารและข้าวเปลือกไปถวายวัดโดยกองไว้ที่หน้าพระประธานในวิหาร ที่หน้าพระประธานจะปูเสื่อไว้ ๒ จุด เพื่อแยกเป็นข้าวเปลือก ๑ กอง ข้าวสาร ๑ กอง แต่ละจุดจะมีบาตรตั้งไว้ตรงกลาง ชาวบ้านจะนำข้าวของตนมาใส่ในบาตร เมื่อข้าวกองสูงมากขึ้นจะมีผู้นำบาตรจากข้างล่างมาวางบนกองข้าว เมื่อข้าวเต็มบาตรข้าวจะล้นออกมา จึงเป็นที่มาของชื่อประเพณีว่า “ประเพณีทานข้าวล้นบาตร” บางแห่งเรียกว่า “ประเพณีดอยข้าว” เพราะกองข้าวจะสูงคล้ายภูเขา เมื่อเสร็จพิธีการที่วัด ชาวบ้านจะนำสำรับกับข้าวไปมอบให้กับพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่อยู่ต่างเรือนเป็นการแสดงความกตัญญู ในส่วนของข้าวที่วัดได้รับจากชาวบ้าน คณะกรรมการวัดจะแบ่งข้าวสารส่วนหนึ่งไว้ที่วัดเพื่อใช้นึ่งหรือหุงเลี้ยงพระภิกษุสามเณร และอีกส่วนหนึ่งจะนำไปขายเพื่อนำปัจจัยเข้าวัด ประเพณีนี้จึงเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาด้วยการนำผลผลิตมาถวายให้วัดภาพประกอบ : ประเพณีทานหลัวหิงไฟพระเจ้า และประเพณีทานข้าวล้นบาตรหรือประเพณีดอยข้าว วัดห้วยริน ตำบลช่างเคิ้ง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ที่มาของภาพประกอบ : นายศักดิ์นรินทร์ ชาวงิ้วนางสาวรุ่งนภา สงวนศักดิ์ศรี นักอักษรศาสตร์ปฏิบัติการ กลุ่มจารีตประเพณี สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ ค้นคว้าเรียบเรียง
วัดสิงห์เป็นโบราณสถานที่ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองทางด้านทิศเหนือในเขตอรัญญิกของเมืองกำแพงเพชร แผนผังของตัววัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หันหน้าไปทางทิศตะวันออก สิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ภายในวัดใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง สิ่งก่อสร้างที่สำคัญของวัดประกอบด้วยพระอุโบสถ เป็นอาคารที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพื้นที่ผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีฐานชั้นล่างที่รองรับอาคารด้านบนเป็นแบบฐานบัวลูกแก้วอกไก่ มีผนังด้านข้างก่อด้วยศิลาแลงสูง ๐.๙๐ เมตร บริเวณชานชาลาด้านทิศตะวันออกของฐานชั้นล่าง ปรากฏแท่นประดับประติมากรรมปูนปั้นรูปสิงห์และทวารบาล ปัจจุบันคงเหลือเฉพาะโกลนศิลาแลงของประติมากรรม บนลานประทักษิณมีฐานเสมาสำหรับปักใบเสมาหินชนวนจำนวน ๘ ฐาน ล้อมรอบลานดังกล่าว ใบเสมาหินชนวนมีการสลักลวดลายพันธุ์พฤกษาในกรอบรูปสามเหลี่ยม ที่ขอบใบเสมาแกะสลักเป็นแถวลายกระหนกปลายแหลม ปัจจุบันจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร ถัดขึ้นไปจากลานประทักษิณเป็นฐานอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีมุขทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ภายในอาคารปรากฏแท่นอาสน์สงฆ์ที่แนวผนังอาคารด้านทิศใต้และมีแท่นชุกชีที่ใช้ประดิษฐานพระพุทธรูปในอิริยาบถประทับนั่ง เจดีย์ประธานอยู่ถัดจากพระอุโบสถไปทางด้านทิศตะวันตก เป็นเจดีย์บนฐานสี่เหลี่ยม มีลักษณะเป็นฐานหน้ากระดานสี่เหลี่ยมต่อด้วยชั้นฐานบัว ที่ฐานสี่เหลี่ยมตอนล่างทำเป็นซุ้มเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปยื่นออกมาทั้ง ๔ ทิศ องค์เจดีย์ก่อด้วยอิฐ ส่วนยอดเจดีย์หักพังทลายไป จากการศึกษารูปทรงเดิมขององค์เจดีย์จากหลักฐานที่เป็นภาพถ่ายเก่าและหลักฐานจากการขุดแต่งทางโบราณคดีบริเวณฐานเจดีย์ได้พบชิ้นส่วนของบัวปากระฆัง จึงสันนิษฐานได้ว่ารูปทรงเดิมของเจดีย์ประธานวัดสิงห์เป็นเจดีย์ทรงระฆังบนฐานสี่เหลี่ยม ที่มีการเพิ่มฐานสี่เหลี่ยมให้ซ้อนลดหลั่นกันหลายชั้น คล้ายกับเจดีย์ประธานของวัดกำแพงงามในเขตอรัญญิกเมืองกำแพงเพชร “วัดสิงห์” จึงเป็นโบราณสถานอีกแห่งหนึ่งในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรที่มีความสำคัญยิ่ง จากหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความปราดเปรื่องในสรรพวิชางานช่างฝีมือที่ปรากฏให้เห็นในด้านสถาปัตยกรรม ล้วนแล้วแต่เป็นประจักษ์พยานของความเจริญรุ่งเรืองในอดีตของแผ่นดินเมืองกำแพงเพชรได้เป็นอย่างดี. -----------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : อุทยานประวัติศาสตร์ กำแพงเพชร-----------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. นำชมอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร. กรุงเทพฯ: บริษัทบางกอก อินเฮ้าส์จำกัด, ๒๕๖๑. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปกรรมโบราณในอาณาจักรสุโขทัย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มิวเซียมเพรส, ๒๕๖๑. อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร. รายงานการขุดแต่งโบราณสถาน วัดสิงห์. ม.ป.ท., ๒๕๒๕.
ชื่อผู้แต่ง พระศาสนโสภน
ชื่อเรื่อง ไตรวุฒิกับความคุ้นเคย
ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ ๑
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์การพิมพ์พานิช
ปีที่พิมพ์ ๒๔๙๕
จำนวนหน้า ๔๘ หน้า
หมายเหตุ พิมพ์เป็นธรรมบรรณาการอุทิศแด่ นายดรุณ ณ ระนอง ในการฌาปนกิจที่วัดตรังคภูมิพุทธาวาส จังหวัดตรัง วัน ที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๕
หนังสือเรื่องไตรวุฒิกับความคุ้นเคย เล่มนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับสังคม ความสามัคคี ความอยู่เย็นเป็นสุข และความเจริญ ๓ ประการ
เลขทะเบียน : นพ.บ.143/13ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 50 หน้า ; 5 x 52 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 86 (346-361) ผูก 13 (2564)หัวเรื่อง : ธมฺมปปทวณฺณนา ธมฺปฎฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฐกถา (ธรรมบท)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อผู้แต่ง หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร
ชื่อเรื่อง สนทนาเรื่องพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งแรก
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพ
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ปีที่พิมพ์ 2510
จำนวนหน้า 64 หน้า
หมายเหตุ จัดพิมพ์มาจากกิจกรรมในวาระครบรอบพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ครบ ๒00 ปี ในปี พ.ศ.๒๕๑0
เป็นหนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นจากการจัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นเอกอัครกวีและศิลปินเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑0 ซึ่งเป็นปีก่อนวันพระราชสมภพครบ ๒00 ปี ซึ่งจัดโดยหอสมุดแห่งชาติโดยมีร่วมเสวนาดังนี้
ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ศาสตราจารย์กุหลาบ มัลลิกะมาสและศาสตราจารย์แม้นมาส ชวลิต
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.13/1-4
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เรือเอกไชยเหินหาวและเรือเอกไชยหลาวทอง
ชื่อเรือทั้ง ๒ ลำนี้ปรากฏในสมุดภาพริ้วกระบวนแห่พยุหยาตราทางชลมารคสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.๒๑๙๙-๒๒๓๑) ต้นฉบับเป็นหนังสือสมุดไทยของหอสมุดแห่งชาติ ต่อมาในหนังสือตำนานเรือรบไทย เรียบเรียงโดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวถึงเรือพระที่นั่งซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (พ.ศ.๒๓๒๕-๒๓๕๒) โปรดให้สร้างขึ้นใหม่ ปรากฏชื่อเรือเอกไชยเหินหาวและเรือเอกไชยหลาวทอง เป็นเรือกระบวนปิดทอง อย่างไรก็ดี เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒ เรือทั้ง ๒ ลำได้รับความเสียหายจากระเบิดทางอากาศยาน กรมศิลปากรและกองทัพเรือจึงได้ร่วมกันสร้างเรือทั้ง ๒ ลำขึ้นใหม่ โดยกล่าวถึงในประวัติเรือพระราชพิธี ซึ่งนาวาเอกอัญเชิญ นิทธยุ ได้รวบรวมไว้เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๕ ว่า “ในคราวพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ ๙) เสด็จฯ ถวายผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตราชลมารค พ.ศ.๒๕๑๐ ได้ใช้เรือเอกชัยเหิรหาวทอดพระที่นั่งกง ประดับด้วยพระอภิรุมเป็นเรือพระที่นั่งรอง ทั้งนี้เนื่องจากเรืออเนกชาติภุชงค์ชำรุด ไม่ปลอดภัยในการนำลงน้ำและเข้าริ้วกระบวน โดยเรือเอกชัยเหิรหาวลำปัจจุบันนี้ ต่อใหม่ที่กรมอู่ทหารเรือเมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ ลงน้ำ ๑๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๐”
เรือทั้ง ๒ ลำ ประดับตกแต่งด้วยการเขียนลายรดน้ำลงรักปิดทองรูปเหรา (เห-รา) ซึ่งเป็นสัตว์ในตำนานที่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์เชิงเขาพระสุเมรุ มีลักษณะผสมระหว่างมังกรกับพญานาค หัวเรือเป็นรูปดั้งเชิดสูงขึ้นสอดคล้องกับชื่อเรือ ปัจจุบันพบการสะกดชื่อเรือเป็นสองแบบตามที่ปรากฏในเอกสาร และมีการสะกดคำว่า เหิร เป็น เหิน ตามหลักไวยากรณ์ภาษาไทย (แต่ยังคงความหมายเดิม)
เอกไชยเหินหาว แปลว่า ความเจริญความดีเลิศทะยานสู่ท้องฟ้า หากเขียนเป็น เอกชัยเหินหาว แปลว่า ชัยชนะสูงสุดทะยานสู่ท้องฟ้า
เอกไชยหลาวทอง แปลว่า เรือทองที่บรรจงสร้าง (โดยการหลาวหรือเหลา) เพื่อความเจริญและความดีเลิศ หากเขียนเป็น เอกชัยหลาวทอง แปลว่า เรือทองที่บรรจงสร้าง (โดยการหลาวหรือเหลา) เพื่อชัยชนะ
ปัจจุบันเรือเอกไชยเหินหาวและเรือเอกไชยหลาวทองใช้เป็นเรือคู่ชัก จัดอยู่ในริ้วที่ ๒ และริ้วที่ ๔ ขนาบข้างเรือพระที่นั่ง เรือทั้ง ๒ ลำมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก แต่สามารถสังเกตความแตกต่างได้ คือ บนเรือเอกไชยเหินหาวจะมีกระบอกสำหรับปักพระอภิรุม ซึ่งประกอบด้วย ฉัตร ๗ ชั้น ฉัตร ๕ ชั้น ฉัตรชุมสาย (ฉัตร ๓ ชั้น) ซึ่งจะไม่พบบนเรือเอกไชยหลาวทอง ทั้งนี้เนื่องจากเรือเอกไชยเหินหาวเคยใช้เป็นเรือพระที่นั่งรองในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เสด็จพระราชดำเนินในพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามฯ เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๑๐ มาก่อน ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว