ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ

วัดอ่างศิลา ๑: วัดอ่างศิลานอก วัดอ่างศิลา ตั้งอยู่ที่ตำบลอ่างศิลา อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ประวัติวัดระบุว่าเดิมแบ่งออกเป็น ๒ วัด ได้แก่ วัดอ่างศิลาในและวัดอ่างศิลานอก แต่ได้รวมกันเป็น “วัดอ่างศิลา” ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๙ กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนวัดอ่างศิลาเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ มาตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๔๒ โบราณสถานภายในวัดค่อยๆ เสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา กรมศิลปากรโดยสำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี ร่วมกับสำนักสถาปัตยกรรม จึงได้ดำเนินการบูรณะโบราณสถานภายในวัดมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๕๘ บูรณะอุโบสถ ปีพุทธศักราช ๒๕๖๐ บูรณะมณฑป ปีพุทธศักราช ๒๕๖๑ บูรณะวิหาร ปีพุทธศักราช ๒๕๖๒ บูรณะเจดีย์ด้านหน้าวิหาร บทความนี้จึงขอสรุปผลการดำเนินงานและแนะนำโบราณสถานวัดอ่างศิลาอันเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ทางวัฒนธรรมที่สำคัญของจังหวัดชลบุรี ดังนี้ อุโบสถ เป็นอุโบสถแบบพระราชนิยมในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ มีเสาพาไลสี่เหลี่ยมล้อมรอบ เครื่องลำยองเป็นปูนปั้น หน้าบันประดับเครื่องถ้วยลายคราม ซุ้มประตูและหน้าต่างประดับปูนปั้นลายพันธุ์พฤกษา ภายในอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย ฝาผนังเขียนภาพพุทธประวัติ เจดีย์ทรงเครื่อง ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของอุโบสถ เป็นเจดีย์ในศิลปะไทยชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยฐานสิงห์สามชั้นรองรับบัวปากระฆังที่มีลักษณะเป็นกลีบบัวซ้อนชั้น เรียกว่าบัวกลุ่มหรือบัวคลุ่ม ถัดขึ้นไปเป็นองค์ระฆัง รองรับบัลลังก์ บัวคลุ่มเถา ปลี ลูกแก้วและเม็ดน้ำค้าง มณฑป คืออาคารที่มีหลังคาเป็นเรือนยอด ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของอุโบสถ ปัจจุบันประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ฝาผนังภายในมณฑปเขียนภาพอดีตพระพุทธเจ้า อุโบสถ เจดีย์ทรงเครื่องและมณฑป ตั้งอยู่ในเขตพุทธาวาสของวัดอ่างศิลานอกเดิม สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน เนื่องจากทั้งหมดมีรูปแบบศิลปกรรมที่เป็นที่นิยมในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สอดคล้องกับผลการขุดค้นทางโบราณคดีที่ไม่พบสิ่งก่อสร้างที่มีอายุเก่าไปกว่านี้ ผู้เขียน : นายสิขรินทร์ ศรีสุวิทธานนท์ (นักโบราณคดีชำนาญการ) กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี #สำนักศิลปากรที่๕ปราจีนบุรี #กรมศิลปากร #กระทรวงวัฒนธรรม


          โบราณสถานปราสาทภูฝ้าย อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ บริเวณสันเขาด้านทิศเหนือ ภูฝ้าย เป็นภูเขาลูกโดด สูงจากพื้นที่ราบโดยรอบ ประมาณ 50-120 เมตร เเละห่างจากเทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งเป็นพรมแดนเเละระหว่างไทยกับกัมพูชา มาทางทิศเหนือ ระยะทางเพียง 30 กิโลเมตร เท่านั้น ทั้งนี้โบราณสถานปราสาทภูฝ้าย คงเป็นศาสนสถานประจำชุมชน ผลจากการขุดเเต่งศึกษาปราสาทภูฝ้าย ในปี 2556 สามารถกำหนดอายุสมัย เเละรูปแบบการใช้งานโบราณสถานปราสาทภูฝ้าย ได้ดังนี้           ปราสาทประธาน สร้างด้วยอิฐ และศิลาเเลง อยู่ในผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพิ่มมุม มีขนาดด้านละ 7.20 เมตร สร้างบนลานหินธรรมชาติของภูฝ้าย ปัจจุบันหลงเหลือเฉพาะส่วนฐานรองรับเรือนธาตุ ซึ่งก่อด้วยศิลาเเลง สูงจากพื้นดิน ประมาณ 1.75 เมตร มีศึกษาเปรียบเทียบกับปราสาทหลังอื่นๆ พบว่า แผนผังเรือนธาตุของปราสาทภูฝ้าย มีลักษณะคล้ายกับปราสาทเนียงเขมา กลุ่มโบราณสถานเกาะเเกร์ ปราสาทมีชัย อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ (ศิลปะเขมรเเบบแปรรูป พ.ศ.1487- 1511) และปราสาทเบง อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ (ศิลปะเขมรแบบบันทายสรี พ.ศ.1511-1544) จากรายงานฉบับดังกล่าว จึงกำหนดให้ ปราสาทภูฝ้าย น่าจะมีอายุอยู่ในช่วง กลางพุทธศตวรรษที่ 15 - กลางพุทธศตวรรษที่ 16           อีกไฮไลต์ สำคัญ ของปราสาทภูฝ้าย คือ ภาพสลักทับหลังพระวิษณุอนันศายินปัทมนาภะ (นารายณ์บรรทมสินธุ์) ปัจจุบันไม่ได้ติดกับตัวปราสาท เเต่เก็บรักษาไว้ ณ วัดสุพรรณรัตน์ (วัดบ้านพราน) ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ           แม้ว่าร่องรอยหลักฐานของภูฝ้าย จะหลงเหลือไม่มากนัก เเต่ด้วยทำเลที่ตั้ง ซึ่งสร้างปราสาทอยู่บนเขาลูกโดด ในฐานะ ศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ของชุมชน เเละเป็นสถาปนาภูเขานี้เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในลักษณะเดียวกันนี้ ยังปรากฏให้เห็นในหลายแห่ง อาทิ ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทปลายบัด 1 ปราสาทปลายบัด 2 และปราสาทเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาลูกโดด ด้วยเช่นกัน----------------------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล :  นายวรรณพงษ์ ปาละกะวงษ์ ณ อยุธยา นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา ----------------------------------------------------------แหล่งข้อมูลอ้างอิง - ห้างหุ้นส่วนจำกัดศรีกุรุเกษตร. รายงานผลการปฏิบัติงาน โครงการขุดแต่งเเละจัดทำผังรูปแบบเพื่อการบูรณะโบราณสถานปราสาทภูฝ้าย ตำบลภูฝ้าย อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ. ม.ป.พ. . 2556.


เลขทะเบียน: กจ.บ.261/1:1ก, กจ.บ.262/1.,กจ.บ.263/1.,กจ.บ.264/1.ชื่อเรื่อง: ฌาปนกิจจานิสงสกถา,พระอานิสงส์สลากภัตตาทาน,กฐินทานานิสงฆ์,พระอานิสงส์ทำบุญ 7วันข้อมูลลักษณะ: อักษรขอม ภาษาบาลี-ไทย เส้นจาร ฉบับล่องชาด ประวัติ : ได้มาจากวัดทุ่งสมอ ต.ทุ่งสมอ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี (กจ.บ.261/1:1ก จำนวน 1คัมภีร์ 2 ผูก ,กจ.บ.262/1.จำนวน1คัมภีร์1ผูก กจ.บ.263/1 จำนวน1คัมภีร์1ผูก กจ.บ.264/1.จำนวน1คัมภีร์1ผูก)จำนวนหน้า: 184 หน้า



           นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยสถานการณ์ล่าสุดหลังเกิดน้ำท่วมอย่าง ฉับพลันในหลายพื้นที่ ซึ่งกรมศิลปากรได้เน้นย้ำให้หน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศ บูรณาการร่วมกับหน่วยงานใน จังหวัด ปกป้องโบราณสถานสำคัญและรายงานสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง น้ำไม่ท่วมโบราณสถาน แหล่งมรดกโลกสุโขทัย – ศรีสัชนาลัย – กำแพงเพชร            สำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย รายงานพื้นที่แหล่งมรดกโลก ได้แก่ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย, อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย และอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ซึ่งอยู่ในพื้นที่บริเวณประเทศไทยตอนบนที่ได้รับอิทธิพลพายุโซนร้อนเตี้ยนหมู่ทำให้มีปริมาณน้ำฝนสะสมเป็นจำนวนมากและเกิดน้ำท่วมขังรอการระบายภายในบริเวณโบราณสถาน ปัจจุบันภาพรวมของสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย เนื่องจากปริมาณฝนตกสะสมลดน้อยลง ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยพบว่า มีปริมาณน้ำฝนที่ท่วมขังไม่มากนักรอการระบายออกจากพื้นที่ ส่วนอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรได้รับผลกระทบจากพายุฝน มีต้นไม้บางส่วนล้มทับทำให้โบราณสถานเสียหายเล็กน้อย ได้แก่ แนวกำแพงศิลาแลงวัดพระนอน และป้อมทุ่งเศรษฐีซึ่งมีน้ำฝนที่ท่วมขังรอการระบาย อย่างไรก็ตาม การเดินทางท่องเที่ยวในเขตอุทยานประวัติศาสตร์ทั้ง ๓ แห่ง นักท่องเที่ยวยังคงสามารถเดินทางมาเที่ยวชมโบราณสถานภายในเขตอุทยานประวัติศาสตร์ได้ตามปกติภาพที่ ๑ - ๓ : อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยภาพที่ ๔ - ๖ : อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา           พื้นที่นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ถือว่ามีความเสี่ยงระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อ ประเมินแล้วพบว่าจะมีผลกระทบกับโบราณสถานที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำบริเวณภายในและภายนอกเกาะเมืองทั้งหมด ดังเช่น วัดเชิงท่า วัดธรรมาราม วัดกษัตราธิราชวรวิหาร วัดไชยวัฒนาราม ป้อมเพชร บ้านโปรตุเกสและบ้านฮอลันดา ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ ๑๗ กันยายน ที่ผ่านมา กรมศิลปากรจึงติดตั้งแผงป้องกันน้ำในจุดแรกคือวัดไชยวัฒนาราม เนื่องจาก เป็นพื้นที่ที่มีระดับต่ำสุด และดำเนินการในโบราณสถานอื่นๆ ตามลำดับ          ล่าสุดเมื่อเวลา ๐๖.๐๐ น. ของวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๔ เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำท้ายเขื่อน ๒,๗๔๙ ลบ.ม. ต่อวินาที ทำให้ขณะนี้ระดับน้ำสูงกว่าสันเขื่อนแล้วในโบราสถานบางแห่ง เช่น วัดไชยวัฒนารามและวัดธรรมาราม ในระดับ ๓๐ - ๔๐ เซนติเมตร อย่างไรก็ตามแผงป้องกันน้ำของโบราณสถานทั้งสองแห่งสามารถป้องกันน้ำได้ถึงระดับ ๒ - ๒.๕ เมตร ต่อจากนี้กรมศิลปากรได้มีการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดเตรียมกำลังคนและวัสดุอุปกรณ์ โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เช่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา องค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เทศบาลฯ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดพระนคร ศรีอยุธยา ฯลฯ ภาพที่  ๗ - ๙ : วัดธรรมาราม จ.พระนครศรีอยุธยาภาพที่ ๑๐ - ๑๑ : วัดไชยวัฒนาราม จ.พระนครศรีอยุธยาผลกระทบจากอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกรตอนล่างเสียหายในพื้นที่ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา          เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายนที่ผ่านมา เกิดเหตุการชำรุดของเขื่อนลำเชียงไกรตอนล่าง ทำให้มวลน้ำ จำนวนมากเริ่มไหลทะลักลงมายังพื้นที่ท้ายเขื่อน บางส่วนของอำเภอเมือง อำเภอโนนไทย อำเภอโนนสูง อำเภอ พิมาย ทำให้เกิดผลกระทบอย่างต่อเนื่องกับโบราณสถาน และแหล่งเรียนรู้ของกรมศิลปากรในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา โดยปริมาณน้ำในแม่น้ำมูลได้เพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว และเริ่มเอ่อล้นเข้าในพื้นที่ของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย มากขึ้น ทำให้สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา ต้องเร่งบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานในสังกัดและส่วนราชการต่างๆ เพื่อป้องกันน้ำท่วม โดยระดมเจ้าหน้าที่ทั้งจากสำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย หน่วยทหารจากกรมทหารช่างที่ ๒ ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ และจิตอาสาพระราชทาน ๙๐๔ ชุดปฎิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติ อบต.กระชอนและตำบลชีวาน กว่า ๕๐ ชีวิต เร่งวางแนวกระสอบทรายเพื่อเสริมความสูงของแนวกระสอบทรายบริเวณริมตลิ่งด้านหลังพิพิธภัณฑ์ที่ติดกับแม่น้ำมูล ซึ่งมีระยะทางยาวกว่า ๑๘๐ เมตร โดยในขณะนี้สามารถวางแนวกระสอบทรายได้ที่ความสูงเหนือจากพื้นตลิ่งโดยเฉลี่ยประมาณ ๖๐ - ๗๐ เซนติเมตร ตลอดแนวความยาวตลิ่ง ทำให้ปัจจุบันระดับน้ำในแม่น้ำมูลยังอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดของแนวกระสอบทรายประมาณ ๓๐ – ๔๐ เซนติเมตร นอกจากนี้ ยังทำการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อคอยสูบน้ำที่ซึมเข้ามาตามแนวท่อ และพื้นของสนามที่อยู่ติดริมแม่น้ำมูล อีก ๒ เครื่อง โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยควบคุมตลอด ๒๔ ชั่วโมง รวมถึงยังมีการเสริมแนวกระสอบทรายเพื่อป้องกันโดยรอบตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ บริเวณทางเข้าออก เตรียมการขนย้ายเอกสาร หนังสือ และสิ่งของสำคัญภายในอาคารพิพิธภัณฑ์อีกด้วยภาพที่ ๑๒ - ๑๕ : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย          ด้านอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย ขณะนี้สถานการณ์โดยทั่วไปเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ เนื่องจาก ช่วง ๒ – ๓ วันที่ผ่านมา สภาพอากาศปลอดโปร่งและไม่มีฝนตก ทำให้ไม่มีปัญหาน้ำท่วมขัง แต่อย่างไรก็ดีทางอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำประจำจุดเสี่ยงในบริเวณโดยรอบปราสาทพิมาย เพื่อเตรียมการรองรับสถานการณ์หากเกิดฝนตกติดต่อกันหลายวัน นอกจากนี้ยังได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อเตรียมพร้อมและติดตามสถานการณ์ตลอด ๒๔ ชั่วโมง อีกจุดหนึ่งที่สำคัญของพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย คือบริเวณประตูเมืองด้านทิศเหนือ หรือประตูผี ซึ่งติดกับคลองคูเมืองพิมาย และแนวของลำน้ำมูลเก่า ทางอุทยานประวัติศาสตร์พิมายได้จัดวางแนวกระสอบทรายสูงประมาณ ๖๐ – ๗๐ เซนติเมตร ตลอดความยาวแนวประตูเพื่อป้องกันน้ำเอ่อล้นเข้ามาในพื้นที่ของเมืองพิมาย ซึ่งในปัจจุบันระดับน้ำยังคงอยู่ต่ำกว่าแนวกระสอบทรายที่จุดสูงสุดอยู่มาก          สำหรับโบราณสถานท่านางสระผม และที่ตั้งของสำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่ง ลำน้ำเค็ม ทางทิศใต้ของประตูชัย ห่างจากตัวปราสาทพิมายประมาณ ๑ กิโลเมตร เหนือขึ้นไปจากจุดที่เป็นที่ตั้งโบราณสถานท่านางสระผม และสำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา ประมาณ ๕๐๐ เมตร เป็นประตูระบายน้ำ ลำน้ำเค็มของกรมชลประทาน ซึ่งลำน้ำเค็มนี้เป็นลำน้ำสาขาที่เชื่อมต่อกับลำจักราช และแม่น้ำมูล ทำหน้าที่รับน้ำ ที่ระบายมาจากอ่างลำเชียงไกรล่างที่อยู่ตอนบนเป็นระยะ ทำให้ขณะนี้พื้นที่บริเวณนี้มีความเสี่ยงจากระดับน้ำของลำน้ำเค็มที่เพิ่มสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา และบางส่วนของโบราณสถานท่านางสระผมก็เริ่มถูกน้ำท่วมบ้างแล้ว จึงได้เริ่มตั้งแนวกระสอบทรายตลอดแนวอาคารสำนักงาน และบ้านพักเจ้าหน้าที่ รวมถึงเริ่มมีการขนย้ายวัสดุ อุปกรณ์ ครุภัณฑ์ ตลอดจนเอกสารต่างๆ ขึ้นที่สูงเพื่อเป็นการระวังป้องกันน้ำที่อาจจะเอ่อล้นตลิ่งขึ้นมาได้ตลอดเวลา พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ คอยเฝ้าระวังระดับน้ำอยู่ตลอดเวลา



ชื่อเรื่อง                                มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาตก) ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (หิมพานต์-นครกัณฑ์) สพ.บ.                                  415/4ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           38 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 56.5 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           เทศน์มหาชาติ                                           คาถาพัน                                           ชาดก บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ-ลานดิบ-ล่องชาด  ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


เลขทะเบียน : นพ.บ.178/3กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  44 หน้า ; 4 x 51.5 ซ.ม. : ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 101 (80-85) ผูก 3ก (2565)หัวเรื่อง : สังฮอมธาตุ--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ปพฺพชฺชานิสํสกถา (ปพฺพชฺชานิสํสงฺข)  ชบ.บ.53/1-1ข  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง                                สลากริวิชาสุตฺต (สลากวิชาสูตร) สพ.บ.                                  319/2 ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลาน หมวดหมู่                               พุทธศาสนา ลักษณะวัสดุ                           28 หน้า กว้าง 5.5 ซม. ยาว 58 ซม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                            บทคัดย่อ/บันทึก           เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


เลขทะเบียน : นพ.บ.273/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 38 หน้า ; 5 x 57.5 ซ.ม. : ชาดทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 117  (232-239) ผูก 2 (2565)หัวเรื่อง : สุรินทชมพู--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


          ศิลปะทวารวดี จัดเป็นศิลปกรรมต้นอารยธรรมสมัยประวัติศาสตร์ที่มีพัฒนาการ อย่างต่อเนื่อง ณ บริเวณลุ่มน้ําเจ้าพระยา ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๖ บรรดาโบราณ วัตถุ ศิลปวัตถุ และโบราณสถาน ส่วนใหญ่ล้วนสร้างขึ้นเนื่องในพุทธศาสนาลัทธิหินยาน หากแต่ยังปรากฏหลักฐานการนับถือศาสนาพุทธลัทธิมหายานและฮินดูรวมอยู่ด้วย อิทธิพล ของศิลปวัฒนธรรมทวารวดีได้แพร่ขยายไปยังภูมิภาคอื่น ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ และภาคใต้ จึงอาจกล่าวได้ว่าศิลปะทวารวดี คือ “ต้นกําเนิดพุทธศิลป์ใน สยามประเทศ”           แต่เดิมการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับวิวัฒนาการของศิลปะทวารวดีมักให้ความสําคัญต่อ กลุ่มพระพุทธรูปเป็นหลัก เนื่องจากมีการค้นพบเป็นจํานวนมาก อีกทั้งยังบ่งบอกถึงการ รับนับถือพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทในวัฒนธรรมทวารวดีได้เป็นอย่างดี แม้จะมีการค้นพบ หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาลัทธิมหายาน และศาสนาฮินดูปะปนอยู่บ้างแต่มีจํานวน ไม่มากนัก โดยทั่วไปมักจัดแบ่งกลุ่ม และยุคสมัย พระพุทธรูปศิลปะทวารวดีออกเป็น ๓ กลุ่มตามอายุสมัย ดังนี้               - ศิลปะทวารวดีตอนต้น อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๓ จัด เป็นพระพุทธรูประยะแรกของทวารวดีและพุทธศิลปะที่ปรากฏบนผืนแผ่นดินไทย ได้รับ อิทธิพลจากพระพุทธรูปศิลปะอินเดียแบบอมราวดี คุปตะ - หลังคุปตะ               -  ศิลปะทวารวดีตอนกลาง อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ – กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๕ เป็นกลุ่มพระพุทธรูปมีลักษณะผสมผสานระหว่างอิทธิพลอินเดียแบบหลังคุปตะ แบบปาละ และอิทธิพลพื้นเมือง จัดเป็นกลุ่มพระพุทธรูปเอกลักษณ์ศิลปกรรมสมัยทวารวดี เป็นแบบ ที่พบมากที่สุด               - ศิลปะทวารวดีตอนปลาย อายุราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๖ จัดเป็นรุ่นสุดท้าย ของศิลปะทวารวดี ได้รับอิทธิพลจากศิลปะขอมแบบบาแก๊ง และแบบบาปวน  


          วันเสาร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์พุทธศักราช ๒๕๖๕ เวลา ๑๐.๓๐ น. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ วัดเกษมสรณาราม (วัดบางจาก) และวัดบางใหญ่ ในเขต จ.สมุทรสงคราม โดยมีนางศาริสา จินดาวงษ์ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี รายงานความเป็นมา ความคืบหน้าในการบูรณะพร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องร่วมลงพื้นที่ และให้การต้อนรับ ทั้งนี้ท่านอธิบดีได้ให้แนวทาง ทิศทางในการปฏิบัติภารกิจต่างๆ ในการดำเนินงานให้ได้ประโยชน์ประสิทธิภาพ ร่วมกันกับชุมชนทั้งสองฝ่าย



ประเวศ  ศรีพิพัฒน์.  เบนจามิน แฟรงคลิน (เด็กเรียงพิมพ์).  พระนคร: ไทยวัฒนาพานิช, 2505.         เบน แฟรงคลิน (เด็กเรียงพิมพ์)  มีชื่อเต็มว่า เบนจามิน  แฟรงคลิน   เป็นนักการค้า  นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์  นักการทูต ฯลฯ   ด้วยคยวามมาะจากชีวิตเด็กเรียงพิมพ์ที่ยากจนจึงได้พาตัวเองขึ้นสู่ความเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ที่มั่งคั่งสร้างสาธารณประโยชน์แก่สังคมอีกมาก            บทที่ 1 ในบอสตันที่หน้าบ้านหนึ่งมีลูกกลมสีน้ำเงินแขวนอยู่และเขียนชื่อโจเซียห์  แฟรงคลิน  แขวนไว้ที่หน้าบาน ตอนนี้เบนจามินอายุ 8 ขวบ แต่เป็นเด็กที่ฉลาดอยากไปเที่ยวบ้านอินเดียแดง แต่แม่ห้ามไว้           บทที่ 2 ครอบครัวเริ่มรู้ว่าเบนชอบอ่านหนังสือและชอบเล่าเรื่องจากหนังสือพ่อเริ่มสนใจในตัวเบน และส่งเบนเรียนหนังสือตั้งความหวังจะให้เบนทำการค้า           บทที่ 3 ครอบครัวผลัดเปลี่ยนกันเล่าเรื่องเล่านิทานให้สมาชิกฟัง เมื่อถึงเบนเล่าเขาก็เล่าอย่างเป้นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับตัวละครที่เขาสมมุติขึ้นมาชื่อว่า เอบีเนเซอร์ ซีเวอร์ ที่อยากให้ยายอยู่ด้วย           บทที่ 4 เป็นเรื่องการเรียนรู้มารยาทบนโต๊ะอาหารที่เบนทำผิดพลาดเมื่อตั้งข้อสงสัยว่า”ข้าวใสไป” และเรื่องความกลัวที่เกิดขึ้นในห้องนอนที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพ่ออย่างเคร่งครัด           บทที่ 5 เมื่อพ่อเชิญแขกมาเป็นครู่ที่บ้าน เบนต้องเรียรียนรู้ว่าพ่อค้าต้องมีความซื่อสัตย์       ชาวนาสอนให้มีความขยัน   เศรษฐีสอนให้มัธยัสถ์และรู้จักประหยัดเวลา ให้ตื่นเช้านอนดึก           บทที่ 6 พ่อสีไวโอลินและร้องเพลงให้ลูก ๆ ฟัง           บทที่ 7 แม่เล่าว่าคุณตาปีเตอร์เก่งเรื่องเย็บผ้า  หาปลาวาฬ เป็นครู ทำธุรกิจโรงสี เก่งภาษาอินเดียแดงพูดให้คนอินเดียแดงไม่ฆ่าพวกผิวขาวได้ แล้วก็สุดท้ายคุณตาได้เป็นช่างรังวัด เบนจึงตั้งความฝันว่าจะเก่งเหมือนคุณตา           บทที่ 8 เบนได้เข้าเรียนโรงเรียนผู้ชายล้วน เบนท่องนิทานเรื่องหมากับเงาได้ มีเพื่อสนิทชื่อ นาธาน มอร์ส อายุแก่กว่าเบน 3 ปี ท่องนิทานเรื่อง หมาป่ากับลูกแกะได้ เมื่อวันที่ผู้ว่าราชการแวะมาเยี่ยมเยียนเกิดความโกลาหลเมื่อครูประกาศให้ชื่อนิทานที่เด็กทั้งสองต้องท่องให้ฟังสลับกัน           บทที่ 9 เบนเริ่มเรียนรู้ที่จะเอาชนะชีวิตด้วยการฝึกว่ายน้ำและว่ายเก่งด้วย           บทที่ 10 เบนเริ่มคิดที่จะใช้เครื่องทุนแรงในการว่ายน้ำด้วยการทำพายที่เบาและแข็งแรง และก็ประดิษฐ์สำเร็จและประดิษฐ์สิ่งอื่น ๆ ก็ตามมา           บทที่ 11 เบนเป็นที่รู้จักของนักหนังสือพิมพ์ว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลก           บทที่ 12 เบนสร้างเรือบตและนำเรือล่องสู่ในทะเลกลับเข้าฝั่งสำเร็จ           บทที่ 13 เบนเริ่มเรียนการค้าขายด้วยการค้าเทียนไข           บทที่ 14 เบนต้องทำสัญญาจ้างเป็นเด็กเรียงพิมพ์           บทที่ 15 เบนหาหนังสือที่อ่านมาอ่านจนดึก และบอกพี่ชายคือเจมส์ที่เบนไปทำงานด้วยบอกว่าอยากมีเงินซื้ออาหารกินเอง และแบ่งเงินที่เหลือไปซื้อหนังสือมาอ่าน           บทที่ 16 เบนเริ่มเขียนเรื่องตลก โดยสมมุติให้ตนเองเป็นคุณนิ่ง ทำความดี และแอบสอดไว้ที่ประตูโรงพิมพ์ และได้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์คูแรนต์โดยไม่มีใครรู้ว่าเป็นเรื่องของเบน           บทที่ 17 เจมส์ประกาศให้คุณนายนิ่ง (เรื่องของเบน)  ส่งมาตีพิมพ์อีกบ่อย และประชาชนเรียกร้องให้คุณนายนิ่ง ทำความดีมากขึ้น  และความลับก็ถูกเปิดเผยเจมส์ถึงกับตกตะลึงนึกไม่ถึงว่าคุณนายนิ่ง ทำความดีคือเบนนั่นเอง  เบนจึงนำต้นฉบับที่เขียนมาให้เจมส์ดู           บทที่ 18 เบนเริ่มมทีปัญหากับเจมส์ผู้เป็นพี่ชาย แต่ก็อดทนไม่ยอมไปทำอาชีพกะลาสีและสุดท้ายเขาก็หนีจากเจมส์แล่นเรือไปสู่เมืองใหม่           บทที่ 19 ทุกคนออกตามหาเบนและเบนได้ไปทำงานในโรงพิมพ์ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย และมีชีวิตที่ดีขึ้น มีอาหาร เสื้อผ้า นาฬิกา           บทที่ 20 หลายปีผ่านไปเบนมีโรงพิมพ์เป็นของตนเอง ได้ทำงานให้กับประเทศชาติและในวันที่เขาเดินทางกลับจากฝรั่งเศส เขาได้รับการต้อนรับด้วยการยิงปืนเสียงดังพร้อมเสียงตีระฆังที่ยิ่งใหญ่ เขาอุทิศตนเพื่อชาติและทรัพย์สินเพื่อการกุศลมากมาย  


black ribbon.