ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ
คนจากไหน ไทยทรงดำ
พระนครคีรี สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2402 ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ รัชกาลที่ 4 โดยมีเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้ซึ่งเคยออกแบบหมู่พระอภิเนาว์นิเวศ ในพระบรมหาราชวัง มาเป็นแม่กองในการก่อสร้าง ด้วยพระมหากรุณาธิคุณและพระอัจฉริยภาพขององค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อีกทั้งความปรีชาสามารถของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) จึงก่อให้เกิดพระราชวังนาม “พระนครคีรี” พระราชวังคู่บ้านคู่เมืองเพชรบุรีขึ้นมา
แต่ถึงอย่างนั้น “แรงงาน” ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดพระราชวัง “พระนครคีรี” โดยผู้ที่เป็นแรงงานสำคัญในการก่อสร้างพระราชวังในขณะนั้น คือ “ลาวทรงดำ” หรือ “ลาวโซ่ง” ในปัจจุบันก็คือกลุ่มชาติพันธุ์ “ไทยทรงดำ” “ไทดำ” หรือ “ไทยโซ่ง” และเพื่อเป็นการให้เกียรติและแสดงความขอบคุณที่ร่วมก่อสร้างพระราชวัง “พระนครคีรี” นี้ขึ้นมา ทางผู้จัดทำจึงได้รวบรวมข้อมูลและเรียบเรียงบทความนี้ขึ้นมา ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ ความเป็นมา และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำเท่านั้น เพราะหากศึกษาเรื่องราวของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำอย่างจริงจังแล้ว จะพบว่ามีเรื่องราวที่น่าสนใจและควรค่าแก่การศึกษาเป็นอย่างมาก สำหรับบทความครั้งนี้สรุปความได้ ดังนี้
ใคร?
ไทยทรงดำ ไทดำ ไทยโซ่ง ไตดำ ผู้ไตซงดำ ผู้ไทยดำ ลาวโซ่ง ลาวซ่ง ลาวซ่งดำ จะเรียกด้วยชื่ออะไรก็ตามในบทความนี้หมายถึงกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน โดยชื่อเรียกว่า ไทยทรงดำ ไทดำ ไทยโซ่ง ฯลฯ สันนิษฐานว่าน่าจะเรียกตามเนื้อผ้าที่นุ่งห่มเพราะชอบแต่งกายด้วยผ้าสีดำ เนื่องด้วยคำว่า “โซ่ง” แผลงมาจากคำว่า “ส้วง” ซึ่งมีความหมายว่า กางเกง อีกทั้งยังพบว่าทาง ไทยเวียง หรือ ลาวเวียง กลุ่มชาติพันธุ์ชาวลาวที่ย้ายถิ่นฐานจากเมืองเวียงจันทน์ มาบริเวณลุ่มน้ำภาคกลางของไทย บริเวณจังหวัดสุพรรณบุรี นครปฐม ก็เคยเรียกไทยทรงดำนี้ว่า “ลาวกุงเกง” หรือ “ลาวกางเกง” ดังนั้น ไทยทรงดำ ไทดำ ไทยโซ่ง ฯลฯ น่าจะมีความหมายว่า ชาวที่นุ่งกางเกงสีดำ
ตามข้อมูลที่ปรากฏในเอกสารการเรียกชื่อว่า “ไทยทรงดำ” จะเป็นที่ยอมรับจากกลุ่มชาติพันธุ์นี้มากกว่าที่จะเรียกพวกเขาว่า “ลาวทรงดำ” หรือ “ลาวโซ่ง” เพราะโดยส่วนใหญ่ในชุมชนมีความรู้สึกยินดีและยอมรับด้วยความภูมิใจว่าเขาเป็นไทยทรงดำมากกว่าชื่ออื่น หากมีการเรียกด้วยชื่ออื่นพวกเขาเหล่านั้นอาจจะมีความรู้สึกเขินอาย หรือไม่พอใจยอมรับได้นั้นเอง
กลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยทรงดำ นิยมแต่งกายด้วยชุดสีดำ หรือสีครามเข้มเกือบดำ ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายที่ผลิตใช้กันเองในชุมชน โดยอาชีพหลักของชาวไทยทรงดำ คือ ทำนา มีทั้งทำนาข้าวเหนียว ข้าวเจ้า นอกจากนี้ก็มีทำไร่ หาของป่า และเลี้ยงสัตว์ โดยมีอาชีพจักสานเป็นอาชีพรองอีกอย่างหนึ่งที่แพร่หลายมากในหมู่กลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยทรงดำ
เมืองเพชรบุรี เป็นจังหวัดหนึ่งที่กลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยทรงดำ ย้ายเข้ามาอาศัยหนาแน่นและเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยในอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี เนื่องด้วยลักษณะภูมิประเทศของอำเภอเขาย้อยในอดีตมีลักษณะเหมือนกับบ้านเมืองเดิม ที่อาศัยตามป่าเขา ส่วนอำเภออื่น ๆ ก็มีอยู่บ้างประปราย เช่น อำเภอเมือง แถบหนองพลับ เวียงคอย อำเภอบ้านแหลม ตำบลบางครก อำเภอบ้านลาด ตำบลห้วยข้อง เป็นต้น
มาจากไหน?
ชาวไทยทรงดำเดิมตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณเมืองแถงหรือเดียนเบียนฟูของประเทศเวียดนาม ในปัจจุบันบริเวณดังกล่าวในอดีต เรียกว่า แคว้นสิบสองจุไทย นอกจากนั้นยังกระจายตัวอยู่ตั้งแต่มณฑลกวางสี มณฑลยูนนาน มณฑลตังเกี๋ย ลุ่มแม่น้ำดำ และลุ่มแม่น้ำแดง
เข้ามาอย่างไร?
ชาวไทยทรงดำที่ย้ายเข้าในดินแดนของประเทศไทย ตามเอกสารพบว่ามีมาตั้งแต่ก่อนสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเข้ามาสร้างชุมชนอยู่ในหัวเมืองชั้นใน ทั้งโดยการอพยพเข้ามาเอง ถูกกวาดต้อน และถูกเกลี้ยกล่อมให้เข้ามา โดยสรุปสาเหตุสำคัญไว้ ดังนี้
1. ผลจากสงคราม กล่าวคือ ในบริเวณแคว้นสิบสองจุไทย เคยถูกพวกจีนฮ่อย กลุ่มชาติพันธุ์ชาวจีน บุกรุก ปล้นฆ่า และเผาบ้านเผาเรือน อีกทั้งแคว้นสิบสองจุไทยเป็นพื้นที่ที่ทัพจีนและญวนปะทะกัน จึงทำให้ชาวบ้านที่นั้นพลอยเดือดร้อนไปด้วย และเป็นเหตุทำให้ชาวบ้านที่นั่นต้องอพยพ
2. การกวาดต้อนของสยาม จากหลักฐานที่ปรากฏในเอกสารได้อธิบายถึงการเข้ามาอาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยทรงดำในจังหวัดเพชรบุรีอยู่ 3 ช่วงสำคัญด้วยกัน คือ
ช่วงที่ 1 ชาวไทยทรงดำ หรือลาวทรงดำ ถูกกวาดต้อนเป็นจำนวนมากมายังจังหวัดเพชรบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2322 ในสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดให้กองทัพสมเด็จพระมหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์พิษณวาธิชาชเข้าตีเวียงจันทน์ได้สำเร็จแล้ว ได้สั่งให้กองทัพเมืองหลวงพระบางไปตีเมืองทันต์ (เวียดนามเรียกว่า เมืองซือหงี) และเมืองม่วย โดยประชาชนสองเมืองนี้เป็นลาวทรงดำซึ่งอาศัยอยู่บริเวณริมเขตแดนเวียดนาม ซึ่งปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 1 ความว่า
“. . . ในจุลศักราช 1141 ปีกุน เอกศก (พ.ศ. 2322) . . . และให้กองทัพหลวงพระบางไปตีเมืองทันต์ ญวนเรียกว่าเมืองซือหงี เมืองม่วย สองเมืองนี้เป็นลาวทรงดำ (ผู้ไทยดำ) อยู่ริมเขตแดนเมืองญวน ได้ครอบครัวลาวทรงดำลงมาเป็นอันมาก พาครอบครัวลาวเวียง ลาวทรงดำลงมาถึงกรุง ในเดือนยี่ ปีกุน เอกศก (พ.ศ. 2322) นั้น ลาวทรงดำนั้นโปรดให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่เพชรบุรี ลาวเวียง ลาวหัวเมืองฟากโขง ตะวันตกก็โปรดให้ไปตั้งบ้านเมืองอยู่สระบุรี เมืองราชบุรีบ้าง ตามหัวเมืองตะวันตกบ้าง อยู่จันทบุรีบ้าง ก็มีเชื้อสายมาจนทุกวันนี้ . . .”
ช่วงที่ 2 สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้กวาดต้อนชาวลาวทรงดำ (ไทยทรงดำ) มาจากเมืองแถง หรือเมืองเดียนเบียนฟู ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ใน พ.ศ. 2335 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อไม่ให้ชาวลาวทรงดำ (ไทยทรงดำ) กลายไปเป็นกำลังคนของเวียดนาม จึงโปรดให้ไปอยู่ที่เมืองเพชรบุรีกับพวกที่อยู่ก่อนแล้ว
ช่วงที่ 3 สมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2373 พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ไปชำระรับครัวลาวที่เมืองหลวงพระบาง กวาดต้อนรวบรวมมาจากหัวเมืองลาวต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก โดยประมาณหนึ่งหมื่นหกพันคนเศษ และทรงโปรดให้ไปอยู่ตามพวกที่เคยอยู่มาก่อน
ต่อมาใน พ.ศ. 2379 เมื่อหัวเมืองลาวต่าง ๆ เริ่มพากันอ่อนน้อมขอขึ้นกับกองทัพไทย โดยทางกรุงเทพฯ ได้ให้เมืองเหล่านั้นอยู่ภายใต้การดูแลของเมืองหลวงพระบาง และในบางคราวที่เมืองบางเมืองคิดต่อต้านเมืองหลวงพระบาง เจ้าอุปราชเจ้าราชวงศ์เมืองหลวงพระบาง จึงสั่งยกทัพไปตีเมืองเหล่านั้น และกวาดต้อนเหล่าชาวลาวทรงดำมายังที่กรุงเทพ โดยในคราวนี้ปรากฏหลักฐานในพงศาวดารเมืองหลวงพระบาง ความว่า
“. . . ศักราช 1198 ปีวอก อัฐศก (พ.ศ. 2379) เจ้าอุปราชเจ้าราชวงศ์มี ศุภอักษรแต่งให้เจ้าอุ่นแก้วคุมดอกไม้เงินดอกไม้ทองลงมา ณ กรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่า เจ้าอุปราชหรือเจ้าราชวงศ์ คงจะตั้งเป็นเจ้าเมืองหลวงพระบางคนหนึ่งจึงโปรดตั้งเจ้าอุ่นแก้วบุตรเจ้านครหลวงพระบางอนุรุธที่ 5 เป็นเจ้าน้องอุปราชราชไภยเป็นที่ราชวงศ์ขึ้นไปรักษาบ้านเมือง ครั้นเจ้าอุปราชเจ้าราชวงศ์ปลงศพเจ้าเมืองหลวงพระบางเสร็จแล้ว พวกเมืองหึม เมืองคอย เมืองควร ตั้งขัดแข็งต่อเมืองหลวงพระบาง เจ้าอุปราชเจ้าราชวงศ์แต่งให้ท้าวพระยาคุมกองทัพขึ้นไปตีจับได้ลาวทรงดำ (ผู้ไทยดำ) แต่งให้พระยาศรีมหานามคุมลงมา ณ กรุงเทพฯ ครั้งหนึ่งฯ . . .”
และอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2381 เจ้าอุปราชวิวาทกับเจ้าราชวงศ์ เจ้าราชวงศ์จึงคุมชาวลาวทรงดำลงมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารที่กรุงเทพฯ ตามที่ปรากฏหลักฐานในพงศาวดารเมืองหลวงพระบาง ความว่า “. . . ศักราช 1200 ปีจอ สัมฤทธิศก (พ.ศ. 2381) เจ้าอุปราชเจ้าราชวงศ์ มีความวิวาทกันลงมา ณ กรุงเทพฯ . . .”
เป็นอีกครั้งที่ลาวทรงดำ (ไทยทรงดำ) ที่ถูกกวาดต้อนอพยพลงมาที่กรุงเทพฯ ซึ่งทั้งสามคราวดังที่กล่าวมานี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้ไปตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองเพชรบุรี ซึ่งเป็นเมืองที่มีการอพยพชาวลาวทรงดำ หรือ ไทยทรงดำ อยู่ก่อนแล้ว
ทำไมต้องเป็นเพชรบุรี
เมืองเพชรบุรี เป็นเมืองเก่าแก่และมีความสำคัญมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในฐานะหัวเมืองชั้นในที่มีความสำคัญ ซึ่งการที่ชาวลาวถูกกวาดต้อนและอพยพเข้ามา โดยทางการได้ส่งไปอยู่ตามหัวเมืองต่าง ๆ นั้น จุดมุ่งหมาย คือ ต้องการให้ชาวลาวได้อยู่รวม ๆ กันและมีแหล่งที่อยู่อาศัยตามลักษณะภูมิประเทศเดิม เพื่อความสะดวกในการควบคุมดูแลและเพื่อสร้างบรรยากาศความสบายใจให้แก่ชาวลาว เช่น ลาวทรงดำ (ไทยทรงดำ) ที่เข้ามาอยู่ที่เมืองเพชรบุรีที่มีป่าเขาเหมือนบริเวณที่ราบสูงถิ่นเดิมของชาวลาวทรงดำ (ไทยทรงดำ)
นอกจากนั้นในเชิงยุทธศาสตร์การที่กวาดต้อนชาวลาวไปยังหัวเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะหัวเมืองชั้นใน เช่น เมืองกาญจนบุรี เมืองฉะเชิงเทรา หรือเมืองเพชรบุรี ก็เพราะว่า
1. เมืองเหล่านี้อยู่ไกลจากแหล่งที่อาศัยเดิมของชาวลาว เพื่อป้องกันการหลบหนีกลับไปบ้านเมืองลาว
2. เมืองเหล่านี้เป็นเมืองหน้าด่านป้องกันราชธานี เหมาะเป็นที่ระดมคนและเพิ่มพูนกำลังรบ เป็นเมืองชุมทาง เมืองศูนย์กลางที่กองทัพจากหัวเมืองต่าง ๆ ถูกเกณฑ์ให้ไปสมทบในราชการสงคราม หรือเป็นเมืองทางผ่านเมื่อมีข้าศึกยกทัพมา
วัตถุประสงค์ในการกวาดต้อนเข้ามา
โดยวัตถุประสงค์ในการกวาดต้อนชาวลาวเข้ามา ตามเอกสารอธิบายเกี่ยวกับประเด็นนี้ไว้ 2 ประเด็นสำคัญ คือ ต้องการกำลังคน และต้องการแรงงาน
1. ต้องการกำลังคน แม้ว่าการป้องกันบ้านเมืองเป็นหน้าที่สำคัญของเหล่ามูลนายและไพร่ไทย แต่เนื่องจากกำลังคนไม่เพียงพอ ดังนั้นชาวต่างด้าวที่ตั้งหลักแหล่งในราชอาณาจักรสยาม เช่น ชาวเขมร มอญ และลาว เป็นต้น จึงมีหน้าที่ต้องรับใช้ประเทศป้องกันข้าศึกศัตรูด้วย
“ไทยทรงดำ” ชาวลาวจะถูกเกณฑ์เพื่อใช้เป็นกำลังรบสมทบให้กับกองทัพจากราชธานีหรือหัวเมืองอื่นตามแต่โอกาสและเหตุการณ์ ยกตัวอย่างในปี พ.ศ. 2394 ช่วงต้นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ราชอาณาจักรสยามกำลังเผชิญภัยจากการคุกคามของลัทธิจักรวรรดินิยมจากชาวตะวันตก เพื่อเตรียมความพร้อมพระองค์ทรงโปรดให้มีการฝึกหัดชายรุ่นหนุ่ม ทั้งชาวไทยและชาวต่างด้าวในด้านการรบ โดยเฉพาะฝึกหัดวิชาการอาวุธ และหนึ่งในชาวต่างด้าวที่ถูกเกณฑ์ให้ไปเป็นกำลังรบ เพื่อทำหน้าที่ป้องกันประเทศนั้น คือ กลุ่มชาติพันธุ์ “ไทยทรงดำ” ที่อาศัยอยู่ที่เมืองเพชรบุรี ตามที่ปรากฏในสารตราว่าด้วยเกณฑ์ลูกหมู่เมืองราชบุรี เพชรบุรี ไว้ว่า
“. . . โปรดเกล้าฯ จะให้ฝึกหัดวิชาการอาวุธขึ้นไว้ให้ชำนิชำนาญในการยุทธสำหรับจะได้ป้องกันขอบขันฑเสมา และทั้งจะได้เป็นที่เฉลิมพระเกียรติ . . ."
2. ต้องการแรงงาน เพื่อทดแทนพลเมืองที่เสียชีวิตเนื่องจากสงครามให้เพียงพอต่อการพัฒนาประเทศในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ เมื่อบ้านเมืองตกสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ข้าวยากหมากแพง พลเมืองบางส่วนต้องอดตายเพราะอดอาหาร เนื่องจากขาดแคลนแรงงานในการผลิต ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงแก้ปัญหาเรื่องนี้ โดยการเพิ่มกำลังการผลิตทางการเกษตรให้มากขึ้นเพียงพอต่อการบริโภค รวบรวมผู้คนมาเพิ่มเติมทดแทนเพื่อให้มีจำนวนมากพอ แม้จะเป็นพลเมืองชาวลาวหรือการกวาดต้อนเชลยศึก
นอกจากจะเกณฑ์ชาวลาว หรือชาวไทยทรงดำ ใช้เป็นแรงงานเพื่อการเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในการผลิตแล้ว ชาวลาว หรือชาวไทยทรงดำยังถูกเกณฑ์เป็นแรงงานเพื่อใช้งานในกรณีพิเศษอีกด้วย อย่างการเกณฑ์แรงงานเพื่อทางราชการ นั้นคือ แรงงานเพื่อการก่อสร้าง ซึ่งงานดังต่อไปนี้นับได้ว่าเป็นคุณประโยชน์และมีความสำคัญอย่างยิ่งตลอดจนถึงปัจจุบัน
ยกตัวอย่าง การก่อสร้างพระราชวังที่เมืองเพชรบุรี “พระนครคีรี” พระราชวังในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2402 โดยแรงงานสำคัญในการสร้างพระนครคีรีนั้นเป็นแรงงานจาก “ลาวทรงดำ” หรือ “ลาวโซ่ง” ในปัจจุบันก็คือกลุ่มชาติพันธุ์ “ไทยทรงดำ” “ไทดำ” หรือ “ไทยโซ่ง” ซึ่งเป็นกำลังแรงงานหลักของราชการในช่วงเวลานั้น โดยชาวไทยทรงดำและกลุ่มชาติพันธุ์ลาวอื่น ๆ ได้ถูกอพยพกวาดต้อนเข้ามาในสยามในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี และสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะที่เมืองเพชรบุรีเป็นที่ตั้งถิ่นฐานสำคัญของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำ (ลาวทรงดำ) ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้เป็นทั้งแรงงานในการก่อสร้างและเป็นผู้รับใช้บนพระนครคีรีอีกด้วย
บทความข้างต้นแม้ว่าในอดีตของชาวไทยทรงดำจะถูกเรียกว่าเป็น “ชาวต่างด้าว” ซึ่งถูกกวาดต้อนให้อพยพออกจากถิ่นฐานเดิมบ้าง เป็น “เชลยศึก” จากสงครามบ้าง หรือแม้แต่คำว่า “แรงงาน” ก็ตาม แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่กลไกทางสังคมที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น เพราะในปัจจุบันสิทธิและศักดิ์ศรีของเป็นชาวไทยทรงดำ ก็มีเท่าเทียบไม่ต่างอะไรกับคนไทย ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีพ่อแม่เป็นคนเชื้อสายใด หากเกิดในเมืองไทย เรียนหนังสือไทย อ่าน พูด และใช้ภาษาไทย ก็ย่อมต้องมีศักดิ์ศรีของความเป็นคนไทยเหมือนกัน และที่สำคัญทุกคนต่างมีศูนย์รวมดวงใจ ณ ที่แห่งเดียวกัน คือ ความเป็นพสนิกรของในหลวงองค์เดียวกันนั้นเอง
เอกสารสำหรับการค้นคว้า
1. บังอร ปิยะพันธุ์. (2541). ลาวในกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย.
2. ถวิล เกษรราช. (2548). เรื่องราวจาวไตโซ่งในดินแดนสยาม. นครปฐม : หนังสือมูลนิธิไทยทรงดำประเทศไทย.
3. สุนันท์ อุดมเวช. (๒๕34). “ไทยทรงดำ ชนเผ่าไทยในเพชรบุรี”, บทความทางวิชาการวารสารเมืองโบราณ, ปีที่ 17 ฉบับที่ 4 (ตุลาคม – ธันวาคม).
4. ณรงค์ อาจสมิติ. (๒๕55). “รัฐชาติ ชาติพันธุ์ และอัตลักษณ์ไทดำ”, บทความทางวิชาการวารสารสังคมวิทยามานุษยวิทยา, ปีที่ 31 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม).
วันที่ 12 ตุลาคม 2566 เวลา 08.09 น. ร้อยเอก บุณยฤทธิ์ ฉายสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี หัวหน้าส่วน และเจ้าหน้าที่หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ ร่วมพิธีบวงสรวงถวายทองคำปิดพระรัศมีองค์พระพุทธปฏิมากรหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร และพิธีถวายทองพระเกตุมาลา ณ พระวิหารหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีพระธรรมพุทธิมงคล ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 14 เป็นประธานนำจุดเทียนเปิดพิธี นายธีรยุทธ์ จันทร์ดิษฐวงษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี นายสรชัด สุจิตต์ สมาชิกผู้แทนราษฎรจังหวัดสุพรรณบุรี เขต1 พรรคชาติไทยพัฒนา เข้าร่วมพิธีดังกล่าวด้วย
ชื่อเรื่อง มหาสมยสุตฺต (มหาสมัยสูตร)สพ.บ. 454/1หมวดหมู่ พุทธศาสนาหัวเรื่อง พุทธศาสนา--บทสวดมนต์ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 28 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 37 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม ภาษาบาลี เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
สำนักการสังคีต กรมศิลปากร ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ขอเชิญชมการแสดงละคร เรื่อง "เลือดสุพรรณ" บทประพันธ์ของพลตรี หลวงวิจิตรวาทการ วันพุธที่ 4 กันยายน 2567 เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุมพะนอมแก้วกำเนิด อาคารสุเมธตันติเวชกุล มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี นำแสดงโดย ศิลปินสำนักการสังคีต, กำกับการแสดงโดย ปกรณ์ พรพิสุทธิ์, อำนวยการแสดงโดย ลสิต อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักการสังคีต
ผู้สนใจสามารถเข้าชมการแสดงได้ฟรี สำรองที่นั่งด้วยการสแกน QR Code ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันวิจัยและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี โทร. 0 3270 8608
ประกาศ
For English please see below,
----------------------------------------
วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๗
วันพ่อแห่งชาติ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เปิดให้บริการตามปรกติ
สอบถามเพิ่มเติมกรุณาติดต่อผ่านกล่องข้อความ
---------------------------------------
Announcement
On the occasion of
National Father's Day
Thursday 5th December 2024
The National Museum Bangkok will be opened as usual.
For more information, please leave your message via inbox
โครงการจัดทำองค์ความรู้
เรื่องหลักและวิธีการบรรเลง
เพลงไทย:กรณีศึกษาเพลงวา
และเพลงกราวรำผู้เรียบเรียง นางบุญตา เขียนทองกุล
นักวิชาการละครและดนตรีเชี่ยวชาญ
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ. 76/4หมวดหมู่ พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 40 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 57 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลานได้รับจาก วัดประดู่ทรงธรรม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อเรื่อง วิธีว่าความแพ่งแลอาญาผู้แต่ง สุขุมวินิจฉัย, พระ (หลวงสัณหกิจวิจารณ์)ประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ กฎหมายเลขหมู่ 347.07 ส745วสถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ กรุงเทพฯเดลิเมล์ปีที่พิมพ์ 2458ลักษณะวัสดุ 108 หน้าหัวเรื่อง การพิจารณาและตัดสินคดีภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก เป็นหนังสือประมวลการว่าความในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กล่าวถึงการว่าความควรทำอย่างไร, เทคนิคการว่าความ, การปฏิบัติตนก่อนขึ้นศาล, การสืบพยานในฝ่ายโจทย์หรือจำเลย, การซักพยาน, การแถลงสำนวน, การเป็นทนายโจทย์และจำเลยในคดีอาญา
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ. 94/2หมวดหมู่ พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 82 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 54 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก วัดประดู่ทรงธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อเรื่อง : โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี
หัวเรื่อง : ตากสินมหาราช, สมเด็จพระเจ้า, 2277-2325
กวีนิพนธ์ไทย
โคลง
คำค้น : -
รายละเอียด : พิมพ์เป็นที่ระลึกในงานฌาปนกิจศพ หม่อมแช่ม สุประดิษฐ ณ กรุงเทพ ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิษณุนารถนิภาธร เมื่อปีจอ พ.ศ. 2465
ผู้แต่ง : นายสวนมหาดเล็ก
แหล่งที่มา : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร
ปีที่พิมพ์ : 2465
วันที่เผยแพร่ : 19 เมษายน 2568
ผู้ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน : -
ลิขสิทธิ์ : -
รูปแบบ : PDF.
ภาษา : ภาษาไทย
ประเภททรัพยากร : หนังสืออนุสรณ์งานศพ
ตัวบ่งชี้ : -
รายละเอียดเนื้อหา : โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรีนี้ มีทั้งหมด 85 บท ให้ความรู้ด้านโบราณคดีเป็นอย่างดี โดยโคลงขึ้นต้นด้วยการบอกชื่อผู้แต่ง เวลาที่แต่ง ความมุ่งหมายในการแต่ง แล้วกล่าวพรรณนาสรรเสริญพระเจ้าตากสินมหาราชว่า ทรงพระปรีชาสามารถ และทรงทะนุบำรุงพุทธศาสนา และพรรณนาถึงบ้านเมือง โรงสรรพยุทธ์ โรงช้าง โรงม้า ชมความงามของพระสนม ตอนท้ายขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครองสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง
เลขทะเบียน : น. 34 บ. 6481 จบ. (ร.)
เลขหมู่ : ห
895.9113
น476ค