ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,789 รายการ
พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายพงษ์ทอง ทองเจือ ณ เมรุวัดธาตุทอง พระโขนง วันที่ ๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๑๕
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เจ้านายพระองค์สำคัญในพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงเป็นที่รู้จักของอนุชนรุ่นหลัง ด้วยพระเกียรติคุณมากมาย ในทางศิลปะ ทั้งสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ดนตรี ตลอดจนประวัติศาสตร์ และโบราณคดี ปรากฏผลงานมากมายเป็นที่ประจักษ์จนถึงปัจจุบันนี้ อย่างเช่น พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ภาพจิตรกรรมในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร พระอุโบสถ และภาพจิตรกรรมภายในพระวิหาร วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ฯลฯ ผลงานต่างๆ ที่ทรงสร้างสรรค์มากมายหลายด้าน ทำให้บรรดาศิษย์ และอนุชนรุ่นหลังขนานนามยกย่องว่า เป็น “สมเด็จครู” นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม
ผลงานที่ยังคงเหลืออยู่เป็นประจักษ์พยานในความสามารถทางศิลปะของพระองค์อย่างหนึ่ง คือ ตาลปัตร และพัดรอง ซึ่งทำขึ้นในโอกาสต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยพิธีสงฆ์ โดยมีความนิยมมาตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ออกแบบพัดรองที่ระลึก สำหรับงานพระราชพิธีต่างๆ หลายโอกาส ด้วยความสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ และสื่อความถึงวาระโอกาสนั้นๆ การออกแบบพัดรองถวายพระสงฆ์ จึงได้ขยายออกไปสู่บรรดาพระราชวงศานุวงศ์ และบุคคลสำคัญอื่นๆ ด้วย
ผลงานพัดรองที่ระลึกของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ นอกจากเป็นของที่ทำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย และ ยังทรงรับออกแบบให้กับเจ้านายพระองค์ต่างๆ อีกจำนวนหนึ่ง นับตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ กระทั่งมาจนถึงรัชกาลที่ ๘
ในปีพุทธศักราช ๒๔๘๑ สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ฯ กรมหลวงเพ็ชรบุรีราชสิรินธร ในรัชกาลที่ ๘ สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑ ขณะพระชนม์ได้ ๕๔ พรรษา โปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง พระศพไว้ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ก่อนจะมีงานพระเมรุพระราชทานเพลิงพระศพ ในพุทธศักราช ๒๔๘๔ ซึ่งในงานพระเมรุครั้งนี้ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงออกแบบ พัดรองสังเค็ด สำหรับงานพระเมรุคราวนั้นอีกครั้ง แม้จะทรงมีพระชนมายุมากถึง ๗๐ กว่าพรรษาแล้ว ก็ยังทรงพระอุตสาหะร่างแบบพัดรองขึ้น ก่อนจะให้ผู้รับผิดชอบนำไปเพิ่มเติมรายละเอียดแก้ไขต่อไป ซึ่งน่าสนใจว่า พัดรองคราวนั้น ได้ทรงออกแบบมาให้เกี่ยวข้องกับเมืองเพชรบุรีด้วย
รูปพัดรองดังกล่าว มีลักษณะ เป็นพัดผ้าแพรสีเขียวอ่อน อันเป็นสีวันประสูติ คือวันพุธ ขอบสีเขียวตองอ่อน ส่วนของนมพัดส่วนบน เขียนเป็นรูปพระเจดีย์ทรงลังกาสีขาวอยู่ตรงกลาง ตั้งอยู่บนเนินเขาสีเขียวตองอ่อน ซึ่งมีใบตาลเป็นแฉกประดับอยู่ ถัดลงมาใต้เนินเป็นอักษรโลหะ ที่ออกแบบเพื่อให้เป็นรูป ว.อ. อันย่อมาจากพระนาม “วไลยอลงกรณ์” ประดับอยู่ โดยมีตัวเลขไทย ๒๔๒๗ และ ๒๔๘๑ อยู่ถัดมาทางซ้ายและขวาของอักษรย่อนั้น อันหมายถึงปีประสูติ และสิ้นพระชนม์ของ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าวไลยองกรณ์ฯ กรมหลวงเพ็ชรบุรีราชสิรินธร
พระเจดีย์ทรงระฆังสีขาว ซึ่งเป็นภาพหลักในพัดรองดังกล่าว มีรูปลักษณะเดียวกันกับ พระธาตุจอมเพชร ปูชนียสถานสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองเพชรบุรี ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นบนยอดเขามหาสวรรค์ ในเวลาเดียวกันกับที่โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระราชวังขึ้น บนเขาลูกเดียวกันนี้ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๐๒ ที่มาของพระเจดีย์องค์นี้ ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ (ขำ บุนนาค) ความตอนหนึ่งระบุว่า “.... เขาอีกยอด ๑ โปรดให้ก่อหุ้มพระเจดีย์เก่าขึ้นอีกองค์ ๑ ฐาน ๑๐ วา สูง ๑ เส้นให้ชื่อพระธาตุจอมเพ็ชร์....” ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของพระเจดีย์ทรงระฆัง เป็นเจดีย์ซึ่งมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจ กล่าวคือ เป็นเจดีย์ทรงระฆังขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บานประทักษิณ ๒ ชั้น และภายในองค์เจดีย์ เป็นโถง ที่มีเสาก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่รองรับน้ำหนักองค์เจดีย์ส่วนยอดไว้
พระธาตุจอมเพชร นับว่าเป็นลักษณะที่นิยมสร้างขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยพระองค์ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า เจดีย์ในลักษณะดังกล่าว เป็นเจดีย์ที่มีการถ่ายทอดรูปแบบมาแต่ครั้งโบราณ ดังปรากฏกระแสพระราชดำริว่าด้วยการสร้างพระเจดีย์ทรงระฆังที่ทรงถือว่าเจดีย์ทรงดังกล่าวเป็นทรงที่ถูกต้องและเป็นรูปแบบที่ได้รับการพัฒนาสืบต่อมาจากลังกา ซึ่งแสดงให้เห็นความเก่าแก่สืบเนื่องมาแต่ครั้งพุทธศาสนาตั้งอยู่ในอินเดีย ก่อนจะเข้ามาสู่ลังกาและสยามประเทศ
พระธาตุจอมเพชร เป็นพระเจดีย์ทรงลังกาองค์ใหญ่ ที่สามารถมองเห็นได้แต่ไกล และด้วยนามที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานว่า “จอมเพชร” อันจะมาจากพระราชประสงค์ ที่จะให้เป็นปูชนียสถานอันยิ่งใหญ่ของเมืองเพชรบุรีนั้น คล้องกันกับพระนามกรมของสมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ฯ ซึ่งทรงกรมที่ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร นั่นเอง จึงทำให้สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเลือกมาเป็นภาพประกอบพัดรองในงานพระศพเจ้าฟ้าพระองค์นั้น
พัดรองงานพระเมรุ สมเด็จฯเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ฯ กรมหลวงเพ็ชรบุรีราชสิรินธร ที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวสาอัยยิกาเจ้า นั้นยังเป็นพัดรอง ๑ ใน ๓ เล่มสุดท้าย ที่สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบ โดยนอกจากพัดรองดังกล่าว ยังมีพัดรองงานพระศพ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุษบัณบัวผัน และงานศพหม่อมเชื้อ วัฒนวงศ์ ณ อยุธยา
ดังได้กล่าวข้างต้นว่า ขณะที่ทรงออกแบบพัดรองนั้น สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงมีพระชนมายุถึง ๗๗ พรรษาแล้ว หม่อมเจ้าดวงจิตร จิตรพงศ์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
“...ในชั้นหลังนี้ไม่สามารถจะทรงเขียนอย่างวิจิตรได้ดังแต่ก่อน ด้วยพระเนตรไม่ดีเสียแล้ว จึงต้องทรงเขียนลัดให้เป็นแบบง่ายๆ เสียเป็นพื้น ...ขณะนั้น มีพระชันษาได้ ๗๗ ปีแล้ว เมื่อทรงเขียนสองเล่มแรก ก็ไม่สู้เดือดร้อน ด้วยเป็นลายง่ายๆ และไม่ใช่สำคัญ แต่พัดเล่มสุดท้ายนั้นเป็นพัดสำหรับใช้ในงานใหญ่ จึงอยากจะทรงเขียนถวายสนองพระเดชพระคุณให้ดีที่สุด ดังเช่นที่ได้เคยเขียนทูลเกล้าฯ ถวายแล้วมาแต่ก่อน แต่ก็ไม่สามารถเขียนได้ดังพระทัยปรารถนา ด้วยเวลาที่ทรงเขียนนั้น ทอดพระเนตรเส้นไม่เห็นเลย ต้องใช้แว่นขยายส่องขีดทีละเส้นด้วยความลำบาก เมื่อทรงเขียนเสร็จแล้วก็ไม่ดีสมพระทัย รู้สึกพระองค์ว่าเสื่อมความสามารถเสียแล้ว ตั้งแต่นั้นมาจึงไม่ทรงรับเขียนประทานผู้ใดอีก คงแต่ประทานแนวความคิดแก่ผู้ที่ทูลปรึกษาเท่านั้น...”
อ้างอิง
ศิลปากร, กรม. ตาลปัตร ฝีพระหัตถ์สมเดจฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติ
วงศ์. ๒๕๕๓, กรุงเทพฯ : ริเวอร์บุ๊ค.
สุรศักดิ์ เจริญวงศ์. สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ “สมเด็จครู”
นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม. ๒๕๔๙,กรุงเทพฯ : มติชน.
วรรณกรรมและประวัติศาสตร์, สำนัก. ราชสกุลวงศ์. พิมพ์ครั้งที่ ๑๔. ๒๕๕๔,
กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร .
ศิลปากร, กรม. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ของ
เจ้าพระยาทิพากรวงษ์ ฯ (ขำ บุนนาค). ๒๕๖๑, กรุงเทพฯ :
อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.
พัสวีสิริ เปรมกุลนันท์. วัด – วัง ในพระราชประสงค์พระจอมเกล้าฯ. ๒๕๖๐,
กรุงเทพฯ : มติชน.
วสันต์ ญาติพัฒ
ภัณฑารักษ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี : เรียบเรียง
-ขอบคุณภาพประกอบจาก
๑.รูปพัดวไลย จากเพจ "สมเด็จครู" https://www.facebook.com/HRHPrinceNaris
๒.รูปพระธาตุจอมเพชร ของพิพิธภัณพสถานแห่งชาติ พระนครคีรี
#เครื่องมือเครื่องใช้ในภาคเหนือ จ้อง ภาษาล้านนาใช้เรียก ร่ม เป็นเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับกันแดดกันฝน จ้องในภาคเหนือมักทำจากกระดาษสาแล้วทาด้วยน้ำมันมะพอก ซึ่งมีคุณสมบัติเพื่อกันไม่ให้น้ำเกาะค้างบนกระดาษสา ส่วนตัวคันร่มทำจากไม้ไผ่รวก แหล่งที่ทำร่มหรือจ้องที่มีชื่อเสียงคือ ร่มบ่อสร้าง เนื่องจากในอดีตร่มบ่อสร้างนั้นมีการนำร่มจากบ้านสันต้นแหนมาลงสีสันให้สวยงาม ผู้คนจึงสะดุดตาและจดจำว่าร่มหรือจ้องต้องจากบ่อสร้าง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่. ภาพชุด การประกวดภาพเก่าเกี่ยวกับจังหวัดลำพูน (เจ้าของภาพ น.ส. บัวเขียว เพชรรัตน์)อ้างอิง :๑. มณี พยอมยงค์. ๒๕๔๖. สารพจนานุกรมล้านนา. เชียงใหม่: ดาวคอมพิวกราฟิก.๒. ธันวดี สุขประเสริฐ.๒๕๖๔.ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) (Online). https://www.sac.or.th/.../trad.../th/equipment-detail.php.... สืบค้นเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๔.
ชื่อเรื่อง ฌาปนกิจฺจานิสํสกถา (สลองปงสบ)
สพ.บ. 306/1ก
ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลาน
หมวดหมู่ พุทธศาสนา
ลักษณะวัสดุ 36 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 58.7 ซม.
หัวเรื่อง พุทธศาสนา
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม-ธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทย-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจาก วัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
วินยธรสิกฺขาปทวินิจฺฉย (วินยสิกฺขาปทวินิจฺเฉยฺย)
ชบ.บ.96/1-7
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เลขทะเบียน : นพ.บ.310/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4 x 51.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 125 (302-305) ผูก 1 (2565)หัวเรื่อง : เทวทูตสุตฺต(เทวทูตสูตร)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เจดีย์บนเขาล้อน
เจดีย์องค์นี้ตั้งอยู่บนยอดเขาล้อน ในพื้นที่หมู่ ๑ บ้านปากบางสะกอม ตำบลสะกอม อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา
มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงระฆังก่ออิฐถือปูน ส่วนองค์ระฆังมีลักษณะยืดสูง รองรับส่วนยอดซึ่งปลายยอดนั้นหักหายไป
โดยมีเรื่องราวในท้องถิ่นเล่ากันว่าเมื่อสร้างยอดเจดีย์สำเร็จเมื่อใดก็จะถูกฟ้าฝ่าพังลงมาทุกครั้ง เจดีย์องค์นี้จึงไม่มียอดมาจนปัจจุบัน และยังมีเรื่องราวของถ้ำในบริเวณหน้าผาริมทะเลซึ่งเล่ากันว่าเดิมเต็มไปด้วยถ้วยชามซึ่งชาวบ้านสามารถหยิบยืมไปใช้งานได้ แต่ต่อมาถ้ำปากถ้ำแห่งนี้ได้ปิดลงกลายเป็นหน้าผาอย่างในปัจจุบัน
สำหรับอายุสมัยของเจดีย์องค์นี้เดิมอาจเก่าแก่ถึงสมัยอยุธยา แต่ในเวลาต่อมาเจดีย์องค์เดิมคงทรุดโทรมลงจึงมีการบูรณะขึ้นใหม่จนปรากฏรูปทรงในศิลปะรัตนโกสินทร์ผสมผสานกับศิลปกรรมท้องถิ่น ในราวสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา
จากจุดที่ตั้งเจดีย์ยังสามารถชมทิวทัศน์ทั้งทะเลอ่าวไทย ชายหาดสะกอม หาดพร้าว และเกาะขาม ที่สวยงาม รวมทั้งมีจุดถ่ายภาพบริเวณปลายแหลมขามซึ่งเป็นหน้าผาหินขนาดใหญ่อีกด้วย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เรียบเรียง/ภาพถ่าย: นายสารัท ชลอสันติสกุล นักโบราณคดีชำนาญการ
ชื่อผู้แต่ง หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร
ชื่อเรื่อง คุณค่าของเอกสารโบราณ
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ กรงเทพฯ
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์การศาสนา
ปีที่พิมพ์ ๒๕๑๒
จำนวนหน้า ๕๒ หน้า
รายละเอียด เป็นหนังสือจากการจัดการอภิปรายในพิธีเป็นนิทรรศการเอกสารโบราณ ระหว่างวันที่ ๑ พฤศจิกายน - ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ มีเนื้อหา ๔ เรื่องได้แก่ประโยชน์ของเอกสารโบราณ เอกสารโบราณสัมพันธ์กับโบราณคดีอย่างไร ลักษณะเอกสารโบราณสมัยและองค์ประกอบของเอกสารโบราณ
โดย วิทยากร ๔ ท่าน ได้แก่ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ชินอยู่ที่ ตรี อมาตยกุลและพิฑูรมลิวัลย์
วิดีทัศน์ เรื่อง : "กู่สวนแตง อีกหนึ่งเพชรเม็ดงาม แห่งแดนดินปราสาทหิน ถิ่นภูเขาไฟ"https://fb.watch/cH7_cIXGC0/
ย้อนกลับไปเมื่อ 115 ปี ก่อน นักสำรวจชาวฝรั่งเศส เอเจียน เอ็ดมองต์ ลูเนต์ ลาจองกิเยร์ ได้พบปราสาทหลังนี้เป็นครั้งแรก การค้นพบกู่สวนแตงของ ลาจองกิเยร์ ในครั้งนั้น ทำให้เราทราบว่า “ปราสาทประธานมีทับหลัง เป็นรูปศิวนาฏราช ส่วนทับหลังด้านอื่นๆ สลักภาพพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ สลักภาพกูรมาวตาร (พระนารายณ์อวตารเป็นเพื่อรองรับมันทรคีรี ในพิธีกวนเกษียรสมุทร) สลักภาพวามนาวตาร (พระนารายณ์อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย) สลักภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ และสลักภาพเทวดาประทับนั่งเหรือหน้ากาล” ซึ่งปัจจุบัน ทับหลังที่พบ จัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ตัดต่อ เรียบเรียงนำเสนอ โดย นายวรรณพงษ์ ปาละกะวงษ์ ณ อยุธยา นักโบราณคดีปฏิบัติการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา
พระโพธิสัตว์อุษณีษวิชัย
ศิลปะทิเบต พุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐
ของหลวงพระราชทานยืม เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ ๒๔๗๐
ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องเอเชีย อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ประติมากรรมพระโพธิสัตว์อุษณีษวิชัย (Usnīsa vijaya) พระโพธิสัตว์เพศหญิง ส่วนพระเศียรทรงอุณหิศ (กระบังหน้า) ประดับตาบสามเหลี่ยม มีสามพระพักตร์ แต่ละพระพักตร์มีสามพระเนตร พระกรรณทรงกุณฑลเป็นห่วงกลม ทรงพระภูษาพาดคลุมพระพาหาทั้งสองข้าง และทรงเครื่องประดับ อาทิ กรองศอ สร้อยสังวาล พระโพธิ์สัตว์มีแปดพระกร สองพระกรด้านหน้าสุดแสดงธรรมจักรมุทรา ประทับขัดสมาธิเพชรบนฐานปัทม์
พระโพธิสัตว์อุษณีษวิชัย หรือในทิเบตเรียกนามพระโพธิสัตว์องค์นี้ว่า “นัมจัลมา” (Namgyelma) เป็นหนึ่งในพระโพธิสัตว์เพศหญิงตามความเชื่อของพุทธศาสนา นิกายตันตระ ซึ่งพระองค์เป็นเทพแห่งความอายุยืนนาน ทรงมีพระกายสีขาว พระเศียรมีสามพระพักตร์ พระพักตร์ขวาผิวสีน้ำเงิน พระพักตร์กลางผิวสีขาว และพระพักตร์ซ้ายผิวสีเหลือง ทรงมีแปดพระกร สองพระกรด้านหน้าแสดงปางธรรมจักรมุทรา ส่วนพระกรอื่นทรงวัตถุต่างกันออกไป ได้แก่ ลูกศร คันธนู รูปพระพุทธรูป วิศววัชระ และแจกันที่บรรุจน้ำทิพย์เพื่อความเป็นอมตะ
ส่วนในประเทศไทย แม้จะนับถือพุทธศาสนาเถรวาทเป็นหลัก แต่มีบทสวดที่ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนามหายาน และน่าจะสัมพันธ์กับพระโพธิสัตว์อุษณีษวิชัย ด้วยเช่นกันเนื่องจากมีความหมายเกี่ยวข้องกับ “การมีอายุยืนนาน” กล่าวคือ “อุณหิสวิชัยสูตร” เป็นคาถาภาษาบาลี โดยเชื่อว่าน่าจะคลี่คลายมาจาก “อุษณีษวิชยธารณี” ในภาษาสันสฤต สำหรับอุณหิสวิชัยสูตรมีเนื้อความกล่าวถึงพระพุทธเจ้าทรงกล่าวคาถาอุณหิสวิชัยแก่สุปดิศเทพ ซึ่งเป็นเทวดาองค์หนึ่งที่กำลังจะสิ้นผลบุญและต้องไปเกิดยังนรกภูมิ ใจความของคาถานี้คือ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ด้วยอานุภาพแห่งศีลและพระธรรมอันสุจริต และการเจริญพระคาถาอุณหิสวิชัย จะทำให้มีอายุยืนยาว เมื่อสุปดิศเทพได้ฟังคาถานี้ ได้ทำตามเนื้อความพระคาถา จึงมีอายุยืนยาวถึง ๒ พุทธันดร*
ทั้งนี้อุณหิสวิชัยสูตร เป็นมนต์คาถาที่เก่าแก่บทหนึ่งในสังคมไทย ในคำนำการจัดพิมพ์ขึ้นเป็นหนังสือครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพอำมาตย์โท พระยาอรรคนิธิ์นิยม (สมุย อาภรณ์ศิริ) สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายว่า ได้ต้นฉบับมนต์เหล่านี้เป็นฝีมือเขียนขึ้นเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา มีทั้งหมด ๕ บท ได้แก่ มหาทิพมนต์ ชัยมงคล มหาชัย อุณหิสวิชัย และมหาสวํ (มหาสาวัง) การสวดมนต์เหล่านี้มีตัวอย่างคือ ในงานวันฉลองวันประสูติ เจ้านายจะตั้งเตียงในท้องพระโรง มีนักสวด ๔ คนสวดคาถามหาชัย และอุณหิสวิชัยตามทำนองโบราณ นอกจากนี้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงประทานความเห็นเกี่ยวกับอุณหิสวิชัยสูตรไว้ในลายพระหัตถ์ทูลสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ลงวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๔๘๒ ความตอนหนึ่งกล่าวว่า
“...ได้อ่านตรวจหนังสือมหาทิพมนต์โดยถี่ถ้วนตลอดแล้ว ในหนังสือนั้นมีมนต์ ๕ บท คือ ๑ มหาทิพมนต์ ๒ ชัยมงคล ๓ มหาชัย ๔ อุณหิสวิชัย ๕ มหาสาวัง สี่บทอันออกชื่อก่อนนั้นแต่งเป็นฉันท์ แต่บทที่สุดนั้นแต่งเป็นปาฐ มีคำแปลเป็นภาษาไทย แต่บทต้นบทเดียวแต่งเป็นกลอนสวด ใน ๕ บทนั้น เห็นอุณหิสวิชัยดีกว่าเพื่อน เป็นของผู้รู้แต่ง แต่งเป็นเรื่องเป็นราว ทั้งเอาอะไรมาประกอบก็ดีด้วย...”
*คำว่า “พุทธันดร” หมายถึง ช่วงเวลาที่โลกว่างพระพุทธศาสนา คือ ช่วงเวลาที่ศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งสูญสิ้นไป และพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ยังไม่อุบัติ
(อ้างอิงจาก ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๖. หน้า ๘๕๙ )
อ้างอิง
กรมศิลปากร. มหาทิพมนต์ : ความสืบเนื่องของบทพระพุทธมนต์ในสังคมไทย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๖๒.
ผาสุข อินทราวุธ. พุทธปฏิมามหายาน. กรุงเทพฯ: อักษรสมัย, ๒๕๔๓.
เสถียร โพธินันทะ. กระแสพุทธธรรมมหายาน. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑.
องค์การค้าของคุรุสภา. สาสน์สมเด็จเล่ม ๖ ลายพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. พระนคร: คุรุสภา, ๒๕๐๕.
Trilok Chandra & Rohit Kumar. Gods, Goddesses & Religious symbols of Hinduism, Buddhism & Tantrism. Lashkar: M.Devi, 2014.