ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ
กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอดสด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน “เอกสารจดหมายเหตุชุดสำคัญในภาคใต้ของไทย” วิทยากร นางนิภา สังคนาคินทร์ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา, นายธีราธร ชมเชย หัวหน้าหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ตรัง, นางภารดี สุภากาญจน์ หัวหน้าหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ สงขลา และนางสาวอาภาพร ภควัตชัย หัวหน้าหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ยะลา ผู้ดำเนินรายการ นายสิทธิพร บุปผา นักวิชาการเผยแพร่ กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น.
ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และ Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ร่วมกับกับกลุ่มศิลปินอาร์ตทอยศาลาอันเต เปิดตลาดอาร์ตทอยในสวน (Art Toys Market in the Garden) ทุกวันอาทิตย์สิ้นเดือน เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ณ หออนุสรณ์เจ้าพระยายมราช (แก้ว สิงหเสนี) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พบกับตลาดอาร์ตทอยในสวน วันเสาร์ - อาทิตย์ที่ ๒๖ - ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๖ พิเศษสำหรับเดือนสิงหาคม เนื่องจากวันที่ ๘ สิงหาคม เป็นวันแมวโลกหรือวันแมวสากล โดยมีกิจกรรมหลากหลาย ทั้งอาร์ตทอย เวิร์กชอป และนิทรรศการน่ารักๆ รับรองว่าถูกใจทาสแมวทาสหมาแน่นอน รวมทั้งยังมีพี่น็อต ขายหัวเราะ มาร่วมกิจกรรมอีกด้วย
รวงข้าว 9 รวง
ลักษณะ : เป็นรวงข้าว 9 รวงแรกที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัววชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเกี่ยวข้าวเป็นปฐมฤกษ์ เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินทรงเกี่ยวข้าวด้วยพระองค์เอง ณ บึงไผ่แขก อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2529
แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/thaifarmersnational/360/model/07/
ที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/thaifarmersnational
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ขอเชิญเที่ยวชมตลาดอาร์ตทอยในสวน Art Toys in the Garden วันศุกร์ - อาทิตย์ที่ ๑๕ - ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๖เวลา ๐๙.๐๐ น. - ๒๐.๐๐ น. ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เดือนนี้กิจกรรมมาเร็วกว่าปกติ เนื่องจากรวมอยู่ในกิจกรรมยลวังหน้ายามค่ำ Night at the Museum และร่วมกับกิจกรรม Night at the Museum Festival 2023 กับพิพิธภัณฑ์และศูนย์การเรียนรู้ต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย พบกับกาชาปองชุดพิเศษต้อนรับปีมะโรง “มังกรทอง” ชุดที่ ๑ จากสตูดิโอต่าง ๆ ในกลุ่มศิลปินศาลาอันเต (Sala Arte) และสินค้าอาร์ตทอยอีกมากมายอย่าลืมมาเลือกสรรเป็นของขวัญ ของฝากในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่กันนะคะ
---------------------------------------
หมายเหตุ :
- ท่านที่ได้รับของที่ระลึกจากเดือนที่ผ่านมา อย่าลืมมารับนะ
- ขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี กรมศิลปากร และ มูลนิธิสกุลสิงหเสนี
ชื่อเรื่อง ธมฺมปทวณณนา ธมฺมปทฏธํกถา ขุทฺทกนิกายฏธกถา (ธมฺมปท บั้นปลาย)ลบ.บ. 284/หมวดหมู่ พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 54 หน้า : กว้าง 5.3 ซม. ยาว 56.2 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคจากวัดท่าแค
-- องค์ความรู้จากเอกสารจดหมายเหตุ : จาก”เมืองพิไชย” สู่ “เมืองอุตรดิฐ” -- หากใครได้ศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของจังหวัดอุตรดิตถ์นั้นจะพบว่า จังหวัดอุตรดิตถ์หรือเมืองอุตรดิตถ์นั้นเดิมมีชื่อว่า “เมืองพิชัย” หรือ “เมืองพิไชย” ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงชื่อในภายหลัง การเปลี่ยนนามเมืองนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ และมีที่มาที่ไปอย่างไร ข้อมูลจากเอกสารจดหมายเหตุมีคำตอบ. เอกสารชุดกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 6 กระทรวงมหาดไทย ได้ปรากฏหนังสือฉบับหนึ่ง ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2458 ลงนามโดยพระยามหาอำมาตยาธิบดี (เส็ง วิรยศิริ) ผู้รั้งตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น กราบทูลพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงปราจิณกิติบดี ราชเลขานุการในพระองค์ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายร่างประกาศเปลี่ยนชื่อ “เมืองพิไชย” เป็น “เมืองอุตรดิฐ” (สะกดตามต้นฉบับ). เนื้อหาของร่างประกาศที่แนบมาพร้อมกับหนังสือฉบับนี้ เป็นการอธิบายถึงสาเหตุที่จำเป็นต้องเปลี่ยนนามเมือง โดยระบุว่า เดิมทีนั้นเมืองพิไชย (เทียบได้กับจังหวัดในปัจจุบัน) ตั้งศาลากลางเมืองอยู่เมืองพิไชยเก่า ต่อมาที่อำเภอเมืองอุตรดิฐมีความเจริญมากขึ้น เนื่องจากเป็นเมืองท่ารับส่งสินค้าจากมณฑลพายัพและหัวเมืองในลุ่มแม่น้ำโขง ราษฎรจึงย้ายไปตั้งบ้านเรือนและทำการค้าขายที่อำเภอเมืองอุตรดิฐเป็นจำนวนมาก ดังนั้นในปี พ.ศ. 2442 จึงย้ายศาลากลางเมืองพิไชยไปตั้งที่เมืองอุตรดิฐ โดยยังคงชื่อเมืองพิไชยอยู่ ส่วนที่เมืองพิไชยเก่านั้นกลายเป็น “อำเภอพิไชยเก่า” แต่ด้วยความที่คำว่า “พิไชย” นั้นเป็นทั้งชื่อเมืองและชื่ออำเภอ ย่อมอาจทำให้ราษฎรรวมถึงทางราชการเองเกิดความสับสนในการเรียกชื่อได้ ฉะนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามเมืองพิไชย เรียกว่าเมืองอุตรดิฐ ส่วนอำเภอพิไชยเก่านั้น โปรดเกล้าฯ ให้เรียกว่า “อำเภอเมืองพิไชย”. อนึ่ง ในร่างประกาศฉบับนี้ระบุว่าเดือนและปีที่ประกาศคือ เดือนสิงหาคม 2458 แต่มิได้ลงวันที่ประกาศ และลายมือชื่อผู้รั้งเสนาบดีไว้ ซึ่งจากการค้นคว้าเพิ่มเติมของผู้เขียน พบว่าประกาศฉบับนี้ได้รับการตีพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 32 โดยระบุวันที่ประกาศคือ 16 สิงหาคม 2458 และลงนามโดยพระยามหาอำมาตยาธิบดี จึงถือได้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของชื่อ “อุตรดิฐ” (อุตรดิตถ์) ในฐานะของเมืองหรือจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยมาจนถึงทุกวันนี้.ผู้เขียน: นายธัชพงศ์ พัตรสงวน (นักจดหมายเหตุปฏิบัติการ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา)เอกสารอ้างอิง: 1. สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารชุดกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 6 กระทรวงมหาดไทย ร.6 ม 3.2/28 เรื่อง เปลี่ยนนามเมืองพิชัย เป็นเมืองอุตรดิตถ์ [ 10 – 16 ส.ค. 2458 ].2. “ประกาศเปลี่ยนนามเมืองพิไชยเปนเมืองอุตรดิฐ.” (2458) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 32, ตอน ก (22 สิงหาคม): 178.#จดหมายเหตุ #องค์ความรู้จากจากจดหมายเหตุ #หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯพะเยา #เอกสารจดหมายเหตุ
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ได้จัดทำบทความสรุปย่อประเด็นตอบข้อหารือของหน่วยงาน เพื่อเป็นเอกสารเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.๒๕๔๐
สามารถอ่านได้ตามลิ้งนี้
https://www.oic.go.th/web2017/bookshell_consultations.htm?title=%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1&cid=40
#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่เจดีย์วัดพระธาตุดอยกองมู ตำบลจองคำ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอนวัดพระธาตุดอยกองมู เดิมมีชื่อเรียกว่า จองป๋ายหลอย หรือ วัดปลายดอย ตั้งอยู่บนยอด “ดอยกองมู” ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองแม่ฮ่องสอน กองมูเป็นภาษาไทใหญ่ แปลว่า พระเจดีย์ เพราะเชื่อกันว่าเขาลูกนี้มีลักษณะเหมือนเจดีย์ .ภายในวัดมีเจดีย์ที่สำคัญ 2 องค์ คือ เจดีย์องค์ใหญ่และเจดีย์องค์เล็ก ซึ่งกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้วในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 98 ตอนที่ 177 วันที่ 27 ตุลาคม 2524 หน้า 3690 รวมทั้งวิหารหลังคาทรงยวนที่อยู่ติดกันด้วย.เจดีย์องค์ใหญ่ สร้างเมื่อปีพุทธศักราช 2403 (จุลศักราช 1222) โดยศรัทธาผู้สร้างคือ คหบดีชื่อ จองต่องสู่ และนางเหล็ก ผู้เป็นภรรยา ภายในบรรจุพระธาตุของพระโมคัลลานะ ที่อัญเชิญมาจากเมืองมะละแหม่ง ประเทศพม่า ซึ่งมอบให้พระอูปั่นเต๊กต๊ะ ช่วยจัดหาพระธาตุสำหรับบรรจุภายในเจดีย์ให้ เมื่อก่อสร้างเสร็จเต็มองค์แล้ว เจดีย์มีฐานกว้างด้านละ 20 เมตร สูง 33 เมตร ต่อมาจองต่องสู่ได้จ้างช่างที่เมืองมะละแหม่งให้ทำยอดฉัตรเจดีย์ให้ แต่ว่าได้ถึงแก่ความตายเสียก่อนที่จะได้ทำพิธียกฉัตรและสมโภช หลังจากนั้นเจดีย์ได้พังลงเหลือเพียงส่วนฐานข้างล่างจากคอระฆังลงมา ปลายปีพุทธศักราช 2491 พระครูอนุสนธิศาสนากิจ เจ้าอาวาสวัดไม้ฮุง และคณะศรัทธา ได้ร่วมกันบูรณะใหม่ให้เต็มองค์และทำพิธียกฉัตรสมโภชเมื่อเดือนมีนาคม ปีพุทธศักราช 2493 ต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช 2511 มีการบูรณะเจดีย์โดยพระครูอนุสารสาสนกรณ์ (ปานนุ วิสุทโธ) เจ้าอาวาส พร้อมคณะศรัทธา ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเจดีย์ตั้งอยู่บนฐาน 8 เหลี่ยมซ้อนกันและสร้างซุ้มจระนำประดิษฐานพระพุทธรูปประจำวันเกิด 8 องค์ และทำพิธียกฉัตรสมโภชเมื่อปีพุทธศักราช 2514.เจดีย์องค์เล็ก สร้างเมื่อปีพุทธศักราช 2417 (จุลศักราช 1236) โดยศรัทธาผู้สร้างคือ พญาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองคนแรกของแม่ฮ่องสอน ภายในบรรจุพระธาตุของพระสารีบุตร ที่อัญเชิญมาจากเมืองมัณฑเลย์ ประเทศพม่า ซึ่งมอบให้พระอูเอ่งต๊ะก๊ะ ช่วยจัดหาพระธาตุบรรจุภายในเจดีย์ให้ และทำพิธียกฉัตรสมโภชเมื่อพุทธศักราช 2418 .แม้ว่าเจดีย์ทั้งสององค์จะสร้างไม่พร้อมกันและมีการบูรณะหลายครั้ง แต่รูปแบบปัจจุบันโดยรวมมีความคล้ายกัน คือ “เป็นเจดีย์แบบมอญ” สันนิษฐานว่าจำลองรูปแบบมาจากเจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า ซึ่งเป็นเจดีย์องค์สำคัญที่เชื่อว่าบรรจุพระเกศธาตุของพระพุทธเจ้าโดยเจดีย์แบบมอญมีรูปแบบ คือ มีฐานลาด ไม่มีบันไดหรือลานประทักษิณ มักมีเจดีย์ขนาดเล็กที่ฐานด้านล่าง มีปลียาว ซึ่งแตกต่างจากเจดีย์แบบพม่า แต่ส่วนองค์ระฆังมีรัดอกและบัวคอเสื้อ ไม่มีบัลลังก์ มีปัทมบาทระหว่างปล้องไฉนและกับปลี เหมือนกับเจดีย์แบบพม่าเจดีย์ทั้งสององค์มีองค์ประกอบหลักเป็นเจดีย์มอญ แต่มีความแตกต่างกันที่ เจดีย์องค์ใหญ่ได้มีการบูรณะปรับเปลี่ยนเป็นฐาน 8 เหลี่ยมซ้อนกันและบริเวณฐานด้านล่างประดับซุ้มพระพุทธรูปทั้ง 8 ทิศ ส่วนเจดีย์องค์เล็กเป็นฐาน 4 เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนกัน บริเวณฐานด้านล่างประดับซุ้มพระพุทธรูปซึ่งมีหลังคาประดับเรือนยอดทรงปราสาท 3 ยอด และที่มุมทั้ง 4 มีประดับรูปปั้นสิงห์----------------------------------------------------อ้างอิง- พระครูอนุสารสาสนกรณ์. ประวัติวัดพระธาตุดอยกองมู และจังหวัดแม่ฮ่องสอน. กรุงเทพฯ : นีลนาราการพิมพ์, 2528. หน้า 22-31.- สุรชัย จงจิตงาม. ล้านนา Art & Culture. นนทบุรี : มิวเซียมเพรส, 2555. หน้า 122-125.- คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดแม่ฮ่องสอน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2542. หน้า 94.- สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน. ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่. เชียงใหม่ : เจริญวัฒน์การพิมพ์, 2549. หน้า 377.- ป้ายประวัติวัดพระธาตุดอยกองมู ที่วัดพระธาตุดอยกองมู อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน- เอกสารประกอบการบรรยายวิชา survey of arts history in neighboring countries คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
#ผางประทีป ทางล้านนามีความเชื่อในเรื่องของการถวายประทีปในวันเพ็ญเดือนยี่ หรือที่เรียกว่า การบูชาประทีป โดยใช้ผางประทีส หรือ ผางประทีป เป็นเครื่องสักการะบูชาพระรัตนตรัย เพื่อหวังอานิสงค์ของการถวายทานเพื่อความสุขในภพภูมิหน้าผาง หมายถึง ภาชนะรองรับน้ำมันหรือไขที่เป็นเชื้อเพลิงของประทีป ลักษณะคล้ายถ้วยหรืออ่างขนาดเล็ก ทำด้วยดินเผา ประทีป หมายถึง แสงไฟ รวมความผางประทีป คือ ถ้วยดินเผาสำหรับจุดตามไฟ เป็นพุทธบูชาหรือบูชาสืบชาตาอายุ หรืออีกนัยหนึ่ง คือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้จุดแทนเทียนในเวลากลางคืน ผางประทีปจะมีรูปลักษณะแตกต่างกันตามฝีมือช่างแต่ละยุคสมัย ผางประทีปแบบเก่าที่พบหลายแห่งมีขนาดใหญ่เท่าชามแกงขนาดย่อม ซึ่งผางประทีปที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้ก็เพื่อบรรจุเชื้อเพลิงได้มากสำหรับให้แสงสว่างเป็นเวลานาน ส่วนผางประทีปที่ทำขายสำเร็จรูป มักมีขนาดกว้างประมาณ 5 เซนติเมตร สูงประมาณ 3 เซนติเมตร และขนาดใหญ่ คือ ประมาณ 10 เซนติเมตร สูงประมาณ 4 เซนติเมตร นอกจากถ้วยประทีปแล้ว สิ่งที่สำคัญคู่กันก็คือ น้ำมัน และตีนกาหรือสีสาย ปัจจุบันนิยมใช้ขี้ผึ้ง (พาราฟีน) แทนน้ำมัน ส่วน สีสาย ซึ่งอาจอ่านเป็น “สี้สาย” หรืออ่านเคลื่อนเป็น “ขี้สาย” นั้น ทำจากด้ายฟั่นให้เป็นเชือกสองเกลียวยาวประมาณ 15 เซนติเมตร แล้วดึงแยกเกลียวทั้งสองออกจากกันโดยเว้นระยะจากปลายเชือกประมาณ 10 เซนติเมตร เมื่อปล่อยมือเชือกเกลียวแต่ละเกลียวก็จะพันกันกลับเป็นเชือกอีกทีหนึ่ง จัดแต่งเชือกทั้ง 4 ชายให้เข้ากัน โดยจัดสามชายแยกออกจากกันเป็นสามแฉก เหมือนตีนกา และอีกชายหนึ่งตั้งอยู่ตรงกลางของทั้งสามชาย ก็จะได้ตีนกา หรือสีสายตามต้องการ ในล้านนา มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับที่มาของตีนกาที่ใช้เป็นไส้จุดประทีปหรือดังปรากฏในคัมภีร์ชื่อ อานิสงส์ผางประทีป อันสืบเนื่องมาจากตำนานพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ได้แก่ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ พระโคตม (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) พระศรีอริยะเมตไตร ที่พระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ได้ถือกำเนิดจากแม่กาเผือก ตำนานเล่าว่าเมื่อครั้งดึกดำบรรพ์มีแม่กาเผือกกำลังกกไข่อยู่บนต้นไม้ใกล้แม่น้ำแห่งหนึ่ง แต่แล้วเกิดมีลมพายุพัดรังกระจัดกระจาย ไข่ก็ตกลงไปในแม่น้ำแล้วไหลไป แม่กาก็พลัดไปอีกทางหนึ่ง พอลมสงบแม่กาหาไข่ไม่พบก็ร้องไห้จนขาดใจตาย แล้วไปเกิดเป็นท้าวพกาพรหมบนสวรรค์ ส่วนไข่ 5 ฟองที่ถูกน้ำพัดไป ถูกเก็บได้โดยแม่ไก่ แม่นาค แม่เต่า แม่โค และแม่ราชสีห์ เอาไข่ไปฟักตัวละฟอง ต่อมาไข่ก็แตกออกมาเป็นคน พอโตขึ้นต่างก็ออกบวชเป็นฤาษีอยู่ในป่า วันหนึ่งฤาษีทั้ง 5 มาพบกัน ต่างก็ถามถึงความเป็นมาของกันและกัน แต่ก็ไม่มีใครรู้จักแม่ที่แท้จริงของตนเลย จึงพากันอธิษฐานขอให้ได้พบแม่ของตน ท้าวพกาพรหมจึงต้องลงมาพบเล่าเรื่องอดีตให้ฟังและบอกว่า ถ้าคิดถึงแม่ให้เอาด้ายดิบทำเป็นรูปตีนกาแล้วจุดไฟในประทีปในวันยี่เป็ง คือวันเพ็ญเดือน 12 จากเรื่องเล่าดังกล่าวจึงมีการบูชาประทีปในเทศกาลยี่เป็ง ชาวบ้านจะนำผางประทีปไปจุดตามวัดและฟังพระธรรมเทศนาอานิสงส์ และยังมีการตามประทีปและจุดบูชาตามรอบรั้วบ้าน หัวบันไดบ้าน บ่อน้ำ ครัวไฟ บันได เป็นต้น โดยการจุดผางประทีบเป็นการบูชาเพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณ เพื่อสักการะต่อสิ่งต่างๆ ที่ได้ใช้ประโยชน์ และยังเป็นการบูชาแสงสว่างโดยเชื่อว่าจะทำให้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด และมีแสงสว่างนำทางชีวิตให้โชติช่วงชัชวาลอีกด้วยหลักพุทธธรรมในการถวายทานประทีป 1) หลักบูชา ซึ่งเป็นอามิสบูชา คือการถวายทานประทีปหรือแสงสว่างต่อปูชนียบุคคล คือการบูชาบุคคลที่ควรบูชา เช่น การบูชาคุณของพระพุทธเจ้า การบูชาคุณพระธรรม และยังบูชาต่อปูชนียวัตถุ ผ่านประเพณีที่มีความงดงามและเป็นเอกลักษณ์ของชาวล้านนา 2) หลักกตัญญูกตเวที มีความสอดคล้องและปรากฏหลักความกตัญญูตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา อยู่สองประเภทด้วยกัน กล่าวคือ การกตัญญูต่อพระพุทธเจ้า และกตัญญูต่อบิดามารดา ผ่านกระบวนการบูชาผางประทีป ซึ่งมีหลักธรรมเรื่องความกตัญญูสอดแทรกอยู่ในเนื้อหาธรรม และถูกถ่ายทอดออกมารุ่นสู่รุ่น ด้วยกระบวนการทำให้ดู ปฏิบัติให้เห็น 3) หลักศรัทธา ซึ่งแฝงอยู่ในการถวายทานประทีป เป็นความศรัทธาในคัมภีร์ธัมม์ 3 เรื่อง คือ เวสสันดร ชาดก 13 กัณฑ์ ธัมม์แม่กาเผือก และธัมม์อานิสงค์ผางประทีป ซึ่งความเชื่อความศรัทธาที่เกิดขึ้นเป็นผลสืบเนื่องให้ เกิดการถวายทานประทีปของชาวล้านนา และมีการยึดถือ สืบทอด และอนุรักษ์ไว้ตราบจนปัจจุบันเรียบเรียงโดย นางสาวพิมพา สุธัญญาวัชชัย บรรณารักษ์ชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษกเชียงใหม่เรียบเรียงโดย นางสาวพิมพา สุธัญญาวัชชัย บรรณารักษ์ชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่บรรณานุกรมเยาวนิจ ปั้นเทียน. “ผางประทีส/ผางประทีป.” สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ. 8 (2542): 4072-4075.พระณัฐกิจ ฐิตเมธี (อิมัง). การศึกษาความเชื่อเรื่องการถวายประทีปของชาวพุทธในล้านนา = A Study on Lanna Buddhist Beliefs on Lantern Offering and Merit. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2565, จาก: https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMHR/article/download/252544/171376/901395สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร#บรรณฯหามาฝากสำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร