ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ

ทวารบาล ผู้พิทักษ์ศาสนสถานเมืองกำแพงเพชร.ทวารบาล หมายถึง นายประตูหรือผู้ปกปักรักษาประตู ไม่ให้สิ่งที่เป็นอันตรายหรือสิ่งที่ชั่วร้ายผ่านไปสู่พื้นที่ด้านหลังบานประตูนั้นได้ พื้นที่ปราสาทพระราชวังในสมัยก่อน หรือแม้กระทั่งสถานที่สำคัญต่าง ๆ ในปัจจุบันก็มักจะมีองครักษ์ หรือทหารยามคอยเฝ้าระวังรักษาการณ์อยู่ตลอดเวลา ศาสนสถานเปรียบเสมือนที่ประทับแห่งเทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงต้องมีการสร้างรูปทวารบาลของศาสนสถานที่ดูน่าเกรงขามหรือทำให้เชื่อว่าป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้เพื่อไว้คุ้มครองและอำนวยพรแก่ผู้มาสักการะศาสนสถาน .ทวารบาลในศิลปะเขมรที่พบในประเทศไทย เมื่ออาณาจักรเขมรแผ่ขยายอิทธิพลเข้ามาในดินแดนไทย รวมไปถึงการรับเอารูปแบบของประติมากรรมทวารบาล โดยในศิลปะเขมรมักปรากฏทวารบาลเป็นคู่ อยู่หน้าประตูทางเข้าหลักของเทวาลัย ประตูฝั่งขวาจะเป็นที่สถิตของนนทิหรือนนทิเกศวร เทพบุตรซึ่งเป็นบริวารเอกแห่งพระศิวะ ผู้มีใบหน้ายิ้ม เปี่ยมด้วยความเมตตา ส่วนประตูฝั่งซ้ายเป็นที่สถิตของกาลหรือมหากาล ซึ่งเป็นภาคหนึ่งที่โหดร้ายของพระศิวะ หรือบางตำรากล่าวว่ามหากาลคือพระกาฬ เทพแห่งกาลเวลาผู้กลืนกินทุกอย่าง จึงแสดงออกในรูปที่ดุร้าย มีเขี้ยว และมีใบหน้าที่แสยะยิ้มน่ากลัว เช่น ที่ปราสาทพนมรุ้ง บริเวณด้านหน้าประตูทางเข้าทุกทิศของปรางค์ประธาน ปรากฏหลุมสำหรับติดตั้งประติมากรรมขนาบอยู่สองข้างสำหรับประติมากรรมทวารบาล ซึ่งมีหน้าที่เฝ้าวิมานของเทพเจ้า ดังที่พบประติมากรรมจำลองบริเวณประตูทางเข้าด้านทิศใต้ของปรางค์ประธาน เป็นประติมากรรมลอยตัวรูปบุคคล มีลักษณะแสดงความเมตตากรุณา น่าจะเป็นประติมากรรมรูปนนทิเกศวร ซึ่งสอดคล้องกับการสร้างศาสนสถานปราสาทพนมรุ้งเนื่องในไศวนิกาย.ความเชื่อเกี่ยวกับทวารบาลที่ประดับเพื่อสื่อถึงความหมายในการปกป้องศาสนสถานที่เมืองกำแพงเพชร ปรากฏประติมากรรมทวารบาลในบริเวณทางเข้าศาสนสถานทั้งที่เป็นรูปบุคคลและรูปสัตว์ โดยที่วัดช้างรอบ ด้านทิศเหนือของเจดีย์ประธานบริเวณเชิงบันไดเพื่อขึ้นสู่ลานประทักษิณ พบร่องรอยประติมากรรมทวารบาลรูปบุคคล มีลักษณะของโกลนศิลาแลงเป็นเค้าโครงบุคคลแต่ไม่พบหลักฐานชัดเจนที่สามารถบ่งบอกได้ว่าโกลนศิลาแลงดังกล่าวเป็นทวารบาลรูปเทพหรืออสูร และยังพบโกลนศิลาแลงรูปสิงห์ตั้งอยู่ด้านหน้าทวารบาลรูปบุคคลและทำหน้าที่เป็นทวารบาลเช่นเดียวกัน รูปแบบดังกล่าวยังปรากฏที่วัดสิงห์โบราณสถานวัดสิงห์ แต่พบร่องรอยประติมากรรมรูปสิงห์และด้านหลังเป็นโกลนประติมากรรมรูปบุคคลตั้งเป็นคู่กัน บริเวณด้านหน้าชานชาลาของอุโบสถ นอกจากนี้ที่วัดเขาสุวรรณคีรี เมืองศรีสัชนาลัย บริเวณซุ้มประตูด้านทิศใต้ทางเข้าของกลุ่มเจดีย์และวิหารที่ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของเจดีย์ประธาน ปรากฏโกลนศิลาแลงรูปบุคคลยืนในลักษณะเข่าแยกออกจากกัน และยังปรากฏชิ้นส่วนปูนปั้นที่สันนิษฐานว่าเป็นประติมากรรมรูปสิงห์ทำหน้าที่เป็นทวารบาลของศาสนสถานแห่งดังกล่าวด้วย.นอกจากการประดับประติมากรรมทวารบาลแบบลอยตัวบริเวณทางเข้าศาสนสถานแล้ว ยังพบการทำรูปทวารบาลสำหรับประจำบนบานประตูและบานหน้าต่าง ซึ่งมีทั้งที่จำหลักลงบนไม้และชนิดที่เป็นงานเขียนสี นิยมเป็นภาพเทวดาแต่งกายตามขนบนิยมอย่างไทย.ในสมัยรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน ศาสนสถานเนื่องในพุทธศาสนาหลายแห่งยังคงสืบต่อคติความเชื่อเรื่องทวารบาลต่อจากสมัยอยุธยาตอนปลาย จนกระทั่งในช่วงรัชกาลที่ ๔ - ๕ มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของทวารบาลที่ในอดีตมักจะปรากฏเฉพาะเทพ อสูร หรือสัตว์ในนิยายเท่านั้น แต่บางพื้นที่ยังพบการทำทวารบาลให้กลายเป็นบุคคลใส่เครื่องแบบทหารถืออาวุธ เช่นที่พบบริเวณหน้าประตูทางเข้าวิหารของวัดโพธิ์ชัยศรี (วัดหลวงพ่อนาค) อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี .จากอดีตจนถึงปัจจุบันพบรูปแบบของทวารบาลที่มีรูปแบบหลากหลายแตกต่างกันไปตามความเชื่อของแต่วัฒนธรรม แต่อย่างไรก็ตามการปรากฏลักษณะของทวารบาลบริเวณประตูทางเข้าศาสนสถานหรือสถานศักดิ์สิทธิ์ต่างสะท้อนความเชื่อเรื่องการปกป้องคุ้มครองสถานที่แห่งดังกล่าว ด้วยรูปแบบประติมานวิทยาที่แสดงถึงความมีพลังอำนาจจากอสูร เทวดา สัตว์ในเทพนิยาย และทหาร......เอกสารอ้างอิงกรมศิลปากร. ทวารบาลผู้รักษาศาสนสถาน. พิมพ์ครั้งที่ ๒ .กรุงเทพฯ : บริษัท อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง. ๒๕๔๖.กรมศิลปากร. ปราสาทพนมรุ้ง. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ : บริษัท เอ.พี กราฟิค ดีไซน์และการพิมพ์ จำกัด. ๒๕๔๓.ศุภรัตน์ เรืองโชติ. ประติมากรรมยักษ์ทวารบาลในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น รูปแบบและคติการสร้าง. (วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ศิลปะ ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๖๐)ระพี เปรมสอน. จากทวารบาลแบบประเพณีสู่ทวารบาลแบบจีนในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น. (วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ศิลปะ ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๕)ปัทมา สาคร. ทวารบาลแบบไทยประเพณีในงานจิตรกรรมสมัยอยุธยาตอนปลายกับสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น. (วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ศิลปะ ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๓)ความคิดเห็น 0 รายการอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร : Kamphaeng Phet Historical Park2 มีนาคม  · วันพุธที่ ๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๕ เวลา ๑๒.๒๐ น. คณะครูและนักเรียนโรงเรียนนิคมสร้างตนเอง ๔ (บ้านใหม่ศรีอุบล) จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน ๘๓ คน เข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร โดยมีนายชยานนท์ เจริญธรรม และนางสาวพิมพ์วลัญช์ เหล่าถาวร ปฏิบัติหน้าที่เป็นวิทยากรนำชมความคิดเห็น 0 รายการอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร : Kamphaeng Phet Historical Park1 มีนาคม  · วันอังคารที่ ๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๕ เวลา ๘.๓๐ น. คณะครูและนักเรียนจากโรงเรียนบ้านถนนน้อย จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน ๑๒๒ คน เข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร โดยมีนายธนากรณ์ มณีกุล และนางสาวพิมพ์วลัญช์ เหล่าถาวร ปฏิบัติหน้าที่เป็นวิทยากรนำชม1 ความคิดเห็นมีการเลือกความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องมากที่สุด ดังนั้นความคิดเห็นบางส่วนอาจถูกกรองออกอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร : Kamphaeng Phet Historical Park25 กุมภาพันธ์  · วันพฤหัสบดี ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๕ มีคณะเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ดังนี้๑. เวลา ๐๙.๐๐ น. คณะครูและนักเรียนโรงเรียนบ้านห้วยน้ำใส จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน ๕๔ คน โดยมีนางสาวพัชราภรณ์ โพธิ์ไกร ปฏิบัติหน้าที่เป็นวิทยากรนำชม๒. เวลา ๐๙.๐๐ น. คณะครูและนักเรียนโรงเรียนบ้านลานไผ่ จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน ๒๓๐ คน โดยมีนายชยานนท์ เจริญธรรม และนางสาวพิมพ์วลัญช์ เหล่าถาวร ปฏิบัติหน้าที่เป็นวิทยากรนำชม... ดูเพิ่มเติมความคิดเห็น 0 รายการอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร : Kamphaeng Phet Historical Park18 กุมภาพันธ์  · วันศุกร์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๕ มีคณะเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ดังนี้๑. เวลา ๙.๐๐ น. คณะครูและนักเรียนจากโรงเรียนบ้านใหม่พัฒนา จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน ๗๑ คน โดยมีนายธนากรณ์ มณีกุล ปฏิบัติหน้าที่เป็นวิทยากรนำชม๒. เวลา ๑๔.๓๐ น. คณะครูและนักเรียนจากโรงเรียนวัดราษฎร์สโมสร จังหวัดพิษณุโลก จำนวน ๕๗ คน โดยมีนายชยานนท์ เจริญธรรม ปฏิบัติหน้าที่เป็นวิทยากรนำชมความคิดเห็น 0 รายการ


เมื่อครั้งริเริ่มสร้างอนุสาวรีย์พระประทุมวรราชสุริยวงษ์ (เจ้าคำผง) เจ้าเมืองอุบลราชธานี ได้มีการขอรับบริจาคโละหะประเภทต่างๆ จากประชาชนผู้มีจิตศรัทธา เพื่อใช้ในการหล่อองค์พระ ในจำนวนเนื้อโลหะที่ได้รับการบริจาคนั้น มีโลหะเงินปนอยู่ ซึ่งถ้าหากนำโลหะเงินไปหล่อรวมกับโลหะประเภทอื่นๆ แล้วก็จะไม่สวยงาม จึงนำโลหะเงินไปหล่อเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย พิธีหล่อและพุทธาภิเษกพระพุทธเจ้าจอมเมือง จัดขึ้นที่วัดศรีอุบลรัตนาราม โดยมีพระเทพมงคลเมธี (กิ่ง มหปฺผโล) รองเจ้าคณะภาค 10 เจ้าอาวาสวัดมณีวนาราม (วัดป่าน้อย) ให้ศีลและเป็นประธานจุดเทียนชัย คุณพ่อมหาเชย จันสุตะ เป็นผู้นำคณะพราหมณ์ประกอบพิธีบวงสรวง พระราชสุมธี (สุทฺธจิตฺโต สิงห์ ภาระมาตย์) เจ้าคณะภาค 10 (ธ) เจ้าอาวาสวัดศรีอุบลรัตนาราม เป็นประธานดับเทียนชัย พระโพธิญาณมุนี (ภทฺทิโย สุธีร์ ดวงมาลา) เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี(ธ) เจ้าอาวาสวัดเลียบ เป็นประธานอำนวยการจัดสร้างฝ่ายสงฆ์ พิธีเททองหล่อพระพุทธเจ้าจอมเมืองจัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2523 เวลา 09.09 น. มีนายทองหยด จิตตวีระ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเททองฝ่ายฆราวาส ช่างที่ทำการหล่อพระพุทธเจ้าจอมเมืองเป็นช่างที่มาจากบ้านปะอาว ต.ปะอาว อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เมื่อหล่อพระพุทธรูปแล้วถวายพระนามว่า "พระพุทธเจ้าจอมเมือง" และได้มอบพระพุทธรูปองค์นี้ให้กับทางจังหวัดอุบลราชธานี (ในสมัยนั้น) นำมาประดิษฐานที่ห้องประชุมศาลากลางหลังเก่า ปัจจุบันคือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี ข้อมูลอ้างอิง : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี ภาพประกอบ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ อุบลราชธานี (รับมอบจากนายปกรณ์ ปุกหุต)


“คิรีธาร” ชื่อพระราชทาน รัชกาลที่ 9 ผู้เขียน เขียนบทความนี้ด้วยความเป็นห่วงในความผิดเพี้ยนของชื่อสถานที่สำคัญในจังหวัดจันทบุรี นามว่า “คิรีธาร” ที่ปัจจุบันเริ่มผิดเพี้ยนไปจากเดิม ซึ่งผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาตำหนิในภาคส่วนใด หากมีการแก้ไขได้ก็จะเป็นเรื่องที่ส่งประโยชน์ต่อสังคมอย่างยิ่ง ในปัจจุบันพบว่าผู้คนโดยส่วนมากต่างเข้าใจผิดว่าชื่อ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ “เขื่อนคิรีธาร” เป็น “คีรีธาร” เหตุอาจเกิดจากการสะกดคำที่ใกล้เคียงกัน และอาจไปพ้องเสียงกับรีสอร์ทชื่อดังในเขาใหญ่ ทำให้ปัจจุบันพบว่า ตั้งแต่ป้ายบอกทาง ป้ายงานก่อสร้าง ชื่อรีสอร์ทที่พัก อาคารร้านค้า ข้อมูลในเว็บไซด์ท่องเที่ยวต่างๆ หรือแม้แต่ Google Map ก็ต่างสะกดคำด้วย “คีรีธาร” เป็นส่วนมาก หากปล่อยนานไปและไม่สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องก็อาจส่งผลให้ชื่อพระราชทานนี้ผิดเพี้ยนไปตลอดกาลยากที่จะกลับมาแก้ไข โรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนคิรีธาร หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าเขื่อนสะพานหิน ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2529 และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จฯมาทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2531 และได้ทรงพระราชทานชื่อว่า “โรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนคิรีธาร” เป็นโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กที่ให้ประโยชน์ทางด้านการผลิตไฟฟ้าเป็นสำคัญ สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เฉลี่ยปีละ 27 ล้านกิโลวัตต์ ผู้เขียน นายอดิศร สุพรธรรม นักจดหมายเหตุชำนาญการ


องค์ความรู้จาก งานอนุรักษ์เอกสารของหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สงขลา ในสัปดาห์นี้ ขอเสนอบทความภาคต่อ เรื่อง การอนุรักษ์เอกสาร : การซ่อมเอกสาร ตอนที่ ๒ วิธีการซ่อมเอกสาร มีเนื้อหากล่าวถึง วิธีการซ่อมเอกสาร การเสริมความเเข็งแรงของเอกสาร การใช้เเท่นอัดเอกสารเพื่อเพิ่มความเรียบ สามารถอ่านได้ในแผ่นภาพ ดังต่อไปนี้ เรียบเรียงโดย : นางภารดี สุภากาญจน์ นักจดหมายเหตุชำนาญการ กราฟิกและตรวจทาน : โดยนายวีรวัฒน์ เหลาธนู นักจดหมายเหตุปฏิบัติการภาพประกอบ : ภาพโครงการพัฒนาบุคลากรเพื่อการอนุรักษ์เอกสารจดหมายเหตุต้นฉบับ จัดโดย หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ สงขลา ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๙ ณ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ สงขลา ขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก 1. หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา 2. ภาพเจ้าหน้าที่ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ตรัง (ถ่ายโดยนายวีรวัฒน์ เหลาธนู นักจดหมายเหตุปฏิบัติการ หจช. สงขลา ขณะประชุมคณะกรรมการติดตามประเมินงานกองทุนส่งเสริมงาน จดหมายเหตุ วันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ณ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ตรัง )


            กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ร่วมกับจังหวัดซากะ ประเทศญี่ปุ่น จัดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “เซรามิกแห่งแหลมทองและแดนอาทิตย์อุทัย: สานตำนานสายใยไม่เสื่อมคลายในพาณิชยวัฒนธรรมโลก” โดยนำเครื่องเคลือบเซรามิกจากพิพิธภัณฑสถานเซรามิกแห่งคิวชู จำนวน ๘๒ รายการ ๙๗ ชิ้น มาจัดนิทรรศการพิเศษร่วมกับเครื่องปั้นดินเผาไทย จำนวน ๙๐ รายการ เปิดให้ประชาชนเข้าชมตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ ๑๔ ธันวาคม  ๒๕๖๕ ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร วันพุธ – อาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ปิดวันจันทร์ – อังคาร             ภายในงานนิทรรศการฯ ยังมีตู้กาชาปอง Gachapon เครื่องหยอดเหรียญชนิดหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น มีลักษณะเด่นเป็นแคปซูลรูปทรงไข่ ภายในบรรจุของโมเดลของเล่นชิ้นเล็ก โดยผู้ร่วมเข้าชมนิทรรศการจะได้ร่วมสนุกลุ้นกาชาปอง ที่ภายในบรรจุเครื่องปั้นดินเผาขนาดเล็กหลากหลายแบบ เพียงหยอดเหรียญครั้งละ ๔๐ บาท จะได้รับ ๑ ชิ้น ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ลุ้นรับกาชาปองรุ่นพิเศษ มี ๓ แบบ สัปดาห์ละ ๒๐ ตัว เท่านั้น ขอเชิญชวนผู้สนใจไปชมนิทรรศการ“เซรามิกแห่งแหลมทองและแดนอาทิตย์อุทัย: สานตำนานสายใยไม่เสื่อมคลายในพาณิชยวัฒนธรรมโลก” และร่วมสะสมกาชาปองรุ่นพิเศษนี้ได้จนถึงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๕


          เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดกิจกรรม “ส่งสุขวิถีใหม่ สืบสานวิถีไทย ปลอดภัยสร้างสรรค์” เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน โดยกรมศิลปากร ร่วมจัดกิจกรรม ณ แหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม สังกัดกรมศิลปากรทั่วประเทศ ดังนี้            ๑. อุทยานประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั่วประเทศ เปิดให้เข้าชมโดยไม่เก็บค่าธรรมเนียมเข้าชม ระหว่างวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๕ ถึงวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๖ โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั่วประเทศได้อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญออกให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะเพื่อความป็นสิริมงคล  นอกจากนี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยังถือฤกษ์ดีเปิดให้เข้าชมการจัดแสดงนิทรรศการภายในอาคารเครื่องทองอยุธยา ซึ่งเป็นส่วนจัดแสดงใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๕ เป็นต้นไป          ๒. กิจกรรมสักการะพระพุทธรูปประจำวัน “มงคลพุทธคุณ” เนื่องในเทศกาลปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๖๖ กรมศิลปากร โดยสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้จัดกิจกรรมพิเศษสักการะพระพุทธรูปประจำวัน โดยมีพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เป็นพระประธาน พร้อมด้วยพระพุทธรูปประจำวันอีก ๙ องค์ ซึ่งล้วนมีประวัติความเป็นมายาวนาน และกอปรด้วยพุทธศิลป์อันงดงาม มาประดิษฐานให้ประชาชนสักการบูชา เพื่อความเป็นสิริมคลในวาระแห่งการเริ่มต้นศักราชใหม่ ประกอบด้วย พระพุทธรูปปางถวายเนตร พระพุทธรูปประจำวันอาทิตย์ พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร พระพุทธรูปประจำวันจันทร์ พระพุทธรูปไสยาสน์ พระพุทธรูปประจำวันอังคาร พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร พระพุทธรูปประจำวันพุธ พระพุทธรูปปางป่าเลไลย์ พระพุทธรูปประจำวันพุธ กลางคืน (พระพุทธรูปบูชาแทนพระราหู) พระพุทธสิหิงค์จำลอง (ปางสมาธิ) พระพุทธรูปประจำวันพฤหัสบดี พระพุทธรูปปางรำพึง พระพุทธรูปประจำวันศุกร์ พระพุทธรูปปางนาคปรก พระพุทธรูปประจำวันเสาร์ พระหายโศก ปางสมาธิเพชร (พระพุทธรูปบูชาแทนพระเกตุ) จึงขอเชิญพุทธศาสนิกชนสักการะพระพุทธรูปประจำวัน “มงคลพุทธคุณ” ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๕ ถึงวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๖ เวลา ๐๙.๐๐ น. – ๑๖.๐๐ น. ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ           ๓. การแสดงรายการ “นาฏกรรมสุขศรี สุนทรีย์ปีใหม่” สำนักการสังคีต ขอเชิญชมการแสดงชักนาคดึกดำบรรพ์ และการแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ ชุด “สุครีพสุริโยโอรส” ณ สังคีตศาลา เวทีกลางแจ้ง บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๗.๓๐ - ๑๙.๓๐ น. โดยไม่เก็บค่าเข้าชม           ๔. ชมพิพิธภัณฑ์ยามค่ำ (Night at the Museum) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เปิดให้เข้าชมความงามของอาคารโบราณสถาน พระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้า เพื่อให้ประชาชนได้สัมผัสมนต์เสน่ห์สถาปัตยกรรมวังหน้า และความเป็นมาแห่งอารยธรรมไทยในช่วงเวลาค่ำ โดยจะมีการนำชมรอบพิเศษ "สวัสดีปีใหม่ นบพระไหว้ (เทพ) เจ้า" ตามเส้นทางทักษิณาวรรต  กิจกรรมปีใหม่ให้หนังสือ โดยศูนย์หนังสือกรมศิลปากร นำหนังสือที่จัดพิมพ์โดยหน่วยงานในสังกัดกรมศิลปากรมาจำหน่ายในราคาพิเศษ และจำหน่ายสมุดภาพมรดกศิลปวัฒนธรรม พุทธศักราช ๒๕๖๖ “ภูมิบริรักษ์ : ครุฑ • ยักษ์ • นาค”  เพื่อให้เลือกสรรเป็นของขวัญปีใหม่ ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมได้โดยไม่เสียค่าเข้าชม ระหว่างวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๕ ถึงวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๖ ตั้งแต่เวลา ๑๖.๐๐ - ๑๙.๓๐ น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร           นอกจากนี้ สำนักหอสมุดแห่งชาติ ยังจัดการเสวนาทางวิชาการ เรื่อง “ศุภวารดิถี ปีใหม่สุขสราญ” ในวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๐.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. พร้อมทั้งจัดนิทรรศการ เรื่อง ศุภฤกษ์เบิกชัย สวัสดีปีใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๕ – ๒๒ เมษายน ๒๕๖๖ ณ ห้องวชิรญาณ ๒ - ๓ อาคาร ๒ สำนักหอสมุดแห่งชาติ เนื้อหาประกอบด้วย พิธีกรรมและประเพณีอันเกี่ยวเนื่องกับการขึ้นปีใหม่ และแนวปฏิบัติทางศาสนาที่เกี่ยวกับการขึ้นปีใหม่ ตลอดจนคำอวยพรและบัตรอวยพรต่าง ๆ และ นิทรรศการ เรื่อง “ร.ศ.๒๔๒ ชมตู้ลายทองสืบสานงานศิลป์” เผยแพร่ความรู้เรื่องตู้ลายทองสมัยรัตนโกสินทร์ เปิดให้ชมตั้งแต่วันศุกร์ที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๕ เป็นต้นไป ณ อาคารถาวรวัตถุ ถนนหน้าพระธาตุ เขตพระนคร กรุงเทพฯ                กรมศิลปากรจึงขอเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมกิจกรรม เพื่อสร้างความสุข เสริมสิริมงคลให้กับชีวิตในวาระแห่งการเริ่มต้นศักราชใหม่ ณ แหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมสังกัดกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม 


        ประติมากรรมปูนปั้นเศียรยักษ์ สมัยทวารวดี          ประติมากรรมปูนปั้นเศียรยักษ์ พบบริเวณศาลเจ้าพ่อพระยาจักร อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จัดแสดง ณ ห้องอู่ทองศรีทวารวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง         ประติมากรรมลอยตัว กว้าง ๒๐ เซนติเมตร สูง ๒๓ เซนติเมตร อยู่ในสภาพชำรุดมีเฉพาะส่วนเศียร มีใบหน้าค่อนข้างเหลี่ยม คิ้วเป็นสันนูน ตาโปนพองโตเซาะเป็นร่อง จมูกแบนใหญ่ ปลายจมูกหักหายไป มีหนวดเหนือริมฝีปาก ปากแบะ ริมฝีปากหนา มีเขี้ยวที่มุมปากทั้งสองข้าง ใบหน้าแสดงความดุร้าย สวมเครื่องประดับศีรษะ ที่มีลักษณะเป็นกรอบกระบังหน้า ประดับด้วยตาบ รายละเอียดส่วนอื่นชำรุด นอกจากนี้ยังสวมตุ้มหูทรงแผ่นกลมขนาดใหญ่ ภายในมีลายวงกลมซ้อนลดหลั่นกัน ซึ่งตุ้มหูรูปแบบนี้พบในประติมากรรมดินเผาและปูนปั้นรูปบุคคล อสูร และคนแคระในสมัยทวารวดี เมื่อพิจารณาลักษณะของใบหน้าและเครื่องประดับสันนิษฐานว่าเป็นเศียรยักษ์         ลักษณะใบหน้าของประติมากรรมชิ้นนี้เป็นแบบพื้นเมืองทวารวดี คือ มีตาโปน จมูกแบนใหญ่ ริมฝีปากหนา สวมตุ้มหูทรงแผ่นกลมขนาดใหญ่ และปรากฏอิทธิพลของศิลปะเขมรร่วมอยู่ด้วย คือ มีหนวดเหนือริมฝีปาก ซึ่งเป็นลักษณะที่ปรากฏขึ้นในงานศิลปกรรมสมัยทวารวดีตอนปลาย จึงกำหนดอายุสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ – ๑๖ หรือ ประมาณ ๑,๐๐๐ – ๑,๑๐๐ ปีมาแล้ว         สันนิษฐานว่าประติมากรรมชิ้นนี้ เป็นประติมากรรมลอยตัวสำหรับประดับบริเวณประตูหรือทางเข้า เพื่อทำหน้าที่เป็นทวารบาลผู้พิทักษ์ศาสนสถาน การประดับประติมากรรมรูปยักษ์บริเวณทางเข้าศาสนสถาน พบมาแล้วในศิลปะอินเดีย และยังส่งอิทธิพลให้ศิลปกรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ประเทศไทย กัมพูชา อินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นต้น สำหรับงานศิลปกรรมสมัยทวารวดี นอกจากประติมากรรมเศียรยักษ์ชิ้นนี้แล้ว ยังพบประติมากรรมดินเผาและปูนปั้นรูปยักษ์ที่สันนิษฐานว่าเป็นทวารบาลตามแหล่งโบราณคดีสมัยทวารวดีแห่งอื่น เช่น เศียรยักษ์พบที่หน้าบริเวณที่ทำการไปรษณีย์ จังหวัดลพบุรี ทวารบาลดินเผารูปยักษ์ พบที่โบราณสถานวัดพระงาม จังหวัดนครปฐม เป็นต้น   เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. นนทบุรี : สหมิตรพริ้นติ้ง, ๒๕๔๕. กรมศิลปากร. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์. กรุงเทพฯ : อมรินพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, ๒๕๖๔. เฉิดฉันท์ รัตน์ปิยะภาภรณ์. “การศึกษาคติความเชื่อและรูปแบบของ “ยักษ์” จากประติมากรรมที่พบในประเทศไทย.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๓๑. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมทางศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๖๒.


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           39/3ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              26 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 59 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


ในช่วงเวลานี้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เป็นช่วงเดียวกันที่ซากเรือสำเภากลางอ่าวไทยถูกค้นพบ การค้นพบแหล่งเรือจมลำนี้คล้ายกับการค้นพบแหล่งเรือจมเกาะครามเมื่อปี พ.ศ. 2517 กล่าวคือ ถูกค้นพบโดยเรือประมงโชคแสงชัย จากจังหวัดระยอง เมื่อข่าวการค้นพบได้แพร่สะพัดออกไป แหล่งเรือจมแห่งนี้ได้รับความสนใจอย่างมาก จนถูกนักล่าสมบัติบุกรุกทำลาย งมนำโบราณวัตถุขึ้นมาอย่างน้อย 3 ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2534 นักล่าสมบัติงมโบราณวัตถุประเภทเครื่องถ้วยชามสังคโลกและเครื่องเคลือบดินเผาจากเตาแม่น้ำน้อยเกือบ 100 ชิ้น โดยนำไปขายได้เงินเกือบแสนบาท ครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2534 กองเรือป้องกันชายฝั่ง ได้จับกุมเรือประมงไทยพร้อมนักล่าสมบัติชาวไทยที่กำลังลักลอบงมโบราณวัตถุจากเรือกลางอ่าว ยึดโบราณวัตถุประเภทเครื่องถ้วยสังคโลกได้ทั้งหมด 477 ชิ้น เมื่อทราบเช่นนั้น กรมศิลปากรจึงเตรียมดำเนินการสำรวจและขุดค้นแหล่งเรือจมกลางอ่าว โดยขอความร่วมมือกับกองทัพเรือ แต่ยังไม่ทันได้เริ่มดำเนินการอะไรก็เกิดเหตุขึ้นวันที่ 5-13 กุมภาพันธ์ 2535 เมื่อมีนักล่าสมบัติต่างชาตินำโดยนาย Michael Hatcher แล่นเรือเดินสมุทรชื่อ “Australia Tide” ขนาดความยาว 60 เมตร ระวางขับน้ำ 421 ตัน ที่พร้อมด้วยอุปกรณ์ในการดำน้ำลึกที่ทันสมัย ลงไปลักลอบงมโบราณวัตถุจากซากเรือกลางอ่าว ต่อมากองเรือเฉพาะกิจ กองทัพเรือและตำรวจน้ำได้ทราบข่าว จึงเข้าตรวจค้นเรือลำดังกล่าว ในช่วงแรกการไกล่เกลี่ยของทั้งสองฝ่ายยังไม่ลงตัวนัก ฝ่ายเรือออสเตรเลียไทด์ตกลงจะมอบโบราณวัตถุให้เพียงบางส่วน แต่ฝ่ายไทยยังไม่ยอมรับ ขณะเดียวกันฝ่ายเรือออสเตรเลียไทด์ทำท่าทีจะถอนสมอกลับสิงคโปร์ แต่ถูกฝ่ายไทยกีดกันไว้ จนภายหลังจึงยอมมอบโบราณวัตถุทั้งหมดให้แก่ฝ่ายไทย ภายหลังการบันทึกทำทะเบียนโบราณวัตถุทั้งหมดพบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 10,760 ชิ้น เป็นภาชนะดินเผาที่ผลิตในประเทศร้อยละ 97 แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากเตาแม่น้ำน้อย จ. สิงห์บุรี ประมาณ 3,400 ชิ้น ผลิตภัณฑ์จากเตาป่ายาง จ.สุโขทัย ประมาณ 6,500 ชิ้น เครื่องถ้วยจีน 5 ใบ เครื่องถ้วยอันนัมประมาณ 320 ชิ้น ปืนขนาดเล็ก 3 กระบอก โดยโบราณวัตถุทั้งหมดกองทัพเรือมอบให้แก่กรมศิลปากรเป็นผู้ดูแล เหตุที่เรือ “Australia Tide” กล้าที่จะเข้ามางมโบราณวัตถุนั้นก็เพราะตำแหน่งที่ตั้งของเรือจมกลางอ่าวอยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะชั้นใน (Exclusive Economic Zone) ซึ่งในแง่กฎหมายทางทะเลบริเวณดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจอธิปไตยของประเทศไทย อย่างไรก็ตามกรณีการลักลอบงมโบราณวัตถุครั้งนี้ทำให้เกิดความตื่นตัวในการปกป้องคุ้มครองแหล่งโบราณคดีใต้น้ำของชาติ โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้มีมติแก้ไขพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 โดยขยายขอบเขตหวงห้ามการงมโบราณวัตถุในน่านน้ำไทยจากเดิม 12 ไมล์ทะเล ออกไปเป็น 200 ไมล์ทะเลจนถึงขอบเขตเศรษกิจจำเพาะ อ้างอิง จารึก วิไลแก้ว. 2535. “มรดกใต้ท้องทะเลไทย เรืออ่าวไทย 1.” นิตยสารศิลปากร 35 (2): 8-33. สายันต์ ไพรชาญจิตร์. 2535. “ความเคลื่นไหวของโบราณคดีใต้น้ำในประเทศไทยและหลักฐานการพาณิชย์นาวีสมัยกรุงศรีอยุธยา.” นิตยสารศิลปากร 35 (2): 34-70.


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 134/3เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 170/3เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           5/4ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              32 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 56.5 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนา                                                      พระอภิธรรมบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           23/5ประเภทวัดุ/มีเดีย                          คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                                30 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 54.5 ซม.หัวเรื่อง                                       พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           8/3ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              28 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 58.5 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


ชื่อผู้แต่ง        กรมศิลปากร ชื่อเรื่อง         นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ครั้งที่พิมพ์      - สถานที่พิมพ์    กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์     โรงพิมพ์ไพศาลศิริ ปีที่พิมพ์         ๒๕๒๑ จำนวนหน้า     ๗ หน้า รายละเอียด                   นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เนื่องในงานพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ๒๕ กุมภาพันธ์ - ๑๒ มีนาคม ๒๕๒๑ มีเนื้อหาเกี่ยวกับ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด ตำรา พงศาวดารและพระไตรปิฎก


black ribbon.