ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,777 รายการ
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺมเทศนา (เทศนาสังคิณี-มหาปัฎฐาน)เลขที่ ชบ.บ.1/1-2เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.35/1-6 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร ขอเชิญผู้ที่สนใจเข้าร่วมรับฟังการเสวนาวิชาการ กิจกรรมเนื่องในงาน ใต้ร่มพระบารมี ๒๓๙ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ในหัวข้อ “รอยประพาสปิยมหาราชเสด็จยุโรป” จัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. ณ โรงละครแห่งชาติ (โรงเล็ก)
ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรม ตั้งแต่วันที่ ๘ - ๑๐ เมษายน ๒๕๖๔ จำนวนจำกัด ๑๗๐ ที่นั่งเท่านั้น (สงวนสิทธิ์ในการปิดรับลงทะเบียนก่อนกำหนดเมื่อที่นั่งครบตามจำนวน)
กูโบร์โต๊ะมาโหม สุสานเจ้าเมืองสตูลสายสกุลสนูบุตรและชาวเมืองสตูล
กูโบร์โต๊ะมาโหม
กูโบร์โต๊ะมาโหม เป็นชื่อที่ปรากฏในหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลง สต๐๒๒๕ และสต๐๒๒๖ ส่วนทะเบียนที่ดินสาธารณประโยชน์ ตำบลพิมาน อำเภอเมืองสตูล ซึ่งคัดลอกมาจากทะเบียนที่ดินสงวนแปลงลำดับที่ ๗๘ นำขึ้นทะเบียนเมื่อครั้งจังหวัดสตูล ขึ้นต่อมณฑลนครศรีธรรมราชนั้นบันทึกชื่อว่า “เปลวโต๊ะมาโหม” (ที่ถูกต้องต้องเขียนว่า “เปรว” ซึ่งเป็นภาษาปักษ์ใต้หมายถึงป่าช้า) แต่ในปัจจุบันกูโบร์แห่งนี้เป็นที่รู้จักในชื่อสุสานเจ้าเมืองสตูล หรือกูโบร์ อัล-มัรฮูม ตนกูมูฮำหมัด อากิบ สนูบุตร
กูโบร์แห่งนี้ พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ (ตนกูมูฮำหมัดอากิบ) ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองสตูลระหว่างพ.ศ.๒๓๘๒ - ๒๔๑๙ สั่งให้สร้างขึ้นสำหรับฝังศพเจ้าเมือง และราษฎร โดยในครั้งนั้นได้มอบหมายให้หวันอุหมาก (หวันอุมาร์) เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง
กูโบร์โต๊ะมาโหมอยู่ที่ไหน?
กูโบร์โต๊ะมาโหม ตั้งอยู่ที่ถนนสตูลธานี ๗ (สนูบุตรอุทิศ) ตำบลพิมาน อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล
การจัดสรรพื้นที่ใช้งานภายในกูโบร์
ภายในกูโบร์แห่งนี้มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ ๑๒ ไร่ ๑ งาน ๖.๔ ตารางวา การแบ่งสัดส่วนที่ฝังศพออกเป็นสองส่วนคือ
๑.พื้นที่ฝังศพเจ้าเมืองสตูลและญาติวงศ์ในสายสกุลสนูบุตร เป็นพื้นที่ซึ่งแยกไว้เป็นการเฉพาะมีแผนผังบริเวณเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๒๐.๓๐ เมตร ยาว ๒๓.๗๐ เมตร ตั้งอยู่บริเวณด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ภายในกูโบร์ใหญ่ โดยมีกำแพงก่ออิฐดินเผาสอปูนและฉาบปูนล้อมรอบ มีประตูทางเข้าด้านทิศเหนือ พื้นที่ส่วนนี้มีเนื้อที่ประมาณ ๑ งาน ๓๒.๗ ตารางวา
๒.พื้นที่สำหรับฝังศพราษฎร มีเนื้อที่ประมาณ ๑๑ ไร่ ๓ งาน ๗๓.๗๐ ตารางวา เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของ กูโบร์แห่งนี้ โดยถูกแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกและมีกำแพงล้อมรอบบริเวณกูโบร์ทั้งหมดไว้อีกชั้นหนึ่ง และส่วนที่ ๒ อยู่ทางด้านทิศตะวันตกโดยมีถนนเรืองฤทธิ์จรูญแบ่งพื้นที่ทั้งสองส่วนนี้ออกจากกัน
สกุล “สนูบุตร”
สกุลสนูบุตร นับเป็นวงศ์สกุลที่สืบเชื้อสายเนื่องมาจากเชื้อสายของสุลต่านแห่งเคดะห์(Kedah) หรือไทรบุรี โดยนับถือว่าพระยาอภัยนุราช (ตนกูบิศนู) บุตรชายของพระยาไทรบุรี(สุลต่านอับดุลละห์ มูการามชาห์) และเป็นน้องชายของเจ้าพระยาไทรบุรีปะแงรัน(สุลต่านอะหมัดตายุดดิน ฮาลิม ชาห์ที่๒) เป็นต้นสายสกุล โดยมีเชื้อสายได้ปกครองมูเก็มสโตย ซึ่งต่อมาได้ยกฐานะเป็นเมืองสตูลสืบต่อกันมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ดังนี้
พระยาอภัยนุราช (ตนกูบิศนู) มูเก็มสโตย พ.ศ.๒๓๕๖-๒๓๕๘
พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ (ตนกูมูฮำหมัดอากิบ) เมืองสตูล พ.ศ.๒๓๘๒-๒๔๑๙
พระยาอภัยนุราช (ตนกูอิสมาแอล) เมืองสตูล พ.ศ.๒๔๑๙-๒๔๒๗
พระยาอภัยนุราช (ตนกูอับดุลเราะห์มาน) เมืองสตูล พ.ศ.๒๔๒๗-๒๔๔๐
ขอรับพระราชทานนามสกุล
เมื่อมีการตราพระราชบัญญัติขนานนามสกุล ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ พระพิไสยสิทธิสงคราม(ตนกูมะหะหมัด) ต่อมาคือพระพิมลสัตยาลักษณ์ กรมการพิเศษเมืองสตูล ผู้เป็นบุตรของพระยาอภัยนุราช (ตนกูอิสมาแอล) ได้ขอพระราชทานนามสกุลจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้รับพระราชทานนามสกุลตามประกาศพระราชทานนามสกุลครั้งที่ ๕๓ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๓๓ หน้า ๑๐๒๓ วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๔๕๙ ว่า “สะนุบุตร” เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “Sanuputra”
พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ (ตนกูมูฮำหมัดอากิบ) เจ้าเมืองสตูลคนที่ ๑ พ.ศ.๒๓๘๒-๒๔๑๘
ตนกูมูฮำหมัดอากิบเกิดที่เมืองไทรบุรีหรือเคดาห์ (Kedah) ในสมัยรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นบุตรของพระยาอภัยนุราช (ตนกูบิศนู) รายามูดาแห่งไทรบุรี ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากสุลต่านหรือเจ้าเมืองไทรบุรีคือ ตนกูอับดุลละห์ มูการามชาห์ พระยาไทรบุรี โดยพระยาอภัยนุราช (ตนกูบิศนู) บิดาของตนกูมูฮำหมัดอากิบเคยเป็นผู้ปกครองท้องที่มูเก็มสโตยมาก่อน แต่ในช่วงเวลานั้นมีสถานะเป็นเพียงท้องที่ตำบลหนึ่งของเมืองไทรบุรี ภายหลังจากการเกิดเหตุการณ์กบฏไทรบุรีถึงสองครั้งในสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มูเก็มสโตยได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นเมืองเมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๒ ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตนกูมูฮำหมัดอากิบขึ้นเป็นพระยาอภัยนุราช ถือเป็นเจ้าเมืองสตูลคนแรก และได้ปกครองเมืองสตูลไปจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕
ในพ.ศ.๒๔๑๙ พระยาอภัยนุราช ได้กราบบังคมทูลทูลลาออกจากราชการ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานพระบรมราชานุญาต และเลื่อนให้เป็นจางวางเมืองสตูลที่ พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ มหินทราธิรายานุวัตร ศรีสกลรัฐมหาปธานาธิการ ไพศาลสุนทรจริต สยามพิชิตภักดี จางวางเมืองสตูล พระราชทานเครื่องยศพานทอง และต่อมาได้ถึงแก่อนิจกรรมในปีเดียวกันนั้น
หลุมฝังศพพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ (ตนกูมูฮำหมัดอากิบ)
ร่างของพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ (ตนกูมูฮำหมัดอากิบ) ถูกนำไปไปฝัง ณ กูโบร์โต๊ะมาโหม เหนือหลุมฝังศพของท่านก่อเป็นแท่นก่ออิฐถือปูนขนาดยาว ๓.๐๗ เมตร กว้าง ๑.๕๒ เมตร สูง ๑.๓๕ เมตร ตกแต่งด้วยลายปูนปั้นรูปดอกไม้
พระยาอภัยนุราช (ตนกูอิสมาแอล) เจ้าเมืองสตูลคนที่ ๒ พ.ศ.๒๔๑๙-๒๔๒๗
พระยาอภัยนุราช (ตนกูอิสมาแอล) เป็นบุตรคนโตของพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ (ตนกูมูฮำหมัดอากิบ) ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยราชการเมืองสตูลในราชทินนาม "พระปักษาวาสะวารณินทร์" จนกระทั่ง พ.ศ.๒๔๑๙ พระยาอภัยนุราชฯ (ตนกูมูฮำหมัดอากิบ) ผู้เป็นบิดากราบบังคมทูลลาออกจากราชการ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯพระราชทานสัญญาบัตรตั้งเป็น พระยาอภัยนุราช ชาติรายาภักดี ศรีอินดาราวิยาหยา พระยาสตูน พระยาอภัยนุราช (ตนกูอิสมาแอล) ถึงแก่อนิจกรรมใน พ.ศ.๒๔๒๗ มีบุตรธิดาทั้งสิ้น ๖ คน
หลุมฝังศพพระยาอภัยนุราช (ตนกูอิสมาแอล)
ร่างของพระยาอภัยนุราช (ตนกูอิสมาแอล) ถูกนำไปไปฝัง ณ กูโบร์โต๊ะมาโหม เหนือหลุมฝังศพของท่านก่อเป็นแท่นก่ออิฐถือปูนขนาดยาว ๒.๕๒ เมตร กว้าง ๐.๙๘ เมตร สูง ๑.๐๗ เมตร ตกแต่งด้วยลายปูนปั้นรูปดอกไม้ และลายเลขาคณิต
พระยาอภัยนุราช (ตนกูอับดุลเราะห์มาน) เจ้าเมืองสตูลคนที่ ๓ พ.ศ.๒๔๒๗-๒๔๔๐
พระยาอภัยนุราช (ตนกูอับดุลเราะห์มาน) เป็นบุตรชายคนโตของพระยาอภัยนุราช (ตนกูอิสมาแอล) ก่อนบิดาถึงแก่อนิจกรรมนั้น รับราชการเป็นผู้ช่วยราชการเมืองสตูลที่ พระปักษาวาสะวารณินทร เมื่อบิดาถึงแก่อนิจกรรมใน พ.ศ.๒๔๒๗ แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯพระราชทานสัญญาบัตรตั้งเป็น พระยาอภัยนุราช ชาติรายาภักดีศรีอินดาราวิยาหยา ผู้ว่าราชการเมืองสตูล
ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๓๘ พระยาอภัยนุราช (ตนกูอับดุลเราะห์มาน) มีอาการป่วยจนไม่สามารถบริหารราชการได้ เจ้าพระยาไทรบุรีจึงแต่งตั้งกูเด็นบิน กูแมะ ข้าราชการฝ่ายปกครองของเมืองไทรบุรี มาเป็นผู้ช่วยราชการเมืองสตูล เพื่อช่วยประคับประคองการบริหารราชการ พระยาอภัยนุราช(ตนกูอับดุลเราะห์มาน) ถึงแก่อนิจกรรมใน พ.ศ.๒๔๔๐ และไม่มีบุตรสืบทายาทเป็นเจ้าเมืองสตูล
หลุมฝังศพพระยาอภัยนุราช (ตนกูอับดุลเราะห์มาน)
ร่างของพระยาอภัยนุราช (ตนกูอับดุลเราะห์มาน) ถูกนำไปไปฝัง ณ กูโบร์โต๊ะมาโหม เหนือหลุมฝังศพของท่านก่อเป็นแท่นก่ออิฐถือปูนขนาดยาว ๒.๕๕ เมตร กว้าง ๑.๐๐ เมตร สูง ๐.๘๐ เมตร
เรียบเรียงข้อมูลโดย นายสารัท ชลอสันติสกุล นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที ๑๑ สงขลา
องค์ความรู้ : ศิลปวัฒนธรรมและโบราณสถานในจังหวัดชลบุรี
เรื่อง วัดใต้ต้นลาน
วัดใต้ต้นลานตั้งอยู่หมู่ที่ 9 ตำบลไร่หลักทอง อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2448 ตามคำบอกเล่าในหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม 20 ของกรมการศาสนา วัดใต้ต้นลานได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ.2451 สันนิษฐานว่าพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับวัดเคยเป็นแหล่งชุมชนโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เนื่องจากการขุดค้นพบโครงกระดูกและสิ่งของเครื่องใช้ของมนุษย์ที่มีอายุราว 2,200 ปีก่อน โดยนักโบราณคดีชาวไทยและฮอลันดา ในบริเวณเนินดินที่ห่างจากวัดไปประมาณ 1 กิโลเมตร หลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญของวัดใต้ต้นลาน ได้แก่ พระอุโบสถ หอไตรกลางน้ำ มณฑป และเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง
ภาพประกอบ : วัดใต้ต้นลาน ชลบุรี [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อ 26 มีนาคม 2564. เข้าถึงจาก https://www.thai-tour.com/place/1450
: องค์การบริหารส่วนตำบลไร่หลักทอง. 2563. สถานที่สำคัญ : วัดใต้ต้นลาน [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อ 26 มีนาคม 2564. เข้าถึงจาก http://railugthong.go.th/.../detail/id/1419/menu/1173/page/1
: tuk-tuk@korat. 2557.เที่ยวเมืองชล ... วัดใต้ต้นลาน, แหล่งโบราณคดีวัดโคกพนมดี อ.พนัสนิคม [ออนไลน์].เข้าถึงเมื่อ 26 มีนาคม 2564. เข้าถึงจาก https://www.bloggang.com/m/viewdiary.php...
#หอสมุดแห่งชาติชลบุรี #สำนักศิลปากรที่5ปราจีนบุรี #กรมศิลปากร #กระทรวงวัฒนธรรม #วัดใต้ต้นลาน #หอไตรกลางน้ำ #พระอุโบสถวัดใต้ต้นลาน #มณฑป #เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง #พนัสนิคม #ชลบุรี
วันศุกร์ที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. กรมศิลปากรได้รับมอบประติมากรรมรูปเคารพ จำนวน ๑๓ รายการ ซึ่งเป็นของที่ยึดได้จากการดำเนินคดีขบวนการลักลอบค้าโบราณวัตถุข้ามชาติในสหรัฐอเมริกา จากผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ โดยมี นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธาน ได้เดินทางมาตรวจรับและร่วมดำเนินการกับภัณฑารักษ์และนักวิทยาศาสตร์อย่างใกล้ชิด ในการตรวจสอบและตรวจพิสูจน์ตามขั้นตอนการรับมอบโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ของกรมศิลปากร อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า วัตถุทั้ง ๑๓ รายการ เป็นรูปเคารพเนื่องในศาสนาพุทธทั้งหินยานและมหายาน ยึดได้จากขบวนการค้าโบราณวัตถุของนายสุภัช คาปูร์ ซึ่งลักลอบนำโบราณวัตถุจากประเทศต่าง ๆ เข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยวิธีการที่ผิดกฎหมาย จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า ๒,๕๐๐ รายการ โดยหน่วยงานด้านกฎหมายของสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วย หน่วยงานต่อต้านการค้าโบราณวัตถุ สำนักงานอัยการเขตแมนฮัตตัน (Anti Trafficking Unit, Manhattan District Attorney) และสำนักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งสหรัฐอเมริกา ประจำนครนิวยอร์ก (HSI New York) ได้ร่วมกันดำเนินการสืบสวนคดีดังกล่าวตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จนกระทั่งสิ้นสุดคดี จึงได้ดำเนินการส่งมอบโบราณวัตถุสู่ประเทศต้นทาง โดยได้มีพิธีส่งมอบให้กับฝ่ายไทย คือสำนักงานกงสุลใหญ่ ณ นครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๔ การขนส่งประติมากรรมรูปเคารพดังกล่าวกลับสู่ประเทศไทย ได้รับความอนุเคราะห์จาก สำนักงานกงสุลใหญ่ ณ นครนิวยอร์ก ช่วยดำเนินการบรรจุหีบห่อ และจัดส่งผ่านทางกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ถึงประเทศไทยตั้งแต่วันที่ ๑๖ กรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ภายหลังจากที่กรมศิลปากรได้รับประติมากรรมรูปเคารพและดำเนินการตรวจพิสูจน์ พร้อมทั้งบันทึกสภาพตามขั้นตอนครบถ้วนแล้ว จึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมการเพื่อนำมาจัดแสดงให้ประชาชนได้เข้าชมศึกษาต่อไป
สูง ๓๘ เซนติเมตร
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประทานเมื่อ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๓
ปัจจุบันจัดแสดง ณ พระที่นั่งวสันตพิมาน (ชั้นบน) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พระวงศ์เธอ พระองค์เจ้ายี่เข่งเป็นพระธิดาในพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพชรหึง (พระโอรสในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท) พระองค์เจ้ายี่เข่งประสูติเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานแต่ต้องก่อน พ.ศ. ๒๓๕๘ ซึ่งเป็นปีที่พระราชทานเพลิงศพพระองค์เจ้าเพชรหึง เมื่อพระวงศ์เธอ พระองค์เจ้ายี่เข่งประสูติทรงดำรงพระยศเป็นหม่อมเจ้า ทรงรับราชการเป็นพนักงานนมัสการมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้มารับราชการเข้านอกออกใน (ทำหน้าที่ติดต่อกับเจ้านายและข้าราชการฝ่ายหน้า) อีกตำแหน่งหนึ่ง แล้วโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพนักงานพระโอสถ
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนา หม่อมเจ้ายี่เข่ง เป็น พระวงศ์เธอ พระองค์เจ้ายี่เข่ง ทรงศักดินา ๒๐๐๐ เมื่อวันศุกร์ เดือน ๑๒ แรม ๔ ค่ำ ปีกุนนพศก จ.ศ. ๑๒๔๙ ตรงกับวันที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๐ พร้อมพระราชทานเครื่องยศ อันประกอบด้วย หีบหมากทองคำลงยาราชาวดี กาน้ำทองคำรูปทรงกระบอก เป็นเครื่องประกอบเกียรติยศ ปรากฏตามคำประกาศว่า
“...ได้รับราชการเป็นพนักงานนมัสการมาแต่ในรัชกาลที่ ๔ ครั้นในรัชกาลปัตยุบันนี้ ทรงเห็นว่าเป็นผู้มีความอุสาหะไม่มีเกียจคร้านแลว่องไวกล้าหาญ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกมาสําหรับรับราชการเข้านอกออกใน แลยังคงรับราชการอยู่ในพนักงานนมัสการด้วย ก็ทรงรับราชการทั้งสองตําแหน่งได้ราชการเป็นอันมาก มีพระทัยจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทยิ่งนัก มิได้เห็นแก่ผลประโยชน์สินจ้างสินบนให้เสียราชการ แลเสียเกียรติยศแต่สักครั้งหนึ่งเลย จนเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยเป็นอันมาก โปรดเกล้าฯ ให้เป็นพนักงานในการพระโอสถแลการอื่น ๆ อันเป็นการที่จะรักษาพระองค์ให้ทรงสบาย ก็มีความอุสาหะใส่ใจระวังมิให้คลาดเคลื่อน ถึงว่าบางทีจะทําการเกินไปบ้างตามพระอัธยาศัยเดิม ก็เป็นไปโดยความจํานงประสงค์ที่จะให้เจริญพระบรมสุขในพระองค์อย่างเดียว จะหาผู้ที่มีความจงรักภักดีมีใจผูกพันในใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทให้เสมอเหมือนได้โดยยากจึงทรงพระดําริห์ว่าในรัชกาลก่อน ๆ มา หม่อมเจ้าฝ่ายพระราชวังบวรยังหามีพระองค์ใดที่ได้เคยรับพระราชทานพระสุพรรณบัฏเป็นพระองค์เจ้าไม่ ก็เพราะหม่อมเจ้าในพระราชวังบวรยังไม่มีผู้ใดได้รับราชการมีความชอบเสมอหม่อมเจ้ายี่เข่งนี้เลย หม่อมเจ้ายี่เข่งได้รับราชการครั้งนี้ เป็นการพิเศษกว่าหม่อมเจ้าในพระราชวังบวรมาแต่ก่อน ๆ ก็เป็นการสมควรที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกย่องความชอบให้พิเศษกว่าหม่อมเจ้าในพระราชวังบวรแต่ก่อน ๆ นั้น จะได้เป็นบําเหน็จรางวัลในการที่หม่อมเจ้ายี่เข่งได้ฉลองพระเดชพระคุณมาถึง ๒๐ ปีจนทรงพระชรามีพระชนมายุมากแล้วฉนี้จะได้เป็นพระเกียรติยศปรากฏความชอบสืบไปสิ้นกาลนาน แลจะได้เป็นเยี่ยงอย่างแก่พระบรมวงศานุวงศ์ แลข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งฝ่ายหน้าฝ่ายในจะได้มีใจจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทสืบไปภายหน้า...”
มีเกร็ดเล่ากันถึงเรื่อง “ถึงว่าบางทีจะทําการเกินไปบ้างตามพระอัธยาศัยเดิม” ตามประกาศนี้คือ เมื่อทรงเป็นพนักงานพระโอสถ คราวหนึ่งพระองค์เจ้ายี่เข่งทรงเชิญพระโอสถมาถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเพื่อเสวย แต่พระองค์ทรงรีรอไม่รีบเสวย พระองค์เจ้ายี่เข่งฉวยไม้บรรทัดบนโต๊ะทรงพระอักษรขึ้นขู่ว่า ถ้าไม่รีบเสวยพระโอสถจะทรงถวายตี เป็นที่ทรงขบขันของรัชกาลที่ ๕ ทรงนำเล่าพระราชทานพวกข้างในว่า "ฉันไม่กินยา เจ้าเข่งแกจะตีฉัน"
พระวงศ์เธอ พระองค์เจ้ายี่เข่ง สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ เมื่อวันจันทร์ เดือน ๓ ขึ้น ๑๔ค่ำ ปีวอก อัฐศก จ.ศ. ๑๒๕๘ ตรงกับวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๓๙ (พระชันษาไม่น้อยกว่า ๘๑ โดยเทียบจากปีที่พระราชทานเพลิงพระศพพระองค์เจ้าเพชรหึง คือ พ.ศ. ๒๓๕๘-๒๔๓๙) พระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุวัดสระเกศ วันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๑
ที่ฐานด้านพระรูปพระองค์เจ้ายี่เข่ง เขียนอักษรไทยเขียนว่า “นายแววปันถ่วาย” สำหรับนายแววผู้ปั้นถวายนี้ มีหลักฐานว่า ได้รับเหรียญดุษฎีมาลาเงิน เข็มศิลปวิทยา (ช่างปั้น) เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๓ อีกด้วย