ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ

ประติมากรรมพระสาวก คำว่า “สาวก” มาจากภาษาบาลี แปลว่า ผู้ฟังถ้อยคำหรือศิษย์ พระสูตรและอรรถกถาได้อธิบายถึงคุณสมบัติของพระสาวกไว้ว่า พระสงฆ์สาวกที่รับฟังโอวาทและอนุสาสนีของพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ ผู้ปฏิบัติดีและได้รู้ธรรมตามพระพุทธเจ้า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงจำแนกประเภทตามเกณฑ์ตัวเลข คือ พระอริยบุคคล ๒ จำพวก คือ พระสาวกที่ต้องศึกษาเพื่อมรรคผลที่สูงขึ้นกับพระอรหันตผลผู้ไม่ต้องศึกษาแล้ว ส่วนพระอริยบุคคล ๔ จำพวก คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ สุดท้ายพระอริยบุคคล ๘ จำพวก คือ พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหันตตมรรค และอรหันตตผล ซึ่งเป็นการจำแนกตามขั้นของการบรรลุธรรมอย่างละอียด ทั้งนี้ยังจำแนกตามการตั้งความปรารถนาสำหรับการบรรลุธรรม และระยะเวลาการบำเพ็ญบารมี ดังนี้ “พระอัครสาวก” คือ ผู้ตั้งความปรารถนาเพื่อการบรรลุธรรมตั้งแต่สมัยอดีตพุทธ พร้อมด้วยความเป็นเลิศในด้านปัญญาและสมาธิ มี ๒ องค์ ส่วน “พระมหาสาวก” (อสีติมหาสาวก) คือ พระสาวกผู้ใหญ่ทรงไว้ด้วยคุณธรรม อภินิหาร และเป็นผู้หลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารด้วยศรัทธา ประกอบกับมีปัญญารู้แจ้งเห็นธรรมตามพระพุทธเจ้า มี ๘๐ องค์ และ “พระปรกติสาวก” คือ พระสาวกที่ไม่ได้บำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นอัครสาวกและมหาสาวก แต่ปรารถนาจะบรรลุธรรมตามพระพุทธเจ้า การสร้างประติมากรรมพระสาวกมาจากความเชื่อทางศาสนาเรื่องพระรัตนตรัย ประกอบด้วย “พระพุทธ” คือ พระพุทธเจ้า “พระธรรม” คือ หลักธรรมคำสอน และ”พระสงฆ์” คือพระสาวก จึงมีการสร้างประติมากรรมพระพุทธเจ้าเป็นศูนย์กลางและพระสาวกล้อมรอบ ประติมากรรมพระสาวกในล้านนา มีตั้งแต่สมัยหริภุญชัยพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๙ เป็นประติมากรรมพระสาวกพนมมือนั่งขัดสมาธิเพชรทำจากดินเผา ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพระสาวก ต่อมาเริ่มทำจากหินผลึกและแก้วมีค่าสำหรับอุทิศถวายเป็นพุทธบูชา และได้รับความนิยมมากในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕ ที่มีการย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำสัมปทานป่าไม้ของชาวพม่าและไทใหญ่ โดยนำช่างฝีมือเข้ามาก่อสร้างวัด เจดีย์ หรืออาคารศาสนสถานตามรูปแบบศิลปะชาติพันธุ์ของผู้อุปถัมภ์ (คำว่า “พระยาตะก่า” ใช้เรียกผู้อุปถัมภ์ในการสร้างวัดวาอาราม) สำหรับอุทิศให้รุกขเทวดา ผีสาง เจ้าป่าเจ้าเขา และวิญญาณบรรพบุรุษ พระพุทธรูปสร้างจากวัสดุโลหะผสม ทองเหลือง หินทราย หินอ่อน และรักสมุก ส่วนประติมากรรมพระสาวกทำจากวัสดุชั้นรองลงมาคือ “ไม้” ตกแต่งด้วยการลงรัก ทาชาด ปิดทอง และประดับกระจก มีลักษณะครองจีวรแบบริ้วธรรมชาติซ้อนทับกันหลายชั้น อยู่ในท่าพนมมือหรือเท้าแขน นั่งพับเพียบด้วยกิริยาสงบและอ่อนน้อมถ่อมตน อันเป็นรูปแบบศิลปะพม่าสมัยมัณฑเลย์ที่มีเอกลักษณ์และความงดงาม มีการจัดวางจำนวนตามรูปแบบของพระสาวกตามความเหมาะสมของอาคาร สามารถพบเห็นได้ในวัดเขตชุมชนเชื้อสายพม่า-ไทใหญ่ อาทิ วัดจองคา(ไชยมงคล) วัดศรีรองเมือง วัดศรีชุม และวัดป่าฝาง ทั้งนี้ปัจจุบันยังได้รับความนิยมจากนักสะสม และผู้ค้าโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ จึงมีการผลิตสำหรับเป็นสินค้าส่งออกจำนวนมาก โดยภายในห้องศาสนวัตถุไม้ของคลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้รับมอบประติมากรรมพระสาวกจากกรมศุลากรมาเก็บรักษาไว้ มีรูปแบบหลากหลายอิริยบถทั้งยืน นั่ง และมีการครองจีวรแตกต่างกัน ถ้ามีโอกาสจะนำมาเล่าในครั้งต่อไป . อ้างอิง สิขรินทร์ ล้อเพ็ญภพ. รูปแบบและคติการสร้างประติมากรรมพระสาวกในศิลปะรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ ๑-๕ วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๕๙ ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะพม่า. กรุงเทพฯ: มติชน. ๒๕๕๗ . เผยแพร่โดย พลอยไพลิน ปุราทะกา ภัณฑารักษ์ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร


ประติมากรรมที่พบจากปราสาทนางรำ อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมาค่ะ   ปราสาทนางรำ เป็น สุคตาลัยหรือหอพระประจำสถานพยาบาล เป็นสถาปัตยกรรมประเภทหนึ่งในอาโรคยาศาลาหรือสถานพยาบาล ที่สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 18 ในรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โดยหนึ่งในหลักฐานสำคัญที่พบจากปราสาทนางรำ คือประติมากรรมรูปบุรุษ ยืนถืออาวุธคือตรีศูลย์ สันนิษฐานว่าเป็นทวารบาลที่คอยดูแลรักษาศาสนสถาน  แต่เดิมนั้นทวารบาลที่ปกปักษ์รักษาศาสนสถานมักเป็นรูปสิงห์ หรือรูปบุรุษที่ชื่อว่านันทิเกศวรและมหากาล โดยนันทิเกศวรเป็นเทวบุรุษที่คอยดูแลเทวาลัยพระศิวะ ลักษณะหน้าตาใจดี บางครั้งสลักตาที่ 3 ที่หน้าผาก  อีกองค์คือ มหากาล มีลักษณะหน้าตาดุร้าย ผมหยิกหนา รูปร่างเตี้ยค่อม โดยคู่ทวารบาลทั้งสององค์มิได้จำกัดเฉพาะเทวาลัยของพระศิวะแต่พบที่เทวาลัยของพระวิษณุด้วย อย่างไรก็ตามเนื่องจากปราสาทนางรำเป็นพุทธสถานจึงมีข้อสันนิษฐานว่า ประติมากรรมรูปนี้คือ พระวัชรปาณิในรูปของทวารบาล เนื่องจากถือสิ่งของสามแฉกที่บางท่านสันนิษฐานว่าคล้ายคลึงกับวัชระ  แต่จากการเปรียบเทียบกับศาสนสถานในเมืองพระนคร ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พบว่า ทวารบาลที่ปรากฏมักพบว่าองค์หนึ่งมีลักษณะยิ้มแย้ม อีกองค์มีลักษณะดุร้าย ทั้งสององค์บางครั้งถือกระบอง บางครั้งถือตรีศูลย์ไม่ได้จำเพาะเจาะจง ซึ่งตรงกับลักษณะของมหากาลและนันทิเกศวรที่เป็นทวารบาลในเทวาลัย ดังนั้น...ทวารบาลที่พบจากปราสาทนางรำ คงไม่ได้ถือวัชระแต่เป็นตรีศูลย์ซึ่งตรงส่วนกระบองนั้นหักหายไป เป็นไปได้ว่าจากลักษณะใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ประติมากรรมองค์นี้อาจเป็นนันทิเกศวรที่เป็นทวารบาลคู่กับมหากาล แม้จะเป็นพุทธสถาน  ทวารบาลทั้งสองล้วนอยู่คู่ศาสนสถานมาเนิ่นนาน และคอยปกปักษ์รักษาศาสนสถานมาจวบจนทุกวันนี้  สามารถชมภาพสลักทวารบาลนันทิเกศวรและมหากาลที่สวยงาม สมบูรณ์ได้อีกแห่งที่ปราสาทศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์


        กระปุก         เลขทะเบียน         ๗๘ / ๒๕๔๑         แบบศิลปะ / สมัย ศิลปะจีน และล้านนา ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑          วัสดุ (ชนิด)         เครื่องปั้นดินเผาเขียนลายสี พร้อมฝาโลหะ         ขนาด         กว้าง ๑๕ เซนติเมตร สูงพร้อมฝา ๑๒ เซนติเมตร         ประวัติความเป็นมา ได้จากการวัดเจดีย์สูง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่         ความสำคัญ ลักษณะและสภาพของโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ          เครื่องกระเบื้องลายคราม ทำเป็นไหสีขาวทรงกลม สีขาวขุ่นเป็นสีพื้น เขียนลายครามพันธุ์พฤกษาเกี่ยวพันกัน มีช่อดอกโบตั๋น มีความหมายถึงความร่ำรวยและเกียรติยศ  สันนิษฐานว่าเป็นเครื่องกระเบื้องที่สร้างขึ้นในแหล่งเตาเจิ้งเต๋อเจิ้น มณฑลเกียงซี ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีนในปัจจุบัน โดยผลิตขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑  


-- องค์ความรู้จากเอกสารจดหมายเหตุ : การบูรณะวัดภูเพียง -- ข้อมูลจากเอกสารจดหมายเหตุ ชุดกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 5 กระทรวงศึกษาธิการ ระบุถึงการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดสำคัญแห่งหนึ่งในจังหวัดน่าน ซึ่งระบุชื่อในเอกสารว่า “วัดภูเพียง” วัดแห่งนี้อยู่ที่ใด และมีการบูรณะปฏิสังขรณ์สิ่งใดบ้าง. เมื่อเดือนพฤษภาคม ร.ศ. 125 (พ.ศ. 2449)  พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย (พระยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ทรงมีลายพระหัตถ์กราบทูลพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสมมตอมรพันธุ์ ราชเลขานุการ ความว่า พระองค์ทรงได้รับศุภอักษรพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช พระเจ้านครน่านว่า พระเจดีย์ วิหารและระเบียงรอบพระวิหารกับถนนที่วัดภูเพียงชำรุดทรุดโทรมมาก จึงได้บริจาคทรัพย์เพื่อบูรณะปฏิสังขรณ์ โดยได้ดำเนินการดังนี้ 1. ปรับพื้นที่ในบริเวณวัดให้ราบเสมอกัน 2. ซื้อแผ่นทองแดงหุ้มองค์พระเจดีย์แล้วปิดด้วยทองคำเปลว 3. ปฏิสังขรณ์วิหารพระเจ้าทันใจ 4. ปฏิสังขรณ์พระวิหารใหญ่ 5. สร้างถนนที่จะขึ้นไปวัดภูเพียง พร้อมทั้งก่อสร้างรูปนาคสองข้างถนน. เมื่อบูรณะปฏิสังขรณ์เสร็จสิ้นแล้ว จึงมีการจัดงานฉลองวัดภูเพียงเป็นเวลาห้าวัน โดยบรรดาเจ้านายและข้าราชการพร้อมด้วยราษฎรได้ร่วมกันบริจาคซื้อเครื่องไทยทานเพื่อถวายพระสงฆ์ สำหรับกิจกรรมในงานนั้น ช่วงเช้าจะมีการตักบาตรแก่พระสงฆ์และสามเณร ช่วงกลางวันมีการแสดงพระธรรมเทศนา และช่วงค่ำมีการจุดดอกไม้เพลิงและมีหุ่นม่าน ฝ่ายข้าราชการทหารนำการแสดงเพลงฉ่อยและแคนมาช่วย ส่วนข้าราชการพลเรือนช่วยเลี้ยงเครื่องว่างน้ำร้อนน้ำชาทั้งกลางวันกลางคืนจนตลอดงาน. สิ่งที่น่าสนใจของลายพระหัตถ์ฉบับนี้ นอกจากจะทำให้ทราบถึงรูปแบบและลักษณะของงานฉลองสมโภชวัดสำคัญในภาคเหนือแล้ว ยังทำให้เราทราบถึงขนาดและรายละเอียดของสิ่งก่อสร้างต่างๆ ภายในวัดภูเพียง ในยุคสมัยนั้นว่ามีลักษณะอย่างไร มีความกว้างใหญ่เพียงใด ซึ่งหากพิจารณาจากรายชื่อสถานที่ที่ได้รับการปฏิสังขรณ์แล้วก็จะพบว่าวัดภูเพียงในเอกสารนั้นก็คือ “วัดพระธาตุแช่แห้ง” ปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองน่านนั่นเอง.ผู้เขียน: นายธัชพงศ์ พัตรสงวน (นักจดหมายเหตุปฏิบัติการ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา).เอกสารอ้างอิง: สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารชุดกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 5 กระทรวงศึกษาธิการ ร.5 ศ.6 วัด (ภ, ม, ย)/4 เรื่อง วัดภูเพียง เมืองน่าน [ 5 – 7 พ.ค. 125 ].     #จดหมายเหตุ #องค์ความรู้จากจากจดหมายเหตุ #หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯพะเยา #เอกสารจดหมายเหตุ


          ไห           แบบศิลปะ : อยุธยา           ชนิด : ดินเผา            ขนาด : สูง 33 เซนติเมตร ปากกว้าง 17 เซนติเมตร           ลักษณะ : ขอบปากผายกว้าง คอคอด ไหล่ผาย มีตุ่มหู 4 หู ส่วนบนลำตัวป่อง แล้วค่อยสอบเข้าสู่ส่วนล่าง เอวคอดเล็กน้อย ก้นผาย ใต้ก้นตัดตรง มีการตกแต่งลายขูดเส้นขนานที่ขอบปาก, ไหล่, ที่ตัวภาชนะ และที่เอว ลายกดประทับเป็นลายซี่หวีที่ไหล่ และลายกลีบบัวที่ตัวภาชนะส่วนบน           สภาพ : ชำรุด ขอบปากบิ่นแตกหักหายไป           ประวัติ : ได้จากการขุดค้นเรือรางเกวียน จังหวัดชลบุรี พุทธศักราช 2521 - 2524 ย้ายจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม           สถานที่จัดแสดง : ห้องแหล่งเตาเผาบ้านบางปูน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี   แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/suphanburi/360/model/09/   ที่มา: hhttp://www.virtualmuseum.finearts.go.th/suphanburi


เชียงคาน เชียงใจ กับเส้นทางสายบุญไหว้สิมโบราณ Ep.1 สามสิมที่สายบุญไม่ควรพลาด       อายุกว่าร้อยปี      มีศิลปะที่สวยงาม      อยู่ใกล้ถนนคนเดิน#เส้นทางสายบุญ #สิมริมโขงเชียงคาน #สิม #สิมโบราณ ⋯⋯✧⋯✦⋯⋯✧✦✧⋯⋯✦⋯✧⋯⋯สอบถามหรือแจ้งข้อมูลโบราณสถาน 043-242129 Line: finearts8kk E-mail: fad9kk@hotmail.comพื้นที่ในความรับผิดชอบขอนแก่น บึงกาฬ เลย สกลนคร หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี#เลย #โบราณสถาน #สำนักศิลปากรที่8ขอนแก่น #กรมศิลปากร #ไทเลยก๋อ #เมืองเลย


รายงานประจำปี 2521  ผู้แต่ง : กรมศิลปากร ต้นฉบับอยู่ที่ : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี (ห้องกรมศิลปากร) โรงพิมพ์ : สหประชาพาณิชย์ปีที่พิมพ์ : 2522 รูปแบบ : PDF ภาษา : ไทย เลขทะเบียน : น.31บ. 13204เลขหมู่ : 354.5930684  ศ528ร สาระสังเขป : เป็นรายงานประจำปีของกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้ปฏิบัติงานลุล่วงไปแล้วในรอบปี 2521 


#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ พระมหาเทวีจิรประภา(ครองราชย์ พ.ศ. 2088-2089).พระมหาเทวีจิรประภาเป็นพระมเหสีของพระเมืองเกษเกล้า (กษัตริย์ล้านนา ครองราชย์ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2068-2081 และครั้งที่ 2 พ.ศ. 2086-2088) เป็นพระมารดาของท้าวซายคำ (กษัตริย์ล้านนา ครองราชย์ พ.ศ.2081-2086) และพระนางยอดคำทิพย์ (อัครมเหสีของพระเจ้าโพธิสารราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง)ซึ่งเป็นพระมารดาของ พระไชยเชษฐาธิราช (พระอุปโย).หลังจากพระเมืองเกษเกล้า พระสวามี ถูกขุนนางใหญ่ลอบปลงพระชนม์ แผ่นดินล้านนาว่างกษัตริย์ เหล่าขุนนางได้อัญเชิญพระมหาเทวีจิรประภาขึ้นปกครองล้านนาเป็นการชั่วคราว นับได้ว่าพระองค์เป็นกษัตรีย์ หรือ กษัตริย์ผู้หญิงพระองค์แรกแห่งราชวงค์มังราย .เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เหล่าขุนนางเชิญพระมหาเทวีจิรประภาขึ้นครองราชย์ ศาสตราจารย์สรัสวดี อ๋องสกุล วิเคราะห์ไว้ในหนังสือขัติยานีศรีล้านนาว่า เพราะพระองค์มีความพร้อมสูง เนื่องจากมีบทบาททางการเมืองในฐานะที่เคยเป็นพระมเหสีของพระเมืองเกษเกล้า และเป็นพระมารดาของท้าวซายคำ ย่อมสั่งสมประสบการณ์ทางการเมืองไว้มาก เป็นไปได้ว่า พระองค์อยู่เบื้องหลังทางการเมืองในนครเชียงใหม่มานานแล้ว .พระมหาเทวีจิรประภาปกครองล้านนาในช่วงที่บ้านเมืองอ่อนแอ เกิดความแตกแยก พระองค์ขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน กองทัพของสมเด็จพระไชยราชาธิราชจากกรุงศรีอยุธยาก็ยกทัพขึ้นมาตีเมืองเชียงใหม่ครั้งแรก ด้วยสภาพบ้านเมืองในขณะนั้นไม่พร้อมรับศึก เพื่อไม่ให้บ้านเมืองบอบช้ำ พระองค์จึงใช้ยุทธวิธีแต่งบรรณาการไปถวายแทนการสู้รบ ซึ่งพระไชยราชาธิราชยอมรับการเป็นไมตรีนี้ พระองค์ยังได้เชิญพระไชยราชาธิราชทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่พระเมืองเกษเกล้า ณ วัดโลกโมฬี ด้วย .ภายหลังพระมหาเทวีจิรประภาสละราชบัลลังก์ให้แก่พระไชยเชษฐาธิราชซึ่งมีฐานะเป็นพระราชนัดดา (หลาน)ขึ้นปกครองล้านนา ต่อมาเมื่อพระเจ้าโพธิสารราช กษัตริย์ล้านช้าง สวรรคตกะทันหัน พระไชยเชษฐาธิราชจึงเสด็จกลับไปครองอาณาจักรล้านช้าง ในครั้งนั้นพระองค์ก็ได้ตามเสด็จไปด้วย.ปัจจุบันวัดโลกโมฬี ซึ่งเป็นวัดที่สร้างขึ้นสมัยพระเมืองเกษเกล้าและเป็นที่บรรจุอัฐิ มีประติกรรมรูปพระมหาเทวีจิรประภาและพระเมืองเกษเกล้าตั้งอยู่ในศาลาทางซ้ายมือใกล้ประตูทางเข้าวัด มีความเชื่อว่าผู้ใดอยากสมหวังในเรื่อง “ความรัก” ต้องมากราบไว้ขอพรพระมหาเทวีจิรประภา โดยมีคำไหว้บูชาว่า “มหาเทวี จิรประภา วันทามิ สิระสา สะทาโสตฺถี ภะวันตุเมฯ ข้าพเจ้าขอไหว้พระนางจิรประภาเทวี ด้วยความเคารพนอบน้อมยิ่ง ขอความสุขสวัสดี จงมีแก่ข้าพเจ้าในกาล เวลาทุกเมื่อเทอญ” และมีหลักการอธิษฐานระบุไว้ว่า “ขอความรัก บนไข่ไก่ 9 ฟอง แก้บน 108 ฟอง ผลไม้ 9 อย่าง พร้อมปัจจัยตามศรัทธา” .จากบทบาทในการเป็นกษัตรีย์พระองค์แรกในประวัติศาสตร์ล้านนา ปัจจุบันพระองค์ได้รับความนับถือในฐานะเทพแห่งความรักของล้านนาอีกด้วย  --------------------------------------------------------------อ้างอิง- สรัสวดี อ๋องสกุล. "บทบาททางการเมือง ประวัติ และที่มาของอำนาจมหาเทวีจิรประภา". ขัติยานีศรีล้านนา. เชียงใหม่ : มูลนิธินวราชดำริอนุรักษ์ฝ่ายเหนือ, 2547. หน้า 31-49.- สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2553. หน้า 173.- ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะล้านนา. กรุงเทพฯ : มติชน, 2556. หน้า 16-17.- มาลา คำจันทร์. พื้นบ้านตำนานเมืองล้านนา. กรุงเทพฯ : สยามปริทัศน์, 2565. หน้า 165-170.


งาน “กินเข่าค่ำ ของดีเมืองสูงเนิน” จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๘-๑๐ มีนาคม ๒๕๖๗ ภายในงานมีกิจกรรมการแสดงจินตภาพ ประกอบแสง สี เสียง ชุด “ศรีจนาศะปุระ” การแสดงนิทรรศการของหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน รวมไปถึงการจำหน่ายสินค้าโอทอป ผลิตภัณฑ์ของดีเมืองสูงเนิน โดยสำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา ได้นำเหรียญพระพุทธสิหิงค์ทั้ง ๓ แบบ มาให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเช่าบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยทุกท่านสามารถเช่าบูชาได้ที่ บูทนิทรรศการ สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา ณ ปราสาทเมืองแขก อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา วัดธรรมจักรเสมาราม (วัดพระนอน) อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา * เหรียญ​บรอนซ์​นอกขัดเงา ​บูชาเหรียญละ ๑๙๙.-บาท * เหรียญ​โลหะสัมฤทธิ์​ขัดเงา บูชาเหรียญละ ๑๙๙.-บาท * เหรียญ​ทองแดงรมซาติน บูชาเหรียญละ ๑๙๙.-บาท ทัังนี้การจัดสร้างพระพุทธสิหิงค์ จำลอง รุ่น ครบรอบ ๑๑๒ ปี แห่งการสถาปนากรมศิลปากร พุทธศักราช ๒๕๖๖ จัดสร้างขึ้นเพื่อหารายได้นำเข้ากองทุนโบราณคดี เพื่อใช้ในการบูรณะโบราณสถาน และกิจการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั่วประเทศ


ชื่อโบราณวัตถุ : ภาชนะดินเผาเขียนสีรูปสัตว์แบบศิลปะ : สมัยก่อนประวัติศาสตร์ชนิด : ดินเผาขนาด : สูง 25.2 เซนติเมตร ปากกว้าง 18.3 เซนติเมตรอายุสมัย : วัฒนธรรมบ้านเชียงสมัยปลาย 2,300 - 1,800 ปีมาแล้วลักษณะ : ภาชนะดินเผาก้นกลม มีเชิง เขียนลายรูปสัตว์ คล้ายโคหรือกระบือ มีเชือกจูงสภาพ : ...ประวัติ : ...สถานที่จัดแสดง : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานีแสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่  http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/banchiang/360/model/04/ที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/banchiang


ชื่อโบราณวัตถุ : ภาชนะดินเผาเขียนสีรูปสัตว์แบบศิลปะ : สมัยก่อนประวัติศาสตร์ชนิด : ดินเผาขนาด : สูง 22.8 เซนติเมตร  ปากกว้าง 14.2 เซนติเมตรอายุสมัย : วัฒนธรรมบ้านเชียงสมัยปลาย 2,300 - 1,800 ปีมาแล้วลักษณะ : ภาชนะดินเผาก้นกลม มีเชิง เขียนสีแดงเป็นลายรูปสัตว์สภาพ : ...ประวัติ : ...สถานที่จัดแสดง : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานีแสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่  http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/banchiang/360/model/03/ที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/banchiang


ชื่อเรื่อง                     กาพย์ห่อโคลงนิราศเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ผู้แต่ง                       เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   วรรณคดีเลขหมู่                      895.9111 ธ337กสถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนาการปีที่พิมพ์                    2465ลักษณะวัสดุ               98 หน้า หัวเรื่อง                     กาพย์                              โคลงภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกกาพย์ห่อโคลงที่พิมพ์ในหนังสือนี้ เป็นเรื่องนิราศพระบาท ทรงพระนิพนธ์ดีในด้านกลอน ทำให้รู้เรื่องประวัติศาสตร์หลายแห่ง เช่น การแต่งกายของผู้หญิง สิ่งของเครื่องใช้ในสมัยนั้น ตอนต้นของหนังสือมีอธิบายกาพย์ห่อโคลงของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ พระนิพนธ์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพไว้ด้วย  


         พระพักตร์พระพุทธรูป          - ทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๕ – ๑๖)          - ปูนปั้น          - ขนาด กว้าง ๔๓.๘ ซม. ยาว ๔๖ ซม. หนา ๑.๕ ซม.          พบที่วัดพระประโทน อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม พระพักตร์พระพุทธรูปมีลักษณะของศิลปะขอมเข้ามาผสม คือ มีการทำเรียวพระมัสสุเหนือพระโอษฐ์ พระเนตรสลักเป็นรูกลมเดิมคงฝังหินสีหรือวัสดุอื่นประดับ ด้านหลังพระพักตร์มีแกนเป็นแผ่นอิฐครึ่งแผ่นอยู่ตรงกลงแล้วปั้นปูนพอกด้านหน้า   แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ https://smartmuseum-v2.finearts.go.th/3d_object/?obj=40180   ที่มา: https://smartmuseum.finearts.go.th


           กรมธนารักษ์ กรมศิลปากร ร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายในจังหวัดนครศรีธรรมราช ขอเชิญเข้าร่วมงาน “แลหลัง มองหน้า กำแพงเมืองคอน” ระหว่างวันที่ 15-16 มิถุนายน 2567 ตั้งแต่เวลา 16.30 น. ณ กำแพงเมืองเก่า สวนสาธารณะศรีธรรมาโศกราช จังหวัดนครศรีธรรมราช และขอเชิญรับฟังการเสวนา หัวข้อ “มาแล มาเล่า มาแหลง เรื่องกำแพงเมืองคอน” วิทยากรโดย ผศ.ฉ้ตรชัย ศุกระกาญจน์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช อาจารย์วาที ทรัพย์สิน ผู้อำนวยการศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช และนางสาวสิริยุพน ทับเป็นไทย นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราช วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน 2567 เวลา 18.30-20.30 น. ณ กำแพงเมืองเก่า สวนสาธารณะศรีธรรมาโศกราช จังหวัดนครศรีธรรมราช             ภายในงานพบกับกิจกรรมต่าง ๆ เช่น หลาดกำแพงเมืองคอน รถรางชมเมือง นิทรรศการ “กำแพงเมือง-คูเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช” นิทรรศการ “มาแล มาถ่าย กำแพงเมืองคอน” และการแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นของน้อง ๆ เยาวชน งานนี้มีทั้งสาระและความบันเทิง ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ 


“วันสุนทรภู่ 26 มิถุนายน” วันสุนทรภู่ หมายถึง วันคล้ายวันเกิดของพระสุนทรโวหาร (สุนทรภู่) เจ้ากรมอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวัง ซึ่งมีผลงานด้านบทกลอนที่มีคุณค่าแก่แผ่นดินเป็นจำนวนมาก สุนทรภู่ เกิดวันจันทร์ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2329 ณ บริเวณด้านเหนือของพระราช วังหลัง (บริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยปัจจุบัน) บิดาเป็นชาวบ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ส่วนมารดาไม่ทราบแน่ชัดว่า เป็นคนจังหวัดใด สันนิษฐานว่ามารดาเป็นข้าหลวงอยู่ในพระราชวังหลัง เมื่อท่านเกิดได้ไม่ถึงหนึ่งขวบ บิดามารดาได้หย่าร้างกัน บิดากลับไปบวชที่วัดป่า อำเภอแกลง ส่วนมารดาได้ถวายตัวเป็นแม่นมของพระธิดาในกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข สุนทรภู่อยู่กับมารดา เข้าเรียนที่สำนักวัดชีปะขาวหรือวัดศรีสุดาราม มีความรู้จนได้เป็นเสมียนนายระวางกรมพระคลังสวน ด้วยความไม่ชอบงานเสมียน ทำได้ไม่นานก็ลาออก สุนทรภู่อยู่ในวังกับมารดา จนอายุได้ 20 ปี ได้ลอบรักใคร่กับสาวชาววัง ชื่อ จัน จนถูกลงโทษจองจำและถูกโบย เมื่อพ้นโทษ ได้กลับไปหาบิดาที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง และแต่งงานกับจัน แต่อยู่กันไม่นานก็เกิดระหองระแหง คงเป็นเพราะสุนทรภู่เมาสุราอยู่เป็นนิตย์ จึงได้เลิกหย่าร้างกัน ในสมัยรัชกาลที่ 2 สุนทรภู่ ได้เข้ารับราชการในกรมพระอาลักษณ์ และเป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จนได้รับแต่งตั้งเป็นขุนสุนทรโวหาร เป็นกวีที่ปรึกษาและคอยรับใช้ใกล้ชิด ในสมัยรัชกาลที่ 3 สุนทรภู่ถูกกล่าวหา ด้วยเรื่องเสพสุรา และเรื่องอื่นๆ จึงถูกถอดออกจากตำแหน่งขุนสุนทรโวหาร ต่อมาสุนทรภู่ออกบวชที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) และเดินทางไปจำพรรษาตามวัดต่างๆ บวชใหม่ถึง 2 ครั้ง แล้วลาสิกขาบทถวายตัวอยู่กับเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ (พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ) ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สุนทรภู่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระสุนทรโวหาร เจ้ากรมอาลักษณ์ฝ่ายพระบวรราชวัง ในปี พ.ศ. 2394 รับราชการอยู่ 4 ปีก็ถึงแก่กรรม ในปี พ.ศ. 2398 รวมอายุได้ 69 ปี ผลงานของสุนทรภู่มีนิราศ 9 เรื่อง นิทาน 5 เรื่อง สุภาษิต 3 เรื่อง บทละคร 1 เรื่อง บทเสภา 2 เรื่อง และบทเห่กล่อม 4 เรื่อง ในปี พ.ศ. 2529 ในโอกาสครบรอบ 200 ปี สุนทรภู่ได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นกวีเอกของโลก เพื่อรำลึกถึงสุนทรภู่ กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้วันที่ 26 มิถุนายน เป็นวันที่รำลึกถึงสุนทรภู่ มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ไว้ที่ตำบลกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง


black ribbon.