ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ

สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)  ชบ.บ.42/1-4  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


อฎฺฐงฺคิกมคฺค (พรอฎงฺคิกมคฺค)  ชบ.บ.83/1-7  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


มหานิปาตวณฺณนา(เวสฺสนฺตรชาตก) ชาตกฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฺฐกถา (ทสพร-กุมาร)  ชบ.บ.106ก/1-5  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


เลขทะเบียน : นพ.บ.332/10ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4.5 x 55 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 132  (343-358) ผูก 10 (2565)หัวเรื่อง : ปาลิวารปาลี (บาลีบริวาร)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


          สมัยราชวงศ์หมิง ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑         พบที่ วัดศรีโขง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่          ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในห้องล้านนา อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร         กุณฑีรูปทรงจันทร์เสี้ยว (Crescent-shaped Kendi) แบบเปอร์เซีย ลักษณะคอภาชนะสูงมีฝาปิด ด้านข้างมีพวยขนาดเล็ก ภาชนะมีลายเขียนสีแดง เขียวและเหลือง ขอบภาชนะเขียนลายก้านขด ตัวภาชนะเขียนลายพันธุ์พฤกษา ส่วนคอภาชนะเขียนลายประแจจีน ภาชนะชิ้นนี้มีแหล่งผลิตที่เตาจิ่งเต๋อเจิ้น มณฑลเกียงซี (เจียงซี) ประเทศจีน และพบกุณฑีลักษณะใกล้เคียงนี้ในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่นที่ประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์


ชื่อผู้แต่ง         ดำรงราชานุภาพ, กรมพระยา ชื่อเรื่อง          ตำราฟ้อนรำ ครั้งที่พิมพ์       - สถานที่พิมพ์    พระนคร สำนักพิมพ์       โรงพิมพ์พระจันทร์ ท่าพระจันทร์ ปีที่พิมพ์           ๒๕๑๐ จำนวนหน้า      ๗๖ หน้า หมายเหตุ        พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นายยวง อังศุสิงห์ ณ เมรุวัดธาตุทอง พระโขนง ๒๐ ธันวาคม ๒๕๑๐                      หนังสือเล่มนี้ กล่าวถึงการฟ้อนรำของไทยประกอบด้วย ท่าฟ้อนรำ, เพลงฟ้อนรำ และตำรากับข้าว อาทิเช่น ทอดมันปลากราย ข้าวต้มนกกระทา เป็นต้น


ชื่อเรื่อง : ประชุมพงศาวดาร เล่ม 48 (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 77 (ต่อ-) 78) ประวัติศาสตร์ยูนนาน และทางไมตรีกับจีน ปราบเงี้ยว ตอนที่ 2 ชื่อผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2513 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์จำนวนหน้า : 284 หน้า สาระสังเขป : ประชุมพงศาวดาร มีทั้งหมด 2 ภาค ตั้งแต่ภาค 77 -78 มีเรื่องราวในแต่ละภาคดังนี้ ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 77 (ต่อ) ประวัติศาสตร์ยูนนาน และทางไมตรีกับจีน และ ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 78 ปราบเงี้ยว ตอนที่ 2


เรียบเรียง : เด่นดาว ศิลปานนท์ ภัณฑารักษ์เชี่ยวชาญ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ


พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร ขอนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีความสำคัญในจังหวัดชุมพร     แหล่งโบราณคดีเขานาพร้าว (เขาขุนกระทิง) ตั้งอยู่ หมู่ที่ 8 ตำบลขุนกระทิง อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร แหล่งโบราณคดีเขานาพร้าว (เขาขุนกระทิง) ตั้งอยู่บนเขานาพร้าวหรือเขาขุนกระทิงด้านทิศตะวันออก ภูเขาลูกนี้มีลักษณะเป็นภูเขาหินปูนลูกโดดวางตัวตามแนวทิศเหนือ-ใต้ มีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นเพิงผาขนาดใหญ่ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก โดยมีความยาวเพิงผาทั้งหมดประมาณ 56.5 เมตร ลึกประมาณ 3-5 เมตร  พิกัดเขาขุนกระทิง https://goo.gl/maps/viMqJq59E3HPeszd7    พระพุทธรูปปางไสยาสน์ ปูนปั้น ลงรักปิดทอง ศิลปะอยุธยา ขนาด ยาว 4.60 เมตร สูง 1.80 เมตร ประทับตะแคงขวา หันพระเศียรไปทางทิศใต้ พระพักตร์หันไปทางทิศตะวันออกประดิษฐานอยู่ภายในถ้ำพระ เป็นถ้ำขนาดเล็ก อยู่สูงจากพื้นราบ ประมาณ 15 เมตร ปากถ้ำอยู่ทางทิศตะวันออก    รอยพระพุทธบาทจำลอง ตั้งอยู่ใกล้กับปากถ้ำพระ มีขนาดกว้าง 87 เซนติเมตร ยาว 132 เซนติเมตร หนา 5 เซนติเมตร  สลักนูนต่ำบนแผ่นหินปูน ตรงกลางฝ่าพระบาทเป็นรูปธรรมจักรมีกงล้อ 7 กงล้อ ล้อมรอบด้วยช่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก 42 ช่อง ส่วนบนเป็นรอยนิ้วพระบาท 5 นิ้ว     ภาพเขียนสี บริเวณเพิงผาพบภาพเขียนสี โดยตำแหน่งของภาพที่พบตั้งอยู่ห่างจากถ้ำด้านทิศใต้ไปทางทิศเหนือ ประมาณ 30 เมตร จุดที่พบภาพเขียนสีมีลักษณะเป็นผนังหินเรียบขาว ปัจจุบันมีการก่อสร้างแท่นประดิษฐานพระพุทธรูปตั้งอยู่บริเวณด้านหน้า จากประวัติเดิมภาพเขียนสีดังกล่าวถูกพบโดยคณะสำรวจขึ้นทะเบียนโบราณสถานและโบราณวัตถุภาคใต้ กรมศิลปากร เมื่อปี พ.ศ.2521 ซึ่งภาพเขียนสีในขณะนั้นยังสามารถเห็นเป็นภาพเขียนสี สีแดงสดได้ค่อนข้างชัดเจนโดยปรากฏเป็นภาพลายเส้นเรขาคณิต แต่จากการสำรวจในปี พ.ศ.2557 ภาพเขียนสีดังกล่าวอยู่ในสภาพค่อนข้างเลือนลางอย่างมากคงเหลือเพียงภาพช่วงบนที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมปลายบนโค้งมนด้านในมีลายเส้นทแยงไขว้สลับกันคล้ายลายตาราง แต่สีที่ปรากฏค่อนข้างจางและบางส่วนขาดหายไปเป็นส่วนมาก  อ้างอิง  - หนังสือรายงานการสำรวจแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ชุมพร เล่ม 2  - หนังสือโบราณสถานในจังหวัดชุมพร สำนักศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราช กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม  



พระสวรรค์วรนายก : พระสงฆ์ผู้เป็นต้นแบบของการอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติเนื่องในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๕ จะตรงกับวันเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายกอย่างเป็นทางการ จึงขอนำเสนอเรื่องราวของ "พระสวรรค์วรนายก" พระสงฆ์ผู้เป็นต้นแบบของการอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติอันนำไปสู่การก่อตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก ณ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัยในเวลาต่อมา"พระสวรรค์วรนายก" มีนามเดิมว่า ทองคำ จิตรธร เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๐ โดยนิวาสสถานของท่านตั้งอยู่หลังวัดสวรรคาราม (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดสุโขทัย แห่งที่ ๑ ซึ่งอยู่ติดกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก) ในวัยเด็กท่านบวชเรียนกับพระอาจารย์แดงที่วัดสวรรคาราม ก่อนจะย้ายไปบวชเณรและจำพรรษาที่วัดสุทัศนเทพวราราม จนกระทั่งอุปสมบทเป็นพระภิกษุและได้รับฉายาว่า "โสโณ" ในภายหลังท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระปลัดของเจ้าคณะมณฑลราชบุรีและเป็นเลขานุการเจ้าคณะมณฑล ผู้คนทั่วไปจึงเรียกท่านว่า "พระปลัดคำ" ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๕๐ พระปลัดคำได้รับสมณศักดิ์เป็น "พระครูสวรรค์วรนายก" และไปจำพรรษา ณ วัดสว่างอารมณ์ เมืองสวรรคโลก [๑] แต่เนื่องจากบ้านของท่านอยู่หลังวัดสวรรคารามจึงย้ายมาจำพรรษา ณ วัดสวรรคาราม มาโดยตลอดแม้จะได้รับสมณศักดิ์เป็น "พระสวรรค์วรนายก" เจ้าคณะจังหวัดสวรรคโลก [๒] (ใน พ.ศ. ๒๔๘๒ จังหวัดสวรรคโลกถูกยุบเป็นอำเภอ และยกอำเภอสุโขทัยเป็นจังหวัด พระสวรรค์วรนายกจึงมีฐานะเป็นเจ้าคณะจังหวัดสุโขทัยนับแต่นั้นมา) แล้วก็ตามพระสวรรค์วรนายกมีความสนใจในงานศิลปะและมีความเชี่ยวชาญในการแกะสลักไม้เป็นอย่างมากจนเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินอำเภอสวรรคโลกเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๐๑ พระสวรรค์วรนายกได้ถวายกล่องใส่บุหรี่ที่ท่านแกะจากปมไม้มะค่าแด่พระองค์ด้วย นอกจากความสามารถในเชิงช่างแล้ว ท่านยังมีความชื่นชอบในการสะสมโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุโดยมักจะนำวัตถุที่ท่านไปพบรวมทั้งที่มีผู้นำมาถวายตั้งเรียงไว้รอบระเบียงกุฏิทรงฝรั่งที่ท่านดำริให้สร้างขึ้น แม้เมื่อล่วงเข้าสู่ในช่วงที่ท่านอาพาธหนักก็ยังมีความเป็นห่วงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุเหล่านี้ว่าจะไม่มีใครดูแลรักษาต่อจึงได้ปรารภกับกรรมการและไวยาวัจกรของวัดให้ยกวัตถุที่ท่านสะสมไว้ทั้งหมดเป็นสมบัติของชาติและขอให้สร้างพิพิธภัณฑสถานขึ้นในบริเวณวัดสวรรคาราม เหตุนี้ กรมศิลปากรจึงสานต่อเจตนารมณ์ของพระสวรรค์วรนายกจัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขึ้น และทำหน้าที่เป็นแหล่งเรียนรู้ของคนสวรรคโลกและคนไทย รวมทั้งเผยแพร่มรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติแก่ชาวต่างชาติมาอย่างต่อเนื่อง สมดังที่ท่านหวังไว้เป็นเวลาถึง ๓๘ ปีมาแล้วภาพ : พระสวรรค์วรนายกนำคณะกรมศิลปากรชมโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่เก็บรักษาไว้ ณ วัดสวรรคาราม เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๐๓[๑] ความปรากฏในราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๒๔ หน้า ๑๒๖๘ วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๒๖ (พ.ศ. ๒๔๕๑) ว่า “...ให้พระปลัดคำ วัดสุทัศน์เทพวราราม เป็นพระครูสวรรค์วรนายกปิฎกสุนทร ที่สังฆปาโมกข์ เจ้าคณะใหญ่ ไปอยู่วัดสว่างอารมณ์ เมืองสวรรคโลก พัดพื้นเยียรบับรูปพุ่มข้าวบิน...”[๒] ความปรากฏในประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๐ หน้า ๒๓๙๙ วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๗๖ ว่า “...พระครูสวรรค์วรนายก วัดสวรรคาราม เจ้าคณะจังหวัดสวรรคโลก เป็นพระราชาคณะมีนามว่า พระสวรรค์วรนายกธรรมสาธกวินัยวาที สังฆปาโมกข์...”


ปิ่น  มุทุกันต์.  ตอบบาดหลวง.  พระนคร : โรงพิมพ์สุทธิสารการพิมพ์, 2505.         เป็นคำแถลงชี้แจงที่พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย และยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย จัดขึ้น ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2502 ประกอบด้วยคำแถลงชี้แจง 23 เรื่อง



เนื่องในโอกาสครบรอบ 195 ปี เหตุการณ์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา คุณหญิงโม เป็นท้าวสุรนารี เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พุทธศักราช 2370  เรารู้จัก อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ในฐานะอนุสาวรีย์บุคคลธรรมดาแห่งเเรกของประเทศไทย เเละเป็นศูนย์รวมใจของชาวจังหวัดนครราชสีมา โดยทั้ง 32 อำเภอ จะมีการจำลองอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ไปสร้างไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอของทุกอำเภอด้วย เพราะเราชาวโคราชทุกคนล้วนมีสำนึกร่วมกันว่าเราคือ "ลูกหลานย่าโม" โดย เดือนมีนาคม สำหรับชาวนครราชสีมา เป็นเดือนแห่งการระลึก วีรกรรมท่านท้าวสุรนารี หรือเป็นที่รู้จักกันว่า "วีรกรรมทุ่งสัมฤทธิ์" ซึ่งเป็นเหตุการณ์ ขณะท้าวสุรนารีเเละหญิงชาวเมืองนครราชสีมาถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย เเต่ภายหลังเมื่อพักแรมที่บ้านสัมฤทธิ์ (ปัจจุบันอยู่ในเขตตำบลสัมฤทธิ์ อำเภอพิมาย) สามารถเข้าสู้เเละรอดพ้นภัยจากข้าศึกศัตรูได้สำเร็จ จนภายหลัง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได่สถาปนาคุณหญิงโมขึ้นเป็นท้าวสุรนารี ในปี 2370   อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี สร้างขึ้นในปี 2476 โดยมี  ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เเละพระเทวาภินิมมิต  ซึ่งพื้นเพเป็นชาวนครราชสีมา ร่วมกันออกแบบ อนุสาวรีย์หล่อด้วยทองแดงรมดำสูง 185 เซนติเมตร หนัก 325 กิโลกรัม ประดิษฐานอยู่บนไพทีสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองสูง 250 เซนติเมตร หน้าประตูชุมพล (ประตูเมืองนครราชสีมาด้านทิศตะวันตก) เเละทำพิธีเปิดในช่วงต้นปี 2477 เเละได้มีการซ่อมแซมส่วนฐานอนุสาวรีย์เพื่อบรรจุอัฐิของท่าน ในปี 2510 โดยมีสภาพดังปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน   กรมศิลปากร ได้กำหนดให้ อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี เเละประตูชุมพล พร้อมด้วยแนวกำแพงเมืองนครราชสีมาใบเสมาข้างละ 10 ใบ ที่ยืดออกจากประตูชุมพล เป็นโบราณสถานสำหรับชาติ ในปี 2480 ในเขตพื้นที่เมืองเก่านครราชสีมา ยังมีโบราณสถานที่กรมศิลปากร ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานอีก 3 แห่ง ได้แก่ วัดพระนารายณ์มหาราชวรวิหาร สถานพระนารายณ์ เเละศาลหลักเมือง ครับ   "...เป็นแสงสว่างอยู่กลางเมือง รุ่งเรืองสตรีวีรชน ใครไหว้ใครบน ได้ดังอธิษฐาน..."      


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน)อย.บ.                                           27/7ประเภทวัสดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                               46 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54.4 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


black ribbon.