ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ

ดาวน์โหลด พระพุทธสิหิงค์ รุ่น ครบรอบ 112 ปี กรมศิลปากร.pdf


ครุฑยุดนาควัสดุ : ไม้ ล่องชาด ปิดทอง ประดับกระจกแบบศิลปะ/อายุสมัย ศิลปะรัตนโกสินทร์ ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕ (๑๐๐-๒๐๐ ปีมาแล้ว)ประวัติ : ผู้ว่าราชการจังหวัดน่านรับมอบจากพระครูศิริคุณาทาน เจ้าอาวาสวัดท่าล้อ อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน สันนิษฐานว่าเดิมประดับอยู่ในส่วนของหน้าบันอาคาร เช่น วิหาร เป็นต้นครุฑ อ้าปาก สวมมุงกุฎยอด หรือมงกุฎชัย กรรณเจียกจร กรองศอ กำไลแขน กำไลข้อมือ เปลือยท่อนบน นุ่งผ้าชายเพือย ทำท่าในลักษณะเท้าทั้งสองจับส่วนลำตัวนาค แขนทั้งสองจับส่วนหัว และส่วนหางของนาค ปีกทั้งสองสยายออกข้างลำตัว กล่าวว่าการจับนาคจะจับบริเวณต้นกับเกือบถึงปลายหางเพื่อป้องการการเหนี่ยวรัดและแว้งกัด กรงเล็บจะขย้ำลงที่ใต้ท้องนาคในครุฑปุราณะ กล่าวว่า นางกัทรุขอพระจากพรกัศยปมุนีให้มีบุตรเป็นนาค ส่วนนางวินตามีบุตรเป็นครุฑ ซึ่งนางทั้งสองแก่งแย่งชิงดีกัน ครุฑมักจะกินนาคเป็นอาหารเสมอ แม้ในวรรณคดีสันสกฤตเอง ยังมีการกล่าวถึงครุฑว่า ครุฑมีอาหารเป็นนาค เพราะฉะนั้นครุฑจึงกินนาคเป็นอาหาร ในกาลต่อมาครุฑกับนาค จึงกลับกลายมาเป็นศัตรูกันสืบมาครุฑยุดนาค หรือ ครุฑจับนาค เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ระหว่างดีและชั่วเอกสารอ้างอิงพระบุญสม ธมฺมวโร (เชิดสูงเนิน). การศึกษาเปรียบเทียบครุฑในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและพุทธศาสนาเถรวาท. วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาศาสนาเปรียบเทียบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๖๓.


เส้นทางสายบุญ ไหว้สิมโบราณริมโขง • เชียงคาน • เลยEp.2 วัดศรีคุณเมือง        สิมอายุ 187 ปี        มีศิลปะที่สวยงาม ทรงคุณค่า       อยู่ใกล้ถนนคนเดิน เดินทางสะดวกมากสอบถามหรือแจ้งข้อมูลโบราณสถานโทร. :  043-242129Line : finearts8kkE-mail : fad9kk@hotmail.comTiktok : สำนักศิลปากรขอนแก่นพื้นที่ในความรับผิดชอบขอนแก่น บึงกาฬ เลย สกลนคร หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี#สิม #เลย #ความรู้ #สำนักศิลปากรที่8ขอนแก่น #กรมศิลปากร #โบราณสถาน #เส้นทางสายบุญ #สิมริมโขงเชียงคาน #สิม #สิมโบราณ #คนไทยเลย #เลยก๋อ #เชียงคานเชียงใจ


            วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม 2567 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม Workshop การประดิษฐ์สายคล้องกระเป๋า จากต้นหลิวปั้นจิ๋วดินไทย ซึ่งเป็นกิจกรรมพิเศษประจำสัปดาห์ ในงาน “Night at The Palace ย้อนเวลา ชมวัง 4 ศตวรรษ พระราชวังจันทรเกษม” เริ่มเวลา 17.00 น. รับจำนวนจำกัด สามารถลงทะเบียนได้ที่จุดจำหน่ายบัตร ค่าธรรมเนียมเข้าชม ชาวไทย 20 บาท ชาวต่างชาติ 100 บาท ผู้พิการ และชาวไทยผู้มีอายุมากกว่า 60 ปี เข้าชมฟรี (ร่วมกิจกรรมได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายในการทำกิจกรรมเพิ่มเติม) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสนใจติดต่อขอใช้พื้นที่ 0 3525 1586 E-mail : wangchantra@gmail.com หรือทางกล่องข้อความเฟสบุ๊ก Inbox : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม : Chantharakasem National Museum              พระราชวังจันทรเกษม เป็นพระราชวังเดิมตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2120 เพื่อเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวร และในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมเพื่อใช้เป็นที่ประทับแปรพระราชฐาน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้เป็น “ที่ว่าการมณฑลเทศาภิบาล” ซึ่งพระราชวังจันทรเกษม นับเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนภูมิภาคแห่งแรก ก่อตั้งโดยพระยาโบราณราชธานินทร์ เรียกชื่อว่า โบราณพิพิธภัณฑ์ อยุธยาพิพิธภัณฑสถาน และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม ตามลำดับ                 กรมศิลปากร โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม จัดกิจกรรมสุดพิเศษ “Night at The Palace ย้อนเวลา ชมวัง 4 ศตวรรษ พระราชวังจันทรเกษม” เปิดให้ยลโฉมความงามของโบราณสถานสำคัญอันเป็นที่ประทับของพระมหาอุปราชในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในช่วงเวลาค่ำคืน ทุกวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ เวลา 16.30 - 21.00 น. ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2567 พร้อมด้วยกิจกรรมอีกมากมาย ภายในงานมีกิจกรรมพิเศษ ประกอบด้วย กิจกรรมนำชมพระราชวังสุดพิเศษ "นำชม รอบเปิดวัง" จากภัณฑารักษ์พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม และอาสาสมัครพิพิธภัณฑ์ กิจกรรม “ชวน ชม ชิม” เปิดพื้นที่ภายในพระราชวังจันทรเกษม ให้หน่วยงาน องค์กร ภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมแสดงกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรม การสาธิต การประดิษฐ์งานศิลปะ กิจกรรม “ชาววัง ชวนขึ้นหอ” ชมทิวทัศน์อยุธยา บนหอสังเกตการณ์ยุคแรกของสยาม กิจกรรม “สายมู ยูต้องมา” สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำวัง (หลวงพ่อลพบุรี พระพุทธรูปเก่าแก่อายุกว่า 700 ปี / พระนเรศวร พระมหาอุปราชผู้ครองพระราชวังองค์แรก / เจ้าพ่อหอส่องกล้อง อารักษ์ประจำวัง /พระคเณศ เทพแห่งความสำเร็จ)      


            สำนักศิลปากรที่ 9 อุบลราชธานี ขอเชิญฟังการเสวนาทางวิชาการ "สุดยอดการค้นพบใหม่" ในทศวรรษที่ผ่านมาของกรมศิลปากร ในหัวข้อ “แหล่งโบราณคดีโนนหนองหอ จังหวัดมุกดาหาร แหล่งผลิตกลองมโหระทึกสำคัญในประเทศไทย” โดยวิทยากร นายสมเดช ลีลามโนธรรม นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ นางสาวเชาวนี เหล็กกล้า หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี และนางสาวเมริกา สงวนวงษ์ นักโบราณคดีชำนาญการ ดำเนินรายการโดย นางสาวสิริภา เจริญเขต ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน 2567 เวลา 16.00 - 18.00 น. ณ ห้องประชุมอาคารดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร           ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมฟังการเสวนาได้โดยการแสกน QR Code หรือกดตามลิ้งนี้ ลงทะเบียน สอบถามเพิ่มเติมได้ทาง Facebook : สำนักศิลปากรที่ 9 อุบลราชธานี  หรือ โทร. 0 4531 2845            


ชื่อโบราณวัตถุ : ภาชนะดินเผาแบบศิลปะ : สมัยก่อนประวัติศาสตร์ชนิด : ดินเผาขนาด : สูง 18.5 เซนติเมตร ปากกว้าง 12.5 เซนติเมตรอายุสมัย : วัฒนธรรมบ้านเชียงสมัยต้น 4,500 - 3,000 ปีมาแล้วลักษณะ : ภาชนะดินเผามีเชิง มีการตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ ขูดขีด ปั้นแปะ และรมควันให้เป็นสีดำ มีการเจาะรูบริเวณเชิงภาชนะสภาพ : ...ประวัติ : ...สถานที่จัดแสดง : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานีแสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่  http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/banchiang/360/model/06/ที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/banchiang


แนะนำฐานข้อมูลออนไลน์ GALE ONEFILE NEWS  โดย นายตนุภัทร กิจชัยเจริญพร นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่


วารสารเครือข่ายกรมศิลปากรเป็นวารสารรายไตรมาสออกทุก ๓ เดือน


          พระพุทธรูปประทับยืนเหนือพนัสบดี           - ทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖)           - หิน           - ขนาด กว้าง ๓๔ ซม. สูง ๔๙ ซม.           พบในจังหวัดนครปฐม พระพุทธรูปปางประทานธรรมประทับยืนอยู่เหนือสัตว์ผสมชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า พนัสบดี ซึ่งแปลว่า เจ้าป่า หรือ ต้นไม้ใหญ่ หรือแสงสว่าง ซึ่งอาจเป็นสัตว์ผสมของเทพพาหนะของเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ ปรากฎูรูปบุคคลยืนถือแส้ บางแหล่งมือถือฉัตร ดอกบัว และหม้อน้ำทั้งเบื้องขวา และซ้ายขององค์พระพุทธรูป   แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ https://smartmuseum-v2.finearts.go.th/3d_object/?obj=40207   ที่มา: https://smartmuseum.finearts.go.th



โบราณสถานในเขตเทือกเขางู           เขางู ตั้งอยู่ที่ ตำบลเกาะพลับพลา อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ห่างออกไปจากตัวเมืองราชบุรีทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ ๖ กิโลเมตร ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย อยู่ภายในถ้ำ ๔ แห่ง คือ ถ้ำฤาษี ถ้ำจีน ถ้ำจาม และถ้ำฝาโถ  ที่สันนิษฐานว่ามีการเข้ามาใช้พื้นที่ในสมัยทวารวดี (ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑–๑๖) และมีการใช้ประโยชน์ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย (ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓–๒๔) ในแต่ละแห่งมีรายละเอียด ดังนี้   Ancient Monuments in the Area of Khao Ngu           Khao Ngu is a hill range situated in Ko Phlapphla Subdistrict, Mueang Ratchaburi District, Ratchaburi Province, about 6 kilometers northwest of the city. The oldest archaeological evidence relating to Buddhism in Thailand was discovered on Khao Ngu’s four cave sites, which are Tham Rue Si, Tham Chin, Tham Cham, and Tham Fatho. Therefore, the sites are presumed to be actively used since the age of Dvaravati (around 6th-11th centuries) until the age of late Ayutthaya (around 17th-18th centuries). The details of each site are as follows: ถ้ำฤาษี           ถ้ำฤาษี  ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาลูกโดดขนาดเล็กทางด้านตะวันออกของเทือกเขางู เป็นหนึ่งใน ๔ ถ้ำสำคัญของเทือกเขางู สันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานสมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๓)  - สมัยกรุงศรีอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ ๑๖ -๑๗)           ถ้ำฤาษีเป็นโถงถ้ำขนาดใหญ่ที่ผนังถ้ำมีภาพจำหลักเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาท พระหัตถ์ขวาแสดงปางแสดงธรรมเทศนา พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา ระหว่างข้อพระบาทมีจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต เป็นรูปแบบอักษรที่นิยมใช้ในประเทศอินเดียตอนใต้ในช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑–๑๒ อ่านได้ว่า “ปุญกรมชระ ศรีสมาธิคุปต(ะ)” แปลว่า “พระศรีสมาธิคุปตะเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยการทำบุญ” ลักษณะของพระพุทธรูปนี้คล้ายกับพระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาทในถ้ำอชันตา ประเทศอินเดีย ส่วนผนังถ้ำด้านตะวันตกมีภาพจำหลักพระพุทธรูปประทับยืนปางประทานอภัย บริเวณโดยรอบพระเศียรมีร่องรอยสีแดง  ภายในถ้ำยังมีพระพุทธรูปหินทรายแดงศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาอีกหลายองค์ประดิษฐานอยู่ด้วย           กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘   Tham Rue Si           Tham Rue Si is located at the foot of a small hill east of the Khao Ngu hill range. It is one of the main four caves in the Khao Ngu hill range. Presumably, Tham Rue Si was a religious sanctuary from Dvaravati period (6th- 8th centuries) to Ayutthaya period (11th-12th centuries).           Tham Rue Si is a large cave with an engraving on the wall depicting a seated Buddha image with legs pendant, the right hand performing a preaching posture, and the left hand putting on the lap. Furthermore, between the feet of the image is a Pallava inscription in Sanskrit. Pallava alphabets were commonly used in the south of India around 6th-7th centuries, and the inscription could be read as “Punkaramachara Srisamathi Gupta,” which means “Holy Srisamathi Gupta is the pure one by the merit he made.” The style of this Buddha image is similar to the style of the seated Buddha image with legs pendant in Ajanta caves in India. On the west wall of Tham Rue Si is an engraving of a standing Buddha image in the gesture of dispelling fear, with traces of red paint around the Buddha’s head. Also, lots of red sandstone Buddha images in Ayutthaya art style are found in the cave.            The Fine Arts Department announced the registration of Tham Rue Si as an ancient monument in the Royal Gazette, Volume 52, Part 75, dated 8th March 1935.   ถ้ำฝาโถ           ถ้ำฝาโถ ตั้งอยู่ระหว่างถ้ำฤาษี และถ้ำจีน ถ้ำจาม สันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานสมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖)  - สมัยกรุงศรีอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ ๑๖ -๑๗)           ถ้ำฝาโถ มีลักษณะเป็นโถงถ้ำยาวที่ผนังด้านใต้มีภาพจำหลักพระไสยาสน์ขนาดใหญ่หันพระเศียรไปทางปากถ้ำ มีประภามณฑลหลังพระเศียร เหนือขึ้นไปเป็นภาพปูนปั้นรูปเทพชุมนุม และต้นไม้ที่ตกแต่งด้วยริ้วผ้าและเครื่องประดับ ส่วนผนังด้านเหนือมีภาพพระสาวกจำนวน ๔ องค์ บางองค์ยืนพนมมือ บางองค์ยืนเอียงตนอยู่ในท่าตริภังค์ (เอียงกายสามส่วน) ลักษณะการสลักภาพลงบนผนังถ้ำนี้มีรูปแบบใกล้เคียงกับภาพสลักบนผนัง ถ้ำอชันตาในประเทศอินเดีย ที่สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ภายในโถงถ้ำพบชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทรายแดงเป็นจำนวนมาก ปากถ้ำมีร่องรอยของโครงหลังคามุงกระเบื้องดินเผาและแนวกำแพงก่ออิฐถือปูนซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นสิ่งก่อสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา           กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานถ้ำฝาโถ ถ้ำจีน และถ้ำจาม ในราชกิจจานุเบกษา  เล่ม ๙๑ ตอนที่ ๑๗๔ วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๑๗ พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๑๗ ไร่ ๒๕ ตารางวา    Tham Fatho           Tham Fatho is located between Tham Rue Si and Tham Chin, Tham Cham. It is presumed to be a religious sanctuary from Dvaravati period (7th-11th centuries) to Ayutthaya period (11th–12th centuries).            Tham Fatho is a long cave marked by an engraving of a large reclining Buddha with his head pointed towards the entrance of the cave. A halo is shown behind the Buddha’s head, and above the Buddha engraving are stucco sculptures of Deva gathering and trees decorated with shreds and ornaments. The northern wall of the cave is depicted with four disciples; some of them press their hands together at the chest in a sign of respect, and some stand in Tribhanga or Contrapposto posture. These engravings exhibit characteristics similar to the ones that were created in the 7th century in Ajanta caves in India. A large number of parts of red sandstone Buddha images are also found inside Tham Fatho. Moreover, at the cave’s entrance, remains of the rib that had been roofed with stucco tiles and the brick wall ruins were found. These remains are presumed to be the constructions of Ayutthaya period.           The Fine Arts Department announced the registration of Tham Fatho, Tham Chin, and Tham Cham as ancient monuments in the Royal Gazette, Volume 91, Part 174, dated 15th October 1974. The ancient monuments cover an area of approximately 27,300 square meters. ถ้ำจีน            ถ้ำจีน ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาทางด้านใต้ของถ้ำจาม สันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานสมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖)  - สมัยกรุงศรีอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ ๑๖ -๑๗)           ถ้ำจีน มีลักษณะเป็นโถงถ้ำยาว ภายในถ้ำมีภาพจำหลักพระพุทธรูปประทับนั่งบนผนังจำนวนสององค์ องค์ด้านในเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิราบปางแสดงธรรมเทศนา องค์ด้านนอกเหลือเพียงครึ่งองค์ สันนิษฐานว่าเดิมสร้างขึ้นในสมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖) ต่อมาถูกดัดแปลงโดยพอกทับด้วยปูนปั้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา           กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานถ้ำฝาโถ ถ้ำจีน และถ้ำจาม ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๑ ตอนที่ ๑๗๔ วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๑๗ พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๑๗ ไร่ ๒๕ ตารางวา    Tham Chin           Tham Chin is situated on the foothill south of Tham Cham. Presumably, it has been a religious sanctuary since Dvaravati period (7th-11th centuries) until Ayutthaya period (11th–12th centuries).           Tham Chin is a long cave with two Buddha engravings on the wall. The inner engraving is the seated Buddha in the posture of giving a sermon, while the outer one remains only the upper half of the body. It is presumed that they were made in the age of Dvaravati (7th-11th centuries) and might have been modified by covering them with  The Fine Arts Department announced the registration of Tham Fatho, Tham Chin, and Tham Cham as ancient monuments in the Royal Gazette, Volume 91, Part 174, dated 15th October 1974. The ancient monuments cover an area of approximately 27,300 square meters. ถ้ำจาม            ถ้ำจาม ตั้งอยู่บนเขาสูงเหนือถ้ำจีน สันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานสมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖)  - สมัยกรุงศรีอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ ๑๖ -๑๗)           ถ้ำจาม มีลักษณะเป็นถ้ำเพิงผายาวมีช่องแสงเป็นระยะจึงมีความสว่างมากกว่าถ้ำอื่นๆ ภายในถ้ำมีภาพปูนปั้น ด้านเหนือเป็นภาพตอนยมกปาฏิหาริย์ที่เมืองสาวัตถี ประกอบด้วยภาพพระพุทธรูปประทับนั่ง แสดงปางสมาธิ และปางแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางต้นมะม่วง ซึ่งเป็นตอนที่นิยมในสมัยทวารวดีดังปรากฏในภาพสลักหินและพระพิมพ์ การสร้างภาพตอนยมกปาฏิหาริย์นี้ได้รับอิทธิพลมาจากเรื่องพุทธประวัติในอรรถกถาภาษาบาลี ลัทธิหินยาน ส่วนผนังถ้ำทางด้านใต้ และด้านตะวันออกเป็นภาพปูนปั้นรูปบุคคลขี่คอซ้อนกันขึ้นไป และรูปพังพานพญานาคของพระพุทธรูปปางนาคปรก ผนังด้านตะวันตกเป็นภาพพระไสยาสน์ ตอนเสด็จปรินิพพาน            กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานถ้ำฝาโถ ถ้ำจีน และถ้ำจาม ในราชกิจจานุเบกษา  เล่ม ๙๑ ตอนที่ ๑๗๔ วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๑๗ พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๑๗ ไร่ ๒๕ ตารางวา    Tham Cham           Tham Cham is located on the hill high above Tham Chin. Presumably, Tham Cham was a religious sanctuary from Dvaravati period (7th–11th centuries) until Ayutthaya period (11th–12th centuries).           Tham Cham’s characteristic is that of a long rock shelter with daylight holes, making it more illuminated than the other caves. The cave’s walls are decorated with stucco sculptures. The north wall presents Buddha’s life event when he performs a twin miracle in Savatthi city. The image on the north wall includes Buddha in seated meditation posture and Buddha in preaching posture amidst the mango trees. The story of Buddha performing a twin miracle is influenced by the biography of Buddha according to the Pali Canon in the Theravada Buddhist tradition. The story is also commonly depicted on the stone etchings and votive tablets of Dvaravati period. The south and east walls present stucco sculptures of people riding on one’s neck and the Naga hood which was part of the seated Buddha image protected by Naga. The west wall exhibits a reclining Buddha entering Parinirvana.           The Fine Arts Department announced the registration of Tham Fatho, Tham Chin, and Tham Cham as ancient monuments in the Royal Gazette, Volume 91, Part 174, dated 15th October 1974. The ancient monuments cover an area of approximately 27,300 square meters.  




ชื่อเรื่อง                    สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ.                       95/3หมวดหมู่                   พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ               64 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก                   เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด  ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก วัดประดู่ทรงธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา


ชื่อเรื่อง                                สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน) อย.บ.                                  128/3 หมวดหมู่                               พุทธศาสนาประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ                           18 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 58.5 ซม.                                       บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


black ribbon.