ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,825 รายการ

นางสาวนิตยา กนกมงคล ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการพิเศษชุด "สินสุข" อันเป็นกิจกรรมในโครงการประยุกตศิลป์ร่วมสมัยภูมิปัญญาไทยสู่อาเซียน       นำเสนอผลงานประยุกต์ศิลป์ของคณาจารย์ภาควิชาประยุกตศิลปศึกษา คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งเกิดจากความประทับใจในความเป็นสุโขทัย บอกเล่าแง่มุมใหม่ๆของเมืองอันสงบงามแห่งนี้     จัดแสดง ณ อาคารจัดแสดงนิทรรศการชั่วคราว พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง  ระหว่างวันที่ ๒๖ กันยายน - ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๘  จัดแสดงทุกวัน ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. โดยไม่เสียค่าเข้าชม                     


ห้องจัดแสดงบริเวณนี้เป็นการนำเสนอเรื่องราวของแนวทางศิลปะในประเทศไทยที่เปลี่ยนแปลงเนื่่องจากการพัฒนาประเทศให้มีความเจริญเท่าเทียมกับอารยประเทศ  ซึ่งเกิดจากการเสด็จประพาสยุโรปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 5 รับวิทยาการด้านต่างๆ กลับมารวมทั้งในด้านศิลบะและสถาปัตยกรรม ยุคนี้จึงมีรูปแบบที่แตกต่างจากงานจิตรกรรมไทยประเพณีอย่างสิ้นเชิง งานที่นำมาจัดแสดงส่วนใหญ่เป็นพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระมหากษัติย์และราชวงศ์ทั้งที่วาดขึ้นโดยศิลปินต่างประเทศและชาวไทยสะท้อนถึงความนิยมในงานแบบตะวันตก ที่เริ่มต้นจากในราชสำนัก งานของศิลปินชาวไทยนำมาจัดแสดงเป็นผลงานของพระสรลักษณ์ลิขิต ซึ่งเป็นศิลปินในราชสำนักที่ได้รับการศึกษาศิลปะแบบตะวันตกจากสถาบันในประเทศอิตาลี  ทั้งนี้รวมถึงผลงานของท่านที่เป็นการวาดเลียนแบบเพื่อการศึกษางานศิลปะที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศอีกด้วย


หอสมุดแห่งชาติกาญจนาภิเษก สงขลา ร่วมจัดโครงการท่องโลกการอ่าน ณ โรงเรียนเทศบาล 4 ( บ้านแหลมทราย )         


การแจ้งโอนและการแจ้งการได้รับกรรมสิทธิ์โดยทางมรดกหรือโดยพินัยกรรมของโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้ว   หน่วยงานที่ให้บริการ : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข (ถ้ามี) ในการยื่นคำขอและในการพิจารณาอนุญาต           1.เป็นการแจ้งการโอนโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้วให้กรมศิลปากร หรือเป็นการแจ้งการรับกรรมสิทธิ์ในโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้วโดยทางมรดกหรือพินัยกรรมให้กรมศิลปากรทราบ           2.การโอนโบราณสถาน หรือการรับกรรมสิทธิ์โบราณสถานใช้ในกรณีที่เป็นโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้วเท่านั้น           3.กรณีการโอนโบราณสถานนั้น ผู้โอนจะต้องแจ้งชื่อและที่อยู่ของผู้โอนและผู้รับโอนและวันเดือนปีที่โอน           4.กรณีการรับกรรมสิทธิ์โบราณสถานโดยทางมรดกหรือพินัยกรรม ผู้รับกรรมสิทธิ์จะต้องแจ้งชื่อและที่อยู่ของผู้รับกรรมสิทธิ์และเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิม พร้อมวันเดือนปีที่ได้รับกรรมสิทธิ์           5.ผู้โอนต้องแจ้งการโอนโบราณสถานต่อกรมศิลปากรภายใน 30วัน นับแต่วันโอน ทั้งนี้ เป็นไปตามมาตรา 12วรรคหนึ่ง แห่ง พรบ. โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504ฯ           6.ผู้รับกรรมสิทธิ์ต้องแจ้งการรับกรรมสิทธิ์ต่อกรมศิลปากรภายใน 60วัน นับแต่วันได้รับกรรมสิทธิ์ ทั้งนี้ เป็นไปตามมาตรา 12วรรคสอง แห่ง พรบ. โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504ฯ           7.ในกรณีมีผู้ที่ได้รับกรรมสิทธิ์โบราณสถานเดียวกันหลายคนให้มอบหมายให้ผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมคนใดคนหนึ่งเป็นผู้แจ้งการรับกรรมสิทธิ์ ทั้งนี้ เป็นไปตามมาตรา 12วรรคสอง แห่ง พรบ. โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504ฯ   หมายเหตุ: 1. กรณีคำขอหรือรายการเอกสารประกอบการพิจารณาไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน และไม่อาจแก้ไข/เพิ่มเติมได้ในขณะนั้น ผู้รับคำขอและผู้ยื่นคำขอจะต้องลงนามบันทึกความบกพร่องและรายการเอกสาร/หลักฐาน ร่วมกัน พร้อมกำหนดระยะเวลาให้ผู้ยื่นคำขอดำเนินการแก้ไข/เพิ่มเติม หากผู้ยื่นคำขอไม่ดำเนินการแก้ไข/เพิ่มเติมได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้รับคำขอจะดำเนินการคืนคำขอและเอกสารประกอบการพิจารณา           2. พนักงานเจ้าหน้าที่จะยังไม่พิจารณาคำขอ และยังไม่นับระยะเวลาดำเนินงาน จนกว่าผู้ยื่นคำขอจะดำเนินการแก้ไขคำขอหรือยื่นเอกสารเพิ่มเติมครบถ้วนตามบันทึกความบกพร่องนั้นเรียบร้อยแล้ว           3. ขั้นตอนการดำเนินงานตามคู่มือจะเริ่มนับระยะเวลาตั้งแต่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารครบถ้วนตามที่ระบุไว้ในคู่มือประชาชนเรียบร้อยแล้ว           4. ทั้งนี้จะมีการแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ยื่นคำขอทราบ ภายใน 7วัน นับแต่วันที่พิจารณาแล้วเสร็จ   กฎหมายที่เกี่ยวข้อง           พ.ร.บ. โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504แก้ไขเพิ่มเติมโดยพ.ร.บ. โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535   ช่องทางการให้บริการ 1 กองโบราณคดี ที่อยู่: ถนนศรีอยุธยา แขวงวชิระ เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทรศัพท์: 0 2282 4801 พื้นที่บริการ : กรุงเทพมหานคร ติดต่อด้วยตนเอง ณ หน่วยงาน เปิดให้บริการวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดที่ทางราชการกำหนด) ตั้งแต่เวลา 08:30 - 16:30 น. (มีพักเที่ยง) (พักเที่ยงเวลา 12:00 - 13:00 น.)   2 สำนักศิลปากรที่ 1 ราชบุรี ที่อยู่: 162 ถ.ไกรเพชร ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี 70000 โทรศัพท์: 0 3232 3226-7 พื้นที่บริการ : จังหวัดราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสาคร สมุทรสงครามและสมุทรปราการ ยกเว้นเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี ติดต่อด้วยตนเอง ณ หน่วยงาน เปิดให้บริการวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดที่ทางราชการกำหนด) ตั้งแต่เวลา 08:30 - 16:30 น. (มีพักเที่ยง) (พักเที่ยงเวลา 12:00 - 13:00 น.)   3 สำนักศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี ที่อยู่: 17/1 ม. 4 ถ.มาลัยแมน ต.รั้วใหญ่ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี 72000 โทรศัพท์: 0 3554 5466-7 พื้นที่บริการ : จังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี นครปฐม นนทบุรีและปทุมธานี ยกเว้นเขตอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ ติดต่อด้วยตนเอง ณ หน่วยงาน เปิดให้บริการวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดที่ทางราชการกำหนด) ตั้งแต่เวลา 08:30 - 16:30 น. (มีพักเที่ยง) (พักเที่ยงเวลา 12:00 - 13:00 น.)   4 สำนักศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา ที่อยู่: ถ.อู่ทอง ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา 13000 โทรศัพท์: 0 3524 2501 พื้นที่บริการ : พระนครศรีอยุธยา นครนายก สระบุรี อ่างทองและสิงห์บุรี ยกเว้นเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ติดต่อด้วยตนเอง ณ หน่วยงาน เปิดให้บริการวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดที่ทางราชการกำหนด) ตั้งแต่เวลา 08:30 - 16:30 น. (มีพักเที่ยง) (พักเที่ยงเวลา 12:00 - 13:00 น.)   5 สำนักศิลปากรที่ 4 ลพบุรี ที่อยู่: ถ.พระยากำจัด ต.ท่าหิน อ.เมือง จ.ลพบุรี 15000 โทรศัพท์: 0 3641 2510 พื้นที่บริการ : ลพบุรี ชัยนาท นครสวรรค์ เพชรบูรณ์และอุทัยธานี ยกเว้นเขตอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ ติดต่อด้วยตนเอง ณ หน่วยงาน เปิดให้บริการวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดที่ทางราชการกำหนด) ตั้งแต่เวลา 08:30 - 16:30 น. (มีพักเที่ยง) (พักเที่ยงเวลา 12:00 - 13:00 น.)   6 สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี ที่อยู่: ถ.ปราจีนอนุสรณ์ ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี 25000 โทรศัพท์: 0 3721 1296, 0 3721 2610 พื้นที่บริการ : ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี จันทบุรี ระยอง ตราดและสระแก้ว ติดต่อด้วยตนเอง ณ หน่วยงาน เปิดให้บริการวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดที่ทางราชการกำหนด) ตั้งแต่เวลา 08:30 - 16:30 น. (มีพักเที่ยง) (พักเที่ยงเวลา 12:00 - 13:00 น.)   7 สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย ที่อยู่: 216 ม. 3 ถ.สายเมืองเก่า ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.สุโขทัย 64210 โทรศัพท์: 0 5569 7364 พื้นที่บริการ : สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลกและอุตรดิตถ์ ยกเว้นเขตอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เขตอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยและเขตอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ติดต่อด้วยตนเอง ณ หน่วยงาน เปิดให้บริการวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดที่ทางราชการกำหนด) ตั้งแต่เวลา 08:30 - 16:30 น. (มีพักเที่ยง) (พักเที่ยงเวลา 12:00 - 13:00 น.)   8 สำนักศิลปากรที่ 7 น่าน ที่อยู่: ถ.ผากอง ต.ในเวียง อ.เมือง จ.น่าน 55000 โทรศัพท์: 0 5471 1160 พื้นที่บริการ : น่าน พะเยา แพร่และลำปาง ติดต่อด้วยตนเอง ณ หน่วยงาน เปิดให้บริการวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดที่ทางราชการกำหนด) ตั้งแต่เวลา 08:30 - 16:30 น. (มีพักเที่ยง) (พักเที่ยงเวลา 12:00 - 13:00 น.)   9 สำนักศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่ ที่อยู่: 451 ถ.ซุปเปอร์ไฮเวย์ ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50300 โทรศัพท์: 0 5322 2262 พื้นที่บริการ : เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูนและแม่ฮ่องสอน ติดต่อด้วยตนเอง ณ หน่วยงาน เปิดให้บริการวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดที่ทางราชการกำหนด) ตั้งแต่เวลา 08:30 - 16:30 น. (มีพักเที่ยง) (พักเที่ยงเวลา 12:00 - 13:00 น.)   10 สำนักศิลปากรที่ 9 ขอนแก่น ที่อยู่: 193 ม. 13 ถ.กสิกรทุ่งสร้าง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000 โทรศัพท์: 0 4324 2129, 04333 7629 พื้นที่บริการ : ขอนแก่น มหาสารคาม เลย หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี และบึงกาฬ ยกเว้น เขตอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ติดต่อด้วยตนเอง ณ หน่วยงาน เปิดให้บริการวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดที่ทางราชการกำหนด) ตั้งแต่เวลา 08:30 - 16:30 น. (มีพักเที่ยง) (พักเที่ยงเวลา 12:00 - 13:00 น.)   11 สำนักศิลปากรที่ 10 ร้อยเอ็ด ที่อยู่: 19/40-41 ถ.บ้านท่านคร ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด 45000 โทรศัพท์: 0 4351 3530 พื้นที่บริการ : ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ สกลนครและนครพนม ติดต่อด้วยตนเอง ณ หน่วยงาน เปิดให้บริการวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดที่ทางราชการกำหนด) ตั้งแต่เวลา 08:30 - 16:30 น. (มีพักเที่ยง) (พักเที่ยงเวลา 12:00 - 13:00 น.)   12 สำนักศิลปากรที่ 11 อุบลราชธานี ที่อยู่: 78 ม. 10 ซ.สีห์พนม ถ.เลี่ยงเมือง ต.แจระแม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี 34000 โทรศัพท์: 0 4531 2845-6 พื้นที่บริการ : อุบลราชธานี มุกดาหาร ยโสธร ศรีสะเกษและอำนาจเจริญติดต่อด้วยตนเอง ณ หน่วยงาน เปิดให้บริการวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดที่ทางราชการกำหนด) ตั้งแต่เวลา 08:30 - 16:30 น. (มีพักเที่ยง) (พักเที่ยงเวลา 12:00 - 13:00 น.)   13 สำนักศิลปากรที่ 12 นครราชสีมา ที่อยู่: 274 ม. 17 ถ.พิมาย-ชุมพวง ต.ในเมือง อ.พิมาย จ.นครราชสีมา 30110 โทรศัพท์: 0 4447 1518, 0 4428 5096 พื้นที่บริการ : นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์และสุรินทร์ ยกเว้นเขตอุทยานประวัติศาสตร์พิมายและเขตอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้งและเมืองต่ำ ติดต่อด้วยตนเอง ณ หน่วยงาน เปิดให้บริการวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดที่ทางราชการกำหนด) ตั้งแต่เวลา 08:30 - 16:30 น. (มีพักเที่ยง) (พักเที่ยงเวลา 12:00 - 13:00 น.) 14 สำนักศิลปากรที่ 13 สงขลา ที่อยู่: 733 ม. 2 ถ.สี่แยกธนบดี ต.พะวง อ.เมือง จ.สงขลา 90100 โทรศัพท์: 0 7433 0255-6 พื้นที่บริการ : สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส ติดต่อด้วยตนเอง ณ หน่วยงาน เปิดให้บริการวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดที่ทางราชการกำหนด) ตั้งแต่เวลา 08:30 - 16:30 น. (มีพักเที่ยง) (พักเที่ยงเวลา 12:00 - 13:00 น.)   15 สำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช ที่อยู่: 328 ถ.ราชดำเนิน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช 80000 โทรศัพท์: 0 7535 6458, 0 7532 4479 พื้นที่บริการ : นครศรีธรรมราช ชุมพร สุราษฎร์ธานีและพัทลุง ติดต่อด้วยตนเอง ณ หน่วยงาน เปิดให้บริการวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดที่ทางราชการกำหนด) ตั้งแต่เวลา 08:30 - 16:30 น. (มีพักเที่ยง) (พักเที่ยงเวลา 12:00 - 13:00 น.)   16 สำนักศิลปากรที่ 15 ภูเก็ต ที่อยู่: 217/3 ม. 3 ต.ศรีสุนทร อ.ถลาง จ.ภูเก็ต 83110 โทรศัพท์: 0 7627 3006 พื้นที่บริการ : ภูเก็ต ระนอง พังงา กระบี่และตรัง ติดต่อด้วยตนเอง ณ หน่วยงาน เปิดให้บริการวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดที่ทางราชการกำหนด) ตั้งแต่เวลา 08:30 - 16:30 น. (มีพักเที่ยง) (พักเที่ยงเวลา 12:00 - 13:00 น.)   ขั้นตอน ระยะเวลา และส่วนงานที่รับผิดชอบ ระยะเวลาในการดำเนินการรวม : 11 วันทำการ 1. การตรวจสอบเอกสาร           ผู้โอน หรือผู้รับกรรมสิทธิ์ หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจยื่นหนังสือพร้อมเอกสารหลักฐานตามที่กรมศิลปากรกำหนด เจ้าหน้าที่กรมศิลปากรตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของเอกสารหลักฐาน ภายใน 15 นาที หากไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนให้ผู้โอน หรือผู้รับกรรมสิทธิ์ หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจนำเอกสารหลักฐานมายื่นเพิ่มเติม (หน่วยงานผู้รับผิดชอบ ได้แก่ สำนักศิลปากรที่ 1-15 ร่วมด้วย) 15 นาที กระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร กองโบราณคดี 2. การตรวจสอบเอกสาร           ตรวจสอบและบันทึกการเปลี่ยนแปลงข้อมูล ภายใน 1 วันทำการ (หน่วยงานผู้รับผิดชอบ ได้แก่ สำนักศิลปากรที่ 1-15 ร่วมด้วย) 1 วันทำการ กระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร กองโบราณคดี 3. การพิจารณา           หน่วยงานที่รับผิดชอบนำเสนอหนังสือถึงอธิบดีกรมศิลปากรเพื่อแจ้งรับทราบการโอน หรือการรับกรรมสิทธิ์โบราณสถาน ภายใน 6 วันทำการ (หน่วยงานผู้รับผิดชอบ ได้แก่ สำนักศิลปากรที่ 1-15 ร่วมด้วย) 6 วันทำการ กระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร กองโบราณคดี 4. การลงนาม/คณะกรรมการมีมติ           อธิบดีกรมศิลปากรมีหนังสือแจ้งรับทราบการโอนโบราณสถาน หรือการรับกรรมสิทธิ์โบราณสถานถึงผู้ยื่น ภายใน 3 วันทำการ นับตั้งแต่วันที่อธิบดีรับทราบ 3 วันทำการ กระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร (ส่วนกลาง)   รายการเอกสาร หลักฐานประกอบ           1.หนังสือแจ้งการโอน หรือแจ้งการรับกรรมสิทธิ์โบราณสถานที่กรมศิลปากรกำหนด (ฉบับจริง 2ชุด)           2.สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้โอน หรือผู้รับกรรมสิทธิ์และหรือผู้รับกรรมสิทธิ์ร่วมทุกราย พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง ในกรณีผู้รับกรรมสิทธิ์เป็นนิติบุคคลให้ยื่นหลักฐานแสดงการเป็นนิติบุคคล พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง (สำเนา 2ชุด)           3.สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้รับโอน พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง ในกรณีผู้รับกรรมสิทธิ์เป็นนิติบุคคลให้ยื่นหลักฐานแสดงการเป็นนิติบุคคล (สำเนา 2ชุด)           4.สำเนาเอกสารหลักฐานการโอน ( เอกสารการจดทะเบียนที่ดิน ฯลฯ) หรือสำเนาเอกสารหลักฐานการรับกรรมสิทธิ์ (เอกสารพินัยกรรม เอกสารแสดงสิทธิ์การรับมรดก ฯลฯ) พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง (สำเนา 2ชุด)           5. ในกรณีมอบหมายผู้อื่นทำการแทนต้องมีเอกสารการรับมอบอำนาจ พร้อมสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ทำการแทน พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง (สำเนา 2 ชุด)   ค่าธรรมเนียม           ไม่มีค่าธรรมเนียม   ที่มา : www.info.go.th


นางสาวนิตยา กนกมงคล ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง ร่วมพิธีเปิดกิจกรรมการรณรงค์ "Don't burn the Herritage" ซึ่งองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท.ร่วมกับสำนักพื้นที่พิเศษอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร (อพท.๔) จัดขึ้น เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Low Carbon Tourism) โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการภาคการท่องเที่ยว และชุมชนโดยรอบอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ดำเนินกิจกรรมภายใต้หัวข้อ "รักษ์มรดกโลกอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย" เพื่อป้องกันผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของมรดกโลกที่เกิดจากภาวะโลกร้อนโดยในงาน   มี ดร.ชูวิทย์ มิตรชอบ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ อพท.เป็นประธาน เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๘     ทั้งนี้ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง ได้กล่าวชื่นชมแนวคิดการจัดกิจกรรมนี้และยืนยันการให้ความร่วมมือเพื่อผลักดันให้โครงการสัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมาย      


นิทรรศการศิลปะ ภาพสะท้อนตัวตน ศ.สุชาติ เถาทอง ในโอกาสเกษียณอายุราชการครบ 65 ปี จัดแสดงระหว่างวันที่ 5 – 20 กันยายน 2558ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า กรุงเทพมหานคร


งานวันศิลป์ พีระศรี ครบ 123 ปี ประจำปี2558


พิพิธภัณฑสถานถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในดินแดนสยามหรือประเทศไทย ตั้งแต่ครั้งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔  ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีพิพิธภัณฑสถานส่วนพระองค์ ณ พระที่นั่งราชฤดี โดยเป็นที่จัดตั้งแสดงสิ่งสะสมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงรวบรวมไว้ตั้งแต่ครั้งก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ ต่อมาทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายสิ่งของจัดแสดงมาไว้ยังพระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ในหมู่พระอภิเนาวนิเวศน์ อันเป็นที่มาของคำว่า "พิพิธภัณฑ์" ในเวลาต่อมา   เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕  ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายโบราณวัตถุ และศิลปวัตถุ จากพระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ มาจัดแสดงในหอมิวเซียม (Museum) ณ หอคองคอเดีย  ซึ่งเป็นอาคารใหม่ภายในพระบรมมหาราชวัง โดยมีพิธีเปิด หอมิวเซียม หรือพิพิธภัณฑสถานหอคองคอเดีย เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๔๑๗ ถือเป็นวันกำเนิดพิพิธภัณฑสถานของชาติแห่งแรกในราชอาณาจักรไทย เพราะเป็นพิพิธภัณฑสถานของหลวงหรือทางราชการที่จัดตามหลักวิชาการสากล และเปิดให้ประชาชนเข้าชมเฉพาะในการเฉลิมพระชนมพรรษาต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี   ปีพุทธศักราช ๒๔๓๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้าย “มิวเซียม” จากพระบรมมหาราชวังไปจัดตั้งในพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า)  โดยใช้พระที่นั่งส่วนหน้าสามองค์เป็นที่จัดแสดงโบราณวัตถุ คือ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พระที่นั่งพุทธไธสวรรย์ และพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗  ได้พระราชทานอาคารหมู่พระวิมานทั้งหมดรวมเป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร   นับเนื่องจากนั้นเป็นต้นมา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้รับการจัดตั้ง สืบทอด และพัฒนาเรื่อยมาทุกยุคทุกสมัย สอดคล้องกับความต้องการของสังคม  ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในสังกัดกรมศิลปากร ยังมีพิพิธภัณฑสถานทั้งที่เป็นของภาครัฐและเอกชนในประเทศไทยมากมาย ไม่ว่าจะเป็น พิพิธภัณฑ์สถานศึกษา พิพิธภัณฑ์ชุมชน พิพิธภัณฑ์วัด พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ซึ่งเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้ของคนในชาติ โดยเฉพาะเยาวชนที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติต่อไปในอนาคต ด้วยเหตุนี้คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๓๘ ประกาศให้วันที่ ๑๙ กันยายน ของทุกปี เป็นวันพิพิธภัณฑ์ไทยเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งพิพิธภัณฑสถานขึ้นในประเทศไทย   กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบการบริหารจัดการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั่วประเทศ ได้มุ่งเน้นพัฒนาและปรับปรุงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สู่การเป็น “พิพิธภัณฑสถานมีชีวิต”มีความทันสมัย และมีกิจกรรมเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา โดยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการจัดแสดงและการให้บริการ อาทิ เทคโนโลยี AR Code , QR Code , Virtual Museum รวมไปถึงระบบจัดเก็บ การสืบค้นข้อมูลโบราณวัตถุ การเชื่อมโยงข้อมูลผ่านฐานข้อมูลของแต่ละพิพิธภัณฑ์ การนำเข้าส่งออกโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุด้วยระบบ National Single Windows ตลอดจนการจัดกิจกรรมรถพิพิธภัณฑ์สัญจรไปยังสถานศึกษาต่างๆ รวมทั้งสถานศึกษาผู้บกพร่องทางสายตาและผู้พิการอื่นๆ ด้วย


สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติ ครั้งที่ ๒ เรื่อง “ศึกษายางรักเพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” (The Second International Conference on Study of Oriental Lacquer Initiated by H.R.H. Princess Maha Chakri Sirindhorn for  the Revitalization of Thai Wisdom) เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ณ ห้องนภาลัย โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘   กรมศิลปากร กรมป่าไม้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกันจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติและนิทรรศการ ครั้งที่ ๒ “The Second International Conference on Study of Oriental Lacquer Initiated by H.R.H. Princess Maha Chakri Sirindhorn for the Revitalization of Thai Wisdom” ระหว่างวันที่ ๒๔ – ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๘ โดยการจัดประชุมนานาชาติครั้งนี้มีเพียง "ยางรัก" ซึ่งใช้ในงานศิลปกรรมเป็นหัวข้อหรือโจทย์ แต่งานวิจัยที่นำเสนอในครั้งนี้ กลับเป็นการบูรณาการงานของหลายองค์กรทั้งสถาบันการศึกษา สาธารณสุข กรมศิลปากร กรมป่าไม้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และนักวิชาการสาขาต่างๆ จำนวน ๓๕๐ คน จาก ๑๔ ประเทศ คือ สหราชอาณาจักร สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน สาธารณรัฐอิตาลี สาธารณรัฐออสเตรีย ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สิงคโปร์ กัมพูชา และประเทศไทย เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ นับว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ แยกได้เป็น                       ๑. ด้านวิชาการ เป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับยางรักและเครื่องรัก ทั้งด้านโบราณคดี ประวัติศาสตร์การทำเครื่องรัก การใช้ประโยชน์ของยางรัก และในแง่พิษวิทยาจากแพทย์แผนปัจจุบัน ตลอดจนบทบาทของยางรักกับสมุนไพรไทย นอกจากนี้ ยังมีการใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์คือ เครื่องเอ็กซ์เรย์ ๓ มิติ มาตรวจสอบโบราณวัตถุประเภทเครื่องรัก และมีการตรวจวิเคราะห์โบราณวัตถุด้วยนิวตรอนและรังสีแกมมา                    ๒. ด้านเศรษฐกิจและสังคม ทำให้ประเทศไทยมีความตื่นตัวที่จะใช้ยางรักซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่เกือบจะสูญหายไปจากประเทศไทย โดยกรมป่าไม้จะเป็นองค์กรหลักในการสร้างผลผลิต คือปลูกป่ารักและคัดเลือกสายพันธุ์เพื่อให้ได้ยางรักที่มีคุณภาพดี เป็นการลดค่าใช้จ่ายที่ต้องสั่งซื้อยางรักจากต่างประเทศ และลดการใช้สารสังเคราะห์ที่ใช้แทนยางรักซึ่งนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน ในขณะเดียวกันหากสามารถผลิตยางรักได้มากเกินความต้องการ สามารถส่งขายยังต่างประเทศทำรายได้เข้าประเทศอีกด้วย                         ในการจัดประชุมครั้งนี้มีการสาธิตการทำเครื่องรักโบราณ โดยผู้เชี่ยวชาญชาวจีน ซึ่งปัจจุบันเครื่องรักของจีนผลิตขึ้นเพื่อส่งเป็นสินค้าออกจำหน่ายยังประเทศต่างๆ ทั้งยุโรปและอเมริกา ทำรายได้เข้าประเทศจำนวนมหาศาล เครื่องรักจีนที่ได้รับความนิยมคือ เครื่องรักแกะสลักลวดลายลงบนพื้นรักและการประดิษฐ์ลวดลายเส้นด้ายที่ทำจากส่วนผสมของยางรัก การสาธิตที่จัดขึ้นนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะต่อยอดหรือเป็นแนวทางให้ผู้ที่สนใจทั่วไป ศิลปิน ตลอดจนชาวบ้านหรือชุมชนที่ประกอบกิจการหัตกรรมพื้นบ้านในการรังสรรค์เครื่องหัตถกรรมของไทยที่ผลิตจากยางรักทำเป็นสินค้าออกจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ นับเป็นการรวมกลุ่มของชาวบ้านและเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมเป็นผู้สนับสนุน                      ๓. ด้านวัฒนธรรม งานศิลปกรรมและประณีตศิลป์ของไทยใช้ยางรักในการตกแต่งและเคลือบผิววัสดุต่างๆ มาแต่โบราณกาล เช่น งานปิดทอง ลายรดน้ำ เครื่องมุก และอื่นๆ ซึ่งพบเห็นตามศาสนสถาน ปราสาทราชวัง ล้วนแล้วแต่เป็นเอกลักษณ์และภูมิปัญญาที่บรรพบุรุษถ่ายทอดไว้ กรมศิลปากรในฐานะผู้ดูแลรักษามรดกวัฒนธรรมของไทย ตลอดจนการบูรณะซ่อมแซมโบราณวัตถุสถานต่างๆ จำเป็นต้องมีบทบาทเป็นผู้นำในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาเรื่องการใช้ยางรักให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติตลอดไป ตามพระราชดำรัสเปิดการประชุมครั้งนี้ว่า             "การที่หน่วยงานที่มีศักยภาพร่วมมือช่วยเหลือกันในมิติต่างๆ จะช่วยให้งานอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมสาขานี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี"      


สารคดีเชิงข่าว “วังหน้าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์” ตอนที่ ๕ เตรียมปรับปรุงฉากในโรงละครแห่งชาติ  ออกอากาศช่วงข่าวภาคค่ำ ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘   โรงละครแห่งชาติ เตรียมปรับปรุงฉากให้ทันสมัยมากขึ้น เพื่อสร้างอรรถรสความบันเทิงแก่ผู้ชม หลังได้งบประมาณจากโครงการอนุรักษ์และพัฒน­าพระราชวังบวรสถานมงคล


สารคดีเชิงข่าว “วังหน้าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์” ตอนที่ ๔ ฝีมือช่างผ่านความวิจิตรด้านศิลปวัฒนธรรม ออกอากาศช่วงข่าวภาคค่ำ ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘   ฝีมือเชิงช่างไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก โดยเฉพาะงานด้านศิลปวัฒนธรรม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร คือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่รวบรวมสมบัติขอ­งชาติไว้มากมาย โดยเฉพาะภายในโรงราชรถที่จัดแสดงเครื่องใช­้ในงานพระเมรุ


สารคดีเชิงข่าว “วังหน้าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์” ตอนที่ ๒ ความวิจิตรวัดพระแก้ววังหน้า ออกอากาศช่วงข่าวภาคค่ำ ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘   รายงานพิเศษ พาไปชมความวิจิตรของวัดพระแก้ววังหน้า ที่เพิ่งบูรณะเสร็จสิ้น ภายใต้โครงการอนุรักษ์และพัฒนาพระราชวังบว­รสถานมงคลของกรมศิลปากร


สารคดีเชิงข่าว “วังหน้าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์” ตอนที่ ๑ กรมศิลปากรบูรณะวังหน้า ออกอากาศช่วงข่าวภาคค่ำ ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๘   กรมศิลปากรทุ่มงบกว่า 133 ล้านบาท เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาพระราชวังบวรสถานมงค­ล หรือวังหน้า ให้คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงความสำคัญแห่งภูมิ­หลังทางประวัติศาสตร์            ที่มา : ระหว่างวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๘  รวมจำนวน  ๕ ตอนๆ ละ ๓ นาที


การดำเนินงานทางโบราณคดี บริเวณพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า)    การดำเนินงานทางโบราณคดีในบริเวณพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เริ่มตั้งแต่ปี ๒๕๕๕ โดยดำเนินการสำรวจรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับพระราชวังบวรสถานมงคลและขุดค้นควบคู่กันไป ภายใต้กรอบแนวคิด ดังนี้   กรอบความคิดในการดำเนินงาน   - สำรวจ รวบรวม ศึกษาข้อมูลทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ ทั้งของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล และพื้นที่/สถาปัตยกรรมของพระราชวังบวรสถานมงคล(วังหน้า) ซึ่งอาจแบ่งออกได้ดังนี้   - นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษา สรุปเป็นเรื่องราวของพระราชวังบวรสถานมงคล และกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทั้งทางด้านประวัติความเป็นมา พัฒนาการของพื้นที่ และจัดทำรูปแบบสันนิษฐาน   - จัดทำให้เป็นแหล่งเรียนรู้ สำหรับนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ในรูปแบบของนิทรรศการชั่วคราวในแหล่ง รวมถึงการมีส่วนร่วมขณะปฏิบัติงานทางโบราณคดี   - เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ เรื่องราวของพระราชวังบวรสถานมงคลและกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ตลอดการดำเนินโครงการเป็นระยะๆอย่างต่อเนื่อง ในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ รายงาน เอกสารเผยแพร่ การสัมมนาทางวิชาการ และนิทรรศการ   - นำข้อมูลที่ได้รับมาสังเคราะห์เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลสนับสนุนการจัดทำพระราชวังบวรสถานมงคล(วังหน้า) ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ตามอัธยาศัยและแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม   - นำเสนอโบราณสถานพระราชวังบวรสถานมงคลทั้งบริเวณ ในรูปแบบต่างๆตามความเหมาะสม (เช่น การเปิดแนวโบราณสถานที่ได้จากการขุดค้น การจัดทำแบบจำลอง ป้ายแสดงผังพร้อมคำอธิบาย ฯลฯ)อ่านต่อ


ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ โดยเฉพาะผนังที่เขียนเรื่องพุทธประวัติ ซึ่งมีทั้งหมด ๓๒ ผนัง จะเห็นได้ว่ามีเรื่องราวที่น่าศึกษาค้นคว้า และต้องหาคำตอบอีกมากมาย อาทิเช่น ภาพดั้งเดิมที่เขียนในสมัยรัชกาลที่ ๑ เหลือมากน้อยแค่ไหน มีการเขียนซ่อมในยุคสมัยไหนบ้าง ฯลฯการกำหนดแนวทางในการศึกษาขั้นแรกต้องมองถึงคตินิยมในการเขียนภาพจิตรกรรมฯในสมัยรัชกาลที่๑ ซึ่งสืบต่อรากฐานจากจิตรกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย แต่ช่างยุคนี้ได้สร้างกฎเกณฑ์ และพัฒนาทางรูปแบบให้สมบูรณ์กว่าสมัยอยุธยาตอนปลาย เช่น การใช้สีที่มากขึ้น รวมทั้งรายละเอียดต่างๆ ที่ทำให้ภาพจิตรกรรมฯยุคนี้มีการพัฒนาตนเองจนมีลักษณะแห่งตน จะเห็นได้จากผนังที่ ๒๕ ตอนพระนางยโสธรานิพพานฯ  ผนังที่ ๒๗ ตอนพระยามารทูลเตือนให้เสด็จสู่ปรินิพพาน ผนังที่ ๒๘ ตอนพระราหุลนิพพาน ภาพทั้ง ๓ ผนังที่ยกมา เป็นภาพที่มีวิธีการเขียนตามแบบคตินิยมสมัยอยุธยาตอนปลายจะเห็นการวางองค์ประกอบของภาพโดยใช้เส้นสินเทาแบบฟันปลาเป็นตัวแบ่งภาพ การใช้สีในการเขียนเป็นลักษณะการไล่น้ำหนักสีเข้มไปหาสีอ่อน การเขียนภาพต้นไม้และโขดหินมีลักษณะแบบประดิษฐ์ และมีการใช้ลายดอกไม้ร่วงประดับพื้นที่ว่าง รวมถึงการพิจารณาลวดลายต่างๆ ที่มีลักษณะแบบสมัยอยุธยาตอนปลาย เพราะฉะนั้นเมื่อพิจารณาภาพทั้งหมด ๓๒ ผนังแล้ว ภาพทั้ง ๓ ผนัง ที่กล่าวมาจึงเข้าหลักเกณฑ์ เพื่อจะได้นำไปศึกษาเปรียบเทียบกับภาพกลุ่มอื่นๆต่อไป   อ่านต่อ


black ribbon.