ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ
วันนี้ (วันจันทร์ที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๕) นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย พุทธศักราช ๒๕๖๕ “พลังพิพิธภัณฑ์ สร้างสรรค์ไทย: The Power of Thai Museums” พร้อมทั้งมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวด “Museum Photo Contest” ภายใต้แนวคิด “The Power of Thai Museums” และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง พิพิธภัณฑ์กับการอนุรักษ์มรดกไทย ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยมีภาคีพิพิธภัณฑ์ไทยเข้าร่วมกิจกรรมกว่า ๑๐๐ คน
อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า พุทธศักราช ๒๕๖๕ ครบรอบ ๑๔๘ ปี ที่ประเทศไทยมีพิพิธภัณฑสถานเปิดให้บริการแก่สาธารณชนเป็นครั้งแรกเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๔๑๗ จนกระทั่งในปัจจุบันมีพิพิธภัณฑ์ไทยหลากหลายสาขา ที่จัดตั้งขึ้นทั่วประเทศ มากกว่า ๑,๕๐๐ แห่ง การที่กรมศิลปากรมีโอกาสได้ทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายพิพิธภัณฑ์จำนวนมากในวันนี้ นับว่าเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ของพิพิธภัณฑ์ไทย เป็นพลังที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์และความยั่งยืน กรมศิลปากรมีนโยบายที่ต้องการมุ่งเน้นเรื่องของการอนุรักษ์อย่างมีส่วนร่วม โดยเริ่มจากขั้นพื้นฐานคือการพัฒนาบุคลากรผู้ปฏิบัติงานในทุกๆ ด้าน ให้พร้อมถึงด้วยความสามารถ เสริมสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนงานมรดกทางศิลปวัฒนธรรมไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยพลังร่วมกันปกป้องคุ้มครองจากภาคีเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะชุมชนผู้เป็นเจ้าของวัฒนธรรมอันเป็นแหล่งกำเนิดและสืบทอดองค์ความรู้ ทั้งนี้ กรมศิลปากรพร้อมเป็นพลังสนับสนุนพิพิธภัณฑ์ไทยและพร้อมร่วมปฏิบัติงานกับทุกภาคส่วนอย่างบูรณาการ
ตามที่คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบให้วันที่ ๑๙ กันยายน ของทุกปี เป็นวันพิพิธภัณฑ์ไทย กรมศิลปากร โดยสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ร่วมกับภาคีเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ไทย กว่า ๓๐ แห่ง ร่วมกันจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองวาระวันพิพิธภัณฑ์ไทย ในหัวข้อ “พลังพิพิธภัณฑ์ สร้างสรรค์ไทย: The Power of Thai Museums” ประกอบด้วย
Museum Show & Share: ประชาสัมพันธ์กิจการพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย โดยการรวบรวมผลงาน/กิจกรรมของพิพิธภัณฑ์เครือข่ายในประเทศไทย ๓๐ แห่ง เผยแพร่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ Facebook: Thai Museum Day 2022
Museum Travel นำผู้ร่วมกิจกรรมท่องเที่ยวไปในพิพิธภัณฑ์ และแหล่งเรียนรู้ในชุมชนสองฝั่งกรุงเทพมหานคร รวม ๔ เส้นทาง เมื่อวันที่ ๑๗ - ๑๘ กันยายนที่ผ่านมา โดยมีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมกิจกรรมเต็มจำนวนทุกเส้นทาง
Museum Talk “พลังพิพิธภัณฑ์ สร้างสรรค์ไทย: The Power of Thai Museums” กับมุมมองหลากหลายและประสบการณ์จากเครือข่ายพิพิธภัณฑ์กรมศิลปากร ที่จะมาเป็นแรงพลังให้พิพิธภัณฑ์ไทยอีกมากมาย ก้าวเดินต่อไปพร้อมกับสังคมโลกอย่างมั่นคง โดยมีการบรรยายพิเศษ “A New Museum Definition: ICOM Prague 2022” จากนางสมลักษณ์ เจริญพจน์ ผู้อำนวยการศูนย์ภูมิภาคว่าด้วยโบราณคดีและวิจิตรศิลป์ (SPAFA) และเรื่องราวจากพิพิธภัณฑ์ไทย ๑๒ แห่ง ที่เต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์แห่งความยั่งยืน นวัตกรรม และชุมชน
Museum Photo Contest การประกวดภาพถ่ายในหัวข้อ The Power of Thai Museums เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงบทบาทของพิพิธภัณฑ์ที่มีต่อสังคม และเกิดทัศนคติที่ดีต่อพิพิธภัณฑ์ โดยมีผู้ส่งผลงานเข้าประกวด จำนวน ๑๔๓ คน รวม ๓๔๐ ภาพ ติดตามชมภาพถ่ายและผลการประกวดได้ทาง Facebook: Thai Museum Day 2022
นอกจากนี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้เปิดให้บริการเป็นกรณีพิเศษ งดเก็บค่าธรรมเนียมเข้าชมเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย และจัดกิจกรรมนำชมนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “เซรามิกแห่งแหลมทองและแดนอาทิตย์อุทัย : สานสายใยไม่เสื่อมคลายในพาณิชยวัฒนธรรมโลก” บรรยายนำชมโดยวิทยากรจากทีมงานผู้จัดนิทรรศการฯ ทั้งนักโบราณคดี ภัณฑารักษ์ และนักวิชาการอิสระ ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
กรมศิลปากร มีความมุ่งหมายให้สังคมไทยตระหนักถึงความสำคัญของพิพิธภัณฑ์ไทย ร่วมกันอนุรักษ์และพัฒนาพิพิธภัณฑ์ อันเป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ที่หลากหลายและสร้างสรรค์ ให้ทุกคนก้าวไปสัมผัสความรู้และขุมพลังจากพิพิธภัณฑ์ไทย ที่หนักแน่นไปด้วยภารกิจวิชาการพิพิธภัณฑ์ เพื่อรักษาไว้ซึ่งมรดกทางวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ ยืนหยัดเผยแพร่ความรู้สู่สาธารณชนอย่างเปิดกว้างโดยไม่มีการแบ่งแยก ยึดมั่นในจริยธรรมและพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพร่วมกับชุมชน โดยนำเสนอองค์ความรู้และประสบการณ์หลากหลายเพื่อการ ศึกษา ความเพลิดเพลิน และการแบ่งปันสู่สังคม
#เที่ยวทั่วน่านกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน."5 CAFE NAN สายคาเฟ่ห้ามพลาด"น่าน นอกจากจะสวยงามไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ศิลปะและวัฒนธรรมแล้ว ร้านกาแฟหรือคาเฟ่ยังเป็นสถานที่ที่ทุกคนต้องไปเช็คอิน ไปเสพบรรยากาศ ดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟเมืองน่าน หอมกลิ่นกาแฟ และจุดถ่ายรูปสุดเก๋น่ารักๆ ชิคๆ ที่มาเที่ยวเมืองน่านแล้วต้องแวะมาเยือน.จัดทำโดยนางสาวธิดารัตน์ เมธะพันธุ์นิสิตโครงการสหกิจศึกษา คณะบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ และการสื่อสาร สาขาการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยนเรศวร
คันทวยพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ : เอกลักษณ์สถาปัตยกรรมวังหน้า สมัยรัชกาลที่ ๑
พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ เป็นหนึ่งในอาคารของพระราชวังบวรสถานมงคลซึ่งสร้างขึ้นประมาณ พ.ศ. ๒๓๓๒ (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ขณะนั้นสมเด็จกรมพระราชวังบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) มีพระประสงค์สร้างขึ้นสำหรับประกอบการพระราชพิธีต่าง ๆ เช่นเดียวกับพระมหาปราสาทในวังหลวง ภายหลังพระองค์อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์จากเมืองเชียงใหม่ลงมายังกรุงเทพฯ จึงทรงอุทิศพระที่นั่งองค์นี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ และขนานนามว่า “พระที่นั่งพุทธาสวรรย์”* หมายถึงที่ประทับของพระพุทธเจ้า (บางเอกสารออกนามว่า “พระที่นั่งสุทธาสวรรย์”)
ด้วยฐานานุศักดิ์ของพระมหาอุปราช รูปแบบงานสถาปัตยกรรมในพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) จึงมีรายละเอียดที่แตกต่างจากวังหลวง อาทิ การมุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผาไม่เคลือบ การประดับรวยระกาที่ไม่มีนาคสะดุ้ง บัวหัวเสาเป็นบัวกลม ในขณะที่ช่างวังหลวงจะทำเป็นบัวแวง (บัวกลีบยาว) และแม้ว่าพระราชวังบวรสถานมงคลจะได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ ๓ แต่เอกลักษณ์ฝีมืองานช่างวังหน้าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ ยังคงหลงเหลืออยู่มาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะคันทวยซึ่งมีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของสกุลช่างวังหน้าสมัยรัชกาลที่ ๑ อย่างแท้จริง
คันทวย** ที่ประดับ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์เป็นงานไม้จำหลักลายปิดทองประดับกระจกสี เป็นรูปนาคห้อยเศียรลง มีลายเครือวัลย์ลักษณะเป็นเถาเลื้อย พันเกี่ยวเป็นจังหวะตลอดทั้งคันทวย รูปแบบคันทวยดังกล่าวนี้พบตามพระอารามบางแห่งที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ อาทิ พระอุโบสถ พระวิหาร และมณฑปวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ พระอุโบสถ วัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ และ พระอุโบสถ วัดสุวรรณดาราราม พระนครศรีอยุธยา
*ในสมัยรัชกาลที่ ๔ โปรดให้มีการเปลี่ยนชื่อพระที่นั่งองค์นี้จากพระที่นั่งพุทธาสวรรย์ เป็นพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ (อ่านรายละเอียดได้ใน : ประกาศรัชกาลที่ ๔ เรื่อง ประกาศนามพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ แลพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ กับ ประกาศให้เรียกชื่อพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ว่าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ พระที่นั่งพุทธาสวรรย์ให้เรียกว่าพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ )
**“คันทวย” ตามความหมายพจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ระบุว่า โครงสร้างอาคารทรงไทย เช่น โบสถ์ วิหาร ศาลา การเปรียญ ปราสาทราชวัง สถานที่ราชการบางแห่ง คันทวยทำหน้าที่ค้ำยันใต้เต้า (ส่วนที่ยื่นออกจากปลายของผนัง เสาเก็จ หรือเสาราย) ที่ชายคากับผนังเสาดั้งเท้าแขน มีการแกะสลักเป็นรูปนาค ยักษ์ ลิง ครุฑ ฯลฯ เรียกชื่อตามแบบอย่างและท้องถิ่นที่แตกต่างกัน เช่น ทวยตั๊กแตน นาคตัน, ทวย ก็เรียก
อ้างอิง
กรมศิลปากร. พระราชวังบวรสถานมงคล. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๕๖.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรม อักษร ก-ช ฉบับราชบั
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 47/3ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 38 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 56 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 151/2 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
อภิธมฺมตฺถสงฺคห (อภิธมฺมสงฺคห) ชบ.บ 179/1ฉเอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)
หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ ร่วมกับ ชมรมนักโบราณคดี (สมัครเล่น) เมืองสุพรรณ ขอเชิญร่วมกิจกรรมโครงการบรรยายและเสวนาทางวิชาการ เนื่องในวาระครบ 130 ปี ห้ามเจ้านายมิให้ไปเมืองสุพรรณบุรี เรื่อง เทศาภิบาล : ศาสตร์การปกครองของไทยสมัยรัชกาลที่ 5 วันศุกร์ที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๖ เวลา ๐๘.๓๐ - ๑๕.๓๐ น. ณ หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ
ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าด้วยการสแกน QR Code หรือลงทะเบียนทางลิ้งนี้ https://forms.gle/m3KVKaprpKjvwFqs8 (ปิดรับลงทะเบียนวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๖ หรือหากมีผู้ลงทะเบียนเต็มจำนวนแล้ว)
ชื่อผู้แต่ง -
ชื่อเรื่อง สี่ศาสตราจารย์
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ นครหลวง ฯ
สำนักพิมพ์ บริษัทโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด
ปีที่พิมพ์ ๒๕๑๕
จำนวนหน้า ๑๓๐ หน้า
หมายเหตุ ที่ระลึกงานสี่ศาสตราจารย์ ๙ กันยายน ๒๕๑๕
รายละเอียด
หนังสือที่ระลึกในการเกษียณอายุราชการ ของ ๔ อาจารย์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกอบด้วยศาสตราจารย์ รอง ศยามานนท์ ศาสตราจารย์ คุณหญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยา ศาสตราจารย์ ม.ร.ว แสงโสม เกษมศรีและศาสตราจารย์หม่อมหลวงจิรายุ นพวงศ์
ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี
เรียบเรียง : นางทัศนีย์ เทพไชย (ผู้อำนวยการหอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ)
ภาพ : นางสาววารุณี วิริยะชูศรี
เป็นเส้นทางรถไฟสายหนึ่งที่ช่วยให้ผู้คนสัญจรเข้าสู่กรุงเทพฯ หรือเดินทางต่อไปยังสายใต้ได้สะดวกขึ้น จากการสำรวจแนวทางการก่อสร้างในปี พ.ศ. 2496 และเริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2497 ต่อมาช่วงปี พ.ศ. 2501 - 2504 หยุดการก่อสร้างชั่วคราวเนื่องจากขาดงบประมาณ หลังจากนั้นเมื่อได้รับงบประมาณในปีพ.ศ. 2505 จึงทำการก่อสร้างต่อจนแล้วเสร็จ โดยสถานีรถไฟตั้งอยู่ที่ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมืองสุพรรณบุรี
มีพิธีเปิดเดินรถในวันอาทิตย์ ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2506 เวลา 14.30 น. โดยสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก องค์ที่ 15 (อยู่ ญาโณทโย ) สถิต ณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ทรงเจิม พระครูรักขิตวันมุนี (หลวงพ่อถิร) วัดป่าเลไลยก์ ประพรมน้ำมนต์
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีตัดแถบแพรเปิด ณ สถานีหนองปลาดุก ซึ่งเป็นการเปิดสถานีรถไฟพร้อมกัน 10 แห่งตามระยะทางสถานีหนองปลาดุก ถึงสถานีสุพรรณบุรี ทั้งนี้ในขบวนรถไฟมีนายสุนทร หงส์ลดารมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พลเอกไสว แสนยากร ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย และนายมนูญ บริสุทธิ์ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ร่วมเดินทางมาพร้อมขบวนรถไฟจนถึงสถานีสุพรรณบุรี
เริ่มเปิดให้บริการประชาชนโดยสารในวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ.2506 มีทั้งสิ้น 4 ขบวน ได้แก่
ขบวนรถ 345 ออกจากสถานีกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) เวลา 13.20 น. ถึงสถานีหนองปลาดุก เวลา 15.50 น. และถึงสถานีสุพรรณบุรี เวลา 18.00น.
ขบวนรถ 346 ออกจากสถานีสุพรรณบุรี เวลา 06.40 น. ถึงสถานีหนองปลาดุก 07.50 น. สามารถต่อขบวนรถเพชรบุรี ถึงสถานีกรุงเทพฯ เวลา 11.50 น.
ขบวนรถ 347 ออกจากสถานีธนบุรี เวลา8.20 น. ถึงสถานีหนองปลาดุก เวลา 10.00 น. และถึงสถานีสุพรรณบุรี เวลา 12.10 น.
ขบวนรถ 348 ออกจากสถานีสุพรรณบุรี เวลา 12.40 น. ถึงสถานีหนองปลาดุก เวลา 14.50 น. สามารถต่อขบวนรถประจวบคีรีขันธ์ ถึงสถานีธนบุรี เวลา 17.20 น.
อัตราค่าโดยสารในขณะนั้น
ประเภทชั้น3 จากสถานีสุพรรณบุรี ถึงกรุงเทพฯ เที่ยวเดียว 13 บาท
ไปกลับ 24.40 บาท
จากสถานีสุพรรณบุรี ถึงธนบุรี เที่ยวเดียว 12 บาท
ไปกลับ 22.40 บาท
ปัจจุบันเส้นทางรถไฟสุพรรณบุรี ยังคงให้บริการประชาชน พ่อค้าแม่ค้านำสินค้าไปขายยังกรุงเทพฯ นครปฐม หรือจังหวัดอื่นๆใกล้เคียงอย่างต่อเนื่อง โดยมีขบวนรถไฟให้บริการ วันละ 2 ขบวน ได้แก่
ขบวน 356 สุพรรณบุรี - กรุงเทพฯ (หัวลำโพง) ออกจากสถานีสุพรรณบุรี เวลา 04.00 น. ถึงสถานีหัวลำโพง เวลา 07.55 น.
ขบวน 355 กรุงเทพฯ - สุพรรณบุรี รถไฟออกจากหัวลำโพง เวลา 16.40 น. ถึงสถานีสุพรรณบุรี เวลา 20.04 น.
เป็นขบวนรถชานเมืองแบบพัดลม ในอัตราค่าโดยสาร 32 บาท
(ข้อมูลราคาเดือนก.พ. ปี 2565)
สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 1690 การรถไฟแห่งประเทศไทย
ด้วยความสวยงามคลาสสิคของอาคารสถานีรถไฟสุพรรณบุรี รวมทั้งรางรถไฟ ไม้หมอน ตู้สินค้าเก่าๆ ที่จอดเรียงรายอยู่ตามสถานี และทิวทัศน์ที่เงียบสงบของเมืองสุพรรณบุรี ดึงดูดให้ผู้ที่สนใจแวะเวียนไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกอยู่เป็นประจำ
ที่มา :
คนสุพรรณ. 6,343 (10 พฤษภาคม 2506) 1, 8.
------------. 6,348 (5 มิถุนายน 2506) 1, 8.
-------------. 6,350 (15 มิถุนายน 2506) 1, 8.
ภาพพิธีเปิดจากเพจ : โรงเรียนวิศวกรรมรถไฟ
เลขทะเบียน : นพ.บ.408/1กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 66 หน้า ; 4 x 52.5 ซ.ม. : ชาดทึบ-รักทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 146 (58-70) ผูก 1ก (2566)หัวเรื่อง : อานิสงส์ต่างๆ--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.537/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 40 หน้า ; 4 x 50.5 ซ.ม. : ล่องรัก-รักทึบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 180 (292-302) ผูก 3 (2566)หัวเรื่อง : สุวัณณต่อมคำ--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อเรื่อง : ตำรายาเกร็ด ชื่อผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2500 สถานที่พิมพ์ : รัตนการพิมพ์สำนักพิมพ์ : พระนครจำนวนหน้า : 176 หน้าสาระสังเขป : หนังสือ ตำรายาเกร็ด เล่มนี้ พิมพ์มาเพื่อช่วยคนที่อยู่ห่างไกลหมอ ใช้เยียวยาโรคบางอย่างได้ตามสมควร โดยส่วนใหญ่จะเป็นยาแก้ต่างๆที่สามารถทำยารักษาได้เองก่อนเดินทางมาพบหมอ เช่น ยาแก้งูกัด ยาแก้ฝี และยาแก้ปัสสาวะพิการฯ