ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ

ชื่อเรื่อง : พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ตั้งแต่พ.ศ.2417 ถึง พ.ศ.2453) ชื่อผู้แต่ง : จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ ปีที่พิมพ์ : 2510 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์สถานสงเคราะห์หญิงปากเกร็ด จำนวนหน้า : 338 หน้า สาระสังเขป : พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเล่มนี้ รวบรวมมาจากพระราชดำรัสซึ่งพิมพ์อยู่ในที่ต่าง ๆ เช่น ในหนังสือราชกิจจานุเบกษา เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2417 ถึง พ.ศ.2453 มีเนื้อหาอาทิเช่น พระราชดำรัส พระราชทานพระบรมราโชวาท ในการที่องคมนตรีรับพระราชทานน้ำพระพิพัฒน์สัตยา พระราชดำรัสตอบพระบรมวงศานุวงศ์ผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในการต่าง ๆ ในกระแสพระราชดำรัสไม่ว่าครั้งใดและเรื่องใด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานข้อคิด และคติธรรมไว้เพื่อให้ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตอีกด้วย


ชื่อเรื่อง                    พระผู้ทำสงฆ์ให้งาม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) : หนังสือที่ระลึกพิธีเปิดชาติภูมิสถาน ป. อ. ปยุตฺโต อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี 12 มกราคม 2549ผู้แต่ง                      ทัศนีย์ เทพไชยประเภทวัสดุ/มีเดีย      หนังสือท้องถิ่นISBN/ISSN                -หมวดหมู่                  ศาสนาเลขหมู่                     294.30922 พ349ทนสถานที่พิมพ์              กรุงเทพฯสำนักพิมพ์                สหธรรมมิกปีที่พิมพ์                   2549ลักษณะวัสดุ              90 หน้า : ภาพประกอบ ; 21 ซม.หัวเรื่อง                    จดหมาย                             หนังสือที่ระลึกภาษา                      ไทยบทคัดย่อ/บันทึก          “พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ท่านเป็นผู้มีบารมีทั้งในทางธรรมและทางปัญญาเป็นเลิศไม่เฉพาะในระดับประเทศของเรา แต่ในระดับสากล” 12 มกราคม 2549 คือวันประวัติศาสตร์ที่มีพิธีเปิดชาติภูมิสถาน เป็นอาจาริยบูชาแด่พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) 


...เมื่อความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต โลกหลังความตายจึงถือกำเนิดขึ้น ความเชื่อเรื่องชีวิต หลังความตาย นำไปสู่พิธีกรรมการทำศพ จากเรื่องของคนตายจึงกลายเป็นเรื่องของคนเป็น...            ในภาคอีสานของประเทศไทยบริเวณแอ่งสกลนคร (อีสานตอนบน) จากข้อมูลการขุดค้นทางโบราณคดี พบว่ามนุษย์ในอดีตมีประเพณีการฝังศพแบบนอนหงายเหยียดยาวและใส่ของอุทิศร่วมกับศพ บางครั้งพบการนำภาชนะดินเผามาทุบปูรองศพ หรือปูทับศพก่อนฝังดินกลบ หากเป็นศพเด็กจะบรรจุศพลงในภาชนะดินเผาก่อนแล้วจึงนำไปฝัง ซึ่งลักษณะการฝังแบบนี้ใช้กับศพเด็กเท่านั้น แหล่งโบราณคดีที่พบรูปแบบการฝังศพ แบบนี้ ได้แก่ แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี แหล่งโบราณคดีโนนนกทา อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น และ แหล่งโบราณคดีบ้านดอนธงชัย อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร เป็นต้น             ส่วนพื้นที่บริเวณลุ่มแม่น้ำมูลตอนบนจนถึงบริเวณลุ่มแม่น้ำมูลตอนล่าง (อีสานตอนล่าง) นอกเหนือจากรูปแบบการฝังศพแบบนอนหงายเหยียดยาวและการฝังศพเด็กในภาชนะดินเผา ยังพบประเพณีการฝังศพครั้งแรกและครั้งที่สองในภาชนะดินเผา รวมถึงการใส่สิ่งของลงในภาชนะร่วมกับศพเพื่อเป็น ของอุทิศให้ผู้ตาย แหล่งโบราณคดีที่พบประเพณีการฝังศพแบบนี้ ได้แก่ แหล่งโบราณคดีบ้านกระเบื้องนอก อำเภอเมืองยาง จังหวัดนครราชสีมา แหล่งโบราณคดีบ้านกระเบื้อง (โนนป่าช้าเก่า) อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา แหล่งโบราณคดีบ้านก้านเหลือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี แหล่งโบราณคดีบ้านคูเมือง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี และ แหล่งโบราณคดีดอนไร่ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น แม้ว่าพื้นที่บริเวณนี้จะพบรูปแบบการฝังศพทั้งสองแบบ แต่โดยส่วนมาก ในแหล่งโบราณคดีแต่ละแห่ง จะมีรูปแบบการฝังศพอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น เช่น ที่แหล่งโบราณคดี บ้านกระเบื้องนอก จังหวัดนครราชสีมา ก็จะพบแต่รูปแบบการฝังศพในภาชนะดินเผา หรือที่แหล่งโบราณคดีบ้านปราสาท อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา ก็จะพบแต่รูปแบบการฝังศพแบบนอนหงายเหยียดยาว ยกเว้นกรณีศพเด็กที่จะบรรจุศพลงในภาชนะดินเผาก่อนฝัง แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะพบการฝังศพทั้งสองแบบภายในแหล่งโบราณคดีเดียวกัน เช่น แหล่งโบราณคดีบ้านโนนวัด อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา ที่มีประเพณีการฝังศพแบบนอนหงายเหยียดยาวหรือนอนตะแคงในหลุม แต่มีอยู่ศพหนึ่งเป็นผู้ใหญ่เพศชาย ถูกฝังในภาชนะดินเผาขนาดใหญ่ในท่านั่งมีฝาปิด มีภาชนะดินเผาขนาดเล็กและเปลือกหอยกาบเป็นของอุทิศ ซึ่งกรณีนี้อาจสันนิษฐานได้ว่ารูปแบบการฝังศพที่แตกต่างออกไปนี้ อาจเป็นคนต่างชุมชนที่มาตายต่างถิ่น หรือเป็นบุคคลที่มีการตายผิดปกติจึงมีวิธีการฝังศพที่ต่างออกไปจากคนส่วนใหญ่ ซึ่งกรณีดังกล่าวพบได้ น้อยมาก             ย้อนกลับไปเมื่อกว่า ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว ในพื้นที่ตอนกลางของแอ่งโคราช (อีสานตอนกลาง) กินเนื้อที่ประมาณ ๒.๑ ล้านไร่ บริเวณที่ผู้คนต่างรู้จักกันในชื่อว่า “ทุ่งกุลาร้องไห้” ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมต่อระหว่าง อีสานตอนบน (แอ่งสกลนคร) และอีสานตอนล่าง (บริเวณลุ่มแม่น้ำมูล) ดินแดนแห่งนี้เป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณหลายแห่ง แม้ชุมชนเหล่านี้จะตั้งกระจายห่างกันออกไป มีทั้งใกล้และไกล แต่กลุ่มคนในชุมชนเหล่านี้ล้วนมีแบบแผนในการดำรงชีวิต ความคิด ความเชื่อ ที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะเรื่องพิธีกรรมความตาย ที่มีลักษณะเฉพาะเป็นเอกลักษณ์ มักเรียกกันโดยทั่วไปว่า “วัฒนธรรมทุ่งกุลาร้องไห้” ด้วยสภาพภูมิประเทศ ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างกลุ่มวัฒนธรรมต่างๆ ทำให้วัฒนธรรมทุ่งกุลาร้องไห้มีการผสมผสานรูปแบบประเพณีต่างๆเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นรูปแบบประเพณีของตนเอง ดังหลักฐานพิธีกรรมการฝังศพที่พบ โดยปรากฏลักษณะการฝังศพครั้งแรก ทั้งแบบนอนหงายเหยียดยาว และแบบฝังศพในภาชนะดินเผา (พบทั้งศพเด็กทารก เด็ก วัยรุ่น และ ผู้ใหญ่) รวมถึงยังพบการฝังศพครั้งที่สอง ทั้งแบบเก็บกระดูกมาวางรวมกัน และแบบเก็บมาใส่ในภาชนะดินเผา ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ เครื่องปั้นดินเผาที่ใช้ภายในชุมชน ลักษณะเนื้อดิน การตกแต่งรูปทรง และหน้าที่การใช้งาน ก็ต่างออกไปจากวัฒนธรรมอื่น โดยเฉพาะภาชนะบรรจุศพรูปทรงต่างๆ รวมถึงการวางภาชนะบรรจุศพในแนวนอน แบบที่นิยมเรียกว่า “แคปซูล” (Capsules) ก็ถือว่าเป็นลักษณะเด่นของวัฒนธรรมทุ่งกุลาร้องไห้ เช่น แหล่งโบราณคดีบ้านเมืองบัว อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด แหล่งโบราณคดีบ้านโพนทอง อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด และแหล่งโบราณคดีเมืองฟ้าแดดสงยาง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นต้น            รูปแบบประเพณีการฝังศพในภาคอีสาน ที่ปรากฏในช่วงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ต่อเนื่องมายังสมัยประวัติศาสตร์ตอนต้น สะท้อนให้เห็นถึงระบบความคิด ความเชื่อ ของคนในสมัยนั้น เกี่ยวกับเรื่องโลกหลังความตาย จึงเป็นหน้าที่ของคนเป็นที่จะต้องจัดเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ และประกอบพิธีกรรมต่างๆ เพื่อให้ผู้วายชนม์พร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในโลกหลังความตาย สุดแล้วแต่ความเชื่อและพิธีกรรมของสังคม ในวัฒนธรรมนั้นๆที่ถูกกำหนดขึ้น ภาชนะดินเผาที่เกี่ยวกับพิธีกรรมศพจึงมักมีรูปแบบพิเศษเพื่อตอบสนองความต้องการทางจิตวิทยาของผู้คนในสังคม เมื่อรูปแบบเหล่านี้ได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่จึงกลายเป็นระเบียบแบบแผนที่เป็นเอกลักษณ์ แสดงถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชน ------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล: นางสาวศุภภัสสร หิรัญเตียรณกุล นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี อ้างอิงสุกัญญา เบาเนิด. โบราณคดีในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้. สำนักศิลปากรที่ ๑๑ อุบลราชธานี : กรมศิลปากร, ๒๕๕๓. สุรพล นาถะพินธุ. รากเหง้าบรรพชนคนไทย : พัฒนาการทางวัฒนธรรมก่อนประวัติศาสตร์. สำนักพิมพ์ มติชน : กรุงเทพฯ, ๒๕๕๐. ศิลปากร, กรม. โดย สำนักศิลปากรที่ ๑๐ ร้อยเอ็ด. โบราณคดีลุ่มน้ำสงคราม ก่ำ ชีตอนล่าง มูลตอนกลาง. บริษัทเพ็ญพรินติ้งจำกัด : ขอนแก่น, ๒๕๕๗.


ชื่อเรื่อง : ธรรมาธรรมะสงคราม ชื่อผู้แต่ง : มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ ปีที่พิมพ์ : 2500 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์มงคลการพิมพ์ จำนวนหน้า : 52 หน้า สาระสังเขป : ธรรมาธรรมะสงครามเล่มนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์เป็นบทพากย์ ตามเค้าเรื่องในธรรมะชาดกเอกาทสนิบาต กล่าวถึงธรรมเทพบุตรผู้รักษาความเป็นธรรม ซึ่งทุกวันพระจะเสด็จมาตักเตือนชาวโลกให้ทำความดี ประพฤติกุศลกรรมบท 10 ประการ และฝ่ายอธรรมเทพบุตร ผู้ประพฤติชั่วคอยสอนให้ประชาชนทำชั่ว ประพฤติอกุศลกรรม วันหนึ่งเทพบุตร ทั้งสองพร้อมด้วยมบริวารมาพบกันกลางอากาศต่างฝ่าย ต่างไม่ยอมหลีกทาง อธรรมเทพบุตรถือว่ามีฤทธิ์และกำลังมากกว่าเลยเข้าโจมตีก่อน ธรรมเทพบุตรสู้ไม่ไหวจะเสียท่า แต่อธรรมเทพบุตรเกิดหน้ามืดพลัดจากรถ เมื่อถึงพื้นก็ถูกธรณีสูบ ธรรมเทพบุตรจึงเป็นฝ่ายชนะและทรงสั่งสอนประชาชนที่มาชมบารมีให้เห็นว่าธรรมและอธรรมให้ผลไม่เสมอกัน ธรรมะย่อมชนะอธรรมเสมอ


บัญชีรายชื่อแบบเรียน 2507


          ปราสาทกู่กาสิงห์ ตั้งอยู่ภายในวัดบูรพากู่กาสิงห์ บ้านกู่กาสิงห์ ตำบลกู่กาสิงห์ อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ หน้า ๓๖๙๖ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘ และประกาศขอบเขตพื้นที่โบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา ๑๑๖ ตอนพิเศษ ๑๗ ง หน้า ๑๕ วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๔๒ มีพื้นที่ประมาณ ๑๒ ไร่ ๒ งาน ๓๐.๕๖ ตารางวา            ชื่อ “กู่กาสิงห์” สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า “กู่” ที่ชาวบ้านใช้เรียกโบราณสถานขอมที่มีลักษณะคล้ายสถูปหรือเจดีย์ ส่วนคำว่า “กา” อาจหมายถึง อีกา ซึ่งในอดีตบริเวณนี้มีอีกาอยู่จำนวนมาก ตามที่คนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังว่าตอนเย็นมักจะมีอีกาจำนวนมาก พากันมานอนที่หนองน้ำเรียกว่า หนองกานอน ส่วนคำว่า “สิงห์” อาจมาจากประติมากรรมรูปสิงห์ ๒ ตัว ที่เคยตั้งอยู่หน้าประตูทางเข้า ซึ่งประติมากรรมรูปสิงห์ถูกขโมยไป ในช่วง พ.ศ.๒๕๐๓ แต่ชาวบ้านก็ยังเรียกปราสาทแห่งนี้ว่า “กู่กาสิงห์” สืบมาจนปัจจุบัน            ปราสาทกู่กาสิงห์ ลักษณะเป็นปราสาทอิฐสามหลัง ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน สร้างหันหน้าไป ทางทิศตะวันออก มีผังการก่อสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด ๓๕ × ๕๐ เมตร มีกำแพงแก้วล้อมรอบปราสาทประธานทั้ง ๔ ด้าน ตั้งอยู่ในแนวแกนทิศตะวันออก – ตะวันตก ประกอบด้วยกลุ่มปราสาทประธาน ก่อด้วยอิฐตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน ปราสาทประธานอยู่ตรงกลางมีมุขกระสันเชื่อมกับมณฑป มีประตูและบันไดทางขึ้นทางด้านทิศตะวันออกเพียงด้านเดียว อีกสามด้านทำเป็นประตูหลอก ถัดเข้าไปเป็นห้องครรภคฤหะ มีประติมากรรมโคนนทิ ตั้งอยู่ด้านหน้าปราสาทประธานองค์กลาง ส่วนปราสาทด้านทิศเหนือและทิศใต้ เป็นเพียงห้องครรภคฤหะสำหรับประดิษฐานประติมากรรมรูปเคารพสำหรับประกอบพิธีกรรม มีบรรณาลัยตั้งอยู่มุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะเป็นอาคาร รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก่อด้วยศิลาแลง หันหน้าไปทางทิศตะวันตกทั้ง ๒ หลัง และมีโคปุระ (ซุ้มประตู) ทั้ง ๔ ด้าน ก่อด้วยศิลาแลงผสมอิฐ แต่สามารถใช้เข้าออกได้แค่ด้านทิศตะวันออกและด้านทิศตะวันตก            จากการขุดแต่งปราสาทกู่กาสิงห์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้พบหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญจำนวนมาก เช่น ประติมากรรมพระคเณศ เศียรประติมากรรม ศิวลึงค์หินทราย แผ่นทองคำรูปดอกบัว ๘ กลีบ เครื่องประดับทองคำรูปนาค ๕ เศียร และ ชิ้นส่วนคานหามสำริดรูปนาค ๓ เศียร จากหลักฐานที่พบสามารถสันนิษฐานได้ว่าปราสาทกู่กาสิงห์ถูกสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ โดยกำหนดอายุจากรูปแบบการวางผังอาคาร ที่มีลักษณะคล้ายกับปราสาทบาปวน รวมถึงความสอดคล้องของหลักฐานที่พบจากการขุดแต่งโบราณสถานที่มีรูปแบบศิลปะร่วมสมัยกับตัวโบราณสถาน ได้แก่ ทับหลัง และเสาประดับกรอบประตู จึงสันนิษฐานว่า ปราสาทกู่กาสิงห์ สร้างขึ้นเพื่อเป็นศาสนสถานในลัทธิไศวนิกาย ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๖ และโบราณสถานแห่งนี้ได้ใช้งานเรื่อยมาจนกระทั่งถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๘ (ศิลปะนครวัด – บายน) เนื่องจากพบหลักฐานเป็นเครื่องเคลือบเขมร และชิ้นส่วนยอดคานหามรูปเศียรพญานาคศิลปะเขมรแบบนครวัด นอกจากนี้ ปราสาทกู่กาสิงห์ น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับโบราณสถานอีก ๒ แห่ง ที่อยู่ใกล้เคียงกัน คือ กู่โพนวิจ (อายุสมัยราว พุทธศตวรรษที่ ๑๖ ศิลปะคลัง – บาปวน) และกู่โพนระฆัง (อายุสมัยราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ สมัยบายน) ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ สันนิษฐานว่ามีการรื้อศิลาแลงจากปราสาทกู่กาสิงห์ มาใช้ก่อสร้างกู่โพนระฆัง เพื่อเป็นอโรคยศาล แสดงให้เห็นถึงการหมดความสำคัญของลัทธิไศวนิกายในชุมชนแห่งนี้ และหันมานับถือพุทธศาสนานิกายมหายานแทน ----------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล : นางสาวศุภภัสสร หิรัญเตียรณกุล นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี ----------------------------------------อ้างอิงจาก ศิลปากร, กรม. โดย หน่วยศิลปากรที่ ๖. รายงานการขุดแต่งและค้ำยันโบราณสถานกู่กาสิงห์ บ้านกู่กาสิงห์ ตำบลกู่กาสิงห์ อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด. ม.ป.ท. : ม.ป.ป., ๒๕๓๓. (อัดสำเนา) ศิลปากร, กรม. โดย สำนักศิลปากรที่ ๑๐ ร้อยเอ็ด. ทำเนียบโบราณสถานขึ้นทะเบียนสำนักศิลปากรที่ ๑๐ ร้อยเอ็ด (พ.ศ. ๒๔๗๘ – ๒๕๔๕). ขอนแก่น : บริษัทเพ็ญพรินติ้งจำกัด, ๒๕๕๖.


ชื่อผู้แต่ง :    วิจิตรธรรมปริวัตร, พระยา ชื่อเรื่อง :     พุทธภาษิตฉบับหอสมุดแห่งชาติ ปีที่พิมพ์ :    2468 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ โรงพิมพ์      : บรรณกิจ จำนวนหน้า    152 หน้า                     หนังสือพุทธภาษิตฉบับหอสมุดแห่งชาติ เล่มนี้ พระยาวิจิตรธรรมปริวัตร, พระยา แต่งขึ้นเพื่อจะได้เป็นหนังสือที่ระลึกในโอกาสต่างๆ หรืออีกนัยหนึ่งเขียนเพื่อเตรียมไว้สำหรับใช้ในงานศพของตัวเองนั้นเอง การแต่งเป็นโครงภาษิตนุสรณ์


องค์ความรู้ เรื่อง เล่าเรื่องประติมานวิทยา : ราวณานุครหมูรติ เรียบเรียงโดย นางสาวเด่นดาว ศิลปานนท์ ภัณฑารักษ์เชี่ยวชาญ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ


องค์ความรู้ เรื่อง ปูนขาวจากระบวนการศึกษาทางด้านโบราณคดี ตอนที่ ๑ การขุดค้นแหล่งโบราณคดีเตาเผาปูนขาวบ้านภูเขาทอง หมู่ ๗ ตำบลบ้านม่วง อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย  เรียบเรียงข้อมูล : กุลวดี สมัครไทย นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๘ ขอนแก่น



          การสำรวจจารึกวัดราชคฤห์เกิดขึ้นจากกลุ่มงานภาษาโบราณ กลุ่มหนังสือตัวเขียนและจารึก กรมศิลปากร ได้รับการประสานงานจาก กองโบราณคดี กรมศิลปากร ว่าพบจารึกบริเวณด้านข้างของพระพุทธบาทจำลอง ณ บริเวณมณฑป บนเขามอ ของวัดราชคฤห์ แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ จึงได้เดินทางไปดำเนินการตรวจสอบจารึกพระพุทธบาทจำลอง วัดราชคฤห์ เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๓ สภาพจารึกฐานพระพุทธบาทในมณฑปบนเขามอ วัดราชคฤห์ กรุงเทพฯ          เมื่อเข้าไปตรวจสอบสภาพของฐานพระพุทธบาทและจารึกพบว่าฐานพระพุทธบาทจำลองนี้สร้างจากปูนหล่อ มีขนาด (รวมฐาน) ความกว้างด้านบน ๙๖ ซม. ความกว้างด้านล่าง ๙๒ ซม. ความยาว ๒๖๐ ซม. ความสูง ๗๕ ซม. วัดโดยรอบรอยพระพุทธบาท ๕๒๐ ซ.ม. ลักษณะภายนอกมีการลงรักปิดทอง ประกอบกับรักที่ทาไว้มีความชื้นและเหนียว ทำให้ไม่สามารถทำสำเนาจารึกด้วยกระดาษเพลาได้ ทางคณะสำรวจฯ จึงดำเนินการทำสำเนาด้วยการลงแป้งบริเวณตัวจารึกเพื่ออ่านถ่ายถอดและตรวจสอบวิเคราะห์ จากนั้นก็ทำการบันทึกภาพ พร้อมทั้งดำเนินการลงทะเบียนจารึก นายเทิม มีเต็ม ผู้ทรงคุณวุฒิกรมศิลปากรและนักภาษาโบราณ ตรวจสอบจารึก นักภาษาโบราณดำเนินการลงแป้งเพื่ออ่านตรวจสอบวิเคราะห์ ดำเนินการลงทะเบียนและอ่านตรวจสอบวิเคราะห์           ซึ่งรายละเอียดของการลงทะเบียนจารึกฐานพระพุทธบาทในมณฑปบนเขามอ วัดราชคฤห์ กรุงเทพฯ มีดังนี้ ทะเบียนจารึก ชื่อจารึก                   จารึกพระพุทธบาทจำลอง ทะเบียนจารึก           กท.๓๐๕ อักษร                       ไทย ศักราช                     พุทธศักราช ๒๓๔๒ ภาษา                       ไทย ด้าน/บรรทัด             ๑ ด้าน ๑ บรรทัด วัตถุจารึก                 รอยพระพุทธบาท ลักษณะวัตถุ ปูนลงรักปิดทอง ขนาดวัตถุ                รอยพระพุทธบาทรวมฐาน ด้านบนกว้าง ๙๖ ซม. ด้านล่างกว้าง ๙๒ ซม. ยาว ๒๖๐ ซม. สูง ๗๕ ซ.ม. วัดโดยรอบ ๕๒๐ ซม.                                  รอยพระพุทธบาท ด้านบนกว้าง ๖๒.๕ ด้านล่างกว้าง ๔๔ ซ.ม. ยาว ๑๖๒ ซ.ม. จารึก สูง ๕.๕ ซ.ม. ยาว ๑๔๒ ซ.ม. พบเมื่อ                     ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓ //สถานที่พบ มณฑปบนเขามอ วัดราชคฤห์ แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี จังหวัดกรุงเทพมหานคร ผู้พบ                        กลุ่มวิจัยและพัฒนางานโบราณคดี กองโบราณคดี ปัจจุบันอยู่ที่             มณฑปบนเขามอ วัดราชคฤห์ แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประวัติ                     กลุ่มวิจัยและพัฒนางานโบราณคดี กองโบราณคดี สำรวจพบเมื่อ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓           เมื่ออ่านถ่ายถอดและวิเคราะห์จารึกฐานพระพุทธบาทจำลองนี้ได้ความว่า คำอ่าน๏ วัน ๖ ๑๕ ๒ จุลศักราช ๑๑๖๑ ปีมแมเอกศกเจ้าพญาพระคลังหล่อลายลักษณพระพุทธบาทฉลององคสมเดจ์พระพุทธิเจ้าไว้ในสาษนาจงเปนปัจจัย (แก่) พระนิพานขอแผ่กุสนนี้ ให้แก่สมณอาณาประชาราษฎรแลสรรพสัตวทังปวงจงทัว คำปัจจุบัน ๏ วันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๒ จุลศักราช ๑๑๖๑ ปีมะแมเอกศก เจ้าพระยาพระคลังหล่อลายลักษณ์พระพุทธบาทฉลององค์สมเด็จพระพุทธิเจ้าไว้ในศาสนาจงเป็นปัจจัย (แก่) พระนิพพานขอแผ่กุศลนี้ ให้แก่สมณอาณาประชาราษฎรแลสรรพสัตว์ทั้งปวงจงทั่ว            จากการอ่านถ่ายถอดและวิเคราะห์พบว่ารอยพระพุทธบาทจำลองจารึกด้วยอักษรไทย ภาษาไทย จุลศักราช ๑๑๖๑ รอยพระพุทธบาทจำลองนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อวันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๒ จุลศักราช ๑๑๖๑ ปีมะแมเอกศก ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ.๒๓๔๒ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑ )           ส่วนผู้ที่สร้างพระพุทธบาทจำลองนี้คือเจ้าพระยาพระคลัง ซึ่งในช่วงเวลานี้สันนิษฐานว่าน่าจะหมายถึง เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าตรงกับประวัติความเป็นมาของวัดราชคฤห์ดังนี้           “วัดราชคฤห์ เป็นวัดโบราณสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตอนปลาย หรือก่อนสมัยกรุงธนบุรี โดยพวกนาย กองมอญที่อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร และตั้งบ้านเรือนอยู่ในแขวงบางยี่เรือ เมื่อสร้างเสร็จแล้วมีชื่อเรียกตามสถานที่ตั้งว่า “วัดบางยี่เรือ” บางทีก็เรียกว่า “วัดบางยี่เรือมอญ” หรือ “วัดมอญ”ที่เรียกเช่นนี้ คงสืบเนื่องจากเดิมมีพระมอญจำพรรษาอยู่ ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี คงจะมีการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดเพราะเชื่อกันว่าพระยาพิชัย (พระยาพิชัยดาบหัก) แม่ทัพสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นผู้สร้างพระอุโบสถ (ปัจจุบันคือพระวิหารใหญ่) และพระปรางค์เหลี่ยมย่อไม้ยี่สิบ ด้านหน้าพระวิหารใหญ่ มาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดบางยี่เรือมอญ หรือวัดมอญ ขึ้นเป็นพระอารามหลวง พระราชทานนามว่า “วัดราชคฤห์” ในการนี้ เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เสนาบดีกรมท่า ได้สร้างเขามอเป็นภูเขาประดับด้วยหินจากทะเลบนยอดเขาสร้าง “มณฑปจตุรมุข” เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง สร้างพระสถูปและนำพระบรมธาตุมาบรรจุไว้” ----------------------------------------------ข้อมูล : นางศิวพร เฉลิมศรี นักภาษาโบราณชำนาญการพิเศษ สำนักหอสมุดแห่งชาติ----------------------------------------------บรรณานุกรม พระคลัง (หน), เจ้าพระยา. จารึกเรื่องสร้างภูเขาที่วัดราชคฤห์. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๖. พระคลัง (หน), เจ้าพระยา. ลิลิตพยุหยาตราเพชรพวง ลิลิตศรีวิชัยชาดก กลอนจารึกเรื่องสร้างภูเขา วัดราชคฤห์. พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, ๒๕๐๗. ราชบัณฑิตยสถาน. ประวัติวัดราชคฤห์. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๒๘.


          ในการดำเนินงานขุดค้นทางโบราณคดีพื้นที่ฝั่งตะวันออกและตะวันตกของคลองคูเมืองเดิม (คลองบ้านขมิ้น) เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ในโครงการอนุรักษ์และพัฒนากำแพงและคูเมืองกรุงธนบุรี ระหว่าง ปี งบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๘ – ๒๕๕๙ พบหลักฐานทางโบราณคดีที่น่าสนใจประเภทหนึ่ง คือ ตุ๊กตาดินเผา พบจำนวนกว่า๒๐ รายการ           ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้ มีวิธีทำแบ่งเป็น ๒ แบบ ได้แก่ แบบที่ ๑ ทำจากดินเหนียวขึ้นรูปด้วยพิมพ์และเผาด้วยอุณหภูมิต่ำกว่า ๑,๐๐๐ องศาเซลเซียส เป็นตุ๊กตาดินเผามีขนาดสูงระหว่าง ๕ – ๑๒ เซนติเมตร ปั้นเป็นรูปบุคคลเพศชายและเพศหญิง ในอิริยาบถยืนและนั่งพับเพียบ ตุ๊กตาเหล่านี้ล้วนไม่มีศีรษะ ตุ๊กตารูปคนบางชิ้นอยู่ในอิริยาบถยืนยืนข้างเด็กหรือนั่งอุ้มไก่ ส่วนตุ๊กตาเพศหญิงบางชิ้นอยู่ในอิริยาบถนั่งอุ้มเด็ก           แบบที่ ๒ พบเพียง ๑ ชิ้น เป็นตุ๊กตารูปคนนั่งชันเข่า ไม่มีส่วนศีรษะ ขนาดสูงประมาณ ๖ เซนติเมตร ทำด้วยดินขาวขึ้นรูปด้วยการปั้นและมีการเคลือบผิวด้วยน้ำเคลือบ โดยเผาในอุณหภูมิ ๑,๓๐๐ – ๑,๔๕๐ องศาเซลเซียส           ดินเผาเหล่านี้พบร่วมกับเศษเครื่องถ้วยจีนที่กำหนดอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๔ – ๒๕ จึงสันนิษฐานว่า อาจเป็นสิ่งที่ทำขึ้นตามในช่วงระยะเวลาเดียวกัน โดยลักษณะการพบที่ไม่ปรากฏส่วนศีรษะอยู่กับตัวตุ๊กตา อาจเปรียบเทียบได้กับตุ๊กตาที่ใช้ในพิธีกรรม ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงประทานอธิบายแก่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ในสาส์นสมเด็จ ว่า “...อุบายเสียกะบาลอยูในประเภทลวงผี มักทำในเวลามีคนเจ็บไข้อาการส่อว่าถูกผีกระทำ หรือทำเมื่อขึ้นปีใหม่เพื่อจะทำให้ผีสำคัญว่าได้คนในครัวเรือนนั้นไปแล้ว ไม่มาค้นคว้าหาตัวในปีนั้น ลักษณะการเสียกะบาลที่ทำกันในกรุงเทพฯ ว่า ตามที่ได้เคยเห็นมาแต่เด็ก เอาดินเหนียวมาปั้นหุ่น(อย่างตุ๊กตา) แทนตัวคน จะให้แทนคนไหนเอาของที่คนนั้นใช้ เช่น ตัดเศษผ้านุ่งห่มเอาไปแต่งหุ่นเป็นสำคัญ แล้วเอากาบกล้วยมากรึงเป็นอย่างรูปกะบะ เรียกว่า กะบาล เอารูปหุ่นมากหรือน้อยแล้วแต่เหตุ ตั้งรวมลงในกะบาล มีข้าวปลาใส่กระทงน้อยๆ(จะหมายว่าเป็นเสบียงของหุ่นหรือเป็นเครื่องเซ่นผี ข้อนี้ไม่ทราบแน่) วางไปในกะบาลนั้นด้วย แล้วเอากะบาลนั้นไปตั้งไว้กลางแจ้งในลานบ้านสัก ๑ วัน แล้วเอาทิ้งเสียที่อื่น(เดิมเห็นจะทิ้งในป่าช้า)เป็นเสร็จพิธี... ตุ๊กตาสังคโลกรูปผู้หญิงอุ้มทารกคอหักทิ้ง หรือรูปผู้ชายอุ้มไก่สมัยสุโขทัย เรียกตุ๊กตาเสียกะบาล...ศาสตราจารย์เซเดส์ว่า คำกะบาลเป็นภาษาเขมร แปลว่า หัว...เสียกะบาล ก็คือเสียหัว ที่ตุ๊กตาสังคโลกคอหักโดยมากนั้นคงเป็นคนต่อยให้หักเมื่อทำพีธี จึงเลยเรียกกันว่า “พิธีเสียกะบาล”...รูปผู้หญิงอุ้มทารกนั้น คงทำเป็นพิธีเสียกะบาลเมื่อคลอดลูกเป็นพื้น เพราะคลอดลูกในสมัยนั้น น่าที่แม่จะเป็นอันตรายกันมาก...”           นอกจากนี้ ยังพบตุ๊กตาดินเผารูปบุคคลลักษณะเหมือนรูปเคารพ ส่วนศีรษะของบุคคล และลิง ซึ่งหลักฐานเหล่านี้ อาจมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อในครั้งอดีต (ซ้าย) สภาพปัจจุบันพื้นที่ขุดค้นฝั่งตะวันออกของคลองคูเมือเดิม(คลองบ้านขมิ้น) (ขวา) สภาพปัจจุบันพื้นที่ขุดค้นฝั่งตะวันตกของคลองคูเมือเดิม(คลองบ้านขมิ้น) (ซ้ายและขวา) ตุ๊กตาดินเผารูปบุคคลเพศหญิงในอิริยาบถอุ้มเด็ก ไม่มีส่วนศีรษะ พบจากหลุมขุดค้นฝั่งตะวันตกของคลองคูเมืองเดิม (คลองบ้านขมิ้น) (ซ้าย) ตุ๊กตาดินเผารูปบุคคลเพศชายในอิริยาบถอุ้มไก่ ไม่มีส่วนศีรษะ พบจากหลุมขุดค้นฝั่งตะวันตกของคลองคูเมืองเดิม(คลองบ้านขมิ้น) (ขวา) ตุ๊กตาดินเผารูปบุคคลเพศชายในอิริยาบถอุ้มไก่ พบจากหลุมขุดค้นฝั่งตะวันตกของคลองคูเมืองเดิม(คลองบ้านขมิ้น) (ซ้าย) ตุ๊กตาดินเผารูปบุคคลยืน ส่วนศีรษะและเท้าขาดหายไป มือขวาถือลูกกลม มือซ้ายวางบนตัวนก พบจากการขุดค้นฝั่งตะวันออกของคลองคูเมืองเดิม(คลองบ้านขมิ้น) (ขวา) ตุ๊กตาดินเผารูปบุคคลยืน ไม่มีส่วนศีรษะและเท้า มีเด็กยืนพิงกายทางด้านซ้าย พบจากการขุดค้นฝั่งตะวันออกของคลอง คูเมืองเดิม(คลองบ้านขมิ้น)  (ซ้าย) ตุ๊กตาดินเผาเคลือบรูปบุคคลนั่ง มือ ๒ ข้างประสานจับลูกกลม ส่วนศีรษะและเท้าขาดหายไป พบจากการขุดค้นฝั่งตะวันออกของคลองคูเมืองเดิม(คลองบ้านขมิ้น) (ขวา) ตุ๊กตาดินเผารูปเด็กทารกยืน ส่วนเท้าขาดหายไป พบจากการขุดค้นฝั่งตะวันออกของคลองคูเมืองเดิม(คลองบ้านขมิ้น)  (ซ้าย) ตุ๊กตาดินเผารูปช้าง พบจากการขุดค้นฝั่งตะวันออกของคลองคูเมืองเดิม(คลองบ้านขมิ้น) (ขวา) ส่วนศีรษะตุ๊กตาดินเผารูปลิง พบจากการขุดค้นฝั่งตะวันตกของคลองคูเมืองเดิม(คลองบ้านขมิ้น) -----------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล : เมธินี จิระวัฒนา นักโบราณคดีชำนาญการ กองโบราณคดี-----------------------------------------------




ในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้เกิดเหตุการณ์อันเป็นมูลเหตุให้การผดุงครรภ์แผนตะวันตกได้รับความนิยมมากขึ้นในสมัยต่อมา กล่าวคือ เมื่อครั้งที่พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ มีโอรสองค์แรกกับหม่อมเปี่ยม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๐ หม่อมเปี่ยมได้อยู่ไฟจนถึงแก่กรรม นับแต่นั้นมา พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ ทรงห้ามไม่ให้หม่อมคนอื่นอยู่ไฟเมื่อประสูติโอรสธิดา และเปลี่ยนไปใช้วิธีผดุงครรภ์แผนตะวันตกแทน ปรากฏว่าปลอดภัยสบายดีทุกคราวพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นปราบปรปักษ์กราบบังคมทูลสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ให้ทรงเห็นคุณประโยชน์ของวิธีผดุงครรภ์แผนตะวันตก และทำให้มีพระราชดำริจะเปลี่ยนแปลงวิธีการผดุงครรภ์ในราชสำนัก ครั้นเมื่อพระองค์มีพระประสูติการสมเด็จฯ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ ใน พ.ศ. ๒๔๓๒ จึงทรงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเลิกอยู่ไฟ และให้หมอเกาแวนพยาบาลตามวิธีผดุงครรภ์แผนตะวันตก ปรากฏผลเป็นที่พอพระราชหฤทัย ตั้งแต่นั้นมาจึงโปรดเกล้าฯ ให้เลิกการอยู่ไฟในพระบรมมหาราชวัง และพวกผู้ดีมีบรรดาศักดิ์นอกวังก็เริ่มทำตามมากขึ้นเรื่อย ๆสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขณะนั้น โรงศิริราชพยาบาลต้องการใช้วิธีผดุงครรภ์แผนตะวันตกกับผู้ที่มาคลอดบุตรในโรงศิริราชพยาบาลด้วยเช่นกัน แต่ราษฎรยังไม่นิยมเพราะยังคงกลัวผลร้ายจากการไม่อยู่ไฟ สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ จึงมีพระราชกระแสรับสั่งชี้แจงแก่ผู้ที่ไปคลอดบุตรในโรงศิริราชพยาบาลว่า พระองค์ทรงเคยอยู่ไฟมาก่อน แล้วทรงเปลี่ยนมาใช้วิธีผดุงครรภ์แผนตะวันตก ทรงสบายกว่าอยู่ไฟมาก จึงทรงชักชวนให้ราษฎรทำตาม และพระราชทานเงินทำขวัญลูกให้ผู้ที่ทำตามพระองค์คนละ ๔ บาท ซึ่งถือเป็นเงินจำนวนมากในสมัยนั้น ราษฎรจึงสมัครใจใช้วิธีผดุงครรภ์แผนตะวันตกมากขึ้น จนไม่เหลือผู้ที่ขอรับการอยู่ไฟในโรงศิริราชพยาบาลอีกพระบำบัดสรรพโรค (นายแพทย์ฮานส์ อดัมเซน) สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ยังโปรดให้พระบำบัดสรรพโรค (หมอฮานส์ อดัมเซน) จัดตั้งโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และหญิงพยาบาลใน พ.ศ. ๒๔๓๙ ทำให้มีผู้เข้ารับการศึกษาวิชาผดุงครรภ์แผนตะวันตกเพิ่มขึ้นทุกปี และออกรักษาพยาบาลราษฎรอยู่ทั่วไป ทั้งยังมีการผลิตและเผยแพร่ตำราแพทย์และผดุงครรภ์สำหรับคนทั่วไป ทำให้การแพทย์และผดุงครรภ์แผนตะวันตกแพร่หลายในหมู่ราษฎรมากขึ้น จนกลายเป็นวิธีหลักในการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ในที่สุด ส่วนการผดุงครรภ์แผนไทยและการอยู่ไฟก็ได้รับการปรับปรุงให้ถูกหลักวิชาและเหมาะกับกาลสมัยยิ่งขึ้น จนเป็นการแพทย์ทางเลือกอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เรียบเรียงโดย นายธันวา วงศ์เสงี่ยม นักอักษรศาสตร์ชำนาญการ กลุ่มประวัติศาสตร์


black ribbon.