ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ


           ปราสาทบ้านน้อย เป็นอโรคยาศาลสร้างด้วยศิลาแลงและอิฐ ปัจจุบันเป็นอโรคยาศาลเพียงแห่งเดียวที่สำรวจพบในจังหวัดสระแก้ว สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (ค.ศ. ๑๑๘๑-๑๒๑๘) แผนผังของโบราณสถานประกอบด้วยปราสาทประธานและบรรณาลัยที่ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว มีโคปุระหรือซุ้มประตูทางด้านทิศตะวันออกเพียงด้านเดียว ภายในโคปุระแบ่งเป็นห้องทิศเหนือและห้องทิศใต้ ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกำแพงแก้วเป็นที่ตั้งของบารายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขอบบารายกรุด้วยศิลาแลงเป็นขั้นบันไดลาดลงไปที่ก้นสระ นอกจากนี้ยังพบบารายที่มีคันดินล้อมรอบบริเวณด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกของอโรคยาศาล โดยบารายด้านทิศเหนือกว้างประมาณ ๔๕ เมตร ยาวประมาณ ๖๐ เมตร บารายด้านทิศตะวันออกกว้างประมาณ ๑๑๐ เมตร ยาวประมาณ ๒๒๕ เมตร            กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานปราสาทบ้านน้อย ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๑๕ ตอนพิเศษ ๓๘ ง วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๔๑ เนื้อที่โบราณสถาน ๔๕ ไร่ ๙๕ ตารางวา            ในปีพุทธศักราช ๒๕๖๓ กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี ได้ดำเนินงานทางโบราณคดีบริเวณปราสาทบ้านน้อย โดยได้ทำการขุดค้น ขุดตรวจและขุดแต่งทั้งภายในและภายนอกกำแพงแก้ว รวมทั้ง บารายด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อทำการศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบสถาปัตยกรรมของโบราณสถาน สำหรับเป็นข้อมูลประกอบการออกแบบบูรณะเสริมความมั่นคงและปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณโบราณสถานเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ที่สำคัญของจังหวัดสระแก้วในอนาคต รูปที่ 1 ภาพถ่ายทางอากาศบริเวณปราสาทบ้านน้อย รูปที่ 2 ปราสาทประธาน ก่อนและหลังการขุดแต่ง รูปที่ 3 โคปุระด้านทิศตะวันออก ก่อนและหลังการขุดแต่ง รูปที่ 4 บรรณาลัย ก่อนและหลังการขุดแต่ง รูปที่ 5 บาราย ก่อนและหลังการขุดแต่ง -------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : นางเป็นภัสญ์ ศรีสุวิทธานนท์ นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี




องค์ความรู้ : สถานเอกอัครราชทูตโปรตุเกสประจำประเทศไทย        สถานเอกอัครราชทูตโปรตุเกสประจำประเทศไทยตั้งอยู่ถนนเจริญกรุง ซอยกัปตันบุช เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร  เป็นสถานเอกอัครราชทูตที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงเทพมหานคร  ประวัติความเป็นมาเริ่มจากใน พ.ศ. ๒๓๖๓ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาแด่สมเด็จพระราชินีมาเรียแห่งโปรตุเกสเพื่อใช้เป็นที่ตั้งของโรงสินค้า และเป็นที่พักของกงสุลโปรตุเกสคนแรก คือ คาร์ลูช มานุเอล ดา ซิลเวย์รา (Carlos Manuel da Silveira) อาคารหลังแรกสร้างด้วยไม้ไผ่ ใช้ไม้คาน ไม้ระแนง และฉาบด้วยปูนปลาสเตอร์  เป็นสถานที่กว้างขวาง ทาสีขาวสะอาดตา  ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของราชอาณาจักรสยาม  และมีชาวโปรตุเกสพำนักอาศัยตั้งถิ่นฐานอยู่โดยรอบ         ในเวลาต่อมาอาคารดังกล่าวเริ่มมีสภาพทรุดโทรม เมื่อนายอิสิโดรุ ฟรันซิชกุ กิมาเรยช์ (Izidoro Francisco Guimarães) ท่านผู้ว่าราชการแห่งมาเก๊าและรัฐมนตรีผู้ได้รับอำนาจโดยสมบูรณ์จากโปรตุเกสในประเทศจีน ญี่ปุ่นและสยาม เดินทางมาเยือนกรุงเทพฯ  จึงได้ริเริ่มให้มีการบูรณะอาคารหลังดังกล่าวในพ.ศ. ๒๔๐๓ ซึ่งขณะนั้นนายอันตอนิอุ เฟรดึริกุ มอร์ (António Frederico Moor) ดำรงตำแหน่งกงสุลโปรตุเกสประจำราชอาณาจักรสยาม แต่งานบูรณะดังกล่าวต้องหยุดชะงักลงเมื่อกงสุลมอร์หมดวาระใน พ.ศ. ๒๔๑๐  จนกระทั่งนายอันตอนิอุ ฟึลิซิอานุ มาร์เคช ปึเรย์รา (António Feliciano Marques Pereira) กงสุลโปรตุเกสประจำราชอาณาจักรสยามคนใหม่เข้ามารับตำแหน่งในวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๑๘ เขาได้ช่วยสนับสนุนให้การดำเนินงานก่อสร้างอาคารเสร็จสิ้นลงได้โดยได้รับความเห็นชอบจากผู้มีอำนาจสั่งการในมาเก๊า  โดยมีนายลูอิฌ มารีอา ฌาวิเอร์ (Luiz Maria Xavier) ผู้มีเชื้อสายโปรตุเกส – ไทยและดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายกระทรวงการคลังผู้มีฐานะให้การสนับสนุนด้านการเงินในเบื้องต้น  โดยมีการลงนามสัญญาก่อสร้างในวันที่  ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๑๘ และใช้เวลาก่อสร้างส่วนต่าง ๆ ของสถานกงสุลเป็นเวลา ๕ เดือนจึงแล้วเสร็จ และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๑๘         สถานเอกอัครราชทูตโปรตุเกสหลังปัจจุบันเป็นอาคาร ๒ ชั้น ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบโคโลเนียล  หลังคาทรงปั้นหยา  บริเวณทางเข้ามีมุขหลังคาจั่วอยู่กึ่งกลางด้านหน้า  อันแสดงถึงอิทธิพลของสถาปัตยกรรมแบบนีโอ ปัลลาเดียน (Neo-Palladian) หน้าจั่วประดับตราแผ่นดินของประเทศโปรตุเกส   ซุ้มทางเข้าชั้นล่างและซุ้มหน้าต่างชั้นบนของมุขทางเข้าทำเป็นซุ้มโค้งครึ่งวงกลมต่อเนื่องกัน ๓ ซุ้ม แต่ละซุ้มคั่นด้วยเสาอิง  ภายในอาคารชั้นล่างเป็นห้องโถงใหญ่ ชั้นบนมีระเบียงยาวตลอดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทางเข้าประดับกระเบื้องเซรามิกลายครามจากโปรตุเกส         อาคารหลังนี้ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่นประเภทเคหสถานและบ้านเรือนเอกชนจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์เมื่อพ.ศ. ๒๕๒๗ และแม้จะมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงพื้นที่หลายครั้ง แต่ตัวอาคารและภูมิทัศน์โดยรอบยังคงได้รับการอนุรักษ์ให้ใกล้เคียงกับของเดิมมากที่สุด รวมทั้งดัดแปลงให้เหมาะสมต่อการใช้งานได้อย่างลงตัวและทันสมัย  ปัจจุบันอาคารหลังนี้ได้ใช้เป็นทำเนียบทูตโดยตัวอาคารยังคงไว้ซึ่งความงดงามและทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา อันสะท้อนเรื่องราวความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและโปรตุเกสที่ดำรงมาอย่างยาวนานกว่า ๕๐๐ ปี ------------------------------------ เรียบเรียงโดย น.ส. รัตติกาล  สร้อยทอง นักอักษรศาสตร์ชำนาญการ กลุ่มแปลและเรียบเรียง สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์


     วัดใหญ่นครชุมน์ ตั้งอยู่ที่หมู่ ๖ ตําบลนครชุมน์ อําเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ประวัติ วัดใหญ่นครชุมน์สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๒ โดยมีพระทองผาภูมิ เป็นผู้สนับสนุนในการก่อสร้าง อาคารสิ่งก่อสร้างที่เป็นของเก่าแก่คู่กับวัดมา คือ โบสถ์วิหาร เจดีย์บรรจุพระธาตุ และต้นโพธิ์ ๓ ต้น ซึ่งปลูกคู่วัดมาแต่เดิม เสนาสนะในบริเวณวัดได้รับการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง ครั้งแรกและครั้งที่สองไม่ปรากฏหลักฐาน ครั้งที่สามเมื่อปีระกา เอกศก ๑๒๗๑ (พ.ศ. ๒๔๕๒) โดยพระบุญเป็นผู้ปฏิสังขรณ์ และต่อมาครั้งที่ ๔ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ พระอธิการประเทินเป็นผู้ดําเนินการ และครั้งท้ายสุดในปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ได้งบจากรัฐบาลจํานวน ๒๐,๐๐๐ บาท ทําการซ่อมแซมกระเบื้องพระอุโบสถ        สิ่งสําคัญในวัดใหญ่นครชุมน์ มีดังนี้      วิหาร ชาวมอญเรียกเป็นภาษารามัญว่า “ปากี” ลักษณะเป็นอาคารไม้ทรงไทยสร้างอยู่บนฐาน ก่ออิฐถมดิน ๒ ชั้น ชั้นล่างขนาดกว้างยาวด้านละประมาณ ๔๐ เมตร สูง ๘๐ เซนติเมตร ฐานชั้นที่สองเป็นฐานอิฐก่อ ลักษณะของอิฐมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ขนาดกว้างยาวด้านละ ๒๒.๕ *๒๓.๔ เมตร สูง ๒.๘๐ เมตร ฐานก่ออิฐสี่เหลี่ยมนี้เดิมมีผู้จะสร้างเป็นพระสถูปเจดีย์มอญขนาดใหญ่แบบพระมุเตาขึ้นเพื่อให้เป็นประธานของวัด แต่การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ จึงเหลือให้เห็นแค่ฐานพระสถูปอิฐรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ต่อมามีการสร้างวิหารขึ้นบนฐานเป็นอาคารไม้ทรงไทย หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ช่อฟ้าใบระกาปูนปั้น หน้าบันปูนปั้นบนแผ่นไม้ ผนังอาคารโล่งทั้งสี่ด้าน ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูป มีป้ายไม้เขียนอักษรรามัญและไทยว่า      “พระอธิการเข่งได้บํารุงขึ้นครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙” บริเวณมุมของฐานก่ออิฐ และวิหารมีเจดีย์มอญ ๔ มุม       ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ประทับบนบัลลังก์ที่พนักบัลลังก์ประดับกระจกสีนําเงิน องค์ที่สองเป็นพระพุทธรูปสําริดปางประทานพร ครองจีวรห่มเฉียงเป็นริ้ว ที่พระเศียรมีเครื่องประดับคล้ายพระพุทธรูปในศิลปะพม่า ด้านหน้ามีรูปปั้นอุบาสกชาวมอญ ๒ คน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นประติมากรรมเล่าเรื่อง พุทธประวัติ ตอนหลังจากที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ แล้วได้ประทานพระเกศาให้แก่พ่อค้า ๒ คน คือ ปาลิยะภัทรลิกะ เป็นพุทธประวัติตอนหนึ่งที่ชาวมอญ-พม่านิยมกันมาก โดยมีเรื่องเล่าว่าต่อมาพ่อค้าทั้งสองได้นํา พระเกศาธาตุนั้น ไปบรรจุไว้ในการสร้างพระเจดีย์ชเวดากอง ส่วนพระพุทธรูปองค์ที่สามเป็นพระพุทธรูปสําริดปางสมาธิ ครองจีวรห่มเฉียงเป็นริ้ว สมัยรัตนโกสินทร์ แบบศิลปคันธารราฐ      อุโบสถ ตั้งอยู่ภายในกําแพงแก้วสี่เหลี่ยมทึบเตี้ยบริเวณด้านหลังวิหาร ลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนหลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ช่อฟ้าใบระกาปูนปั้น หน้าบันก่อสูงจรดอกไก่อุโบสถตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมยกพื้นสูงฐานอุโบสถเป็นฐานบัวลูกแก้วอกไก่สูงจรดขอบหน้าต่าง      ด้านล่าง ผนังอุโบสถด้านหน้าและหลังมีลักษณะคล้ายกันคือ มีประตูทางเข้า ๒ ประตู ด้านบนมีปูนปั้นเป็นรูปซุ้มประดับเหนือกรอบประตูเป็นลวดลายใบไม้แบบฝรั่งทาสี ด้านข้างของกรอบผนังมีเสาหลอกเป็นเสาสี่เหลี่ยมส่วนบนของผนังเชื่อมต่อกับส่วนของหน้าบัน มีลวดลายแท่งสี่เหลี่ยมคล้ายเสาหลอกประดับ หน้าบันปูนปั้นนูนต่ําลวดลายดอกไม้ หงส์ ลายประแจจีน และลายเรขาคณิตแบบจีน โดยแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนล่างตรงกลางมีอักษรจารึกว่า “ปีระกาเอก์ศ๊ก ๑๒๗๑ พระบุญจัตรการปฏิสังขรณ์เบนครั้งที่ ๓” ในส่วนของลวดลายมีการตกแต่งด้วยเครื่องถ้วยลายคราม และเครื่องถ้วยเบญจรงค์ ผนังด้านข้างแบ่งส่วนของผนังออกเป็นช่องๆด้วยเสาหลอกติดผนังจํานวน ๕ช่อง ในแต่ละช่องจะมีซุ้มหน้าต่างอยู่ตรงกลาง ประดับลวดลายปูนปั้นระบายสีเป็นรูปคล้ายพระอาทิตย์เปล่งรัศมี และลายเรขาคณิตแบบฝรั่ง ภายในอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้น จํานวน ๑๔ องค์ปัจจุบันอุโบสถมีสภาพชํารุดมากแตกร้าวทั้งหลัง ไม่มีการใช้ประกอบศาสนกิจเพราะทางวัดสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้นแทน      เจดีย์ราย พบจํานวนหลายองค์ ลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทรงระฆังและย่อมุมไม้สิบสองแบบมอญตั้งอยู่ด้านหน้าอุโบสถ ๑ องค์ ด้านหลังอุโบสถ ๒ องค์ เจดีย์ด้านหน้าอุโบสถ ลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทรงระฆังกลมสูง ๗.๒ เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง ๖.๕ เมตร ฐานเจดีย์เป็นฐานบัวลูกแก้วอกไก่รูปแปดเหลี่ยม องค์ระฆังกลมมีขนาดเล็กยาวมีลวดลายปูนปั้นตกแต่ง ส่วนยอดเป็นบัวกลุ่มและปลียอดขนาดใหญ่ ปลายสุดมีฉัตรโลหะปัก      เจดีย์ด้านหลังอุโบสถ ลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทรงระฆังกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง๔.๑๐ เมตร ตั้งอยู่บนฐานเขียงสี่เหลี่ยมฐานเจดีย์เป็นฐานบัวแปดเหลี่ยม องค์ระฆังกลมเรียบ ส่วนยอดเป็นปล้องไฉนและปลียอดขนาดใหญ่ ปลายสุดมีฉัตรโลหะปัก ส่วนอีกองค์เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองฐานเจดีย์เป็นฐานหน้ากระดานซ้อนกัน ๓ ชั้นรองรับฐานสิงห์ ๓ ชั้น องค์ระฆังขนาดเล็กย่อมุม ส่วนยอดเป็นปลียอขนาดใหญ่   เรียบเรียง/ภาพ : นางจิรนันท์ คอนเซพซิออน นักโบราณคดีชํานาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี



เลขทะเบียน : นพ.บ.118/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  50 หน้า ; 4.7 x 57 ซ.ม. : ทองทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 66 (209-213) ผูก 3 (2564)หัวเรื่อง : สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (พระวิภงฺคปกรณา-พระสมนฺต มหาปฎฺฐาน)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ขอมภาษา : บาลี-ไทยบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.147/14ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  40 หน้า ; 4 x 51 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 90 (377-391) ผูก 14 (2564)หัวเรื่อง : ธมฺมปปทวณฺณนา ธมฺมปทฎกถา ขุทฺทกนิกายฎฐกถา (ธรรมบท)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.129/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  40 หน้า ; 4.8 x 50 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 75 (275-287) ผูก 2 (2564)หัวเรื่อง : ธฺมมปทวณฺณนา ธฺมฺมปทฎฺฐกถา ขุทฺกนิกายฎฺฐกถา (ธมฺมบท)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.16/1-7 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)




       สารคดี ๑๑๒ ปี ไพรัชไมตรี ณ เมืองเพชรบุรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี ตอนที่ ๘ อนุสรณ์แห่งไมตรี      ดยุคโยฮันอัลเบิร์ต และดัชเชสอลิธซาเบธ รอตซาลา พระชายา เสด็จกลับจากประพาสเมืองเพชรบุรีในวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก ๑๒๘ แล้ว ประทับอยู่ที่กรุงเทพมหานคร และเสด็จไปสถานที่สำคัญอีกบางแห่ง เช่น พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระพุทธรัตนสถาน วัดเบญมบพิตรดุสิตวนาราม วัดบวรนิเวศวิหาร ได้เข้าเฝ้า พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส เสด็จไปวังพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช  คลับชาวเยอรมันในกรุงเทพฯ เป็นต้น โดยดยุคฯ ได้เชิญพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการบางท่านผู้ให้การรับรองในการเสด็จคราวนี้มาเลี้ยงอาหารเที่ยงในวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ก่อนที่จะเสด็จไปกรุงเก่าโดยทางรถไฟในบ่ายวันเดียวกันนั้น เพื่อประพาสกรุงเก่าเป็นเวลา ๔ วัน โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินล่วงหน้าไปก่อนแล้ว โปรดให้ดยุคฯ ทอดพระเนตรเมืองโบราณ และจัดการแสดงถวายทอดพระเนตรที่พระราชวังบางปะอินเป็นการส่งเสด็จในคืนวันที่ ๘ กุมภาพันธ์   ครั้นวันรุ่งขึ้นดยุคฯ และพระชายาพร้อมคณะ เสด็จกลับจากกรุงเก่าโดยทางเรือ และประทับเรือพระที่นั่งมหาจักรีไปยังปากน้ำ เพื่อโดยสารเรือเดลีเสด็จออกจากราชอาณาจักรสยามเป็นเสร็จการเดินทางมาเยี่ยมราชอาณาจักรสยามของดยุคโยฮันอัลเบิร์ตและพระชายา ซึ่งภายหลังจากเหตุการณ์นี้อีก ๙ เดือน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต      เหตุการณ์คราวดยุคโยฮันอัลเบิร์ตแห่งเมกเคลนบวร์กและพระชายาเสด็จเยือนราชอาณาจักรสยามในครั้งนี้ นับเป็นอีกเหตุการณ์สำคัญในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งมีการกล่าวถึงในบันทึกของบุคคลร่วมสมัยหลายท่าน อีกทั้งยังมีการบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดลงในพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาด้วย แต่นอกเหนือไปจากบันทึกเรื่องราวจากบุคคลต่างๆ และหลักฐานจดหมายเหตุ ตลอดจนหลักฐานชั้นรองอื่นๆ แล้ว ยังคงมีสิ่งที่เป็นอนุสรณ์จากการมาเยือนของพระราชอาคันตุกะในครั้งนั้น       จังหวัดเพชรบุรีซึ่งเป็นเมืองหนึ่งที่ดยุคฯ ได้เสด็จเยือนเมื่อ ๑๑๒ ปีมาแล้ว นับเป็นสถานที่หนึ่งที่มีสิ่งอนุสรณ์ให้อนุชนรุ่นหลังได้ระลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น ซึ่งจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่ามีสิ่งของ ตลอดจนสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การเสด็จเมืองเพชรบุรีของดยุคโยฮันอัลเบิร์ตแห่งเม็คเคลนบวร์ก หรือที่เรียกในเอกสารครั้งนั้นว่า “เจ้า” เท่าที่รวบรวมได้มีดังนี้ ห้องดุ๊ก ถ้ำเขาบันไดอิฐ วัดเขาบันไดอิฐ อำเภอเมืองฯ จังหวัดเพชรบุรี ๑.ห้องดุ๊ก ภายในถ้ำวัดเขาบันไดอิฐ        ดยุคโยฮันอัลเบิร์ตและดัชเชสอลิธซาเบธ รอตซาลา พระชายา เสด็จประพาสวัดเขาบันไดอิฐ ในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก ๑๒๘ (พุทธศักราช ๒๔๕๒) ทั้งสองพระองค์ทอดพระเนตรภายในถ้ำของวัดเขาบันไดอิฐแล้ว จึงเสด็จกลับมายังบ้านปืน วัดเขาบันไดอิฐเป้นวัดโบราณแห่งหนึ่งของเมืองเพชรบุรี ตั้งอยู่บนเขาบันไดอิฐ ทางทิศตะวันตกของตัวเมืองเพชรบุรี มีประวัติความเป็นมาสืบเนื่องไปถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ตามตำนานกล่าวว่า พระภิกษุแสง พระอาจารย์ในสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) เป็นผู้สร้างโดยได้สร้างอุโบสถ เจดีย์ และวิหารไว้บนเขา ใกล้กันมีถ้ำซึ่งประกอบด้วยห้องโถงต่างๆ หลายห้อง ลดเลี้ยว สวยงาม มีชื่อเรียก อาทิ ถ้ำประทุน ถ้ำช้างเผือก ถ้ำหว้า ถ้ำตับเต่า เป็นต้น โดยเมื่อเข้าไปภายในประมาณ ๔ ตอนแรก จะเป็นถ้ำซึ่งมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ ถัดเข้าไปเป็นถ้ำประทุน  ซึ่งมีประทุนเรือเก่าแก่ตั้งอยู่หลังหนึ่ง จากถ้ำประทุนมีถ้ำอีกสองห้อง ห้องหนึ่งอยู่ซ้ายมือเรียกถ้ำฤาษี ที่สันนิษฐานว่ามาจากหินก้อนหนึ่งมีสัณฐานคล้ายฤาษีนั่งวิปัสนาอยู่ และห้องทางขวามือ มีตัวอักษรจารึกไว้สองบรรทัด บรรทัดแรก ความว่า “ห้องดุ๊ก” บรรทัดถัดมาความว่า “๒/๑๑/๑๒๘”  ตรงด้านหน้าผนังที่จารึกอักษรดังกล่าวมีแท่นก่ออิฐถือปูนก่อยื่นออกมาจากผนังถ้ำ ถัดเข้าไปทางขวามือจากผนังที่จารึกอักษร มีลักษณะเป็นห้องโถงขนาดย่อม ตรงกลางห้อง ปัจจุบันมีเจดีย์องค์หนึ่ง และมีพระพุทธรูปตั้งอยู่บนซอกหินสูงประมาณ ๔ เมตรบนผนังทางขวามือ สันนาฐานว่า ซอกหินดังกล่าว เดิมคงจะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปซึ่งดยุคโยฮันอัลเบิร์ต มีศรัทธาจะนำมาประดิษฐานไว้ในถ้ำแห่งนี้ด้วยดังจะกล่าวต่อไป    แท่นสำหรับนั่งพักก่ออิฐถือปูน ในห้องดุ๊กจารึกบนผนังถ้ำ เหนือแท่นที่นั่งพัก ในห้องดุ๊ก ๒.พระพุทธรูปเชียงแสน วัดเขาบันไดอิฐ      นอกจากการตั้งชื่อห้องหนึ่งในถ้ำวัดเขาบันไดอิฐว่า “ห้องดุ๊ก” เพื่อเป็นที่ระลึกในการมาเยือนเมืองเพชรบุรีของดยุคโยฮันอัลเบิร์ตแล้ว ในคราวเดียวกันนี้ ดยุคยังมีศรัทธาที่จะนำพระพุทธรูปมาประดิษฐานไว้ในถ้ำดังกล่าวด้วย ปรากฏว่า โปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพเลือกหาพระพุทธรูปองค์หนึ่งเพื่อนำมาประดิษฐานไว้ในห้องดุ๊ก พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงดำรงราชานุภาพ ทรงจัดหาพระพุทธรูปองค์หนึ่ง พร้อมกับให้จารึกข้อความที่ฐานพระพุทธรูปไว้ด้วย               พระพุทธรูปดังกล่าว เป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ ศิลปะแบบเชียงแสน ปางสมาธิ พระพักตร์กลม พระเนตรเหลือบต่ำ พระขนงโก่ง พระนาสิกงุ้ม พระโอษฐ์เล็ก ประทับขัดสมาธิราบ ประทับบนฐานบัวคว่ำบัวหงาย บนฐานเขียง ขนาดหน้าตัก ๒๑ นิ้ว ความสูง ๓๑ นิ้ว  ที่ฐานชั้นล่างสุด มีข้อความจารึกอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยด้านหน้ามีข้อความเป็นอักษรขอม ซึ่งมีคำแปลในบรรทัดถัดมาว่า “ “ไม่มีสุขแก่ผู้ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ” ขณะที่ด้านหลัง มีข้อความภาษาไทย ความว่า      “พระพุทธปฏิมากรองค์นี้ ดุ๊กโยฮันอัลเบรชต์เมืองเม็กเลนเบิก เจ้าผู้สำเร็จราชการเมืองบรันสวิกสร้างประดิษฐานไว้ในถ้ำเขาบันไดอิฐ เป็นที่รฦกที่ได้เสด็จมาเมืองเพ็ชรบุรีเมื่อ พ,ศ, ๒๔๒๕ ครั้งหนึ่ง แลได้เสด็จมาเมื่อ พ,ศ, ๒๔๕๒ อิกครั้งหนึ่ง ให้จาฤกข้อความ อันเหมือนกันทั้งในพุทธสาสนาแลคริสตสาสนาไว้ที่ฐานพระ เพื่อให้เป็นหิตานุหิตประโยน์แก่บรรดาผู้ที่จะได้มาพบเห็นพระพุทธปฏิมากรนี้ด้วย”      สันนิษฐานว่า พระพุทธรูปดังกล่าวได้นำมาประดิษฐานไว้ภายหลังการเสด็จของดยุคโยฮันอัลเบิร์ต ดังเห็นได้จากการใช้ศักราชที่จารึกไว้ที่ฐานที่ใช้พุทธศักราชแล้ว พระปลัดบุญมี ปุญญภาโค เจ้าอาวาสวัดเขาบันไดอิฐรูปปัจจุบันได้กรุณาอธิบายเพิ่มเติมว่า เดิมพระพุทธรูปเชียงแสน ประดิษฐานไว้ในถ้ำ ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรม จึงประมาณปี ๒๕๒๐ - ๒๕๒๓ ในสมัยของพระครูโสภณพัฒนกิจ (บุญส่ง ธัมมปาโล) อดีตเจ้าอาวาส ได้ให้อัญเชิญพระพุทธรูปเชียงแสนจากถ้ำห้องดุ๊ก มาประดิษฐานไว้บนบุษบกธรรมาสน์ของเก่า ภายในศาลาการเปรียญจนกระทั่งถึงปัจจุบัน   ๓.หมู่พระที่นั่งบนพระนครคีรี       อีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งเปรียบเสมือนอนุสรณ์แห่งการมาเยือนของ ดยุคโยฮันอัลเบิร์ตแห่งเมกเคลนบวร์กได้ คือ พระราชวังพระนครคีรี  ซึ่งเป็นพระราชวังที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามหามกุฎวิทยมหาราช รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นบนเขามหาสวรรค์ เมืองเพชรบุรี สำหรับใช้เป็นที่ประทับในเวลาเสด็จประพาสเมืองเพชรบุรีและหัวเมืองใกล้เคียง ด้วยทรงพระราชดำริว่า “..เสด็จพระราชดำเนินไปประพาสเมืองเพชรบุรี ได้ทอดพระเนตรเขามหาสมณ ทรงเห็นว่าเป็นที่สบายชอบกล สมควรจะเป็นที่ประทับได้..” โดยโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) เป็นแม่กองดำเนินการก่อสร้างในพุทธศักราช ๒๔๐๒       สิ่งก่อสร้างสำคัญของพระราชวังพระนครคีรีได้แก่หมู่พระที่นั่ง ซึ่งตั้งอยู่บนยอดด้านตะวันตกของเขามหาสวรรค์ ประกอบด้วยพระที่นั่ง สถาปัตยกรรมแบบยุโรปผสมจีน และสถาปัตยกรรมไทย เรียงตัวกัน ๓ หลัง ได้แก่ พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ พระที่นั่งปราโมทย์มไหสวรรย์ และพระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท นอกจากนี้ยังมีพระที่นั่ง พระตำหนักและอาคารอื่นๆ อีหลายหลัง นอกจากนี้บนยอดกลางและยอดด้านตะวันออก ยังมีพระธาตุจอมเพชร และพุทธสถาน วัดพระแก้วน้อยตั้งอยู่อีกด้วย       พระราชวังพระนครคีรี ได้ใช้เป็นที่ประทับในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สืบเนื่องมาจนถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกือบตลอดรัชกาล ใช้เป็นสถานที่ประกอบการบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา และพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาของเมืองเพชรบุรี รวมถึงใช้เป็นสถานที่รับรองพระราชอาคันตุกะที่เข้ามาเยือนราชอาณาจักรสยาม อาทิ ดยุคโยฮันอัลเบิร์ตแห่งเมกเคลนบวร์ก ซึ่งเสด็จเข้ามาราชอาณาจักรสยามถึง ๒ ครั้ง และได้เสด็จมาเพชรบุรีทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในครั้งหลังเมื่อรัตนโกสินทรศก ๑๒๘ (พุทธศักราช ๒๔๕๒) นั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดสรรพื้นที่ภายในพระที่นั่งขึ้นใหม่ เพื่อใช้เป็นที่ประทับของดยุคฯ และพระชายา โดยใช้พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ ซึ่งเดิมใช้เป็นท้องพระโรงออกว่าราชการจัดเป็นห้อง อาทิ ห้องบรรทม  ห้องพระสุธารสชา ห้องเสวย ซึ่งการจัดพื้นที่ภายในพระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ในครั้งนั้น ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ สิ่งของได้แก่ เครื่องเรือน ภาชนะต่างๆ และเครื่องประดับตกแต่งภายในพระที่นั่ง ยังคงเก็บรักษาไว้ในพระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ในฐานะโบราณวัตถุสำคัญ ที่อยู่ในความดูแลของกรมศิลปากร    ๔.ภาพถ่ายเก่าจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ และแหล่งอื่นๆ       จากการสืบค้นพบว่าในการรับเสด็จดุ๊กโยฮันอัลเบิร์ตแห่ง     เมกเคลนบวร์ก เมื่อรัตนโกสินทรศก ๑๒๘ (พุทธศักราช ๒๔๕๒) นั้น มีภาพถ่ายเก่าจำนวนหนึ่ง ซึ่งเก็บรักษาไว้ที่สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ แสดงให้เห็นเหตุการณ์สำคัญในคราวนั้น อาทิ การับเสด็จที่ท่าราชวรดิฐ การสวนสนามของทหารในกรุงเทพฯ ที่สนามพระราชวังสวนดุสิต (ลานพระบรมรูปทรงม้าในปัจจุบัน) การรับเสด็จที่พระราชวังบางปะอิน กรุงศรีอยุธยา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรับเสด็จที่เมืองเพชรบุรีในระหว่างวันที่ ๓๑ มกราคม ถึงวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก ๑๒๘ มีภาพถ่ายจำนวนหนึ่งที่เป็นเสมือนอนุสรณ์การมาเยือนเมืองเพชรบุรีในคราวนั้น โดยมีภาพถ่ายสำคัญ ๒ ภาพ ได้แก่       ภาพดยุคโยฮันอัลเบิร์ต ดัชเชสอลิธซาเบธ รอตซาลา พระชายา พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ และพระธิดาคือหม่อมเจ้าจงจิตรถนอม ดิศกุล และหม่อมเจ้าพูนพิศมัย  ดิศกุล รวมถึงคณะผู้ตามเสด็จ ฉายพระรูปร่วมกันขณะประทับม้าบนถนนจากพระนครคีรีมาสู่เขาหลวง มีภาพพระนครคีรีบนเขามหาสวรรค์เป็นฉากหลัง ภาพดังกล่าว ได้รับความนิยมจากประชาชนชาวเมืองเพชรบุรี นิยมนำมาอัดขยายใส่กรอบ ประดับตามบ้านเรือน ห้างร้านหลายแห่ง และมีผู้เข้าใจผิด คิดว่าเป็นภาพการเสด็จประพาสเมืองเพชรบุรีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอยู่เนืองๆ โดยภาพดังกล่าวนี้ มีรายละเอียดในราชกิจจานุเบกษา ความว่า      “...วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ เวลาเช้าเสด็จโดยกระบวนรถม้าจากเชิง เสด็จประพาสถ้ำเขาหลวง แล้วถ่ายรูปหมู่ในระหว่างทางถนนรถไฟ...”      ภาพต่อมา ถ่ายในวันเดียวกันกับภาพแรก โดยถ่ายที่บริเวณอัฒจันทร์ ด้านหน้าพระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ เป็นภาพของดยุค โยฮันอัลเบิร์ตและดัชเชสอลิธซาเบธ รอตซาลา พระชายา พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ หม่อมเจ้าจงจิตรถนอม ดิศกุล หม่อมเจ้าพูนพิศมัย  ดิศกุล พระธิดาในพระเจ้าน้องยาเธอฯ ตลอดจนผู้ตามเสด็จในครั้งนั้น ปรากฏในราชกิจจานุเบกษาว่า       “..เวลาบ่าย ๔ โมงครึ่ง ถ่ายรูปหมู่ที่เชิงอัฒจันทร์พระที่นั่ง เวลาบ่าย ๕ โมงทอดพระเนตรจุดลูกหนูที่พลับพลาเชิงเขาแล้วเสวยน้ำชาที่นั่น...”       ผ่านไป ๑๑๒ ปี สถานที่ต่างๆ ตลอดจนสิ่งของในครั้งกระนั้น ยังมีอยู่เสมือนประจักษ์พยานแห่งมิตรภาพระหว่างไทยกับเยอรมันที่แน่นแฟ้นและยืนยาว และเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา และค้นหาคำตอบของเรื่องราวต่อไป      ภาพประกอบ ลิขสิทธิ์เป็นของสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี  


ชื่อเรื่อง                               ทิพฺพมนฺต(ทิพพมนต์) สพ.บ.                                  405/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           14 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 58 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           ชาดก                                           เทศน์มหาชาติ                                           คาถาพัน บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


black ribbon.