ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,754 รายการ
เลขทะเบียน : นพ.บ.70/ข/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 56 หน้า ; 5 x 57.5 ซ.ม. : ทองทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 45 (29-34) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : มหานิปาตวณฺณนา (ทสชาติ) ชาตกฎฐกถา (ชนก-สุวณฺณสาม) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.101/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 36 หน้า ; 3.5 x 54 ซ.ม. : ทองทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 60 (170-178) ผูก 5 (2564)หัวเรื่อง : เทวทูตสุตฺต (เทวทูตสูตร) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.131/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 44 หน้า ; 5.5 x 56 ซ.ม. : ทองทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 77 (302-308) ผูก 4 (2564)หัวเรื่อง : พิมฺพาเถรีวตฺถุ (พิมฺพาเถรี)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.6/1-5
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง : เสภาเรื่องขุนช้าง ขุนแผน เล่ม 3 ชื่อผู้แต่ง : ขุนช้าง ขุนแผน ปีที่พิมพ์ : -สถานที่พิมพ์ : -สำนักพิมพ์ :-จำนวนหน้า : 456 หน้าสาระสังเขป : หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวของขุนช้าง ขุนแผน ตั้งแต่ตอนที่ ๒๗ ตอนพลายงามอาสา จนถึงตอนที่ ๔๓ ตอนจระเข้เถรขวาด เพียงสิ้นเรื่องนางสร้อยฟ้าศรีมาลาลุยไฟ ดำเนินเรื่องด้วยบทเสภา
วันสงขลา ๒๕๖๔
๑๗๙ ปี แห่งการสถาปนาเมืองสงขลา(บ่อยาง)
พ.ศ.๒๓๗๙ สร้างกำแพงเมืองใหม่
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้พระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเส้ง ณ สงขลา) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา สร้างกำแพงเมืองและป้อมปราการ ขึ้น ณ บริเวณสันทรายในเขตท้องที่ตำบล บ่อยาง ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเมืองสงขลาในขณะนั้น ปรากฎความในพงษาวดารเมืองสงขลา ของเจ้าพระยาวิเชียรคีรี(บุญสังข์) ว่า
“...ครั้นณปีวอกอัฐศก ลุศักราช ๑๑๙๘ มีตราโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมออกมาให้ต่อก่อกำแพงเมืองสงขลา พระราชทานเงินส่วยอากรเมืองสงขลาให้พระยาสงขลา ใช้จ่ายในการก่อกำแพงสองร้อยชั่ง...”
พ.ศ.๒๓๘๕ ฝังหลักไชยเมืองสงขลา
เมื่อก่อสร้างกำแพงเมืองสงขลาแล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้จัดการฝังหลักไชยเมืองสงขลา พระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเส้ง ณ สงขลา)จัดการพิธีแห่แหนหลักไม้ชัยพฤกษ์พระราชทานในวันขึ้น ๗ ค่ำเดือน ๔ ปีขาลจัตวาศก และทำพิธีเชิญหลักไม้ชัยพฤกษ์ลงฝังไว้ที่กลางเมืองสงขลา ในวันศุกร์ขึ้น ๑๐ ค่ำเดือน ๔ ปีขาลจัตวาศก เวลาเช้าโมงหนึ่งกับสิบนาที ตรงกับวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๓๘๕ แล้วจัดให้มีการฉลองหลักเมือง ๕ วัน ๕ คืน เป็นการเอิกเกริก
ดินแดนเมืองสงขลา
เมืองสงขลานั้นเดิมเป็นหมู่บ้านปากน้ำสังกัดเมืองพัทลุง ต่อมาดาโต๊ะโมกอล ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตตั้งเมืองซิงกอราขึ้นในราวปลายรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ และแยกตัวตั้งเป็นประเทศเอกราชระหว่างพ.ศ.๒๑๘๕-๒๒๒๓ จากนั้นจึงถูกลดฐานลงเป็นเมืองตรีขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราชจนสิ้นสมัยอยุธยา
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เจ้าสงขลาเมืองมีความชอบในราชการจึงได้ยกขึ้นเป็นเมืองโทขึ้นตรงกับกรมพระกลาโหมที่กรุงเทพฯรวมทั้งได้รับพระราชทานที่พะตงการำมาอยู่ภายใต้การปกครอง และในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๓-๕ ได้รับพระราชทานโอนที่พะโคะ ที่พังลา ที่กำแพงเพชร จากเมืองพัทลุง รวมทั้งโอนดินแดนสะเดา จากเมืองไทรบุรีมาอยู่ภายใต้การปกครองด้วย และเมื่อมีการนำระบบมณฑลเทศาภิบาลมาใช้ จึงมีการโอนดินแดนเมืองจะนะและเทพา มาเป็นส่วนหนึ่งของสงขลา
นอกจากนี้สงขลายังได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้กำกับบริเวณ ๗ หัวเมืองคือ ปัตตานี หนองจิก ยะหริ่ง สายบุรี รามันห์ ระแงะ และยาลอแล้ว รวมทั้งเคยเป็นผู้กำกับเมืองสตูลอยู่ระยะหนึ่งก่อนจะมอบให้เมืองนครศรีธรรมราชเป็นผู้ดูแลในพ.ศ.๒๓๘๗ และยังกำกับหัวเมืองประเทศราชมลายูคือเมืองตรังกานูด้วย
ในปัจจุบันสงขลามีฐานะเป็นจังหวัดประกอบด้วย ๑๖ อำเภอคือ กระแสสินธุ์ คลองหอยโข่ง ควนเนียง จะนะ เทพา นาทวี นาหม่อม บางกล่ำ เมืองสงขลา ระโนด รัตภูมิ สทิงพระ สะเดา สะบ้าย้อย สิงหนคร และหาดใหญ่
กำเนิดวันสงขลา
วันสงขลาถูกกำหนดขึ้นตามประกาศจังหวัดสงขลา ลงวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๐ เรื่อง กำหนด “วันสงขลา” ลงนามโดยนายทรงพล สวาสดิ์ธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาในขณะนั้น และจัดให้มีกิจกรรมต่อเนื่องทุกปีมาจนปัจจุบัน
พิธีสมโภชศาลหลักเมืองสงขลา ๒๕๖๔
วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๔ เป็นวันครบรอบ ๑๗๙ ปีแห่งการสถาปนาเมืองสงขลา(บ่อยาง) จังหวัดสงขลาจึงได้จัดให้มีพิธีสมโภชศาลหลักเมืองขึ้น โดยมีการประกอบพิธีทางศาสนาทั้งฝ่ายพราหมณ์และฝ่ายพุทธ โดยมีนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายจารุวัฒน์ เกลี้ยงเกลา ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พร้อมด้วยหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ และประชาชนชาวสงขลา เข้าร่วมพิธี
----------------------------------------------------
เรียบเรียงโดย นายสารัท ชลอสันติสกุล นักโบราณคดีชำนาญการ l กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา
เอกสารจดหมายเหตุมีความหลากหลายสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ ได้แก่ ลายลักษณ์ โสตทัศนจดหมายเหตุ แบบแปลน แผนผัง และสื่อวัสดุคอมพิวเตอร์ "ปฏิทิน"นับเป็นเอกสารจดหมายเหตุชนิดหนึ่งที่ถูกจัดอยู่ในประเภทโสตทัศนจดหมายเหตุ นอกจากภาพ ฟิล์ม ส.ค.ส. โปสเตอร์ ฯลฯ "ปฏิทิน"บอกอะไรเราได้บ้าง? อาจมีใครบางคนสงสัย สำหรับผู้เขียนเองที่ได้มีโอกาสปฏิบัติงานหลากหลายหน้างาน จึงขอเปรียบเทียบปฏิทินว่าเหมือนบทคัดย่อหรือสาระสังเขป ที่บริษัทจัดทำปฏิทินได้นำเสนอในรูปแบบชุดความรู้แบบย่อที่ผ่านการวิเคราะห์จากเอกสารชั้นต้นและชั้นลอง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีการอ้างอิงให้ไปค้นคว้าต่อ "สายทางสามล้อไทย"เป็นปฏิทินขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ประจำปีพ.ศ.2537 ได้จัดทำไว้อย่างน่าสนใจว่า... บนสายทางของการเดินทาง หลากหลายพาหนะที่นำไปสู่จุดหมาย"สามล้อ"เป็นวิถีหนึ่งของสายทาง ซึ่งแม้เวลาจะหมุนเวียนเปลี่ยนไป หากสายทางของสามล้อก็ยังคงผูกพันเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตในสังคมไทยเป็นภาพลักษณ์ของความภูมิใจในความสามารถแห่งการประดิษฐ์ของคนไทย ที่นำไปประยุกต์เข้ากับการประกอบสัมมาอาชีพได้อย่างกลมกลืน ได้เล่าถึงการกำเนิดสามล้อว่า... พ.ศ.2476 รถสามล้อได้ถือกำเนิดขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรกที่จังหวัดนครราชสีมาโดยนาวาอากาศเอก เลื่อน พงษ์โสภณ นำ"รถลาก" หรือ"รถเจ๊ก"มาดัดแปลงร่วมกับรถจักรยาน รถสามล้อแบบนี้ถือเป็นต้นแบบของรถสามล้อที่ใช้รับส่งผู้โดยสารแพร่หลายไปทั่วประเทศจนถึงปัจจุบัน ในระยะเวลาต่อมาได้มีการพัฒนาเป็นพาหนะอย่างอื่นให้สะดวกและรวดเร็วขึ้นตามประโยชน์ใช้สอย เช่นสามล้อเครื่อง ซาเล้ง ตุ๊ก-ตุ๊ก ทั้งแบบเดอลุกซ์และแบบสองแถว สามล้อเครื่องรถยนต์(ยังมีให้เห็นที่อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี)สกายแล็บ ไก่นา และอื่นๆ นอกจากปฏิทินชุดนี้ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีปฏิทินชุดอื่นๆอีกมากที่น่าสนใจ เพื่อนๆลองกลับไปค้นในกล่องเก็บหนังสือเก่าๆที่วางทิ้งไว้บนชั้น อาจพบเรื่องราวของปฏิทินเก่ามากมาย หรือเมื่อได้ชมจนเบื่อแล้ว อยากส่งต่อ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี ยินดีรับมอบด้วยความเต็มใจยิ่งค่ะ ------------------------------------------------------ผู้เขียน : นางสุมลฑริกาญจณ์ มายะรังษี นักจดหมายเหตุชำนาญการ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี------------------------------------------------------อ้างอิง หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี.ปท หจช จบ 148 องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เรื่อง สายทางสามล้อไทย.พ.ศ.2537
องค์ความรู้ทางโบราณคดี
เรื่อง “เตาถลุงเหล็กของเมืองลองโบราณ อำเภอลอง จังหวัดแพร่”
โดย นายพลพยุหะ ไชยรส นักโบราณคดีปฏิบัติการ
กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่
เมืองลองโบราณเป็น 1 ใน 57 หัวเมือง ของล้านนาในอดีตโดยเป็นเมืองบริวารของเมืองลำปางมีพันธะต้องส่งส่วยเหล็กให้เมืองลำปางทุกปี โดยปฏิบัติเป็นธรรมเนียมตั้งแต่ยุคจารีตจนกระทั่งถึงพุทธศตวรรษที่ 25 ดังปรากฏในเอกสารจดหมายเหตุความว่า “... เมืองลองเสียส่วยแก่เมืองนคร (เมืองนคร=เมืองลำปาง) มีแต่เหล็กสิ่งเดียว ถ้ามีราชการขึ้นก็จะเกณฑ์เอากับแสนหลวงเจ้าเมืองลองตามการใหญ่แลน้อย ถ้าเป็นการใหญ่ก็เคยเกณฑ์ตั้งแต่ 50 40 คนลงมา บาญชีคนชะกันสำมะโนครัวเมืองลองไม่มีมาแต่เดิมจะมีคนมากน้อยเท่าไหร่ก็เรียกส่วยปีละ 40 หาบเท่านั้น...” (40 หาบ เท่ากับ 2,400 กิโลกรัม)
เหล็กเมืองลองจะถูกถลุงที่หมู่บ้านนาตุ้ม (แหล่งโบราณคดีบ้านนาตุ้ม) ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองลองประมาณ 6 กิโลเมตร และห่างจากเหมืองแร่เหล็กโบราณดอยเหล็ก ประมาณ 1 กิโลเมตร จากการขุดค้นทางโบราณคดีเมื่อ ปี พ.ศ.2562 พบเตาถลุงเหล็กในแหล่งโบราณคดีบ้านนาตุ้มจำนวน 10 เตา เรียงตัวเป็นแนวยาวขนาดไปกับลำเหมืองโบราณของหมู่บ้าน
เตาถลุงเหล็กของเมืองลอง (แหล่งโบราณคดีบ้านนาตุ้ม) มีลักษณะเป็นเตาถลุงทรงสูง (Shaft Furnace) มีขนาดกว้างประมาณ 100 เซนติเมตร ยาวประมาณ 120 เซนติเมตร สูงประมาณ 80 – 90 เซนติเมตร ห้องถลุงมีขนาด 30 - 40 เซนติเมตร มีรูสอดปลายหุ้มท่อลมดินเผา ด้านหลังเตา ขนาด 10 - 13 เซนติเมตร โดยก่อเตาเรียงตัวติดต่อกันหลายๆ เตาเป็นแนวยาวโดยใช้เศษตระกัน อิฐ ก้อนหิน และดิน ก่อเป็นฐานในช่องว่างระหว่างเตาเพื่อเสริมความมั่นคงของผนังเตาแต่ละเตา กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 24 – 25
เทคโนโลยีการถลุงเหล็กของเมืองลองโบราณ เป็นการถลุงเหล็กทางตรง (Direct Process) มีอุณหภูมิในการถลุงไม่เกิน 1,300 องศาเซลเซียส โดยมีการคลุกเคล้าแร่เหล็กและเชื้อเพลิงในอัตราส่วนแร่เหล็ก 1 ส่วน ต่อเชื้อเพลิง 3 ส่วน และสร้างท่อลมไว้ด้านหลังเตาต่อเข้ากับเส่า (เครื่องสูบลม) เพื่อใช้สูบลมอัดเข้าไปในห้องเตาเพื่อเร่งอุณหภูมิในห้องเตาจนถึงระดับที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่ทำให้เหล็กออกไซต์กลายเป็นเหล็กและปฏิกิริยาที่ก่อให้เกิดตะกรันแร่เหล็กเหลว (Liquid Slag) เมื่อสิ้นสุดกระบวนการถลุงจะมีการทุบทำลายเตาส่วนลำตัวและปากเตาเพื่อเอาก้อนเหล็กเหนียวหนืด (Bloom) ออกจากเตาถลุง และนำไปกำจัดเอามลทินออกจนเหลือแต่ก้อนเหล็กอ่อนบริสุทธิ์ (Wrought Iron) สามารถนำไปตีเครื่องมือเครื่องใช้ได้ต่อไป
สำหรับแหล่งแร่เหล็กของเมืองลอง ตั้งอยู่บริเวณดอยเหล็ก ซึ่งเป็นแหล่งแร่เหล็กชนิดฮีมาไทต์ โดยอยู่ห่างจากแหล่งถลุงเหล็กบ้านนาตุ้มไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 1 กิโลเมตร จากบันทึกชาวต่างชาติระบุไว้ว่าอย่างน้อยในช่วงพุทธศตวรรษที่ 24 แร่เหล็กดอยเหล็กเป็นที่รู้จักว่าเป็นเหล็กที่มีคุณภาพ โดยปรากฏในเอกสารการเดินทางชาวตะวันตกที่ระบุว่าเมืองลองเป็นแหล่งทรัพยากรแร่เหล็กที่สำคัญและมีคุณภาพดินแดนล้านนา อาทิ บันทึกของคาร์ล อัลเฟรด บ็อค กล่าวว่า
“...เมืองลคอร (ในที่นี้หมายรวมถึงเขตเมืองลองซึ่งเป็นเมืองขึ้นของเมืองลำปางด้วย) ไม่เพียงแต่ร่ำรวยป่าไม้เท่านั้นแต่ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุ ใกล้ตัวเมือง มีเหมืองแร่เหล็กที่อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง หนึ่งถึงสองแห่ง ข้าพเจ้าได้เห็นแร่กาลีนา จำนวนหนึ่งซึ่งคาดว่าแร่เหล่านี้มีอยู่เต็มภูเขาละแวกนี้ นอกจากนี้ยังมีทองแดงด้วยชาวพื้นเมืองที่นี่เป็นช่างฝีมือโลหะและผลิตปืนใช้เอง..”
จากผลการยิงรังสี X-Ray ด้วยเครื่องมือ Portable XRF แสดงให้เห็นว่าก้อนแร่เหล็กจากดอยเหล็กมีปริมาณแร่เหล็กออกไซต์มากถึงร้อยละ 70 ตรงกับผลการสำรวจทางธรณีวิทยาบริเวณดอยเหล็กของกรมทรัพยากรธรณีเมื่อ ปี พ.ศ. 2500 เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับมาตรฐานสากลแล้วจะพบว่าแร่เหล็กดอยเหล็กเป็นเหล็กที่มีคุณภาพ ตามมาตรฐานขององค์กร “International Organization for Standard” มาตรฐานที่ “ISO/R1248-1970.E” ที่จัดแบ่งแร่เหล็กตามกลุ่มสี โดยแร่เหล็กที่ได้จากดอยเหล็กจัดเป็นแร่เหล็กสีแดง (Red Iron Ore) เกรด “B” ที่มีเหล็กออกไซต์ในก้อนแร่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70
ด้วยคุณภาพแร่เหล็กที่ดีทำให้ผลผลิตเหล็กของเมืองลองในท้องตลาดถือว่าเป็นเหล็กที่มีคุณภาพสูงดังปรากฏในงานกวีภาคเหนือช่วงพุทธศตวรรษที่ 25 หลายฉบับ เช่น ค่าวฉลองคุ้มเจ้าหลวงนครแพร่ของศรีวิไชยกวีในราชสำนักแพร่ เมื่อ พ.ศ.2453 ความว่า“...มีเจ็ดสิบสอง เหล็กลองกล๋มเกลี้ยงจดจันเจียงแซ่ไว้ ...ห้าสิบสอง เหล็กลองไหลดั้นข่ามคงกะพันมากนัก... ถ้วนเจ็ดสิบสอง เหล็กลองแข็งนักต๋ำหนักมิ่งแก้วมงคล...” หรือวลีในภาคเหนือของประเทศไทยที่มักกล่าวว่า “เหล็กดีเหล็กเมืองลอง ตองดีตองเมืองพะเยา” เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง :
ภูเดช แสนสา. “เมืองลอง : ความผันแปรของเมืองขนาดเล็กในล้านนาจากรัฐจารีตถึงปัจจุบัน,” .วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2552.
สุรพล นาถะพินธุ. รากเหง้า บรรพชนคนไทย : พัฒนาการทางวัฒนธรรมก่อนประวัติศาสตร์ .กรุงเทพฯ : มติชน, 2550.
ศรีศักร วัลลิโภดม. เหล็ก โลหปฏิวัติ เมื่อ 2,500 ปีมาแล้ว : ยุคเหล็กในประเทศไทย : พัฒนาการทางเทคโนโลยีและสังคม .กรุงเทพฯ : มติชน, 2548.
Carl Alfred Bock. Temples and Elephant The Narrative of a journal of Exploration through Upper Siam and Lao .New York: Cornell University Library, 1884.
Ineke Joosten. Technology of early historical iron production in the Netherland .Amsterdam : Vrije University, 2004.
Roberts, Benjamin W. and others, Archaeometallurgy in Global Perspective : Methods and Syntheses .NewYork : Springer, 2014.
"ศักย ขุนพลพิทักษ์" นิทรรศการเชิดชูเกียรติศิลปินอาวุโส ประจำปี 25642021 Honorary Art Exhibition Dedicated to Senior Artist "SAKAYA KHUNPOLPITAK"-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ระยะเวลา : ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน จนถึง 30 พฤษภาคม 2564 (ขยายเวลาจัดแสดงถึง 25 กรกฎาคม 2564)สถานที่ : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป เวลา 09.00 – 16.00 น. (ปิดวันจันทร์ – อังคาร)
๑. การเขียนภาพในเรื่องของพระอสุภกรรมฐานในแต่ละห้องภาพนั้น เน้นจุดเด่นคือตัวภาพที่บรรยายลักษณะของพระภิกษุกำลังพิจารณาสภาพซากศพในลักษณะต่างๆ ตัวภาพมีขนาดใหญ่อยู่บริเวณด้านล่างของแต่ละห้องภาพ ตัวภาพที่เขียนเป็นภิกษุจะมีการเขียนสีตัวภาพแล้วตัดเส้นแบบแผนโบราณ แต่ผ้านุ่งหรือจีวรมีการไล่น้ำหนักของสี แสดงให้เห็นถึงผ้าที่พริ้วและทับซ้อนเสมือนจริง ทั้งตัวภาพที่เป็นซากศพแต่ละลักษณะ ช่างก็เขียนไปในทางเสมือนจริงเช่นกัน การเขียนภาพในเรื่องเกี่ยวกับจริยวัตรของพระภิกษุเช่นนี้เป็นราชนิยมในช่วงรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมาซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในงานจิตรกรรมฝาผนัง โดยการกำหนดอายุของจิตรกรรมฝาผนังวัดเสม็ดนี้ก็คงไม่ได้พิจารณาในเรื่องเกี่ยวกับเรื่องราวของภาพเพียงอย่างเดียวจะต้องพิจารณาในเรื่องของเทคนิคหรือมุมมองของการเขียนภาพของช่างเขียนและองค์ประกอบอื่นๆร่วมด้วย เช่น อาคารสิ่งก่อสร้างที่ปรากฏ หรือ การเขียนตัวภาพที่มีต่างชาติร่วมด้วยทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ก็เป็นองค์ประกอบในการพิจารณาได้เช่นกัน ภาพที่ ๑ การเขียนภาพในเรื่องของพระอสุภกรรมฐาน ๒. การเขียนธรรมชาติ จิตรกรรมฝาผนังวัดเสม็ด เป็นการเขียนบรรยากาศโดยส่วนใหญ่มีมุมมองที่กว้างและลึกระยะใกล้ ไกล ไม่ว่าจะเป็นการเขียนท้องฟ้า ภูเขา ต้นไม้ หรือ ทะเล แม่น้ำ ช่างเขียนเป็นภาพลักษณะเสมือนจริงมีการไล่น้ำหนักแสงเงา ตามแบบแผนการเขียนภาพทางตะวันตก เนื่องจากในช่วงสมัยนั้นมีการนิยมการเขียนภาพลักษณะนี้ ทั้งยังเขียนภาพแบบมีระยะเช่นต้นไม้ที่อยู่ใกล้มีขนาดใหญ่ ต้นไม้ที่อยู่ระยะไกลออกไปมีขนาดที่เล็กลงเรื่อยตามลำดับ การเขียนใบไม้ใช้วิธีแต้มสี และกระทุ้งเพื่อไล่น้ำหนักอ่อนแก่เช่นเดียวกับแสงที่กระทบกับใบไม้ ภาพที่ ๒ การเขียนธรรมชาติ ๓. การเขียนภาพอาคารสิ่งก่อสร้างและวิถีชีวิต มีการเขียนอาคารในรูปแบบทางตะวันตกผสมผสาน เขียนภาพอาคารแบบภาพเปอร์สเปคทีฟ (Perspective)แสดงถึงความลึกทั้งยังใช้เรื่องของสี ร่วมด้วย คือในระยะที่ลึกเข้าไปภายในอาคารจะไล่น้ำหนักของสีใช้สีเข้มทึบดำเพื่อแสดงให้เห็นถึงความลึกเข้าไปภายในเสมือนกับแสงที่ไม่สามารถส่องเข้าไปได้ ทั้งยังมีการเขียนสอดแทรกวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยนั้นเข้าไปในภาพด้วย เช่นชีวิตของชาวเล การทำประมง รูปแบบเรือต่างๆ ซึ่งภาพที่ปรากฏนี้เป็นข้อมูลที่สามารถนำไปศึกษาค้นคว้าในเรื่องของประวัติศาสตร์ต่อไปได้อีกด้วยภาพที่ ๓,๔ การเขียนภาพอาคารสิ่งก่อสร้างและวิถีชีวิต ๔. มีการนำศิลปะ ๒ แขนง มาผสมผสานกัน ผนังด้านหน้าพระประธาน คือประติมากรรมและจิตรกรรม ภาพที่ ๕ การเขียนผสมผสาน ๕. ยังคงมีการเขียนตัวภาพแบบประเพณีอยู่ คือ ภาพเทพชุมนุม นักสิทธิวิทยาธร โดยเขียนเครื่องทรงอาภรณ์ มีชฎาผ้านุ่งตัดเส้นแบบไทยประเพณี และมีการเขียนคั่นภาพด้วยเส้นสินเทาภาพที่ ๖,๗ การเขียนตัวภาพแบบประเพณี