ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ

องค์ความรู้จากสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่เรื่อง : บ่อเกลือโบราณเมืองน่านเรียบเรียงโดย : นายพลพยุหะ  ไชยรส นักโบราณคดีปฏิบัติการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่     บ่อเกลือโบราณเมืองน่านเป็นบ่อเกลือสินเธาว์ที่มีสายแร่ธาตุอยู่ใต้แนวลำน้ำน่านและลำน้ำมาง อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน เป็นบ่อเกลือที่มีความสำคัญมาตั้งแต่โบราณ อย่างน้อยตั้งแต่พุทธศตวรษที่ 20 – 21 โดยปรากฏในตำนานพื้นเมืองน่าน กล่าวถึง พระเจ้าติโลกราชแห่งอาณาจักรล้านนายกทัพมาตีเมืองน่านเพื่อต้องการส่วยเกลือ ความว่า “เมื่อนั้นท่าน (ท้าวอินทะแก่น) แต่งผู้ใช้เอาเกลือบ่อมางไปเป็นแขกพระยาติโลกเมืองเชียงใหม่หั้นแล ลูนแต่หั้นหน่อยหนึ่งพระยาติโลก มักใคร่ได้เมืองน่านไปส่วยค้ำเมืองพิงค์เชียงใหม่” ความอุดมสมบูรณ์ของเกลือเมืองน่านยังมีกล่าวถึงในบันทึกการเดินทางของพระวิภาคภูวดล หรือ เจมส์ แมคคาร์ธี เจ้ากรมแผนที่ทหารที่กล่าวว่า “ที่ต้นน้ำน่านมีบ่อเกลือและมีการทำเกลือเป็นจำนวนมาก” อีกด้วย     บ่อเกลือเมืองน่านบ่อใหญ่ที่สุดคือ “บ่อหลวง” ตั้งอยู่บ้านบ่อหลวง อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน บนแอ่งเล็กๆ ที่มีเทือกเขาผีปันน้ำและดอยภูคาขนาบข้าง โดยปรากฏหลักฐานการตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนเมืองตั้งแต่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 - 23 จากเศษภาชนะดินเผาเครื่องถ้วยล้านนา เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หมิง เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ชิง ที่ได้จากการสำรวจทางโบราณคดีในชุมชน นอกจากนี้ยังพบจารึกศักราช จ.ศ.927 หรือปี พ.ศ. 2108 ซึ่งพบในวัดร้างบริเวณที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงพยาบาลบ่อเกลือปัจจุบัน กล่าวถึงขุนนาง ระดับ “แสน” สร้างวัดริมน้ำมาง ความว่า “...เจ้าหัวแสนตนนี้ เมืองหมื่นขุนโขง กลางเมืองโสการัง ผลบุญทั้งหลายสร้างอารามที่นี้ไว้” แสดงให้เห็นความสำคัญของชุมชนโบราณบ่อเกลือน่านในฐานะแหล่งผลิตเกลือที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรล้านนา โดยเกลือที่ผลิตได้ถือเป็นสินค้าสำคัญที่มีราคาสูงของอาณาจักร     นอกจากบ่อเกลือบ่อหลวงแล้วยังมีบ่อเกลืออีกหลายบ่อกระจายตัวไปทางด้านทิศเหนือตามลำน้ำน่านและลำน้ำสาขา ได้แก่ บ่อเวร บ่อแคะ บ่อหยวก บ่อตอง บ่อกิ๋น บ่อน่าน บ่อเจ้า และบ่อเกล็ด ทั้งนี้ในปัจจุบันปรากฏการทำเกลือเพื่อการบริโภคให้เห็นเพียงบางบ่อเท่านั้น เช่น  บ่อหยวก หรือบ่อเวร เป็นต้น     สำหรับการผลิตเกลือของบ่อเกลือเมืองน่านจะเริ่มตั้งแต่ช่วงออกพรรษาถึงเข้าพรรษา และจะไม่ทำเกลือในหน้าฝนเนื่องจากจะทำให้น้ำเค็มธรรมชาติมีความเจือจาง มีกรรมวิธีการผลิตเกลือ คือ ตักน้ำเกลือจากบ่อเกลือโดยใช้วิธีคานน้ำหนักตักน้ำเกลือขึ้นมา นำน้ำเกลือไปต้มในโรงต้มเกลือซึ่งภายในจะมีเตาต้มเกลือที่ก่อด้วยดินมีลักษณะเป็นเตาคู่มีช่องใส่ฟืนด้านล่างกลางเตา และช่องใส่กะทะต้มเกลือด้านบนสองช่อง โดยทำการต้มเกลือประมาณ 4 ชั่วโมง เกลือจึงตกผลึก ในช่วงนี้ต้องใช้ไม้พายคนและเติมน้ำเกลือลงไปเพิ่ม เพื่อไม่ให้เกลือติดก้นกะทะ เมื่อเกล็ดเกลือตกผลึกได้ที่แล้วจะใช้ “แปน” ตักเกลืออกจากกะทะไปใส่ “ส่า” ซึ่งเป็นตะกร้าสานไม้ไผ่ แล้วนำเอาส่าที่มีเกลือแขวนไว้เหนือเตาอีก 4 ชั่วโมง เพื่อให้น้ำระเหยออกจนหมด เกลือที่แห้งแล้วจะถูกนำไปเก็บรักษาไว้ในเสวียนซึ่งมีลักษณะเป็นคล้ายถังขนาดใหญ่ที่สานจากไม้ไผ่ใช้สำหรับเก็บรักษาเกลือ โดยการต้มเกลือหนึ่งเตาจะได้เกลือประมาณ 15 กิโลกรัม-----------------------------------อ้างอิง-กรมศิลปากร, พงศวดารเมืองน่าน ฉบับวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร (น่าน : สำนักศิลปากรที่ ๗ น่าน กรมศิลปากร, 2557), 18.วลัยลักษณ์ ทรงศิริ, ความสำคัญของเกลือสินเธาว์ที่มีผลกระทบต่อชุมชนโบราณ : กรณีศึษาบ้านบ่อหลวง ตำบลบ่อเกลือใต้ กิ่งอำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน (สารนิพนธ์ ปริรญญาศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดี ภาควิชาโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร), 69-86.ฉ่ำ ทองคำวรรณ, จารึกที่ 75 อ่านและอธิบาย ใน ศิลปากร, ปีที่ 5, ฉบับที่ 1 (พฤษภาคม 2504), 54-56.รัตนาพร เศรษฐกุล, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจวัฒนธรรม แอ่งเชียงใหม่ – ลำพูน (เชียงใหม่ : ซิลค์วอร์ม, 2552),125 -127.


ชื่อผู้แต่ง        กองหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ชื่อเรื่อง         นามประพันธ์ของนักเขียนไทยที่ใช้ในบัตรราชการ ครั้งที่พิมพ์     พิมพ์ครั้งที่ 2   สถานที่พิมพ์   กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์     โรงพิมพ์พระสุเมรุ ปีที่พิมพ์        2516 จำนวนหน้า    120 หน้า รายละเอียด              หนังสือคู่มือสำหรับบรรณารักษ์ตามหลักการลงรายการชื่อผู้แต่งต้องลงนามจริงแต่ผู้เขียนบางคนนิยมใช้นามแฝง จึงจำเป็นต้องใช้คู่มือค้นจากนามแฝงเนื้อหานามจริง ซึ่งหอสมุดแห่งชาติได้จัดทำขึ้น




ชื่อผู้แต่ง             กรมป่าไม้ ชื่อเรื่อง               พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๐๓ และพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ และคำปราศรัยของ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชน์ ครั้งที่พิมพ์           - สถานที่พิมพ์         พระนคร สำนักพิมพ์           โรงพิมพ์อำพลพิทยา ปีที่พิมพ์              ๒๕๐๗ จำนวนหน้า          ๗๒  หน้า หมายเหตุ            กรป่าไม้ กระทรวงเกษตร พิมพ์สมทบแจกในงานพระราชทานเพลิงศพฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชน์                          ประวัติย่อของ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชน์ ท่านเป็นผู้นำประเทศได้เล็งเห็นความสำคัญของป่าไม้ ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติอันสำคัญยิ่งสำหรับชีวิตของชาวไทย และความเป็นอยู่ของประเทศไทย ได้มีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติป่าไม้ให้รัดกุมยิ่งขึ้นได้ออก พรบ.สงวนและค้มครองสัตว์ป่า พรบ.อุทยานแห่งชาติ เพื่อให้สอดคล้องกับต่างประเทศที่เจิญแล้ว


การแห่ไม้ก๊ำสะหรี (ไม้ค้ำโพธิ์)ไม้ก๊ำหรือไม้ค้ำ มีลักษณะเป็นท่อนไม้ยาวหลากหลายขนาด ที่ปลายทำเป็นง่ามสำหรับค้ำกิ่งไม้ มีการประดับตกแต่งให้สวยงามด้วยการทาสีหรือหุ้มด้วยกระดาษเงินกระดาษทอง ส่วนสะหรีหรือสรี หมายถึง ต้นศรีมหาโพธิ์ ต้นไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าและศาสนาพุทธ อ.สนั่น ธรรมธิ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมล้านนา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ประเพณีการแห่ไม้ค้ำสะหรีน่าจะเริ่มต้นที่วัดพระธาตุศรีจอมทอง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เป็นที่แรก แล้วจึงเริ่มกระจายออกไปทั่วภาคเหนือในปัจจุบันที่มาภาพ: เชียงใหม่นิวส์. ประเพณีแห่ไม้ค้ำโพธิ์ วัดพระธาตุศรีจอมทอง. เผยแพร่ทางเว็บไซต์เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2562.การแห่ไม้ค้ำสะหรีนิยมทำใน ๒ พิธีกรรมหลัก ๆ ได้แก่ พิธีสืบชะตา และสงกรานต์ โดยการแห่ไม้ค้ำสะหรีนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ถวายไม้ค้ำได้รับพรสมอย่างที่ตนปรารถนา สร้างเสริมสิริมงคลแก่ตนเอง ค้ำจุนชีวิตให้เจริญรุ่งเรือง ไม่ตกต่ำ และค้ำจุนพระพุทธศาสนา ในช่วงปีใหม่เมืองของทุกปี ชุมชนที่มีการแห่ไม้ค้ำสะหลีจะจัดขบวนแห่อย่างยิ่งใหญ่วนไปรอบชุมชนก่อนจะนำไปถวายที่วัด จัดเป็นขบวนแห่งานบุญใหญ่ไม่แพ้งานปอยหลวงหรือขบวนแห่สลากภัต (ตานก๋วยสลาก) เลยก็ว่าได้ที่มาภาพ: ข่าวสดออนไลน์. คอลัมน์ รู้ไปโหม้ด : ไม้ค้ำโพธิ์ - ไม้ค้ำสะหลี. เผยแพร่ทางเว็บไซต์เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2559.


          กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม จัดนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช ๒๕๖๕ เรื่อง “อาโรคยปณิธาน” ระหว่างวันที่ ๑๕ พฤษภาคม - ๗ สิงหาคม ๒๕๖๕ ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร          ความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นหนึ่งในความทุกข์ ๔ ประการของมนุษย์ (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) ตามความเชื่อทางพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกผู้คนต่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เมื่อโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นกับผู้ใดแล้วย่อมสร้างความไม่สบายกายไม่สบายใจต่อตัวผู้ป่วยเอง จนต้องหาหนทางบำบัดรักษาให้หายจากโรคภัยนั้น แต่ถ้าหากโรคภัยเกิดขึ้นกับคนในสังคมพร้อม ๆ กัน ย่อมต้องมีความอลหม่าน วุ่นวายเกิดขึ้นมากมาย แม้ว่าเราเรียนรู้ว่าโรคระบาดได้สร้างความเจ็บป่วยล้มตายแก่คนในสังคมมาตั้งแต่อดีต แต่ในปัจจุบันระบบสาธารณสุข มีการพัฒนาสามารถควบคุมและจัดการโรคได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เราห่างไกลจากคำว่า “โรคระบาด” จนกระทั่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ( Covid-19) สร้างวิกฤติให้กับประชากรโลกตลอด ๒ ปีที่ผ่านมา จึงเกิดการเรียนรู้เพื่อสู้โรคขนานใหญ่ องค์ความรู้ด้านการรักษาโรคในอดีตถูกพลิกฟื้น ควบคู่ไปกับการค้นคว้าทดลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อผลิตยารักษา และวัคซีนป้องกันโรค มุ่งหมายเพื่อหาแนวทางการบำบัดแก้ไขโรคร้ายให้คลายลง          ในอดีตที่ผ่านมา มนุษย์พยายามแสวงหาหนทางให้พ้นจากโรค ไม่ว่าจะด้วยสัญชาตญาณ การสังเกตจากธรรมชาติและสัตว์ การลองผิดลองถูก จนสั่งสมขึ้นเป็นภูมิปัญญาของมนุษย์ในการรักษาโรค ซึ่งมีทั้งการรักษาเยียวยาทางกาย และจิตใจ การป้องกันไม่ให้เกิดโรค และยังคงต้องคิดหาหนทางใหม่ ๆ ที่จะต่อสู่กับโรคภัยไข้เจ็บอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ หากเราได้ศึกษาเรียนรู้โรคภัย ที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตมนุษย์ และทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการรักษาโรค ตระหนักถึงบทบาทและหน้าที่อันสำคัญของแต่ละบุคคล ชุมชน รัฐ และผู้นำ ที่ดำเนินมาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน เพื่อถอดบทเรียนจากประสบการณ์ในอดีต นำมาวิเคราะห์ ปรับใช้ ในการจัดการของทุกภาคส่วนของสังคมมนุษย์ก็อาจผจญกับโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างเท่าทัน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต          เพื่อการเรียนรู้และเข้าใจโรคระบาดที่ประชากรโลกกำลังเผชิญอยู่ กรมศิลปากรจึงได้กำหนดจัดนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช ๒๕๖๕ เรื่อง “อาโรคยปณิธาน” อันหมายถึงความปรารถนาที่จะให้ปวงมนุษยชาติพ้นจากโรค ประกอบด้วยหัวข้อ มนุษย์กับโรคภัย นำเสนอเรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วยของมนุษย์ โรคภัยของมนุษย์จากหลักฐานทางโบราณคดี นำเสนอโรคต่าง ๆ ที่พบบนผืนแผ่นดินไทยตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน โดยอ้างอิงจากหลักฐานต่าง ๆ ทั้งทางด้านโบราณคดี ภาพจิตรกรรมฝาผนัง จารึก และบันทึกต่าง ๆ ศาสตร์แห่งการรักษา นำเสนอแนวทางการรักษาโรคที่มีวิธีอธิบายสมุฏฐานและวิธีบำบัดโรคมากกว่าหนึ่งวิธีได้แก่ ศาสตร์ด้านความเชื่อ ศาสตร์ด้านการแพทย์แผนไทย และศาสตร์ด้านการแพทย์แผนตะวันตก และสังคมระดมปัญญา สู่ชีวิตวิถีใหม่ นำเสนอการจัดการวิกฤติโรคระบาดในสังคมไทยให้ผ่านพ้นจากโรคร้ายด้วยพลังของทุกภาคส่วนในสังคม          สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินเปิดนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช ๒๕๖๕ เรื่อง “อาโรคยปณิธาน” ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม จนถึงวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๕ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. (ปิดวันจันทร์และอังคาร)คัมภีร์พระตำรับแผนฝีดาษศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๕           พระเจ้าราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นอักษรสาสนโสภนและหลวงสารประเสริฐทรงชำระและชำระเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๔ ได้มาจากห้องสมุดกรมศึกษาธิการ สำนักหอสมุดแห่งชาติ สมุดไทยดำ อักษรขอมปนไทย เส้นชุบทอง ประกอบด้วยแผนภาพฝีดาษประจำ ๑๒ เดือน วิธีการรักษา พร้อมทั้งตำรับยาในการรักษาอาการระดับต่างๆ (ยามหาระงับ เอก โท) รวมไปถึงการอธิบายลักษณะของฝีขึ้นวันกำเนิดเป็นฝีร้ายและลักษณะฝีที่ขึ้นเครื่องประดับข้อพระกร ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๒๐ ได้จากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา หอยเบี้ยจั่นพร้อมตลับและสายสร้อยข้อมือทองคำ พบจากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ สันนิษฐานว่าเป็นการนำหอยเบี้ยมาใช้เป็นเครื่องรางของขลัง เนื่องด้วยหอยเบี้ยมีตลับปิดมิดชิด ในศาสนาฮินดูใช้หอยเบี้ยจั่นเป็นตัวแทนพระลักษมีในการบูชาพระนาง โดยที่พระนางลักษมี เป็นเทวีแห่งโชคลาภ การบูชาด้วยเบี้ยจั่นจึงถือว่าทำให้เกิดความมั่งคั่ง และความเจริญรุ่งเรือง ทั้งนี้ปกติแล้วเบี้ยจั่นใช้เป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนซื้อขายมาแต่โบราณ โดยใช้เป็นเงินปลีก ตัวตัวอย่างจารึกวัดป่ามะม่วง (ภาษาไทย) หลักที่ ๑ พ.ศ. ๑๙๐๔ กล่าวถึงการบำเพ็ญทานฉลองพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ของพระมหาธรรมราชาที่ ๑ ตอนหนึ่งว่า “แล้วกระยาทานคาบนั้นทองหมื่นหนึ่ง เงินหมื่นหนึ่ง เบี้ยสิบล้าน หมากสิบล้าน ผ้าจีวรสี่ร้อย บาตรีสี่ร้อย หมอนนั่งสี่ร้อย หมอนนอนสี่ร้อย...”สมุดไทยขาวตำราแม่ซื้อ ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕ สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร หนังสือสมุดไทยขาว หมวดเวชศาสตร์ เลขที่ ๑๐๒ เขียนภาพลงสี ลักษณะแม่ซื้อประจำวันต่างๆ และลำบองราหู ลักษณะที่เกิด พร้อมทั้งวิธีแก้ บรรยายภาพด้วยอักษรไทย ลายเส้นสีดำ จิตรกรรมลำบองราหู ที่ปรากฏในสมุดไทยเล่มนี้ เป็นรูปอมนุษย์ ที่แสดงลักษณะอาการของโรคในเด็กทารก ตั้งแต่แรกเกิดจนมีอายุครบขวบปี โดยความเจ็บไข้ของเด็กในช่วงปีแรกเกิดขึ้นเพราะอำนาจของลำบองราหู ที่มีอาการและรูปลักษณะแตกต่างกันไปในแต่ละเดือน รูปลักษณ์ของลำบองราหูจึงปรากฏการใช้สัญลักษณ์ประจำจักรราศี (๑๒ ราศี) มาเป็นองค์ประกอบของรูปเพื่อสื่อความหมายถึงโรคภัยในเดือนนั้นๆ ด้วย ภาพลำบองราหูที่ปรากฏในหนังสือสมุดไทยขาวเล่มนี้ มีความคล้ายคลึงกับภาพจิตรกรรลำบองราหู บริเวณคอสองเฉลียงศาลาราย (ศาลาแม่ซื้อ) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรวิหารพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ นายเสียง ปาลวัฒน์ (เป้า) สร้างอุทิศให้นายสำรวย ปาลวัฒน์ (บุตร) รูปเคารพทางพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทที่มีเค้าลางเรื่องการสะเดาะเคราะห์ ต่ออายุ เรียกว่า พระช่วยชีพ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ทรงจีวรลายดอก ซึ่งเป็นที่นิยมสร้างในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ถือเป็นพระพุทธรูปกลุ่มที่นิยมสร้างเพื่อนำไปถวายเป็นพุทธบูชา มีการเว้นที่ว่างสำหรับจารคำอธิษฐาน ขออำนาจพุทธเทวดาบันดาลให้บุตรหายป่วย แสดงให้เห็นถึงความเชื่อเรื่องการต่ออายุด้วยการอุทิศรูปเคารพ ในลักษณะเดียวกับการสร้างพระพุทธรูปถวายเจ้านายพระองค์สำคัญอย่าง พระนิรโรคันตราย พระพุทธนิรโรคันตราย หรือ พระพุทธศรีสงขลานครินทร์พระกริ่งบาเก็ง ศิลปะจีน พุทธศตวรรษที่ ๑๘ เป็นของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมาแต่เดิม พระเครื่องจำลองรูปพระไภษัชยคุรุ นิยมนำไปใส่ลงในภาชนะเพื่อทำน้ำมนต์ สำหรับดื่มชำระโรคภัยและใช้ประพรมเพื่อความเป็นสิริมงคล มีต้นแบบสำคัญอยู่ในประเทศทิเบต แล้วแพร่หลายต่อไปยังประเทศจีน โดยพระกริ่งกลุ่มนี้พบบนเขาพนมบาเก็ง ประเทศกัมพูชา ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีพระวินิจฉัยว่าถูกนำเข้ามาจากประเทศจีน ทั้งนี้ แม้ความเชื่อเรื่องการดื่มน้ำมนต์เพื่อรักษาโรคจะถูกลดบทบาทลงเหลือเพียงการใช้ประพรมก็ตาม แต่อำนาจพุทธคุณของพระกริ่งยังคงเป็นที่นับถือสืบมาจนปัจจุบันแท่นหินบดยา มีจารึกเยธมฺมาฯ ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล พบที่จังหวัดนครปฐม พ.ศ. ๒๕๐๗ กลุ่มหนังสือตัวเขียนและจารึก สำนักหอสมุดแห่งชาติ แท่นหินบดยา พบเหลือครึ่งแท่นตามแนวขวาง ใต้แท่นหินบดยา มีคาถา เยธมฺมาฯ จำนวน ๕ บรรทัด อักษร ปัลลวะ ภาษาบาลี นายเทิม มีเต็ม ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาตะวันออก (ผู้ทรงคุณวุฒิกรมศิลปากร) ได้อธิบายว่า การนำคาถาเย ธมฺมา ซึ่งเป็นหัวใจพระพุทธศาสนามาจารึกบนแท่นหินบดยาจะทำให้ตัวยาศักดิ์สิทธิ์ด้วยพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับยานี้จะพ้นจากโรคคือการพ้นจากทุกข์ ปัจจุบันพบแท่นหินบดยาที่มีจารึกคาถาเยธมฺมาเพียง ๒ ชิ้น จึงนับเป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนความเชื่อและความศรัทธาของผู้คนในสมัยทวารวดีที่มีต่อพระพุทธศาสนาและปรุงยารักษาโรคหน้ากากให้ยาสลบแบบชิมเมลบุช สเตนเลส พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน หน้ากากชิมเมลบุช เป็นเครื่องมือทางวิสัญญีวิทยา ประดิษฐ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2433 โดย นพ.เคอร์ท ชิมเมลบุช ศัลยกรรมชาวเยอรมัน มีลักษณะเป็นตะแกรงหน้ากากโปร่ง หุ้มด้วยผ้าสำสีหรือผ้าก็อซสำหรับหยดยาสลบ แล้วนำไปครอบจมูกและปากให้ผู้ป่วยสูดดม ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ยุคเริ่มแรกสำหรับการผ่าตัดภายในโรงพยาบาลศิริราช เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกแก่ศัลยแพทย์ในการผ่าตัดให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และลดอาการเจ็บปวดของผู้ป่วยได้อย่างดีประติมากรรมฤาษีดัดตน ศิลปะรัตนโกสินทร์ คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมการแพทย์แผนโบราณ และศิลปวิทยาการครั้งกรุงศรีอยุธยาไว้ ทรงพระราชดำริเอาท่าดัดตนของโยคีอินเดียที่เป็นการออกกำลังกายที่ใช้ศิลปะ เพื่อการมีสุขภาพที่แข็งแรง และแก้ปวดเมื่อย ปั้นด้วยดินเป็นฤาษีดัดตนท่าต่างๆ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้หล่อเป็นเนื้อชินปืนกลพระสุบินบันดาล ศิลปะรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ ๔) คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างขึ้น ตามที่ทรงพระสุบินว่ามีปืนอย่างหนึ่งซึ่งเป็นรูปปืนใหญ่แต่ยิงได้หลายๆ นัด ตั้งไว้ที่หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างปืนตามกระแสพระสุบิน เมื่อสร้างเสร็จ ทอดพระเนตรแล้วก็รับสั่งว่าไม่เหมือนที่ทรงพระสุบิน แต่ยิงได้หลายนัดคล้ายคลึงกัน จึงพระราชทานชื่อว่า “พระสุบินบันดาล”


          สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นผู้มีพระปรีชาสามารถในด้านดนตรีและทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีไทยพระองค์หนึ่ง ทรงสนพระทัยในดนตรีมาตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์ และทรงเริ่มหัดดนตรีไทยในขณะที่ทรงศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนจิตรลดา โดยทรงเลือกหัดซอด้วงเป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรก หลังจากที่ทรงเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงเข้าร่วมชมรมดนตรีไทยของสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและคณะอักษรศาสตร์ โดยทรงเล่นซอด้วงเป็นหลัก และทรงเริ่มหัดเล่นเครื่องดนตรีไทยชิ้นอื่นๆ ด้วย เครื่องดนตรีที่โปรดทรงอยู่ประจำ คือ ระนาด ซอ และฆ้องวง ในด้านดนตรีสากล พระองค์ทรงเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่พระชนมายุ ๑๐ พรรษา และทรงฝึกเครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องเป่าจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ จนสามารถทรงทรัมเป็ตนำวงดุริยางค์ในงานคอนเสิร์ตสายใจไทย และทรงระนาดฝรั่งนำวงดุริยางค์ในงานกาชาดคอนเสิร์ตได้ นอกจากจะทรงดนตรีแล้ว ยังทรงสนพระทัยในด้านการขับร้องด้วย ทรงเรียนขับร้องเพลงไทยกับอาจารย์เจริญใจ สุนทรวาทิน ด้านการขับร้องเพลงไทยทำนองเสนาะกับอาจารย์กำชัย ทองหล่อ ส่วนการประพันธ์บทเพลงนั้นทรงนิพนธ์คำร้องเพลงลูกทุ่ง ชื่อเพลง “ส้มตำ” เป็นเพลงแรก ใน พ.ศ. ๒๕๑๓ และยังมีเพลงอื่นๆ ที่ทรงนิพนธ์ไว้ ได้แก่ เต่ากินผักบุ้ง เต่าเห่ พญาโศก ดุจบิดรมารดา ลอยประทีปเถา เมนูไข่ รัก เป็นต้น          สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระทัยและทรงมีพระวิริยะอุตสาหะในการศึกษาดนตรีทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ทรงส่งเสริมและสนับสนุนการดนตรีโดยมีการเผยแพร่และถ่ายทอดไปยังเยาวชน โดยเฉพาะดนตรีไทยซึ่งเป็นมรดกที่สำคัญของไทย เนื่องจากทรงเห็นคุณประโยชน์ของดนตรีว่าเป็นวิชาชีพได้อย่างดี เป็นประณีตศิลป์ที่หาผู้เรียนได้ยากแขนงหนึ่ง สามารถหล่อหลอมจิตใจผู้เล่นให้เป็นคนมีวัฒนธรรมประจำใจ มีระเบียบรอบรู้ในประเพณีและแบบแผน ที่สำคัญคือทำให้เป็นคนสุขุม อดทน มีความสามัคคี และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ดนตรีจึงมีความสำคัญต่อเยาวชนเป็นอย่างมาก ดังพระราชกระแสดำรัสตอนหนึ่งความว่า          “ดนตรีไทยเป็นมรดกอันล้ำค่าของชาวไทย ความล้ำค่าของดนตรีไทยนั้นอยู่ที่ดนตรีไทยและเพลงไทยได้สะท้อนความเป็นไทยในส่วนที่เป็นความละเอียดอ่อน ละเมียดละไม อ่อนโยนต่อธรรมชาติและเพื่อนมนุษย์ได้อย่างหมดจดยิ่งกว่าวัฒนธรรมด้านอื่นๆ การรู้จักดนตรีไทยย่อมเป็นการรู้จักความละเมียดละไมของบรรพชนไทยได้เป็นอย่างดี และจะช่วยให้ตระหนักถึงความสำคัญของความเป็นไทยอย่างชื่นชมตลอดไปด้วย”          การได้รับพระราชสมัญญาว่าทรงเป็น “องค์เอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย” โดยเฉพาะในส่วนของดนตรีนั้น จะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงมีพระราชจริยาวัตรหลายประการที่ทรงมีคุณูปการต่อวงการดนตรี ดังนี้           ๑. ทรงวางพระองค์เป็นแบบอย่างแก่ประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนไทย โดยทรงดนตรีไทย ขับร้องเพลงไทย และพระราชทานในโอกาสพิเศษ โดยเสด็จลงทรงดนตรีไทยร่วมกับประชาชนทุกเพศทุกวัยเสมอมา            ๒. ทรงเป็นนักวิชาการดนตรี โดยทรงศึกษารายละเอียดต่างๆ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ สามารถพระราชทานข้อวินิจฉัย ข้อเสนอแนะ และทรงปฏิบัติได้อย่างถ่องแท้           ๓. ทรงอนุรักษ์ดนตรีไทย ทั้งในด้านการชำระโน้ตเพลง บันทึกเพลงเก่า และเผยแพร่งานเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง            ๔. พระราชนิพนธ์บทความเกี่ยวกับดนตรีไทย ดนตรีต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับไทย และเพลงไทยอย่างต่อเนื่อง            ๕. ทรงส่งเสริมช่างผลิตเครื่องดนตรีไทย สนับสนุนให้ใช้เครื่องดนตรีไทยในการเรียนการสอนดนตรีของเยาวชน โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องดนตรีจากต่างประเทศ            ๖. ทรงส่งเสริมและสนับสนุนในด้านการศึกษาดนตรี โปรดให้มีการเรียนปี่พาทย์ในนักเรียนชั้นประถมศึกษา ทรงพระราชทานชุดเครื่องดนตรีไทยแก่โรงเรียนต่างๆ เพื่อใช้ในการเรียนการสอน และส่งเสริมให้มีการเรียนการสอนดนตรีสำหรับผู้พิการทางสายตา โดยพระราชทานครูไปสอน ๗. ทรงส่งเสริมสถาบันต่างๆ ให้จัดรายการเผยแพร่วัฒนธรรมไทย เช่น การประชันปี่พาทย์ การทรงสักวา การแสดงนาฏศิลป์ โดยเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธาน และทรงร่วมกิจกรรมดนตรีทั้งหลายอย่างใกล้ชิด           ๘. ทรงสนับสนุนการเก็บรักษาและอนุรักษ์เครื่องดนตรีไทย และมีพระราชดำริในการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรีไทยขึ้นในประเทศ          ๙. ทรงสนับสนุนการจัดตั้งแหล่งเรียนรู้ทางด้านดนตรี เพื่อให้เป็นแหล่งข้อมูลทางวิชาการดนตรี อันจะอำนวยประโยชน์แก่ประชาชนและเยาวชนของชาติในการศึกษาค้นคว้าเรื่องดนตรีไทยและดนตรีสากล ทรงพระราชทานนามให้ห้องสมุดดนตรีหลายแห่ง เช่น ห้องสมุดดนตรีทูลกระหม่อมสิรินธร สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ห้องสมุดดนตรีสมเด็จพระเทพรัตน์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นต้น นอกจากนี้ยังทรงพระราชทานแนวทางเพื่อการอนุรักษ์ พัฒนา และส่งเสริมกิจกรรมของห้องสมุดดนตรีด้วย           ด้วยพระอัจฉริยภาพ พระเกียรติคุณ และพระปรีชาสามารถทางด้านดนตรี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง ต่อวงการดนตรีของไทยทั้งด้านการศึกษา การทำนุบำรุง อนุรักษ์ และเผยแพร่ให้ปรากฏ จึงทำให้ดนตรีไทยเจริญรุ่งเรืองและมั่นคงสืบมาจนถึงปัจจุบัน ----------------------------------------------------เรียบเรียงโดย : นางสาวปริศนา ตุ้มชัยพร บรรณารักษ์ชำนาญการ สำนักหอสมุดแห่งชาติ ----------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. ที่ระลึกพิธีเปิดห้องสมุดดนตรี "ทูลกระหม่อมสิริธร". กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๓๗. กรมศิลปากร. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กับงานห้องสมุด. กรุงเทพฯ: องศาสบายดี, ๒๕๕๘. กองประวัติศาสตร์และโบราณคดีทหาร กองบัญชาการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ. “พระอัจฉริยภาพด้านดนตรี เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี.” วารสารสถาบันวิชาการป้องกัน ประเทศ. ๖, ๓ (พฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๕๘): ๕-๑๓. เทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สมเด็จพระ. รวมบรรเลงเพลงดนตรีมี่เสนาะ : รวมพระราชนิพนธ์ บทร้องเพลงไทยใน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พุทธศักราช ๒๕๑๐–๒๕๕๙. นครนายก: โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า สังกัดกระทรวงกลาโหม, ๒๕๖๑. หอสมุดดนตรีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ และห้องสมุดดนตรีทูลกระหม่อมสิรินธร. นิทรรศการ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีกับการดนตรี เนื่องในโอกาส ฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘. กรุงเทพฯ: หอสมุดดนตรีฯ, ๒๕๕๘.






องค์ความรู้ทางวิชาการ เรื่อง หินช้างสี  โดยนางสาวกุลวดี  สมัครไทย นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๘ ขอนแก่น #หินช้างสีไม่ได้มีแค่จุดชมวิว#ขอนแก่น #เที่ยวขอนแก่น #รีวิวขอนแก่น





ชื่อเรื่อง                     วารสารสมาคมสุพรรณพระนคร พ.ศ.2503ผู้แต่ง                        -ประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   ประวัติศาสตร์ เลขหมู่                      900สถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 โรงพิมพ์รามินทร์ปีที่พิมพ์                    2503ลักษณะวัสดุ               208 หน้าหัวเรื่อง                     ประวัติเจ้าพระยายมมราช                              ราชวงศ์บ้านพลูหลวงภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกวารสารเล่มนี้เป็นวารสารที่กล่าวถึงเรื่องราวในจังหวัดสุพรรณบุรี และเป็นความต้องการของผู้จัดทำที่อยากให้ใครที่มีเรื่องราวดีๆน่าสนใจได้นำมาลงในวารสาร ตามที่ผู้จัดทำวารสารกล่าว "ชาวสุพรรณ...ต้องได้อ่าน...วารสารสุพรรณ"


ชื่อเรื่อง                                สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม(สงฺคิณี-มหาปฏฐาน) สพ.บ.                                  อย.บ.52/1ประเภทวัสดุมีเดีย                   คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           30 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           บทสวด                                           พระวินัย                                            คำสอน บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


black ribbon.