ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,749 รายการ

เลขทะเบียน : นพ.บ.6/9ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  52 หน้า  ; 4.5 x 56 ซ.ม. : ทองทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 4 (33-46) ผูก 9หัวเรื่อง : บาลีสมันต--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.29/9ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  56 หน้า  ; 4.5 x 58 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 15 (161-174) ผูก 8หัวเรื่อง : มหามูลกมฺมฏฐาน(มุลลกัมมัฏฐาน) --เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.52/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  58 หน้า ; 4.4 x 55 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 33 (337-343) ผูก 3หัวเรื่อง :  พลสงฺขยา --เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


     ชื่อเรื่อง : พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งชาติ พระมหากษัตริย์สมัยรัตนโกสินทร์       ผู้เขียน : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์      สำนักพิมพ์ : กรมศิลปากร      ปีพิมพ์ : ๒๕๖๒      เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ : ๙๗๘-๖๑๖-๒๘๓-๔๖๔-๖      เลขเรียกหนังสือ : ๙๒๓.๑๕๙๓ ศ๕๒๘พ      ประเภทหนังสือ : หนังสือกรมศิลปากร      ห้องบริการ : ห้องหนังสือทั่วไป ๑ สาระสังเขป : ในสังคมไทยมีคติความเชื่อเรื่องการสร้างสิ่งอนุสรณ์หรืออนุสาวรีย์เพื่อรำลึกถึงบุคคลสำคัญหรือกลุ่มคนที่ประกอบคุณงามความดีและทำประโยชน์แก่ส่วนรวม ซึ่งเป็นแบบอย่างที่อนุชนรุ่นหลังพึงเคารพเทิดทูน ทั้งยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน ก่อให้เกิดความรักความสามัคคีต่อชาติบ้านเมือง หากกล่าวถึงประเทศไทยกว่าจะเป็นชาติกล่าวได้ว่า สถาบันพระมหากษัตริย์คือหัวใจหลักของชาติที่ปกครอง ปกป้องแผ่นดินให้ได้คงอยู่สืบมาจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานมาจนทุกวันนี้ เพื่อเป็นราชสักการะสนองพระมหากรุณาธิคุณพระมหากษัตริย์แห่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ ผู้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานับประการด้วยพระวิริยะอุตสาหะอย่างยิ่งเพื่อความเจริญมั่นคงแก่ชาติบ้านเมือง กรมศิลปากร จึงได้จัดพิมพ์ "พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งชาติ พระมหากษัตริย์สมัยรัตนโกสินทร์" เพื่อรวบรวมและเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์แห่งชาติ พระมหากษัตริย์สมัยรัตนโกสินทร์ รวม ๘ พระองค์ ประกอบด้วย (๑) พระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (๒) พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (๓) พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (๔) พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (๕) พระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (๖) พระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (๗) พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และ (๘) พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับพระราชประวัติ สถานที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสรณ์ฯ ประวัติการสร้าง ผู้ออกแบบ ผู้ปั้น  ขนาด/ลักษณะ รัฐพิธี พร้อมภาพประกอบอย่างละเอียด ด้วยหวังให้เกิดประโยชน์แก่ผู้สนใจและประชาชนชาวคนไทยให้ได้รับทราบเรื่องราวอันสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทยและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและแสดงความจงรักภักดี  นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดการดำเนินงานของกรมศิลปากรกับระเบียบกระทรงศึกษาธิการว่าด้วยการก่อสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติ และการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ พ.ศ. ๒๕๒๐ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการก่อสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติ และการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ พ.ศ. ๒๕๒๐ บัญชีรายนามพระพุทธรูปสำคัญแนบท้ายระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการก่อสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติ และการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ ขั้นตอนการขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์ และขั้นตอนการขออนุญาตจำลองพระพุทธรูปสำคัญตามบัญชีรายนามพระพุทธรูปสำคัญแนบท้ายกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการก่อสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ พ.ศ. ๒๕๒๐ 



1. ว่าด้วยตำราดูฤกษ์ยาม เช่น ดำเนินพระราม, นุ่งผ้าตามวันต่างๆ, ดูโชกช้าง, ทายลูกในท้อง, จับยามพระอินตราทิราช, ยามก่อนจะออกเดินทาง, ตำรานุ่งผ้าใหม่ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม ฯลฯ 2. ตำรายาเกร็ด เช่น ยาแก้ฝีภายใน, ยาพร่มะภัก,ยาณรายมังดาย, แก้จุก แก้ร้อนในอก ฯลฯ


ชื่อเรื่อง : พงศาวดารเมืองสงขลา ชื่อผู้แต่ง : วิเชียรคีรี, พระยา ปีที่พิมพ์ : 2501 สถานที่พิมพ์ : พระนคร: สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์สหกรณ์ขายส่งแห่งประเทศไทย จำนวนหน้า : 64 หน้า สาระสังเขป : หนังสือเล่มนี้รวบรวมประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองสงขลา แบ่งออกเป็น 2 ภาค ได้แก่ ภาคที่ 1 เป็นพงศาวดารเมืองสงขลาที่เรียบเรียงโดยพระยาวิเชียรคีรี (ชม) เนื้อเรื่องกล่าวถึงประวัติเมืองสงขลา และประวัติเจ้าเมืองสงขลา จนถึงสมัยพระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเส้ง) พระยาสงขลาคนที่ 4 และภาคที่ 2 เหตุการณ์บ้านเมืองเข้าสู่ช่วงสงบ ได้กล่าวถึงผู้สำเร็จราชเมืองโดยสังเขป เริ่มจากประวัติเจ้าเมืองสงขลาตั้งแต่เจ้าพระยาวิเชียรคีรี (บุญสัง) ที่ 5 ถึงพระยาวิเชียรคีรี (ชม) เจ้าเมืองในสกุล ณ สงขลาคนที่ 8 เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ นอกจากจะให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเมืองสงขลาแล้ว ยังได้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของต้นสกุล ณ สงขลา สืบต่อกันลงมาในด้านเกียรติประวัติ เป็นคู่กันกับเรื่องราวของเมืองสงขลาอีกด้วย


          วันนี้ (วันเสาร์ที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓) เวลา ๑๔.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการแสดงเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ณ โรงละครแห่งชาติ โดยมีนายประทีป เพ็งตะโก อธิบดี กรมศิลปากร กล่าวรายงาน           ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อ สืบสาน สนับสนุน และอนุเคราะห์กิจกรรมเนื่องด้วยงานศาสนา ศิลปะ และมรดกทางวัฒนธรรมของชาติเสมอมา ทรงเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจในการอนุรักษ์มรดกไทย ด้านนาฏดุริยางคศิลป์สืบมาถึงปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านนาฏศิลป์และดนตรี โดยเฉพาะการแสดงโขน ทรงสน พระราชหฤทัยมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ โดยทรงฝึกหัดเป็นตัวหนุมาน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๒ ที่โรงเรียนจิตรลดา ด้านการดนตรี ทรงพระปรีชาสามารถทรงเครื่องดนตรีไทยและสากลได้หลายชนิด กระทรวงวัฒนธรรม จึงได้มอบหมายให้กรมศิลปากร โดยสำนักการสังคีต จัดการแสดงเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ในวันเสาร์ที่ ๑๘ , ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ และวันอาทิตย์ที่ ๑๙ , ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ โรงละครแห่งชาติ โดยจัดการแสดงที่หลากหลาย ทั้งการแสดงนาฏศิลป์ไทย การบรรเลงดนตรีไทยและดนตรีสากล เพื่อให้ประชาชนเข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ประกอบด้วย          ๑. การบรรเลง – ขับร้องดนตรีสากล          ๒. รำถวายพระพร “พระวชิรเกล้า เจ้าไผทสยาม”           ๓. ละครชาตรี เรื่องมโนห์รา ตอน “พรานบุณจับนางมโนห์รา”           ๔. ละครเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน “ขึ้นเรือนขุนช้าง”           ๕. โขน เรื่องเทวะอสุรสงคราม ชุด “อำมฤตธาราอินทราธิราช”           นำแสดง โดย ศิลปินสำนักการสังคีต อำนวยการแสดง โดย นายปกรณ์ พรพิสุทธิ์ นอกจากนี้ ยังได้จัดนิทรรศการแสดงพระราชประวัติ พระอัจฉริยภาพ และพระราชกรณียกิจด้านการอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรม โดยเฉพาะด้านนาฏดุริยางคศิลป์ ณ โรงละครแห่งชาติ เพื่อเผยแพร่ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมและประชาชนทั่วไปได้ร่วมน้อมสำนึกใน พระมหากรุณาธิคุณ ตลอดจนตระหนักในคุณค่าและร่วมกันธำรงรักษามรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติไทยสืบไป           ผู้สนใจรับบัตรชมการแสดง ๑ ท่าน ต่อ ๑ ที่นั่ง ทางออนไลน์ https://ntt.finearts.go.th และ ห้องจำหน่ายบัตร โรงละครแห่งชาติ สอบถามเพิ่มเติม (วันและเวลาราชการ) โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๔๒ , ๐ ๒๒๒๑ ๐๑๗๑


พระราชนันทมุนี (ปั่น ปญฺญานนฺโท). คำถาม-คำตอบ เรื่องพระพุทธเจ้า. นครศรีธรรมราช : โรงพิมพ์รัตนโสภณ, 2509.           หนังสือคำถาม-คำตอบ เรื่องพระพุทธเจ้านี้ เป็นหนังสือธรรมสำหรับเด็ก มุ่งเน้นให้เด็กเข้าใจได้ง่าย เกี่ยวกับประวัติและหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า




                  ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี บิดาแห่งวงการศิลปะ ร่วมสมัยไทย ผู้บุกเบิกวงการศิลปกรรมของไทยให้ก้าวหน้า สู่สากล และเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งผลิต บัณฑิตออกมารับใช้บ้านเมือง จนเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป สิ่งสําคัญที่ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้ทําควบคู่ไปกับ งานศิลปะและการสร้างสรรค์ผลงานก็คือการเขียนบทความ ทางศิลปะ การวางโครงการสอนด้านทฤษฎีศิลป์การบรรยาย และ อภิปรายด้านศิลปะ ทั้งงานแนวประเพณี และงานศิลปะ สมัยใหม่ ข้อมูลดังกล่าวนี้จะปรากฏใน สูจิบัตรการแสดง ศิลปกรรมแห่งชาติ หรือบทความที่ถูกบันทึก ไว้ในที่ต่างๆ การประจักษ์แห่งศิลปะ           ถ้าปราศจากศิลปะ ชีวิตของคนก็เป็นแต่เกิดมาอยู่ในโลกแห่งความ เป็นป่าเถื่อนมีก็แต่ความบันเทิงยินดีอย่างหลงๆ ของ สัตว์โลกเท่านั้น แต่ ผู้ที่รู้ย่อมเห็นว่าคนเรานอกจากมีร่างกายอันเน่าเปื่อยได้ ยังมีอยู่อีกอย่าง หนึ่งที่เรียกว่าดวงใจซึ่งต้องการความประณีตกล่อมเกลาด้วยสิ่งอันทําให้ ปรากฏเกิดปัญญาความรู้สึก ซึ่งเรียกเป็นคําเฉพาะว่าการประจักษ์แห่ง พุทธิปัญญา (Intellectual Manifestation) ด้วยเหตุนี้ คนจึงผิดกว่าสัตว์โลก อื่นๆ ด้วยมีความจําเป็นต้องมีศิลปะ เพราะศิลปะเป็นเครื่องพิสูจน์ ให้เห็นได้ ว่าเป็น อารมณ์เครื่องยึดหน่วงจิตใจให้ขึ้นสู่สูง และมีความไม่เห็นกับตนเป็น ที่ตั้งเป็นอย่างยิ่ง ที่ว่าความไม่เห็นแก่ตนเป็นที่ตั้ง หมายถึง "เรา" ซึ่งมีอยู่ ในตัวเรา "เรา" ที่ว่านี้ตามธรรมดา เมื่อประสบอารมณ์อะไรที่ชอบพอใจก็ อยากจะยึดถือเอาไว้เสียเองแต่ผู้เดียว ไม่อยากให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมด้วย ทั้ง นี้เป็นสัญชาตญาณที่เห็นแก่ตนโดยเฉพาะ ยกตัวอย่างเป็นต้นว่าความรักเรา รักอะไรเราก็หวงไม่อยากให้ใครคนอื่นมีส่วนมาร่วมรักด้วยกับเราในสิ่งนั้น แต่ตรงกันข้าม ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับศิลปะเช่นเมื่อเราได้อ่านหนังสือที่ดีๆ ได้ฟังเพลงที่เพราะๆ หรือได้ดูศิลปกรรมอย่างอื่นๆ ลางชิ้นที่งามๆ จับใจเรา ก็เกิดอารมณ์ความรู้สึกเป็นความจําเป็นขึ้นมาอยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านได้ฟัง หรือได้ดูชมสิ่งเหล่านั้นอันเป็นการประจักษ์แห่งศิลปะร่วมความรู้สึก เช่นเดียวกับเราด้วย ต่อมาก็ให้ได้อ่านได้ฟังหรือได้ดูในศิลปกรรมนั้น อันทําให้เกิดความยินดีบันเทิงใจทางพุทธิปัญญาร่วมกับเพื่อนของเรา เพราะ ฉะนั้นจึงเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า ศิลปกรรมเป็นปัจจัยทําให้เราไม่เห็น แก่ตนเป็นที่ตั้ง เมื่อรู้สึกยินดีบันเทิงใจก็อยากให้ติดต่อไปถึงผู้อื่นได้มีส่วน ร่วมความรู้สึกนี้กับเราด้วย ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้อยู่ในชาติชั้นวรรณะใด เราก็ ยินดีอยากให้มีส่วนร่วมด้วยเสมอ           ภูมิประเทศอันเป็นทิวทัศน์ ไม่ใช่จะหมายความว่ามีแต่ทุ่งนาป่าเขา ลําเนาไม้ ยังมีความหมายมากกว่านั้น หมายความว่าเป็นส่วนหนึ่งแห่งพิภพ จักรวาลและถ้าศิลปินสามารถถอดเอาชีวิตจิตใจ ที่เป็นสาระของส่วนที่กล่าว นั้นออกมาเป็นรูปได้ รูปนั้นก็ไม่ใช่เป็นรูปที่ถอดเอามาจากธรรมชาติเท่าที่ ธรรมดามองเห็น แต่จะเป็นรูปที่ถอดเอาสาระสําคัญของธรรมชาติออกมา ทีเดียว           ค่าอันแท้จริงของศิลปกรรม คือมีคุณสมบัติซึ่งพูดไม่ถูกที่กล่าว ออกมาข้างต้นนี้ซึ่งทําให้อารมณ์ของเราเกิดสะเทือนเคลื่อนไหว กล่าวคือนี้ แหละเป็นส่วนจิตใจของศิลปินนั้นเทียว นี่คืออํานาจแห่งอารมณ์สะเทือนใจ ของศิลปิน ผู้เนรมิตสร้างซึ่งถอดเอาลงไปในศิลปกรรมของเขา เหตุนี้จึงเป็น ศิลปะบริสุทธิ์ที่ทําให้เกิดความรู้สึกยิ่งกว่าเห็นเฉยๆ  


ผู้แต่ง : ขุนทรงวรวิทย์ ฉบับพิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ 1  สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : ไทยเขษม ปีที่พิมพ์ : 2478 หมายเหตุ : พิมพ์แจกเป็นการกุศลในงานพระราชทานเพลิงศพพระรัตนธัชมุนีศรีธรรมราช พ.ศ. 2478             หนังสือที่ระลึกแห่งจังหวัดนครศรีธรรมราชนี้ เป็นการรวบรวมภาพและความเป็นมาของสถานที่สำคัญต่างๆ ของจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ขุนทรงวรวิทย์มีส่วนในการสร้างสรรค์จนสำเร็จเป็นถาวรสถานที่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช  


          เนื่องในวโรกาสน้อมรำลึกแห่งการสิ้นพระชนม์ ครบรอบเป็นปีที่ ๑๐๐ ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่จะมีขึ้นในพุทธศักราช ๒๕๖๔ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติ จึงขอเชิญพระประวัติและผลงานของพระองค์มาเผยแพร่ให้สาธารณชนได้รับทราบคุณูปการมากมายที่มีต่อพระพุทธศาสนาและประเทศไทย เพื่อความซาบซึ้งในพระเกียรติคุณ และภาคภูมิใจในความเป็นสังฆราชาของชาวไทย ดังนี้           พระประวัติ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๔๗ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาแพ เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๓ เมื่อพระชันษาได้ ๘ ปี ทรงเริ่มศึกษาภาษาบาลี จนสามารถแปลธรรมบทได้ก่อนผนวชเป็นสามเณร นอกจากนี้ยังทรงศึกษาภาษาอังกฤษและโหราศาสตร์อีกด้วย ถึงปี พ.ศ.๒๔๑๖ ได้ทรงผนวชเป็นสามเณร ทรงผนวชเป็นสามเณรอยู่ ๘ เดือน จึงทรงลาผนวช เมื่อพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษาแล้ว ก็ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๒ ทรงศึกษาพระปริยัติธรรม จนทรงมีพระปรีชาแตกฉานในภาษาบาลี ทรงสอบเป็นเปรียญ ๕ ประโยค เสมอพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมราชชนกนาถ พระองค์เจริญงอกงามไพบูลย์ในพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่อง ได้ทรงรับสถาปนาเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม มีพระนามว่า กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส           พ.ศ. ๒๔๒๔ เมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) สิ้นพระชนม์แล้ว ได้ทรงรับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตสืบต่อมา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ ถึง พ.ศ. ๒๔๔๔ ทรงเลื่อนพระยศเป็นกรมหลวง พ.ศ.๒๔๕๓ ได้ทรงรับมหาสมณุตตมาภิเษกและเลื่อนพระยศเป็น สมเด็จพระมหาสมณะ กรมพระยา เป็น สกลมหาสังฆปรินายก ประธานาธิบดีแห่งพระสงฆ์ทั่วพระราชอาณาจักร เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ถึง พ.ศ. ๒๔๖๔ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาเปลี่ยนคำนำพระนามเป็น “สมเด็จพระมหาสมณเจ้า” ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหารได้ ๒๙ ปี สิ้นพระชนม์ เมื่อ วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๔๖๔ พระชนมายุ ๖๑ พรรษา           คุณูปการต่อพระพุทธศาสนาและการศึกษา สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงพระอัจฉริยะในวิทยาการต่าง ๆ หลากหลายสาขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพระพุทธศาสนา ภาษาต่างๆ เช่น ภาษาบาลี ภาษาสันสฤต ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาโบราณ นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจเรื่อง การศึกษา การปกครอง วิทยาการสมัยใหม่ต่างๆอีกมากมาย พระองค์เป็นผู้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการศึกษา ทั้งการศึกษาคณะสงฆ์และการศึกษาของชาติอาจกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงเป็นบุคคลสำคัญพระองค์หนึ่งของชาติไทยในด้านการวางรากฐานการศึกษาสมัยใหม่ ทรงรจนาหลักสูตรนักธรรมชั้นตรี-โท-เอก หลักสูตรบาลี และทรงรจนาไวยากรณ์ภาษาบาลีขึ้น สำหรับใช้เป็นหลักสูตรในการศึกษาบาลี ตำราและหลักสูตรทั้งหลายเหล่านี้ ใช้สำหรับการศึกษาของคณะสงฆ์ตลอดมาตั้งแต่สมัยเริ่มแรกในยุคของพระองค์จนถึงปัจจุบันนี้ พระนิพนธ์ต่างๆที่เป็นหลักสูตรในการศึกษาทางพระพุทธศาสนาหลายเรื่องได้แปลเป็นภาษาต่างประเทศ เช่น นวโกวาท วินัยมุข เล่ม ๑-๒ ธรรมวิภาค ธรรมวิจารณ์และอุปสมบทวิธี เป็นต้น พระเกียรติคุณของพระองค์ท่านจึงเป็นที่รู้จักกันในกลุ่มผู้รู้และนักศึกษาชาวต่างประเทศ           ด้านการสืบอายุพระพุทธศาสนา ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชย์ได้ ๒๕ ปี ทรงปรารภจะบำเพ็ญพระมหากุศล ทรงเห็นว่าพระไตรปิฎกที่เขียนไว้ในใบลานเป็นตัวขอม มีจำนวนมากยากที่จะรักษา ผู้ไม่รู้อ่านไม่เข้าใจ และยังไม่มีพระไตรปิฎกอักษรไทยทั้งที่คนไทยมีอักษรใช้เป็นของตนเองมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว จึงมีพระราชศรัทธาให้พิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มแบบฝรั่งขึ้นใหม่ โปรดให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ครั้งดำรงพระยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส และพระเถรานุเถระทั้งหลายช่วยกันชำระ โดยคัดลอกตัวขอมในคัมภีร์ใบลาน เป็นตัวอักษรไทย แล้วชำระแก้ไขและพิมพ์เป็นเล่มหนังสือ รวม ๓๙ เล่ม เริ่มชำระและพิมพ์ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๓๑ สำเร็จเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๖ จำนวน ๑,๐๐๐ ชุด นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มด้วยอักษรไทย นับเป็นการสังคายนาครั้งที่ ๓ ที่ทำในประเทศไทย            ด้านความมีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาตามโบราณราชประเพณี มีการสร้างคัมภีร์ใบลานถวายวัดเพื่อสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาและเป็นปัจจัยแก่พระนิพพานในอนาคตกาลตามคติความเชื่อของพุทธศาสนิกชน พระองค์ทรงสร้างคัมภีร์ใบลานไว้จำนวนมาก ปรากฏจากการสำรวจ อนุรักษ์ จัดทำทะเบียน แหล่งเอกสารโบราณวัดบวรนิเวศวรวิหาร เมื่อปี ๒๕๕๑-๒๕๕๒ โดยสำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ดำเนินการจัดระบบคัมภีร์ใบลานวัดบวรนิเวศ ตามหลักฐานบัญชีชื่อเรื่องที่รวบรวมได้ พระองค์ได้สร้างคัมภีร์พระไตรปิฎกในหมวดพระวินัยปิฎกอย่างน้อย ๕ เรื่อง ได้แก่ ภิกขุนีวิภังค์ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปาจิตตีย์ จูฬวัคค์(ทองทึบ) จูฬวัคค์(รักทึบ) โดยใช้ชื่อผู้สร้างคัมภีร์เป็นอักษรขอม ภาษาบาลี ว่า “มนุสฺสนาคมานโว” อันเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า พระองค์เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคงซึ่งเป็นจริยวัตรที่พระองค์ปฏิบัติอย่างงดงามเป็นแบบอย่างพุทธศาสนิกชนในภายหลังได้เป็นอย่างดี            พระองค์ทรงจัดการปกครองคณะสงฆ์ภายในพระราชอาณาจักรให้เป็นระเบียบตามพระธรรมวินัยอันเป็นผลให้เกิดพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๕ พระราชบัญญัตินี้ จัดแบ่งส่วนการปกครองเป็นส่วนกลางและส่วนภูมิภาค มีเถรสมาคม มีเจ้าคณะใหญ่และเจ้าคณะ จนถึงเจ้าอาวาสปกครองบังคับบัญชากันเป็นชั้นๆ ตามลำดับ เถรสมาคมอยู่ในฐานะเป็นที่ทรงปรึกษาในการพระศาสนาของพระมหากษัตริย์ พระองค์เป็นประธานในเถรสมาคม ทรงวางกฎระเบียบต่างๆ อันเป็นการส่งเสริมให้พระภิกษุสามเณรประพฤติปฏิบัติพระธรรมวินัยด้วยความเรียบร้อย            สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แม้ว่าจะทรงเป็นเจ้านายสุขุมาลชาติ แต่ในสมัยที่ทรงบริหารการคณะสงฆ์ และทรงจัดการศึกษาของชาติในส่วนหัวเมืองทั่วพระราชอาณาจักร ก็ได้เสด็จออกไปตรวจการณ์คณะสงฆ์และการศึกษาในหัวเมืองมณฑลต่างๆทั่วพระราชอาณาจักรเท่าที่จะสามารถเสด็จไปถึงเป็นครั้งคราวอยู่เสมอ บางแห่งที่เสด็จไป ต้องทรงลำบากพระวรกายเป็นอย่างมากบ่อยครั้งต้องเสด็จดำเนินไปด้วยพระบาทเปล่า จากตำบลหนึ่งไปสู่อีกตำบลหนึ่ง แต่พระองค์ก็ทรงมีพระขันติและวิริยะอุตสาหะ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระศาสนาและการศึกษาของชาติ โดยมิเคยทรงนึกถึงความทุกข์ยากส่วนพระองค์           พระกรณียกิจและจริยาวัตรต่าง ๆ ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ดังกล่าวมาแล้ว ย่อมแสดงให้เห็นว่า ได้ทรงพระปรีชาสามารถอย่างยิ่ง ทรงบำเพ็ญประโยชน์อันเป็นพระคุณูปการแก่พระศาสนาและประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง ทรงดำรงพระชนมชีพอยู่เพื่อความเจริญวัฒนาสถาพรของพระศาสนาและชาติโดยแท้ จึงสมเป็นปูชนียบุคคลที่ควรเคารพบูชาของชาติไทย เป็นผู้ที่อนุชนจะพึงเคารพบูชาและถือเป็นเนตติแบบอย่างในการบำเพ็ญประโยชน์แก่พระศาสนาและประเทศชาติสืบไป          เกียรติประวัติของพระองค์ เป็นที่รับทราบแก่ชาวโลก จนในที่สุด เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ที่ประชุมใหญ่สมัยสามัญขององค์การยูเนสโก ครั้งที่ ๔๐ มีมติรับรองการร่วมเฉลิมฉลองในวาระครบรอบบุคคลสำคัญและเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ในวาระปี ๒๕๖๓-๒๕๖๔ ได้ยกย่อง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นบุคคลสำคัญของโลก สาขาสันติภาพ ครบ ๑๐๐ ปี แห่งการสิ้นพระชนม์ (๒ สิงหาคม ๒๔๖๔) ในการนี้ พุทธศาสนิกชนชาวไทย ควรร่วมจิตน้อมใจจัดกิจกรรม เพื่อเชิดชูพระเกียรติคุณ และเผยแพร่ คุณงามความดีและจริยวัตรอันงดงามให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่อนุชนคนรุ่นหลังซึ่งจะส่งผลให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ สืบไป ------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล : นายวัฒนา พึ่งชื่น นักภาษาโบราณชำนาญการพิเศษ กลุ่มหนังสือตัวเขียนและจารึก สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร------------------------------------------




black ribbon.