ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ
... โบราณสถานพะเนียดคล้องช้าง เมืองลพบุรี ...
“...ราวหนึ่งในสี่ของลิเออ (๑ กิโลเมตร) จากเมืองละโว้มี เพนียดอยู่แห่งหนึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ล้อมรอบด้วยคันดินสูงเป็นที่นั่งดูของผู้ทัศนา ภายในแนวคันดินนี้มีเสาต้นใหญ่ๆ ปักลงในดิน ห่างกันชั่วระยะสองฟุต ใช้เป็นช่องสำหรับหลบออกมาของพวกนักล่าช้างเมื่อถูกช้างไล่ติดพันมา ทางด้านท้องทุ่งนั้นมีช่องทางเข้าออกใหญ่ และตรงกันข้ามด้านที่มาจากในเมืองนั้น เขาสร้างเป็นช่องทางเล็กๆ เข้าไว้เป็นทางเดินแคบๆซึ่งช้างจะผ่านไปได้โดยยาก ทางแคบนี้สิ้นสุดลงที่คอกใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งเขาใช้เป็นที่สำหรับฝึกช้างให้เชื่อง…”
จดหมายเหตุการเดินทางสู่ประเทศสยาม ของบาทหลวงตาชารด์
โบราณสถานพะเนียดคล้องช้าง ตั้งอยู่ในค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด ๗๗x๙๕ เมตร มีคันดินกว้าง ๑๐ เมตร ความสูง ๒-๓ เมตร ล้อมรอบ ทางทิศตะวันออกเว้นเป็นช่องทางเข้า-ออก ส่วนทางทิศตะวันตกเชื่อมต่อกับประตูเมืองเของเขตคูเมืองกำแพงเมืองชั้นที่ ๒ เมืองลพบุรี ซึ่งยังคงปรากฏร่องรอยของแนวกำแพงก่ออิฐถือปูน และช่องประตูที่มีเสาและบานประตูไม้เสริมความแข็งแรงด้วยหมุดเหล็ก ชาวบ้านเรียกกันโดยทั่วไปว่า “ประตูพะเนียด” ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดเกี่ยวกับประวัติการก่อสร้าง สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นก่อน พ.ศ. ๒๒๑๖ เนื่องจากจดหมายเหตุของคณะบาทหลวงฝรั่งเศสบันทึกเหตุการณ์ไว้ โดยสรุปว่า เมืองละโว้เป็นเมืองที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงโปรดการเสด็จมาประทับมากกว่าเมืองอื่นๆ พระองค์เสด็จมาประทับทุกๆ ปีคราวละ ๙-๑๐ เดือน เพื่อทรงไล่เสือและคล้องช้าง ส่วนในจดหมายเหตุการเดินทางสู่ประเทศสยามของบาทหลวงตาชารด์ ซึ่งเดินทางมากับคณะทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ในปี พ.ศ. ๒๒๒๘ ได้บันทึกเรื่องราวการจับช้างและฝึกช้างให้เชื่องซึ่งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงจัดให้ เชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์ ราชทูตฝรั่งเศสและคณะได้ชม
นอกจากนี้ในผังเมืองละโว้ Plan de la Ville de Louvo ที่มีการคัดลอกและพิมพ์เผยแพร่ต่อกันมาจากต้นฉบับแผนที่ร่างโดยเมอซิเออร์ เดอ ลามาร์ (M. de la Mare) ผู้ร่วมเดินทางมากับคณะราชทูตเชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์ เมื่อปี ๒๒๒๘ พบว่าในทางด้านทิศตะวันออกของเมืองละโว้นอกแนวกำแพงเมืองชั้นที่ ๒ บริเวณตรงกับประตูเมืองปรากฏสิ่งก่อสร้างเป็นกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ภายในมีแนวของสิ่งปลูกสร้างเป็นจุดตั้งเรียงกันผังรูปสี่เหลี่ยมซ้อนกัน ๒ ชั้น และทางด้านทิศตะวันตกในส่วนที่อยู่ถัดจาก ประตูเมืองออกไปเป็นรูปสี่เหลี่ยมซึ่งอาจจะเป็นอาคารสิ่งปลูกสร้างบางอย่าง และมีคำอธิบายเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า “ที่ที่เรานำช้างมา” และ “ไว้เก็บช้างป่า” สอดคล้องตรงกับปรากฏในแผนที่ Plan de la Ville de Louvo Demeure ordinaire des Rois de Siam ของกรมแผนที่ทหาร พิมพ์ปี ๒๔๗๗ ที่มีคำอธิบายภาษาไทยคู่กับชื่อสถานที่ต่างๆซึ่งบรรยายไว้เป็นภาษาฝรั่งเศส โดยกล่าวถึงบริเวณดังกล่าวว่า “พระเนียดเป็นที่สำหรับจับช้างป่า” ซึ่งหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับโบราณสถานพะเนียดคล้องช้างดังกล่าวนี้มีความสำคัญทางด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์เป็นอย่างสูง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเมืองลพบุรีในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ในปี ๒๕๖๓ สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี ทำการขุดตรวจทางโบราณคดีพะเนียดคล้องช้าง ประตูพะเนียด และคันดินกำแพงเมือง เมืองลพบุรี พบหลักฐานว่าการสร้างพะเนียดคล้องช้างใช้วิธีการขุดลอกหน้าดินออก เพื่อนำไปพูนเป็นแนวคันดินโดยรอบเชื่อมต่อกับแนวกำแพงเมืองชั้นที่ ๒ หลังจากนั้นจึงนำเอาเศษอิฐหักมาบดถมปรับพื้นที่ แต่ไม่พบร่องรอยของเสาตะลุง ตามที่ปรากฏหลักฐานในผังเมืองละโว้ Plan de la Ville de Louvo ของคณะราชทูตและบาทหลวงชาวฝรั่งเศส ในพะเนียดคล้องช้างมีการจัดระบบประปาวางท่อดินเผานำน้ำเข้ามาใช้ โดยมีบ่อพักน้ำก่ออิฐถือปูนมีอาคารหลังคาคลุม แนวของท่อประปาจะผ่านเข้ามาทางทิศตะวันออกของพะเนียดคล้องช้าง
การศึกษาชั้นดินทางวัฒนธรรมพบว่ามีการใช้งานพะเนียดคล้องช้าง ๒ สมัย คือ สมัยอยุธยาตอนปลาย พุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓ โบราณวัตถุที่พบได้แก่ ชิ้นส่วนภาชนะดินเผาจากแหล่งเตาแม่น้ำน้อย จังหวัดสิงห์บุรี เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ชิง ท่อดินเผา ชิ้นส่วนงาช้าง และเครื่องมือเหล็ก และสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔-๕ โบราณวัตถุที่พบได้แก่ ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจีน
ส่วนการขุดตรวจทางโบราณคดีบริเวณประตูพะเนียดและคันดินกำแพงเมือง เมืองลพบุรี พบหลักฐานว่ามีการก่อสร้างและใช้งาน ๓ ระยะ ได้แก่ สมัยแรกเริ่มกำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘-๒๐ พบร่องรอยการปักเสาระเนียดที่อาจเป็นแนวกำแพงเมืองรุ่นแรก ในระยะที่ ๒ ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๒ มีการสร้างคันดินความสูงไม่มากนักขึ้นทางทิศตะวันออกของแนวเสาระเนียดเดิม และก่อกำแพงอิฐขึ้นบนคันดิน นอกจากนี้ยังพบร่องรอยของการขุดตัดแนวคันดินและกำแพงอิฐออกไปสอดคล้องกับบันทึกในเอกสารทางประวัติศาสตร์ว่าในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิโปรดเกล้าฯ รับสั่งให้รื้อแนวกำแพงอิฐเมืองลพบุรีออก และระยะที่ ๓ รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พุทธศตวรรษที่ ๒๓) ปรากฏร่องรอยการถมดินเสริมแนวกำแพงเมืองให้มีความสูงเพิ่มขึ้น พร้อมกับการซ่อมแซมประตูและกำแพงเมืองขึ้นใหม่
ผู้เรียบเรียงข้อมูล :
นางสุริยา สุดสวาท นักโบราณคดีชำนาญการ
กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี
เอกสารประกอบ :
ตาชารด์,บาทหลวง. จดหมายเหตุการณ์เดินทางสู่ประเทศสยาม ครั้งที่ ๑ และจดหมายเหตุการณ์เดินทางสู่
ประเทศสยามครั้งที่ ๒ ของบาทหลวงตาชารด์ และภาคผนวกเรื่องไทยกับฝรั่งเศสเป็นเป็นไมตรีกัน
ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ (สันต์ ท. โกมลบุตร,ผู้แปล). นนทบุรี: สำนักพิมพ์ศรีปัญญา, ๒๕๕๑
ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟีเจอร์วัน. รายงานผลการดำเนินงานโครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถาน
ประตูเพนียดและเพนียดคล้องช้าง ณ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ตำบลทะเลชุบศร
อำเภอเมืองลพบุรี เสนอสำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม, ๒๕๖๓
เลขทะเบียน : นพ.บ.459/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 72 หน้า ; 5 x 54 ซ.ม. : ทองทึบ-ชาดทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 160 (174-182) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : มูลลกัจจาย--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.604/3 ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4 x 55 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา มีฉลากไม้ชื่อชุด : มัดที่ 193 (399-407) ผูก 3 (2566)หัวเรื่อง : อภิธัมมา--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ที่มา : https://datasipmu.finearts.go.th/academic/76
เหรียญ “ประชาธิปไตยสร้างชาติ ๒๔๘๓”เหรียญที่ระลึกในงานแสดงเศรษฐกรรม พ.ศ. ๒๔๘๓ เหรียญ “ประชาธิปไตยสร้างชาติ ๒๔๘๓” เป็นเหรียญกลม ด้านหน้าของเหรียญเป็นรูป อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พร้อมข้อความ “๒๔๘๓” และ “ประชาธิปไตยสร้างชาติ” ด้านหลังมีข้อความว่า “ที่ระลึกในงานแสดงเศรษฐกรรม พ.ศ.๒๔๘๓ ให้ไว้แก่คณะกรมการจังหวัดน่าน” ล้อมรอบด้วยพวงมาลัยลอเรล ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะ และยังมีความหมายเกี่ยวข้องกับความเป็นอมตะ ความบริสุทธิ์ของพิธีกรรม ความเจริญรุ่งเรือง และสุขภาพ. ขนาดของเหรียญ เส้นผ่านศูนย์กลาง ๕.๕ เซนติเมตร หนา ๐.๒ เซนติเมตร เดิมเป็นของคณะกรมการจังหวัดน่าน มอบให้. รูปแบบของเหรียญสันนิษฐานว่าได้ต้นแบบมาจาก “เหรียญสร้างชาติ” ที่สร้างเพื่อฉลองวันชาติ และพร้อมกับการทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งกระทำขึ้นในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๓ เป็นรูปใบเสมา มีห่วง ด้านหน้าของเหรียญเป็นรูปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อยู่เหนือพื้นธงชาติ ด้านหลังเขียนข้อความว่า “สร้างชาติ” หน่วยงานที่ออกแบบเหรียญคือกองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร จัดทำขึ้นเพื่อแจกข้าราชการพลเรือนสามัญ ข้าราชการพลเรือนวิสามัญ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ นักเรียน โรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนราษฎร์ โรงเรียนเทศบาล สมาชิกสภาจังหวัด สมาชิกสภาเทศบาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และแพทย์ประจำตำบล. งานแสดงเศรษฐกรรม สันนิษฐานว่า คือ งานการแสดงกสิกรรมและพาณิชยการ ซึ่งได้พัฒนามาเป็นงานเกษตรแห่งชาติในปัจจุบัน หรืออาจจะเป็น งานแสดงเศรษฐกรรมในงานฉลองรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๘๓. เหรียญ “ประชาธิปไตยสร้างชาติ ๒๔๘๓” เหรียญที่ระลึกในงานแสดงเศรษฐกรรม พ.ศ. ๒๔๘๓ สันนิษฐษนว่าสร้างขึ้นเป็นที่ระลึกใน “งานฉลองรัฐธรรมนูญ” ปี พ.ศ. ๒๔๘๓ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นยุครุ่งเรืองของ งานฉลองรัฐธรรมนูญ งานรื่นเริงปีใหม่ และ งานฉลองวันชาติ อันเป็นปีเดียวกับที่มีการเปิดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยงานฉลองรัฐธรรมนูญจัดขึ้นอย่างใหญ่กินพื้นที่ตั้งแต่บริเวณสวนสัตว์เขาดินวนา ตลอดจนลานพระราชวังดุสิตไปจรดสวนอัมพร. วัตถุประสงค์สำคัญของการจัดงานฉลองรัฐธรรมนูญ คือ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ราษฎรรู้จัก และเข้าใจความหมายของการปกครองระบอบประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญ รวมถึงหลัก ๖ ประการของคณะราษฎร เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ของคนไทย เป็นช่วงที่มีงานรัฐพิธี และมีเทศกาลเฉลิมฉลองขนาดใหญ่เป็นเวลาหลายวัน บรรยากาศภายในงานมีการจัดกิจกรรมและการแสดงต่างๆ มากมาย ทั้งของหน่วยราชการ กระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ พร้อมของภาคเอกชน . สำหรับปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ถือว่าประเทศไทยได้ปกครองระบอบรัฐธรรมนูญจนมาบรรจบครบรอบปีที่ ๘ รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีนาม หลวงพิบูลสงคราม จึงจัดงานเฉลิมฉลองขึ้นภายใน ณ บริเวณเขาดินวนา สวนอัมพร และสนามเสือป่า มีทั้งสิ้น ๗ วัน ได้แก่ วันที่ ๘-๑๔ ธันวาคม ขณะงานเฉลิมฉลองภายนอกจะอยู่บริเวณท้องสนามหลวง มีทั้งสิ้น ๕ วัน ได้แก่ วันที่ ๘ - ๑๒ ธันวาคม ความพิเศษของงานฉลองรัฐธรรมนูญ ประจำปี พ.ศ. ๒๔๘๓ นั่นคือ งานแสดงบางส่วนจะจัดต่อเนื่องไปจวบจนงานฉลองวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งเพิ่งจะเปลี่ยนจากวันที่ ๑ เมษายนมาเป็น ๑ มกราคมในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นปฐมฤกษ์ เฉกเช่น งานแสดงเศรษฐกรรมและกสิกรรม. โครงการงานแสดง “กองเศรษฐกรรม” งานฉลองรัฐธรรมนูญ ๒๔๘๓ ประกอบไปด้วยแผนกต่างๆ ดังนี้ แผนกเกษตรและการประมง แผนกเจ้าท่า แผนกชลประทาน แผนกตลาดนัด แผนกป่าไม้ แผนกราชทัณฑ์ แผนกวิทยาศาสตร์ แผนกสหกรณ์ แผนกส่งเสริมการค้าและท่องเที่ยว แผนกหอการค้าไทย แผนกอุตสาหกรรม และแผนกอาชีวศึกษา โดยมีนายพลเรือตรี พระยาศรยุทธเสนี หัวหน้ากองเศรษฐกรรม โดยกระทรวงเศรษฐการ คือ กระทรวงพาณิชย์ในปัจจุบัน#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่านเอกสารอ้างอิง กองเศรษฐกรรม. บันทึกความก้าวหน้าของหน่วยราชการที่มาร่วมแสดงในกองเศรษฐกรรม งานฉลองรัฐธรรมนูญ. กรุงเทพฯ : กองเศรษฐกรรม. ๒๔๘๓. ศรัญญู เทพสงเคราะห์. งานรื่นเริงของพลเมืองในระบอบใหม่ เพื่อชาติและรัฐธรรมนูญ. เข้าถึงได้โดย https://pridi.or.th/th/content/2022/07/1164 อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ. ท่านผู้หญิงประดิษฐ์มนูธรรมกับการประกวดเคหสถานในงานฉลองรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2483. สถาบันปรีดี พนมยงค์. เข้าถึงได้โดย https://pridi.or.th/th/content/2022/12/1372
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ขอเชิญชวนทุกท่านไปเก็บภาพความสวยงามและแปลกตาของซุ้มต้นลีลาวดีที่เรียงรายสองข้างโน้มกิ่งโค้งเข้าหากันเป็นอุโมงค์ ด้านหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดเชคอิน หรือไฮไลท์เมื่อนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเมืองน่านต้องมาให้ได้สักครั้ง โดยบรรยากาศในแต่ละฤดูก็จะแตกต่างกันไป ในเดือนมีนาคมนี้ "ซุ้มลีลาวดี" กำลังออกดอกสีชมพูสดใสต้อนรับฤดูร้อน
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน เปิดให้บริการทุกวันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. (ปิดวันจันทร์-อังคาร) ค่าธรรมเนียม ชาวไทย ๒๐ บาท ชาวต่างชาติ ๑๐๐ บาท เด็ก/นักเรียน/นักศึกษา ผู้สูงอายุ พระภิกษุสงฆ์ และนักบวชทางศาสนา เข้าชมฟรี ไม่เสียค่าธรรมเนียม ทั้งนี้ ซุ้มลีลาวดี และพื้นที่ด้านนอกอาคารจัดแสดง เปิดให้บริการทุกวัน เวลา ๐๖.๐๐ - ๑๘.๐๐ น. ไม่เสียค่าธรรมเนียมเข้าชม
องค์ความรู้ เรื่อง เส้นทางและโบราณสถานสำคัญในอดีต ที่ยังคงเหลือความทรงจำ
ผู้เรียบเรียง : นางสาวกาญจนา ศรีเหรา บรรณารักษ์
หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ
องค์ความรู้ ส่งเสริมการอ่านผ่านออนไลน์
เรื่อง “28 เมษายน วันราชาภิเษกสมรส รัชกาลที่ 9”
วันที่ 28 เมษายน เป็นวันคล้ายวันราชาภิเษกสมรส พระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นับเป็นอีกวันหนึ่ง ที่สำคัญยิ่ง ที่ทั้งสองพระองค์ทรงประกอบพระราชพิธีราชา ภิเษกสมรส ณ วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2493 อันเป็นครั้งแรกของพระมหากษัตริย์ไทยแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ที่ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย
ย้อนหลังไปเมื่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ที่เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ จากนั้นพระองค์ได้เสด็จไปศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ระหว่างที่ประทับอยู่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ได้รับบาดเจ็บที่พระเนตร เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2491 ทรงได้รับการถวายการรักษาที่โรงพยาบาลในเมืองโลซานน์ มีหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ที่ทรงพบก่อนหน้านั้นถวายการพยาบาลอยู่ด้วย
ต่อมาได้ทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาในพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ (ขณะนั้นคือ พันเอก หม่อมเจ้านักขัตรมงคล เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอน) กับ หม่อมหลวงบัว กิติยากร (สนิทวงศ์) เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 ณ เมืองโลซานน์
และเมื่อเสด็จพระราชดำเนินนิวัติพระนคร ถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 ณ พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ในวังสระปทุม ทั้งยังทรงให้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายไทยอีกด้วย ในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย
ทรงลงพระปรมาภิไธยในสมุดทะเบียนสมรสเป็นพระองค์แรก และหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ได้ลงนามในสมุดเป็นบุคคลที่สองในฐานะคู่สมรส ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ขณะนั้นเจ้าสาวยังมีอายุเพียง 17 ปีเศษ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จึงต้องได้รับความยินยอมจากบิดา มารดา หรือผู้ปกครองก่อนตามกฎหมาย ดังนั้นหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร พระบิดาของเจ้าสาวจึงต้องลงพระนาม แสดงความยินยอมและรับรู้ในการจดทะเบียนสมรสครั้งนี้ด้วย
ต่อมา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้อาลักษณ์อ่านประกาศสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ พระอัครมเหสี เป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์แก่สมเด็จพระราชินีในโอกาสนี้ด้วย
นอกจากนี้ในงานพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ผู้เข้าร่วมพิธีจะได้รับพระราชทานของที่ระลึก คือ หีบเงินเล็ก ซึ่งบนฝาหีบประดับด้วยอักษรพระบรมนามาภิไธย ภอ และพระนามาภิไธย สก
นับแต่นั้นเป็นต้นมา พระราชปณิธานและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่มีต่ออาณาประชาราษฎร์ ก็ได้ถ่ายทอดมายังสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และทรงงานร่วมกันต่อเนื่องมามิได้ขาด
อ้างอิง : บุญเติม แสงดิษฐ. วันสำคัญ : พัชรการพิมพ์. 2541. สโมสรไลออนส์ เมืองเอก กรุงเทพฯ. เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ 50 ปี : โรงพิมพ์กรุงเทพฯ (1984). 2539.
ผู้เรียบเรียง : นายประพนธ์ รอบรู้
นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี