ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ

ชื่อเรื่อง : พระแท่นดงรัง กาญจนบุรี ชื่อผู้แต่ง : คณะกรรมการวัดพระแท่นดงรังวรวิหาร ปีที่พิมพ์ : 2518 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : ศิริมิตรการพิมพ์ จำนวนหน้า : 62 หน้า สาระสังเขป : พระแท่นดงรัง ตั้งอยู่ในหมู่ 7 ตำบลพระแท่น อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี มีลักษณะเป็นหินแท่งทึบหน้าลาด รูปคล้ายแท่นหรือเตียงนอน เล่ากันมาแต่ก่อนว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาบรรทมแล้วปรินิพพานบนพระแท่นนี้ และมีต้นรังขึ้นอยู่ริมพระแท่นข้างละต้นโน้มยอดเข้าหากัน ในปัจจุบันมีการสร้างวิหารครอบพระแท่นไว้ เป็นวัดมีพระภิกษุสงฆ์อยู่จำพรรษา และมีต้นรังขึ้นอยู่ทั่วไป


พระราชพิธีสิบสองเดือน             พระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ใน รัชกาลที่ ๕ ในคํานําระบุว่า เป็นพระราชพิธีสําหรับ ปฏิบัติในพระนครซึ่งมีมา ตั้งแต่อดีต พระราชพิธีเหล่า นี้เกิดขึ้นจากความเชื่อในด้าน ไสยศาสตร์ที่มีการนับถือ พระเจ้าต่าง ๆ ในศาสนา พราหมณ์ และส่วนหนึ่งเกิด จากความเชื่อความศรัทธา ในพุทธศาสนาควบคู่กัน ดัง นั้นในพระราชพิธีบางอย่าง จึงเป็นการผสมผสานระหว่างพราหมณ์และพุทธ           ในพระราชกําหนดกฎมณเฑียรบาลครั้งกรุงศรีอยุธยา ได้กล่าวถึงพระราชพิธีประจําเดือนทั้ง ๑๒ เดือนไว้ว่า เป็น กิจซึ่งพระเจ้าแผ่นดินทรงทําเพื่อเป็นมงคลสําหรับพระนคร ทุกปีมิได้ขาด ดังนี้           เดือนห้า พระราชพิธีเผด็จศก ลดแจตรออกสนาม           เดือนหกพิธีไพศาขย์ จรดพระราชนังคัล           เดือนเจ็ดทูลน้ำล้างพระบาท           เดือนแปดเข้าพรรษา           เดือนเก้าตุลาภาร           เดือนสิบภัทรบทพิธีสารท           เดือนสิบเอ็ดอาศยุชยแข่งเรือ           เดือนสิบสองพิธีจองเปรียงลดชุดลอยโคม           เดือนอ้ายไล่เรือ เถลิงพิธีตรียัมพวาย           เดือนยีการพิธีบุษยาภิเศก เฉวียนพระโคกินเลี้ยง           เดือนสามการพิธีธานยเทาะห์           เดือนสี่การพิธีสัมพัจฉรฉินท์           การพระราชพิธีดังข้างต้นนี้แตกต่างจากพระราชพิธี ที่ปรากฏในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือนของพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ตรงที่ระยะ เวลาในการจัดพระราชพิธีต่าง ๆ ไม่ตรงกันบ้างในบางเดือน ซึ่งจะขอเรียงตามลําดับเดือน ทั้ง ๑๒ ตามบทพระราช นิพนธ์ ดังนี้           เดือนสิบสอง พิธีจอง เปรียง พระราชพิธีลอยพระประทีป           เดือนอ้ายพิธีไล่เรือ เฉวียนพระโคกินเลี้ยง           เดือนยีพระราชพิธี บุษยาภิเษก พระราชพิธี ตรียัมพวาย ตรีปวาย           เดือนสามพิธีธานยเทาะห์ พระราชกุศลเลี้ยงพระตรุษจีน           เดือนสี่พระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์           เดือนห้าพระราชพิธีศรีสัจจปานกาล           เดือนหกพระราชพิธีพืชมงคล พิธีจรดพระนังคัล           เดือนเจ็ดพระราชพิธีทูลน้ำล้างพระบาท           เดือนแปดพระราชพิธีเข้าพรรษา           เดือนเก้าพิธีตุลาภาร           เดือนสิบพระราชพิธีสารท           เดือนสิบเอ็ดอาศยุชยแข่งเรือ           การพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือนเกิดขึ้น จากรัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชดําริว่าคําโคลงพระราชพิธี ทวาทศมาสซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมสมเด็จพระบําราบปรปักษ์ ทรงแต่งขึ้นไว้ และกรรมสัมปาทิกได้นําลงไว้ในหนังสือวชิรญาณ แต่ไม่ครบทั้งสิบสอง เดือน อีกทั้งถ้อยคําในโคลงอาจเป็นที่เข้าใจยากสําหรับผู้ที่ไม่ สันทัดในโคลงกลอน จึงได้ทรงพระราชนิพนธ์เป็นความเรียง เพื่อยังประโยชน์ให้คนรุ่นหลังได้รู้จักการพระราชพิธีสืบต่อไป           สารกรมศิลปากร ฉบับประจําปี ๒๕๕๑ นี้จึงขอนํา เสนอเรื่องราวของพระราชพิธีสิบสองเดือน ประกอบกับภาพ จิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพระราชพิธีนี้ ซึ่งมีปรากฏอยู่ที่วัด ราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร กรุงเทพฯ           พิธีตรียัมปวายตรีปวาย หรือพิธีโล้ชิงช้า เป็นพระราช พิธีหนึ่งในพระราชพิธีสิบสองเดือนที่กระทํากันในเดือนยี่ เป็น พิธีสําคัญของศาสนาพราหมณ์ คือเป็นพิธีขึ้นปีใหม่ของ พราหมณ์ ในพิธีนี้ตามลักษณะของพิธีจะแยกเป็น ๒ อย่าง คือ พิธีตรียัมปวาย เป็นพิธีเกี่ยวกับพระอิศวร และพิธีตรีปวาย เป็นพิธีเกี่ยวกับพระนารายณ์ พิธีโล้ชิงช้านี้กระทํามา ตั้งแต่สมัยใดไม่ทราบแน่ชัด           พิธีตรียัมปวายตรีปวาย หรือพิธีโล้ชิงช้าเป็นพิธีต่อ เนื่องกัน ๑๕ วัน มีการแต่งตั้งข้าราชการผู้ใหญ่เป็นประธาน ในพิธี เรียกว่า พระยายืนชิงช้า ส่วนการโล้ชิงช้าจะกระทํากัน ตั้งแต่วันขึ้น ๗ ค่ําเดือนยี่ ถึงวันขึ้น ๔ ค่ํา ชาวบ้านมักเรียก กันว่า“๗ ค่ําถีบเช้า ๕ ค่ําถีบเย็น” พิธีนี้มีติดต่อกันมาจน ถึงรัชกาลที่ ๗ พ.ศ. ๒๔๗๘ ก็ยกเลิกไป และได้ฟื้นฟูอีก ครั้งเนื่องในวโรกาสเฉลิมฉลองทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ในรัชกาลปัจจุบัน เดือนสาม...พิธีธานยเทาะห์           พิธีธานยเทาะห์ หมายถึงพิธีเผาข้าว มีพระจันทกุมาร เป็นผู้ฉลองพระองค์ออกไปทําพิธี โดยตั้งโรงพิธีที่ทุ่งนา เรียก ทุ่งหันตราซึ่งเป็นทุ่งนาหลวง มีกระบวนแห่เหมือนพิธีแรกนา แล้วเอารวงข้าวมาทําเป็นฉัตรปักไว้หน้าโรงพิธี จากนั้นนําไฟ จุดรวงข้าว มีการสมมติคนให้เป็นพระอินทร์ฝ่ายหนึ่งและ พระพรหมฝ่ายหนึ่งเข้าแย่งรวงข้าวกัน ข้างใดแย่งได้มีคํา ทํานายซึ่งล้วนแต่เป็นคําทํานายในทางที่ดีทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อ เป็นการสร้างขวัญและกําลังใจให้กับผู้คน และพิธีนี้ยังสัมพันธ์ เกี่ยวเนื่องกับพิธีจรดพระนังคัลเพื่อให้เป็นการสวัสดิมงคลแก่ ธัญญาหารซึ่งเป็นเสบียงสําหรับพระนคร | ในเดือนสามนี้ยังมี “การพระราชกุศลเลี้ยงพระตรุษจีน”           ตรงกับเดือนยี่บ้าง เดือนสามบ้างขึ้นอยู่กับปฏิทินจีน การนี้ เริ่มขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยทรง เห็นว่าสิ่งของที่คนจีนนํามาถวายมีมาก ทั้งสุกร เป็ด ไก่ จึง โปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์และท้าวนางในจัดเรือขนมจีนมา จอดที่หน้าตําหนักแพ เพื่อถวายพระสงฆ์ฉันแล้วจึงได้เลี้ยง ข้าราชการต่อ เพื่อให้เป็นไปในการพระราชกุศล ในสมัยพระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เปลี่ยนจากเรือขนมจีนเป็น เกาเหลา ด้วยทรงพระราชดําริว่าขนมจีนสักแต่ว่าชื่อเป็นจีนเท่า นั้น แต่ก็ได้เปลี่ยนเป็นเรือขนมจีนอย่างเดิมในสมัยรัชกาลที่ ๕


เรื่องที่ 352 พระคัมภีร์ใบลานนี้ ได้มาจากวัดบุญญวาสวิหาร ต.ท่าใหม่ อ.ท่าใหม่ เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2532 เป็นคัมภีร์อักษรขอมทั้งผูก ชื่อเรื่องแปลเป็นภาษาบาลี-ไทย ตัวอักษรหนังสือเป็นเส้นจาร ฉบับล่องชาติ ไม้ประกับชาดทึบ มีทั้งหมด 11 ผูก พระพุทธโฆษาจารย์ เป็นผู้แต่ง นายพร้อม,นางน้อย เป็นผู้สร้าง เนื้อหาเกี่ยวกับชาดก เรื่องพระมหาเวสสันดรชาดก เป็นชาดกเรื่องหนึ่งในทศชาติชาดก กล่าวถึงพระชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ในการบำเพ็ญทานบารมี ก่อนจะทรงอุบัติเป็นพระโคตมพุทธเจ้า มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "มหาชาติชาดก" ในการเทศนา เรียกว่า "เทศน์มหาชาติ" มีทั้งหมด 13 กัณฑ์ 1.กัณฑ์ทศพร มี 19 พระคาถา 2.กัณฑ์หิมพานต์ มี 134 พระคาถา 3.กัณฑ์ทานกัณฑ์ มี 209 พระคาถา 4.กัณฑ์วนประเวศน์ มี 57 พระคาถา 5.กัณฑ์ชูชก มี 79 พระคาถา 6.กัณฑ์จุลพน มี 35 พระคาถา 7.กัณฑ์มหาพน มี 80 พระคาถา 8.กัณฑ์กุมาร มี 101 พระคาถา 9.กัณฑ์มัทรี มี 90 พระคาถา 10.กัณฑ์สักกบรรพ มี 43 พระคาถา 11.กัณฑ์มหาราช มี 69 พระคาถา 12.กัณฑ์ฉกษัตริย์ มี 36 พระคาถา 13. กัณฑ์นครกัณฑ์ มี 48 พระคาถาเลขทะเบียน จบ.บ.352/1-11


ปราณ ปรีชญา.ร่องรอยและความหมายในคำขวัญจันทบูร.(2) : 6 ; ส.ค.-ก.ย.60 ร่องรอยและความหมายในคำขวัญจันทบูร น้ำตกลือเลื่อง เมืองผลไม้ พริกไทยพันธุ์ดี อัญมณีมาเหลือ เสื่อจันทบูร สมบูรณ์ธรรมชาติ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช รวมญาติกู้ชาติที่จันทบุรี ในเรื่องจะกล่าวถึงเหตุการณ์อันเป็นที่มาของคำขวัญ ว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สภาพเศรษฐกิจในอดีตยังไง อะไรเป็นเหตุทำให้ต้องมีคำขวัญ นอกจากนี้ยังกล่าวถึงการพัฒนาการของคำขวัญจนถึงที่ใช้อยู่ในอดีตจนปัจจุบันว่าต่างกันยังไง ตลอดจนความหมายของ ของแต่ละวรรค ของคำขวัญว่าสื่อถึงของดี และเอกลักษณ์ ของเมืองจันทบุรีเอาไว้



พิธีปลูกยางรัก ตามโครงการทดลองปลูกป่ารักเพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยประธานในพิธีโดย ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ณ บารายปราสาทเมืองต่ำ ตำบลจรเข้มาก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์วันจันทร์ที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๗




เล่าเรื่องประติมานวิทยา: วิชาธร/วิทยาธร (vijādhara/vidyādhara)           วิชาธร หรือ วิทยาธร แปลตามศัพท์ว่า “ทรงไว้ซึ่งวิชา” คำว่า “วิทยา” แปลว่า ความรู้ ส่วนคำว่า “ธร” แปลว่า แบก ถือ หมายถึง ผู้มีวิชากายสิทธิ์, ผู้มีฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยวิทยาอาคมหรือของวิเศษ จัดเป็นเทวดาชั้นต่ำ ครึ่งเทพครึ่งมนุษย์ อาศัยระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ มีหน้าที่บำเรอเทพเจ้า บางทีเรียกว่า พิทยาธ หรือ เพทยาธร เพศหญิงเรียกว่า วิทยารี หรือ พิทยารี (Vidyādharī) ปรากฏในคติศาสนาต่างๆ ของอินเดีย           ในศาสนาพราหมณ์ กล่าวกันว่าวิทยาธรเป็นผู้รับใช้พระศิวะ อาศัยอยู่ยังเทือกเขาหิมาลัย บางแห่งกล่าวว่าเป็นผู้รับใช้พระอินทร์ พวกวิทยาธรสร้างวิมานอากาศอยู่บนยอดเขาวินธัย มีบ้านเมืองงดงามราวกับสวรรค์ มีพระราชาปกครองกันเอง ราชาของวิทยาธรมีนามว่า สรรวารถสิทธะ (Sarvārthasiddha)            เหล่าวิทยาธรมีฤทธิ์และมนต์ สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ จึงมีนามเรียกว่า เขจร (Khecara) หรือ นภาจร (Nabhacara) แปลว่า ผู้เคลื่อนไปในอากาศ ผู้ชายมีฤทธิ์ด้วยมนต์และพระขรรค์ชุบด้วยเหล็กวิเศษ เพียงแต่ร่ายมนต์แกว่งพระขรรค์ก็เหาะไปได้ สำหรับผู้หญิงไม่มีพระขรรค์ แต่มีปีกหางช่วยให้ลอยไปในอากาศ หรือต้องใช้เวทย์มนต์เรียกพระพายให้พัดตัวลอยไปในอากาศ มีนามอื่น ๆ เช่น กามรูปิน (Kāmarūpin) หมายถึงผู้บิดเบือนรูปได้ตามความใคร่ ปริยาวาท (Priyavada) ผู้มีวาจาอ่อนหวาน            วิทยาธร ทำรูปปราศจากปีก มีรูปร่างสวยสง่างาม ล่องลอยอยู่ระหว่างโลกมนุษย์และสวรรค์ ประกอบอยู่กับรูปของเทพเจ้า ตกแต่งตามวัดและเทวาลัย มือถือพระขรรค์ เป็นเครื่องตัดอวิชาและฟาดฟันปีศาจ หรือถือพวงมาลัย (วนมาลา-vanamālā) เป็นเครื่องหมายของชัยชนะ หรือแก้วรัตนะ (ratna) เป็นสัญลักษณ์ บางครั้งปรากฏในรูปครึ่งบนเป็นมนุษย์และครึ่งล่างเป็นนก            ในทางประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าวิทยาธรเป็นคนพวกหนึ่งตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณเขาวินธัยทางทิศใต้ของอินเดียตั้งแต่ดึกดำบรรพ เรียกชาติตนว่าวิทยาธร เพราะเป็นชาติที่ทรงศิลปวิทยาเจริญรุ่งเรืองในสมัยนั้น ชาติวิทยาธรคงเสื่อมสูญนานแล้ว แต่ยังคงปรากฏชื่อเสียงอยู่ในเรื่องนิทานเก่า ๆ คนบางพวกที่อาศัยอยู่ตามไหล่เขาวินธัยทุกวันนี้ คงสืบสายมาจากพวกวิทยาธรไม่มากก็น้อย วิทยาธรมักเกี่ยวข้องกับมนุษย์ โดยมากมักมีใจดี มีนิสัยชอบสตรี มักผิดศีลข้อกาเม หรือเกี่ยวข้องอยู่กับสตรี ภาพประกอบ 1. วิทยาธร ถือช่อมาลา เหาะลอยในอากาศ ดินเผา ศิลปะอินเดีย ภาพจาก musée Guimet, Parisภาพประกอบ 2. วิทยาธร ศิลาสลัก ศิลปะอินเดีย ภาพจาก musée Guimet, Paris ภาพประกอบ 3. วิทยาธร ในท่าเหาะไปในท้องฟ้า งาแกะสลัก ปากีสถาน ภาพจาก British Museumภาพประกอบ 4. วิทยาธร ภาพประกอบสมุดไทย ศิลปะรัตนโกสินทร์ ภาพจาก Asian Art Museum ---------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล: นางสาวเด่นดาว ศิลปานนท์ ภัณฑารักษ์เชี่ยวชาญ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อ้างอิงจาก 1. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์. 2. กถาสริตสาคร (สาครเป็นที่รวมกระแสนิยาย) กถาบิฐ และกถามุข โดย “เสถียรโกเศศ”. องค์การค้าของคุรุสภา, 2507. 3. เจือ สตะเวทิน. ตำรับวรรณคดี. กรุงเทพฯ: บรรณกิจ, 2522. 4. Liebert, Gosta. Iconographic Dictionary of the Indian Religions Hinduism-Buddhism-Jainism. Leiden: E.J. Brill, 1976. 5. Stutley , Margaret. The illustrated dictionary of Hindu iconography. London : Routledae & Kegan Paul, 1985.


ชื่อผู้แต่ง          พระธรรมคุณาภรณ์ พระวรภักดิ์พิบูลย์และวิเชียร จีรวงส์ ชื่อเรื่อง           ปกิณกคดี นิพพานในความตรึกตรองของข้าพเจ้า โสม ครั้งที่พิมพ์        - สถานที่พิมพ์      พระนคร สำนักพิมพ์        โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์ ปีที่พิมพ์          2509 จำนวนหน้า      38   หน้า รายละเอียด            พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางสำเภา บำรุงศรี ณ ฌาปนสถานวัดเขาแก้ว อำเภอพยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ประกอบด้วย ประวัติสังเขปนางสำเภา บำรุงศรี ปกิณกคดี โดยพระธรรมคุณาภรณ์ นิพพานในความตรึกตรองของข้าพเจ้า โดยพระวรภักดิ์พิบูลย์และโสม ยาสมุนไพรค่าล้ำของจีน โดยวิเชียร วีรวงศ์ พร้อมภาพประกอบ



          โบราณสถานวัดช้างรอบตั้งอยู่บนเนินเขาลูกรัง นอกกำแพงเมืองทางด้านทิศเหนือที่เป็นเขตอรัญญิกของเมืองกำแพงเพชร ผังของตัววัดหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ปรากฏแนวกำแพงวัดก่อด้วยศิลาแลงเฉพาะด้านทิศตะวันออกและด้านทิศใต้ สิ่งก่อสร้างสำคัญคือ เจดีย์ประธานทรงระฆังขนาดใหญ่ ซึ่งรูปแบบการสร้างขององค์เจดีย์ได้รับอิทธิพลมาจากเจดีย์ช้างล้อมในศิลปะสุโขทัย เจดีย์ประธานประกอบด้วยฐานประทักษิณสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ มีบันไดอยู่ที่กลางด้านทั้งสี่ เพื่อใช้ขึ้นไปถึงลานด้านบนหรือลานประทักษิณ ส่วนของผนังฐานสี่เหลี่ยมของเจดีย์ประธานประดับประติมากรรมรูปช้างปูนปั้นจำนวน ๖๘ เชือก ลักษณะของงานประติมากรรมรูปช้างปรากฏเฉพาะส่วนหัวและสองขาหน้าโผล่พ้นจากฐานประทักษิณ มีการประดับลวดลายปูนปั้นที่บริเวณแผงคอ มงกุฎที่ส่วนหัว กำไลโคนขาและข้อเท้า ผนังระหว่างช้างแต่และเชือกตกแต่งลายปูนปั้นนูนต่ำรูปพันธุ์พฤกษา โดยลวดลายปูนปั้นรูปใบระกาที่ปรากฏบนแผงคอประติมากรรมรูปช้างมีความคล้ายคลึงกับลายชายผ้าของเทวรูปพระอิศวรสำริด ที่พบยังเมืองกำแพงเพชร ซึ่งมีจารึกที่ระบุปี พ.ศ. ๒๐๕๓ จึงสามารถกำหนดอายุด้วยวิธีการศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบทางศิลปกรรม (Comparative dating) ได้ว่าเจดีย์ประธานวัดช้างรอบแห่งนี้น่าจะสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑           ชานบันไดแต่ละด้านประดับสิงห์และทวารบาลปูนปั้น บันไดด้านบนสุดที่เข้าสู่ลานประทักษิณทำเป็นซุ้มประตูมีหลังคายอดเป็นเจดีย์ทรงระฆัง ส่วนของลานประทักษิณก่ออิฐเป็นกำแพงเตี้ย ๆ ล้อมรอบและเชื่อมต่อซุ้มประตูทั้ง ๔ ด้าน ทั้งสี่มุมของลานประทักษิณมีฐานเจดีย์ขนาดเล็ก พบหลักฐานส่วนยอดที่หักเป็นเจดีย์ทรงกลีบมะเฟือง           ส่วนของเจดีย์ที่อยู่เหนือชั้นฐานประทักษิณคงเหลือเฉพาะชั้นหน้ากระดานแปดเหลี่ยมและชั้นหน้ากระดานกลม ส่วนองค์ระฆังขึ้นไปพังทลายหมดแล้ว ที่ชั้นหน้ากระดานกลมเหนือฐานแปดเหลี่ยมมีช่องรอบองค์เจดีย์และประดับภาพปูนปั้นเล่าเรื่องพุทธประวัติ เช่น ตอนเจ้าชายสิทธัตถะทรงประลองศร เป็นต้น โดยภาพปูนปั้นเหล่านี้ มีลักษณะพิเศษคือการใช้สีดำร่างลายเส้นรูปภาพก่อน แล้วจึงใช้ปูนปั้นทับลายเส้นภายหลัง ส่วนบริเวณด้านล่างของภาพปูนปั้นมีการประดับด้วยประติมากรรมดินเผารูปหงส์และกินรี           ด้านหน้าเจดีย์ประธานมีฐานวิหารผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีมุขทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ภายในวิหารปรากฏแนวแท่นอาสนสงฆ์และฐานประดิษฐานพระพุทธรูปประธาน เสารองรับเครื่องบนเป็นเสาศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยม หลังคาแต่เดิมมุงด้วยกระเบื้องดินเผา โดยพบหลักฐานโบราณวัตถุประเภทกระเบื้องดินเผาแบบกาบกล้วยและกระเบื้องเชิงชายลายดอกบัวและลายเทพพนม กำหนดอายุได้ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๒ ถัดไปทางด้านหน้าวิหารเป็นสระรูปสี่เหลี่ยมที่ขุดตัดลงไปในชั้นศิลาแลงเพื่อนำศิลาแลงมาใช้ในการก่อสร้างอาคาร ส่วนอุโบสถอยู่เยื้องวิหารไปทางทิศเหนือ มีใบเสมาทำจากหินชนวนปักโดยรอบ ตัวอาคารก่อด้วยศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ฐานอุโบสถก่อเป็นฐานหน้ากระดานสี่เหลี่ยมมีบันไดทางด้านหน้าเพียงแห่งเดียว บนอาคารอุโบสถปรากฏร่องรอยของฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นซึ่งปัจจุบันเหลือเฉพาะส่วนโกลนของหน้าตัก เจดีย์ทรงระฆังที่มีการประดับประติมากรรมรูปช้างล้อมรอบฐานของเจดีย์ หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า เจดีย์ช้างล้อม นั้น นิยมสร้างกันมากในสมัยสุโขทัย อาทิ วัดช้างล้อมแห่งเมืองศรีสัชนาลัย วัดช้างล้อมและวัดสรศักดิ์ แห่งเมืองสุโขทัย เป็นต้น สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลทางศิลปกรรมและคติการสร้างเจดีย์ช้างล้อม จากการติดต่อสัมพันธ์ทางด้านพระพุทธศาสนาผ่านทางเมืองนครศรีธรรมราช ดังปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๒๙ – ๓๑ ความว่า “...สังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร หลวักกว่าปู่ครูในเมืองนี้ ทุกคนลุกแต่เมืองศรีธรรมราชมา…” และจากหลักฐานการติดต่อสัมพันธ์ทางด้านพระพุทธศาสนากับศรีลังกา ดังปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๓ จารึกนครชุม ด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๕๑ – ๕๘ ความว่า “…หมทลาประดิษฐานไว้ด้วยพระบาทลักษณะหั้นพระบาทลักษณะนั้นไซร้ พระยาธรรมิกราชให้ไปพิมพ์เอารอยตีน…..พระเป็นเจ้าเถิงสิงหลอันเหยียบเหนือจอมเขาสุมนกูฏบรรพต ประมานเท่าใดเอามาพิมพ์ไว้ จุ่งคนทั้งหลายแท้…อันหนึ่งประดิษฐานไว้ในเมืองศรีสัชชนาลัยเหนือจอมเขา…อันหนึ่งประดิษฐานไว้ในเมืองสุโขไทยเหนือจองเขาสุมนกูฏ อันหนิค่งประดิษฐานไว้ในเมืองบางพานเหนือจอมเขานางทอง อันหนึ่งประดิษฐานไว้เหนือ จอมเขาที่ปากพระบาง จารึกก็ยังไว้ด้วยทุกแห่งฯ...”           ลักษณะการสร้างวัดช้างรอบ ที่เจดีย์ประธานมีประติมากรรมรูปช้างประดับโดยรอบนั้น สันนิษฐานว่ามีแนวคิดหลักมาจากคติเรื่องศูนย์กลางจักรวาล โดยสื่อว่าเจดีย์ประธานทรงระฆังคือเขาพระสุเมรุ ซึ่งมีองค์ประกอบที่ใช้ประดับตกแต่งโดยรอบคือสัญลักษณ์ที่ใช้เปรียบเทียบเป็นส่วนต่าง ๆ โดยรอบเขาพระสุเมรุ เช่น ช้างที่มีหน้าที่แบกหรือค้ำจุนเขาพระสุเมรุที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล เป็นต้น ----------------------------------------ที่มาของข้อมูล : อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ----------------------------------------เอกสารอ้างอิงกรมศิลปากร. นำชมอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร. กรุงเทพฯ: บริษัทบางกอกอินเฮ้าส์จำกัด, ๒๕๖๑. ประทีป เพ็งตะโก. “กระเบื้องเชิงชายสมัยอยุธยา.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๔๐. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะสุโขทัย: บทวิเคราะห์หลักฐานโบราณคดี จารึกและศิลปกรรม. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์สมาพันธ์, ๒๕๖๓. อนันต์ ชูโชติ. “เจดีย์วัดช้างรอบ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร.” สาระนิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์บัณฑิต ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๒๓.


***บรรณานุกรม***     ผดุงถิ่นยุคข่าวเศรษฐกิจ     ปีที่ 16(7)      ฉบับที่ 648(242)    วันที่ 21-28 กุมภาพันธ์ 2534




อธิบายแผนที่พระนครศรีอยุธยา กับคำวินิจฉัยของพระยาโบราณราชธานินทร์          พระยาโบราณราชธานินทร์เรียบเรียงขึ้นเพื่อทูลเกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในการพระราชพิธีทรงบวงสรวงอดีตมหาราชเจ้าที่พระนครศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น ๒ ตอน คือ เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา และ และพรรณนาถึงภูมิสถานพระนครศรีอยุธยา  ต่อมาพิมพ์รวมในหนังสือประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๓   


ชื่อเรื่อง : ไกลบ้าน เล่ม 1-2 พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ชื่อผู้แต่ง : จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,พระบาทสมเด็จพระ ปีที่พิมพ์ : 2497 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์คุรุสภา จำนวนหน้า : 1,082 หน้าสาระสังเขป : หนังสือไกลบ้าน เล่ม 1-2 พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเล่มนี้ กล่าวถึงการเสด็จไปยุโรปครั้งหลัง ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพรรณาถึงสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ทอดพระเนตรเห็น และกิจการที่ทรงทราบ รวมทั้งกระแสพระราชวินิจฉัยในเรื่องนั้น ๆ พรรณาว่าด้วยถิ่นฐานบ้านเมือง แลบรรยายถึงขนบธรรมเนียมต่าง ๆ ของนานาประเทศ


black ribbon.