ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ


องค์ความรู้ : ศิลปวัฒนธรรมและโบราณสถานในจังหวัดชลบุรี เรื่อง วัดเขาบางทราย วัดเขาบางทราย ตั้งอยู่ที่ตำบลบางทราย อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ชื่อวัดตั้งตามชื่อเรียกของท้องถิ่น คือ บางทราย สมัยก่อนชาวบ้านเรียกกันว่า วัดเขาพระพุทธบาทบางทราย เป็นเพราะด้านตะวันออกเฉียงเหนือของวัดเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ชาวบ้านจึงนำชื่อปูชนียวัตถุสำคัญนี้เรียกรวมไปกับชื่อวัดด้วย ปูชนียวัตถุและปูชนียสถานที่สำคัญของวัดเขาบางทราย ได้แก่ มณฑปพระพุทธบาท รอยพระพุทธบาท พระเจดีย์ตัน และพระเจดีย์โพรง วัดเขาบางทรายได้รับการยกฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2489 จัดทำโดย นางสาวจิดาภา ศรีพรหมมา นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพมหาวิทยาลัยบูรพา ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา #หอสมุดแห่งชาติชลบุรี #สำนักศิลปากรที่5ปราจีนบุรี #กรมศิลปากร #กระทรวงวัฒนธรรม #วัดเขาบางทราย #รอยพระพุทธบาท #มณฑปพระพุทธบาท #พระเจดีย์ตัน #พระเจดีย์โพรง #โบราณสถาน #พระอารามหลวงชั้นตรี #บางทราย #ชลบุรี                            



ชื่อเรื่อง                     มาเลยฺยสูตฺต (มาลัยสูตร)      สพ.บ.                       412/8ประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                   พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ               52 หน้า : กว้าง 4.7 ซม. ยาว 57.2 ซม.หัวเรื่อง                     พุทธศาสนา                              มาลัยสูตรภาษา                       บาลี/ไทยบทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี




ชื่อเรื่อง                                อสีติมหาสาวกนิพฺพาน (พระอสีติมหาสาวกนิพพาน) สพ.บ.                                  265/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           62 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธสาวก--ชีวประวัติ                                           สงฆ์--ชีวประวัติ บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ  ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


     ชื่อผลงาน: เวสสันดรชาดก กัณฑ์ฉกษัตริย์ (วาดไม่เสร็จ)      ศิลปิน: ขรัว อินโข่ง      เทคนิค: จิตรกรรมสีฝุ่นบนแผ่นไม้      ขนาด: กว้าง 75 ซม. สูง 55 ซม.      อายุสมัย: รัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 4 ปลายพุทธศตวรรษที่ 24)      รายละเอียดเพิ่มเติม: จิตรกรรมภาพเล่าเรื่องเวสสันดรชาดก ฝีมือการวาด โดย ขรัว อินโข่ง จิตรกรและพระภิกษุในราชสำนักคนสำคัญ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ขรัวอินโข่ง เป็นจิตรกรไทยคนแรกที่ริเริ่มนำเอาเทคนิคการแสดงความลึกด้วยเส้นนำสายตา (linear perspective) ในงานจิตรกรรมแบบตะวันตก มาประยุกต์ใช้ในการสร้างความลึกลวงตาในงานจิตรกรรมไทยประเพณี        Title: Vessantara Jataka, scene: reunion of the kings (unfinished work)      Artist: Khrua In-Khong      Technique: tempera on wooden panel      Size: 75 × 55 cm.      Period: Rattanakosin era, mid-19th Century, some years in the reign of King Mongkut (Rama IV)      Detail: This Vessantara Jataka panel was painted by Siamese royal painter and Buddhist monk named Khrua In-Khong, a foremost painter in the reign of King Mongkut (Rama IV). Reverend In-Khong is considered as the first Thai artist who adapted western art technique of linear perspective, to create optical illusion of depth and space in traditional Thai panting.


โรงพยาบาลแมคคอร์มิคหลังจากมิชชันนารีในสังกัดคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนเข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนาในสยาม ได้สนใจขยายงานมายังหัวเมืองล้านนา โดยศาสนาจารย์แดเนียล แมคกิลวารี (Rev. Daniel Mc Gilvary) ได้แสดงความประสงค์ต่อพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงษ์ เพื่อขออนุญาตขึ้นมาปฏิบัติงานที่เชียงใหม่และชี้แจงถึงความจำเป็นในการเปิดมิชชันที่เชียงใหม่ต่อคณะกรรมการมิชชันต่างประเทศขององค์กรคริสตจักรเพรสไบทีเรียนในสหรัฐอเมริกา เพราะเห็นว่าพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงษ์มีท่าทีตอบรับ ด้วยพระองค์ทรงเห็นว่าวัตถุประสงค์ของมิชชันนารีจะเป็นประโยชน์และนำความเจริญมาสู่ท้องถิ่น นั่นคือ การเผยแพร่คริสต์ศาสนา การจัดตั้งโรงเรียนและการรักษาผู้ป่วย เมื่อมีการติดต่อประสานงานกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เคยสนิทสนมกับมิชชันนารีมาก่อน จึงทำให้สามารถดำเนินการได้ด้วยดี ศาสนาจารย์แมคกิลวารีและนางโซเฟีย แมคกิลวารี เข้ามาถึงเชียงใหม่ ในพ.ศ. ๒๔๑๐ ได้อาศัยศาลาย่าแสงคำมาที่ตั้งอยู่บนเส้นทางสัญจรหลักของชุมชนเป็นที่พัก จึงเป็นโอกาสในการเผยแพร่คริสต์ศาสนาให้กับชาวบ้าน รวมถึงให้คำปรึกษาและรักษาคนไข้ ในระยะแรกมิชชันนารีประสบปัญหาเรื่องการเจ็บป่วยของคนท้องถิ่นที่ไม่อาจรักษาได้และการเจ็บป่วยของคนในครอบครัวมิชชันนารีเอง จึงต้องการแพทย์เข้ามารับผิดชอบงานนี้โดยตรง เพื่อตอบสนองความจำเป็นในครอบครัวและเผื่อแผ่ไปสู่คนท้องถิ่นด้วยพ.ศ. ๒๔๒๕ คณะกรรมการฝ่ายต่างประเทศของคณะมิชชันที่สหรัฐอเมริกา ได้ส่งนายแพทย์ชาร์ล วรูแมน มาเป็นแพทย์มิชชันนารีคนแรกที่เชียงใหม่ ทำให้การแพทย์แบบตะวันตกเป็นที่รู้จักของชาวล้านนามากขึ้น ต่อมาส่งนายแพทย์แมเรียน เอ ชีค เข้ามารับงานนี้ จากนั้น นายแพทย์ เอ.เอ็ม.แครี่ เข้ามารับผิดชอบในระยะสั้น ๆ การแพทย์ตะวันตกในเมืองเชียงใหม่ขณะนั้นได้มีการนำยาสามัญราคาถูกมาขายให้คนท้องถิ่น เพื่อให้คนรู้จักและเห็นความสำคัญของยาและการแพทย์สมัยใหม่ โดยแพทย์สามารถขายยาเป็นค่าตอบแทนเลี้ยงชีพ แต่ยังคงมีลักษณะกึ่งการกุศล นอกจากนี้ คณะมิชชันนารีในเชียงใหม่ ได้ปรับปรุงสถานที่จำหน่ายยาเป็นโรงพยาบาลขึ้น ชื่อว่า “โรงพยาบาลอเมริกันมิชชั่น” ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิง สามารถรับคนไข้ได้ ๘-๑๐ คน ในปี พ.ศ. ๒๔๓๑ ได้เปิดให้การรักษาผู้ป่วยและทำการผ่าตัดเป็นต้นมา นับว่าเป็นโรงพยาบาลแห่งที่สองในสยามและเป็นโรงพยาบาลแรกในส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของโรงพยาบาลแมคคอร์มิคปัจจุบันการดำเนินงานเริ่มมีความมั่นคงขึ้นเมื่อนายแพทย์เจมส์ ดับบลิว แมคเคน เข้ามารับผิดชอบใน พ.ศ. ๒๔๓๓ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาด้านการแพทย์และการสาธารณสุข เช่น การผลิตหนองฝีในการป้องกันโรคฝีดาษที่ระบาดในเวลานั้น เป็นผู้นำเครื่องทำยาเม็ดควีนิน เข้ามาจากประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อทำยาเม็ดควีนิน จำหน่ายและแจกจ่ายแก่ประชาชนในเชียงใหม่และภูมิภาคในการบำบัดรักษาโรคไข้มาลาเรีย ต่อมานายแพทย์แมคเคนได้จัดตั้งสถานรักษาผู้ป่วยโรคเรื้อนเกาะกลางแม่น้ำปิง ส่วนโรงพยาบาลอเมริกันมิชชั่น มีนายแพทย์เอ็ดวิน ซี.คอร์ท เข้ามารับผิดชอบแทน ซึ่งขณะนั้นเริ่มมีประชาชนมารักษามากขึ้น ทำให้โรงพยาบาลแออัดมาก นายแพทย์คอร์ทได้คิดทำการสร้างโรงพยาบาลใหม่ขึ้น ด้วยความเห็นชอบของคณะมิชชันนารีและด้วยเงินบริจาค ๒๕,๐๐๐ เหรียญสหรัฐ ของ Mrs. Nettic Fowler McComick ภรรยาของ Mr. Cyrus Hall McCormick จากทุนทรัพย์นี้และได้รับสมทบจากเจ้านายฝ่ายเหนือและพ่อค้าคหบดีชาวเชียงใหม่ นายแพทย์คอร์ท จึงซื้อที่นา จำนวน ๕๐ ไร่ที่บ้านหนองเส้ง และบริษัทบอร์เนียว จำกัด ได้บริจาคที่ดินให้เพิ่มเติมอีก จึงได้สร้างโรงพยาบาลขึ้นทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิง ให้ชื่อว่า “โรงพยาบาลแมคคอร์มิค” เพื่อเป็นเกียรติแก่ Mrs. Nettic Fowler McComick ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ ๔ ปี นับว่าเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่ทันสมัยที่สุด มีอุปกรณ์การแพทย์จากสหรัฐอเมริกาและรับผู้ป่วยค้างคืนได้ ๑๐๐ เตียง มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๗ โดยมีสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดชฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ พร้อมด้วยหม่อมสังวาลย์ (พระยศในขณะนั้น) และพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ได้เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดโรงพยาบาลแมคคอร์มิคระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ รัฐบาลไทยได้เข้าควบคุมกิจการของโรงพยาบาลแมคคอร์มิค เพื่อใช้เป็นโรงพยาบาลสนาม และเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงพยาบาลเสรีเริงฤทธิ์” เมื่อสงครามโลกสงบ รัฐบาลไทยจึงส่งมอบโรงพยาบาลคืนให้กับคณะมิชชันนารีดำเนินการต่อไป และใช้ชื่อ “โรงพยาบาลแมคคอร์มิค” ดังเดิม หลังจากนายแพทย์คอร์ทเกษียณอายุการทำงาน จึงพาครอบครัวเดินทางกลับสหรัฐอเมริกา คณะมิชชันนารีเพรสไบทีเรียนจึงมอบโรงพยาบาลแมคคอร์มิคและกิจการทั้งหมดให้แก่มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทยเป็นผู้ดูแล นับจากนั้นโรงพยาบาลแมคคอร์มิคจึงอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของคนไทยมาจนปัจจุบันผู้เรียบเรียง : นางเกษราภรณ์ กุณรักษ์ นักจดหมายเหตุ ชำนาญการภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่อ้างอิง : ๑. ประสิทธิ์ พงศ์อุดม.  ๒๕๕๗. “สายสัมพันธ์กับมิชชันนารีอเมริกัน.” ใน วงศ์สักก์ ณ เชียงใหม่ (บรรณาธิการ).  เจ้าดารารัศมี.  เชียงใหม่: วิทอินดีไซน์, ๑๒๑-๑๓๑.๒. ถนอม ปินตา และ พิษณุ อรรฆภิญญ์. ๒๕๒๕. พระคุณพระเจ้าในรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: เอกลักษณ์ดีไซน์๓. โรงพยาบาลแมคคอร์มิค. ม.ป.ป. ประวัติการก่อตั้งโรงพยาบาลแมคคอร์มิค (Online). https://www.mccormickhospital.com/web/aboutus, ๑ กันยายน ๒๕๖๔.๔. เชียงใหม่นิวส์. ๒๕๖๑. “แมคคอร์มิค” โรงพยาบาลแห่งแรกในจังหวัดเชียงใหม่ (Online). https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/869246/, ๑ กันยายน ๒๕๖๔.๕. หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล. ๒๕๖๓. พิพิธภัณฑ์หมอเจ้าฟ้า-พยาบาลสถานแห่งการให้ (Online). https://km.li.mahidol.ac.th/prince-mahidol-museum-at.../, ๑ กันยายน ๒๕๖๔.


 ภาชนะสำหรับใส่ข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้ว เพื่อให้ข้าวเหนียวอยู่ได้นานตลอดวันและไม่แฉะ สมัยโบราณใช้กันทั่วไปในเขตล้านนา ทำด้วยวัสดุหลายชนิด เช่น สานด้วยตอกไม้ไผ่ สานด้วยใบลาน หรือสานด้วยใบตาล มีหลายขนาด แบ่งเป็น ขนาดใหญ่ ความกว้าง ๗๐ - ๘๐ ซม .ขึ้นไป เรียกก่องเข้าหลวง ใช้เมื่อมีงานใหญ่ในชุมชน ขนาดกลาง ความกว้าง ๓๐ ซม. ใช้ในครัวเรือน ขนาดเล็ก ความกว้าง ๒๐ ซม.ขึ้นไป ใช้สำหรับพกพาอาหารไปตามที่ต่าง ๆ เช่น ทำไร่ไถนา หรือ ไปค้าขายภาพ :๑. หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่. ภาพชุด ประเพณีทอดกฐินเมืองเหนือ๒. พิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดเกตการามอ้างอิง : โรงเรียนวัดเสด็จ.ภูมิปัญญาท้องถิ่น (Online). http://www.watsadet.ac.th/increase_data/local/index.html#top, สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๔.


พฺรยาสุนนฺทราช (พฺรยาสุนนฺทราช)  ชบ.บ.67/1-1ช  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง                                มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาตก) ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (หิมพานต์-นครกัณฑ์) สพ.บ.                                  415/13ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           40 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 55.3 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           เทศน์มหาชาติ                                           ชาดก บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ-ลานดิบ-ล่องชาด  ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


เลขทะเบียน : นพ.บ.288/5กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 38 หน้า ; 4.5 x 53 ซ.ม. : ทองทึบ-ล่องชาด-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 121  (258-265) ผูก 5ก (2565)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์(8หมื่น) --เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


         สำนักการสังคีต กรมศิลปากร ขอเชิญชม รายการ "เหมันต์บันเทิง รื่นเริงสังคีต" โครงการดนตรีสำหรับประชาชน ปีที่ ๖๕ วันอาทิตย์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ณ สังคีตศาลา บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เวลา ๑๗.๓๐ – ๑๙.๓๐ น. การบรรเลงขับร้องดนตรีสากลโดย มูลนิธิสุนทราภรณ์ ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี บัตรราคา ๒๐ บาท (จำหน่ายบัตรก่อนเข้าชมการแสดง ๑ ชั่วโมง) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม (วันและเวลาราชการ) โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๔๒ และ โทร. ๐๒๒๒๑ ๐๑๗๑ การจัดการแสดงอยู่ภายใต้มาตรการป้องกันโรคตามแผนมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยและมาตรการ ที่ทางราชการกำหนด


          ภาพเก่านี้ถูกถ่ายเมื่อราวปี พ.ศ.๒๔๕๐ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จประพาสโบราณสถานเมืองสุโขทัยหลายแห่ง และพระราชนิพนธ์ในหนังสือเที่ยวเมืองพระร่วง กล่าวถึงโบราณสถานวัดศรีสวายแห่งนี้โดยสรุปว่าทรงพบรูปพระสยุมภู (พระอิศวร) ในวิหาร ก็ทรงตั้งข้อสันนิษฐานว่าวัดศรีสวายเดิมอาจเป็นเทวสถานทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแล้วแปลงเป็นวัดในพุทธศาสนาในภายหลัง           หากท่านผู้อ่านมีเวลาอ่านเพิ่มเติมผู้เขียนได้นำข้อความต้นฉบับจากพระราชนิพนธ์เที่ยวเมืองพระร่วงมาประกอบเพื่อให้ทุกท่านได้เข้าใจถึงสภาพแวดล้อมของโบราณสถานวัดศรีสวายเมื่อครั้งนั้นเพิ่มมากขึ้นดังนี้ “...ยังมีสถานที่ภายในกำแพงซึ่งควรดูอยู่อีกแห่งหนึ่ง คือ สถานที่ราษฎรเรียกว่า วัดศรีสวาย อยู่ใกล้วัดมหาธาตุไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ที่นี้มีคูรอบและมีกำแพงก่อด้วยแลงแท่งเขื่องๆ ในนั้นมีเป็นปรางค์อยู่ ๓ ยอด แต่แยกๆ กันอยู่เป็น ๓ หลัง หลังกลางฐานสี่เหลี่ยม ด้านละ ๓ วา สูง ๑๐ วา หลังข้างๆ สองหลังเท่ากัน ฐานสี่เหลี่ยมด้านละ ๑๐ ศอก สูง ๖ วา รูปปรางค์นั้นเป็นอย่างเทวสถาน ๓ ยอดที่ลพบุรีมีลวดลายอย่างทำนองนั้น คือ เป็นรูปพระเป็นเจ้าทั้ง ๓ และรูปนารายณ์ปางต่างๆ ที่ช่องผนังข้างล่างเดิมมีรูปพระนารายณ์ปั้นไว้ แต่เมื่อไปดูนั้นหลุดทลายเสียแล้วยังคงเห็นแต่เป็นเงาๆ อยู่ที่พื้นผนัง ไม่แลเห็นเป็นสี่กร แต่เห็นได้ว่าถือจกรมือหนึ่ง ราษฎรผู้เฒ่าได้เล่าว่า ได้เคยเห็นเป็นรูปสี่กร ต่อหน้าปรางค์ใหญ่เป็นโบสถ์มีผนังทึกเจาะช่องแสงสว่างเป็นรูปลูกกรงไว้เป็นช่องๆ มีประตูทางเข้าตรงหน้า ๑ ประตู ด้านข้างๆ ละประตู รวม ๓ ช่อง กรอบประตูข้างบนทำด้วยศิลาดำ (หินชนวน) ทั้งแท่งแผ่นหนึ่งๆ กว้าง ๑ ศอก ยาว ๓ ศอกคืบ หนาประมาณ ๖ นิ้ว ประตูด้านข้างมีแห่งละแผ่น แต่บนประตูด้านตรงหน้าพาดเรียงกันถึง ๔ แผ่น เมื่อเข้าไปในโบสถ์แล้วแลเห็นทางเข้าไปในปรางค์ได้มองเข้าไปเห็นหลักไม้ปักอยู่ ๒ หลักท่าทางดูเหมือนที่นั่งพระยายืนชิงช้าจึงสันนิษฐานว่าที่นี้คงเป็นโบสถ์พราหมณ์ และผู้เป็นตัวแทนพระเป็นเจ้าในพิธีรำเขนงและโล้ยัมพวายนั้น คงนั่งในปรางค์นั้นเองค้นไปค้นมาก็เผอิญไปพบศิลาทำเป็นรูปพระสยุมภูทิ้งอยู่อันหนึ่ง ซึ่งดูเป็นพยานขึ้นอีกชั้นหนึ่ง ว่าวัดศรีสวายนี้คือโบสถ์พราหมณ์...” ซึ่งในเชิงอรรถได้กล่าวเพิ่มเติมว่าวัดศรีสวายเดิมเป็นเทวสถานเป็นแน่ นามเดิมเห็นจะเรียกว่า “ศรีศิวายะ” . *๑ ศอก เท่ากับ ๕๐ เซนติเมตร **๑ วา เท่ากับ ๒ เมตร ------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย


black ribbon.