ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,826 รายการ

ผู้แต่ง : ชฎารัตน์ สุนทรธรรม ปีที่พิมพ์ : 2541 สถานที่พิมพ์ : เชียงใหม่ สำนักพิมพ์ : นันทกานต์ กราฟฟิค      ศิลปะการแต่งกาย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามวิถีชีวิตของชาวเชียงใหม่ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เช่น ภาพจิตรกรรมฝาผนังวิหารลายคำ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร และรูปแบบการแต่งกายของเจ้านายฝ่ายเหนือในอดีต แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการการแต่งกายของชาวล้านนา ที่มีการเปลี่ยนแปลงมาตามยุคสมัยจนถึงปัจจุบัน และด้วยความวิริยะอุตสาหะของผู้รู้ นักวิชาการที่สนใจหลายท่านได้พยายามศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบการแต่งกายแบบพื้นเมืองเชียงใหม่ และได้ดำเนินการรณรงค์การแต่งกายอย่างถูกต้องและเหมาะสมมาโดยตลอด


ขั้นตอนการส่งมอบเอกสารประวัติศาสตร์และขอทำลายเอกสารราชการ           การส่งมอบเอกสารประวัติศาสตร์และการทำลายข้อมูลข่าวสารของราชการที่ไม่มีคุณค่า ถือเป็นขั้นตอนสำคัญ ในปัจจุบันหน่วยงานของรัฐจัดทำข้อมูลข่าวสารของราชการเพื่อใช้ในการปฏิบัติงานในวันหนึ่งๆ เป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจำเป็นที่หน่วยงานของรัฐต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลข่าวสารของราชการอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติงาน โดยเริ่มตั้งแต่การควบคุมการผลิตข้อมูลข่าวสารของราชการเท่าที่จำเป็น พร้อมทั้งจัดให้มีระบบการจัดเก็บข้อมูลข่าวสารของราชการที่ดี สามารถค้นหาข้อมูลข่าวสารของราชการที่หมดความจำเป็นต้องเก็บรักษาไว้เพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน และสามารถคัดเลือกเอกสารประวัติศาสตร์เพื่อส่งมอบให้หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ตลอดจนคัดเลือกเอกสารที่ไม่มีคุณค่าเพื่อขออนุมัติทำลายตามที่กฎหมายและระเบียบกำหนดได้อย่างเป็นระบบ           เพื่อประสิทธิภาพในการบริหารงาน หน่วยงานของรัฐควรสำรวจข้อมูลข่าวสารของราชการที่หน่วยงานของรัฐไม่ประสงค์จะเก็บรักษา เนื่องจากหมดความจำเป็นในการปฏิบัติงานและครบอายุการเก็บตามที่กฎหมายและระเบียบได้กำหนดไว้ โดยสำรวจทุกปีอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรืออย่างน้อยทุก 6 เดือน ในกรณีข้อมูลข่าวสารลับ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของหัวหน้าหน่วยงานของรัฐว่าจะดำเนินการสำรวจข้อมูลข่าวสารราชการในครั้งเดียวให้เสร็จสิ้นทั้งหน่วยงานหรือทยอยสำรวจทีละสำนัก กอง ฝ่าย งาน ก็ได้           การสำรวจข้อมูลข่าวสารของราชการที่หน่วยงานของรัฐไม่ประสงค์จะเก็บรักษาเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยลดภาระการจัดเก็บและสถานที่เก็บ ตลอดจนการสิ้นเปลืองงบประมาณและบุคลากรโดยไม่จำเป็น หากหน่วยงานของรัฐดำเนินการสำรวจข้อมูลข่าวสารของราชการที่ครอบครองอยู่อย่างสม่ำเสมอ จะเป็นการเพิ่มประสิทธิ์ภาพการทำงานและช่วยให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีแก่สถานที่ทำงานด้วย           ในปัจจุบัน หน่วยงานของรัฐหลายแห่งไม่ได้ดำเนินการสำรวจข้อมูลข่าวสารของราชการที่หมดความจำเป็นในการใช้ปฏิบัติงานและครบอายุการเก็บตามที่กฎหมายและระเบียบได้กำหนดไว้ อาจเนื่องมาจากประเด็นปัญหาดังต่อไปนี้ กฎหมายที่เกี่ยวกับการส่งมอบเอกสารประวัติศาสตร์ไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งมอบเอกสารประวัติศาสตร์ให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติ หัวหน้าหน่วยงานของรัฐไม่ให้ความสำคัญกับการจัดเก็บข้อมูลข่าวสารของราชการและไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องการส่งมอบเอกสารประวัติศาสตร์ให้หอจดหมายเหตุแห่งชาติ หน่วยงานของรัฐไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบการจัดเก็บข้อมูลข่าวสารของราชการโดยเฉพาะ และเจ้าหน้าที่ผู้ได้รับมอบหมายขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บข้อมูลข่าวสารของราชการ รวมถึงไม่ทราบอายุการเก็บข้อมูลข่าวสารของราชการแต่ละประเภท จึงไม่กล้าตัดสินใจด้วยเกรงความผิด ตลอดจนไม่เข้าใจขั้นตอนการดำเนินการที่ถูกต้อง           ดังนั้น นับจากวันที่ 1 มกราคม ของทุกปี หน่วยงานของรัฐควรสำรวจข้อมูลข่าวสารของราชการที่หน่วยงานไม่ประสงค์จะเก็บรักษา เนื่องจากไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เพื่อการปฏิบัติงาน เพื่อคัดแยกและจัดการข้อมูลข่าวสารของราชการที่หมดความจำเป็นต้องใช้เพื่อการปฏิบัติงานออกไปจากวัสดุครุภัณฑ์ที่เก็บเดิม และเพื่อเป็นการจัดเตรียมวัสดุครุภัณฑ์ที่มีอยู่ให้พร้อมสำหรับจัดเก็บข้อมูลข่าวสารของราชการที่จะจัดทำขึ้นหรือรับไว้เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานในปีปัจจุบันต่อไป           อย่างไรก็ตาม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐมีแนวทางปฏิบัติที่สามารถดำเนินการส่งมอบเอกสารประวัติศาสตร์และทำลายข้อมูลข่าวสารของราชการที่ไม่มีคุณค่า จึงสรุปขั้นตอนการดำเนินการโดยประมวลจากกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้ดังนี้              1. ภายใน 60 วันหลังสิ้นปีปฏิทิน ให้หน่วยงานสำรวจข้อมูลข่าวสารที่ไม่ประสงค์จะเก็บรักษาและครบอายุการเก็บ โดยพิจารณาจากกฎหมาย ระเบียบ หนังสือเวียน ตารางกำหนดอายุเอกสาร ความจำเป็นในการใช้งาน ฯลฯ           2. จัดทำบัญชีสำรวจ อาทิ บัญชีเอกสารประวัติศาสตร์ บัญชีเอกสารสำรวจข้อมูลข่าวสารที่ไม่ประสงค์จะเก็บรักษา บัญชีสำรวจข้อมูลข่าวสารครอบอายุการเก็บ 75 ปี บัญชีสำรวจข้อมูลข่าวสารลับ ฯลฯ           3. เสนอผลการสำรวจให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐพิจารณา           4. แต่งตั้งคณะกรรมการทำลายเอกสาร อย่างน้อย 3 คน         4.1 กรณีข้อมูลข่าวสารปกติ           ให้แต่งตั้งข้าราชการระดับปฏิบัติการหรือปฏิบัติงานขึ้นไป ประกอบด้วย ประธาน 1 คน และกรรมการอย่างน้อย 2 คน มีหน้าที่           -พิจารณารายการตามบัญชีสำรวจเอกสารประวัติศาสตร์และบัญชีสำรวจข้อมูลข่าวสารที่ไม่ประสงค์จะเก็บรักษา           -พิจารณาขอขยายเวลาเก็บรักษา           -พิจารณาขอทำความตกลงทำลายข้อมูลข่าวสารที่ไม่มีคุณค่า           -รายงานผลการพิจารณาต่อหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ เพื่อพิจารณาสั่งการ           -ควบคุมการส่งมอบเอกสารประวัติศาสตร์           -ควบคุมการทำลายข้อมูลข่าวสารที่ไม่มีคุณค่า               4.2 กรณีข้อมูลข่าวสารลับ           ให้แต่งตั้งนายทะเบียนข้อมูลข่าวสารลับเป็นประธานกรรมการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง 2 คน เป็นกรรมการ มีหน้าที่           -พิจารณารายการตามบัญชีสำรวจข้อมูลข่าวสารลับ ข้อมูลข่าวสารครบอายุเก็บ 75 ปี ข้อมูลข่าวสารครบอายุเก็บ 20 ปี           -พิจารณาขอขยายเวลาเก็บรักษา           -พิจารณาขอทำความตกลงเพื่อจัดเก็บเอกสาร           -พิจารณาขอขยายเวลาไม่เปิดเผยเอกสาร           -รายงานผลการพิจารณาต่อหัวหน้าหน่วยงานของรัฐเพื่อพิจารณาสั่งการ           -ควบคุมการส่งมอบเอกสารประวัติศาสตร์           -ควบคุมการทำลาย           -จดแจ้งในทะเบียนควบคุมข้อมูลข่าวสารลับ           -จัดทำใบรับรองการทำลายข้อมูลข่าวสารลับเก็บรักษาไว้ 1 ปี           -รายงานผลการทำลายให้หัวหน้าหน่วยงานทราบ               5. คณะกรรมการทำลายเอกสารพิจารณาตามรายการในบัญชี6. หัวหน้าหน่วยงานของรัฐพิจารณาสั่งการ    6.1 พิจารณาตามรายงานที่คณะกรรมการเสนอ (กรณีข้อมูลข่าวสารปกติ)           -เห็นชอบให้ส่งมอบเอกสารประวัติศาสตร์           -เห็นชอบให้ทำลาย           -ไม่เห็นชอบ สั่งขยายเวลาเก็บรักษา           -เห็นชอบให้ทำความตกลงการทำลายเป็นหลักการ          6.2 พิจารณาตามรายงานที่คณะกรรมการเสนอ (กรณีข้อมูลข่าวสารลับ)           -เห็นชอบให้ทำลาย           -ไม่เห็นชอบ สั่งขยายเวลาเก็บรักษา           -ไม่เห็นชอบ สั่งขยายระยะเวลาแบบไม่เปิดเผย           -เห็นชอบให้ทำความตกลงการทำลายเป็นหลักการ           -เห็นชอบให้ทำความตกลงของเก็บรักษาไว้เอง และไม่ให้บริการค้นคว้าแก่ประชาชน             7. กรณีพิจารณาเห็นชอบให้ส่งมอบเอกสารประวัติศาสตร์หรือเห็นชอบให้ทำลาย ให้ส่งบัญชีสำรวจข้อมูลข่าวสารของราชการที่ไม่ประสงค์จะเก็บรักษา บัญชีสำรวจข้อมูลข่าวสารลับ หรือบัญชีสำรวจพร้อมเอกสารประวัติศาสตร์ ให้แก่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ           8. หอจดหมายเหตุแห่งชาติพิจารณาขอสงวนเอกสารประวัติศาสตร์หรือเห็นชอบให้ทำลาย           9. กรณีพิจารณาขอสงวน หอจดหมายเหตุแห่งชาติจะแจ้งให้หน่วยงานส่งมอบเอกสารประวัติศาสตร์ โดยหลังรับเอกสารประวัติศาสตร์แล้ว จะตรวจรับและแจ้งผลให้หน่วยงานทราบ           10. คณะกรรมการทำลายเอกสารดำเนินการทำลายข้อมูลข่าวสารของราชการที่ไม่มีคุณค่าโดยการเผา ขาย หรือย่อยเป็นเศษกระดาษ กรณีเป็นเอกสารลับ ให้จดแจ้งในทะเบียนควบคุมข้อมูลข่าวสารลับ และจัดทำใบรับรองการทำลายข้อมูลข่าวสารลับ           11. รายงานผลการทำลายเอกสารให้หัวหน้าหน่วยงานทราบ   เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. 2549. การส่งมอบเอกสารประวัติศาสตร์และการทำลายข้อมูลข่าวสารของราชการที่ไม่มีคุณค่า, กรุงเทพฯ : บริษัทด่านสุทธาการพิมพ์ จำกัด.




อบรมผู้ใช้งานระบบสัมมนาออนไลน์ ในวันที่ 20 มีนาคม 2556 ตั้งแต่เวลา 9.00 - 16.00 โดยเจ้าหน้าที่บริษัท เอ็มเวิร์ค กรุ๊ป จำกัด สถานที่ : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ ติดต่อ : เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์โทรศัพท์ 02-2222222







ชื่อวัตถุ รองเท้า ทะเบียน ๒๗/๒๕/๒๕๓๖ อายุสมัย รัตนโกสินทร์ วัสดุ(ชนิด) ไม้กำมะหยี่ ดิ้นเงินและทอง ประวัติที่มา เป็นรองเท้าของมารดา คือ นางสิวโง้ยตัณฑวณิช ใช้ในการร่วมมือพิธีสำคัญรวมทั้งใส่กับชุดยะหย่า ซึ่งใช้ในงานต่างๆ สถานที่เก็บรักษา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง “รองเท้า” รองเท้ามีลักษณะเป็นร้องเท้าแตะแบบปัก มีส้นเตี้ย ส่วนหัวของรองเท้าปักด้วยกำมะหยี่ ดิ้นเงิน และดิ้นทองลายปักมีลักษณะคล้ายดอกไม้ ร้องเท้ารูปแบบนี้เรียกภาษามลายูว่า Kasutseretรองเท้ารูปแบบนี้มีพัฒนาการมาจากรองเท้าแบบปักไม่มีส้น เป็นรองเท้าที่ปักด้วยเส้นด้ายซึ่งเป็นไหมสีต่างๆ ลวดลายที่ปักเป็นลายดอกไม้และสัตว์มงคลต่างๆ เช่น ปลา ค้างคาว ผีเสื้อ เป็ด และกวาง เป็นต้น รองเท้าปักด้วยดิ้นเงินและทอง เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้หญิงชาวบาบ๋าคำว่า บาบ๋า เป็นคำที่ชาวภูเก็ตใช้เรียกลูกหลานที่เกิดจากพ่อชาวจีนและแม่ชาวพื้นเมืองโดยใช้เรียกทั้งผู้ชายและผู้หญิง ต่างจากในแถบประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งมีกลุ่มลูกผสมชาวจีนและชาวพื้นเมืองอยู่เป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับในเกาะภูเก็ต แต่ในประเทศเหล่านี้ใช้คำว่า บาบ๋า เรียก ลูกชาย และใช้คำว่า ย่าหยา เรียก ลูกสาว สำหรับรองเท้าปักรูปแบบนี้นิยมทั้งในสิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งหญิงชาวภูเก็ตคงรับความนิยมรองเท้ารูปแบบนี้มาจากแถบมะละกาและปีนัง ทั้งนี้ ในอดีตหญิงสาวที่เตรียมตัวจะออกเรือนต้องเก่งงานเย็บปักถักร้อย “รองเท้า” เป็นส่วนหนึ่งในเครื่องแต่งกายในวันแต่งงาน ซึ่งหญิงสาวต้องทำร้องเท้าเพื่อใช้สวมในงานมงคลสมรสด้วยตนเอง ร้องเท้าแตะปักด้วยดิ้นเงินและทองที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลางเก็บรักษาเป็นของนางสิวโง้ยตัณฑวณิชใช้สวมใส่ในงานพิธีสำคัญต่างๆ โดยใส่กับชุดยะหย่าร้องเท้าแตะปัก(Kasutseret) จึงเป็นตัวแทนที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมของชาวบาบ๋าภูเก็ตในเรื่องของการแต่งกายได้เป็นอย่างดี เอกสารอ้างอิง - ฤดี ภูมิภูถาวร. “ร้องเท้าเข้าชุดสะดุดสายตา,” ภูเก็ตภูมิ ๓, ๑ (เมษายน - มิถุนายน ๒๕๕๒):, ๖๔ – ๖๗. - ฤดี ภูมิภูถาวร. วิวาห์บาบ๋า. ภูเก็ต : บริษัท เวิลด์ออฟเซ็ทพริ้นติ้ง จำกัด, ๒๕๕๓.


วันศุกร์ที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ น. นักเรียนชั้นประถมศึกษาที่ ๑ โรงเรียนอนุบาลปราสาทศึกษาคาร ตำบลกังแอน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ นักเรียนจำนวน ๒๖๔ คน คุณครูจำนวน ๑๕ คน เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ โดยมี นายกรภัทร์ สุขใหญ่ พนักงานประจำพิพิธภัณฑ์ นางสาวอาภาภรณ์ เปล่งปลั่งศรี นักวิชาการวัฒนธรรม และพนักงานประจำห้องทุกคน ให้การต้อนรับและบรรยายนำชม






black ribbon.