ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,823 รายการ

วันที่ 7 สิงหาคม 2568 คณะอาจารย์และนักศึกษา จำนวน 18 คน จากสาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ เข้าศึกษาดูงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้การบริหาร การบริการแหล่งเรียนรู้ และความรู้ทางวิชาชีพบรรณารักษ์ ทั้งนี้ ได้ร่วมทำกิจกรรมจารใบลานอีกด้วย ณ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ นครราชสีมา



          วันพุธที่ 6 สิงหาคม 2568 นางสาวมนัชญา วาจก์วิศุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น พร้อมด้วยคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ตรวจรับงานงวดที่ 4 โครงการปรับปรุงอาคารสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี


          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย จังหวัดสุพรรณบุรี ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมกิจกรรม “สนุกเรียนรู้ วิถีชาวนาไทย” พบกับ 3 กิจกรรม ได้แก่ ถุงผ้าชาวนาตัวน้อย, นักสำรวจพิพิธภัณฑ์, วาดภาพระบายสี จัดทุกวันเสาร์ และวันอาทิตย์ (9 - 10, 16 - 17, 23 – 24, 30 - 31 สิงหาคม 2568) ตั้งแต่เวลา 09.00 – 16.00 น. ผู้สนใจสามารถร่วมกิจกรรมได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 3553 6113 Facebook: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชาวนาไทย สุพรรณบุรี Thai Farmers National Museum 


          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ขอเชิญชมนิทรรศการศิลปะ “100 ปี สวัสดิ์ ตันติสุข ศิลปินแห่งชาติ” นิทรรศการเชิดชูเกียรติศิลปินอาสุโส ประจำปีงบประมาณ 2568 เพื่อรำลึกและเชิดชูเกียรติคุณของ “สวัสดิ์ ตันติสุข” ศิลปินชั้นเยี่ยม ศิลปินแห่งชาติ และราชบัณฑิต ผู้ทรงคุณค่าแห่งวงการศิลปะไทย           สวัสดิ์ ตันติสุข ศิษย์รุ่นแรกของคณะจิตรกรรมและประติมากรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งได้รับการถ่ายทอดอุดมการณ์และความรู้จากศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี โดยตรง สวัสดิ์เป็นทั้งศิลปิน ครู และข้าราชการเกษียณจากกรมศิลปากร ที่อุทิศตนให้กับการสร้างสรรค์และถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านจิตรกรรมมายาวนานกว่า 60 ปี นับว่าการสร้างสรรค์ผลงานของท่านทำให้เกิดคุณูปการต่อการศึกษาและการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัย ตลอดจนการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมของไทยเป็นอย่างมาก           นิทรรศการเชิดชูเกียรติศิลปินอาสุโส “100 ปี สวัสดิ์ ตันติสุข ศิลปินแห่งชาติ” จัดแสดงระหว่างวันที่ 6 สิงหาคม - 27 กันยายน 2568 เวลา 09.00 - 16.00 น. (หยุดจันทร์และอังคาร) อาคารนิทรรศการ 4 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป โดยมีพิธีเปิดนิทรรศการ วันที่ 9 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางหมายเลขโทรศัพท์ 0 2282 0637, 08 1808 8611 ............................................................................................ You Are Cordially Invited to the Art Exhibition   The 2025 Annual Exhibition Honoring Senior Artist, The National Gallery of Thailand, Fine Arts Department “100 Years of Sawasdi Tantisuk, The National Artist”   This exhibition commemorates Sawasdi Tantisuk, Artist of Distinction, National Artist, and The Royal Institute whose legacy has profoundly influenced Thai art.   As one of the first-generation students of the Faculty of Painting and Sculpture, Silpakorn University, Sawasdi Tantisuk was directly mentored by Professor Silpa Bhirasri. Over his lifetime, he contributed to the Thai art scene as an artist, teacher, and civil servant at the Fine Arts Department for over 60 years. His creative work and dedication have left a lasting impact on Thai contemporary art education and the preservation of Thai art and culture. On view : August 6 – September 27, 2025 09:00 AM – 04:00 PM (Closed on Mondays and Tuesdays) Exhibition Building 4, The National Gallery Opening Ceremony: August 9, 2025 at 10:30 AM For more information, please contact:Tel. 0 2282 0637, 08 1808 8611  







         สำนักหอสมุดแห่งชาติ ขอเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมภายใต้โครงการเผยแพร่มรดกศิลปวัฒนธรรมด้านดนตรีและนาฏศิลป์ “ดนตรีนานาสาระ” ประจำปี 2568 การแสดงดนตรี “บทเพลงซึ้ง: กาลครั้งหนึ่งในความทรงจำ” การบรรเลงและขับร้องบทเพลงไทยสากลอันไพเราะ โดยวงดุริยางค์สากล สำนักการสังคีต กรมศิลปากร ควบคุมวงโดย นายธนู รักษาราษฎร์ พร้อมพบกับคีตศิลปินอาวุโส อาจารย์สุรพัฒน์ โสภณวิมลรุจน์ และคีตศิลปินอีกมากมาย ในวันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม 2568 เวลา 13.00 – 16.00 น. ณ ห้องจัดแสดง ชั้น 2 หอสมุดดนตรีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ สำนักหอสมุดแห่งชาติท่าวาสุกรี กรุงเทพมหานคร          ผู้สนใจสามารถเข้าชมการแสดงดนตรีได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เริ่มลงทะเบียนหน้างานได้ตั้งแต่เวลา 11.30 น. เป็นต้นไป ณ บริเวณ ชั้น G หอสมุดดนตรีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 สำนักหอสมุดแห่งชาติ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2280 9856 ในวันและเวลาราชการ 


         สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี จัดสัมมนาทางวิชาการโครงการพัฒนาศักยภาพโบราณสถานภูปราสาท ตำบลสีวิเชียร อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจบริเวณช่องอานม้า เรื่อง “ภูปราสาท มรดก : โบราณคดี ธรรมชาติ และภูมิวัฒนธรรม” ระหว่างวันที่ 20 - 21 สิงหาคม 2568 ณ ห้องประชุม SEC 201 อาคารศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี          การจัดการสัมมนาในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับปราสาท ภูปราสาท หรือโบราณสถานภูปราสาท ตำบลสีวิเชียร อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี แก่นักวิชาการ นักเรียน นักศึกษาและประชาชนผู้สนใจ          ผู้สนใจสามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมฟังการสัมมนาได้ ด้วยการลงทะเบียนออนไลน์ผ่าน URL : https://forms.gle/9yXWF8SkNpWbMMXD8 หรือ QR Code สอบถามเพิ่มเติม โทร. 4531 2845 (ในวันและเวลาราชการ)



วัดสวนตาล เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งที่มีความสำคัญของจังหวัดน่าน อยู่นอกกำแพงเมืองน่านทางทิศเหนือ อยู่บริเวณถนนมหายศ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน เดิมเป็นที่ตั้งของดงป่าต้นตาลใหญ่ และเป็นที่มาของชื่อวัด เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า ๖๐๐ ปี สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๕๕ ในสมัยพระนางปทุมมาราชเทวีชายาของพญาภูเข็ง เจ้าผู้ครองนครเมืองน่าน ระหว่างพ.ศ. ๑๙๕๐ – ๑๙๖๐ แห่งราชวงศ์ภูคา ตามตำนานได้กล่าวเอาไว้ว่ามีการค้นพบพระเกศาธาตุบรรจุอยู่ในโกศในเรือสำเภาทองภายในอุโมงค์ใต้ฐานเจดีย์ ลึก ๒๐ วา เป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ด้วยศิลปะแบบสุโขทัย ซึ่งเจดีย์องค์นี้ทรงสร้างขึ้นราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ หลังจากพญาผากอง พระโอรสพญาการเมือง สร้างเมืองน่านในปี พ.ศ. ๑๙๑๑ ต่อมาพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เจ้าผู้ครองนครน่าน ทรงโปรดให้บูรณะขึ้นใหม่ เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๕๗ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงบูรณะรูปทรงเป็นเจดีย์ยอดปรางค์ ส่วนฐานเป็นฐานหน้ากระดานสี่เหลี่ยมซ้อนกัน รองรับเรือนธาตุย่อเก็จ ส่วนยอดเป็นพุ่มข้าวบิณฑ์ มีปล้องไฉนและปลียอด ตามแบบเจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์ เป็นสถาปัตยกรรมเอกลักษณ์ของศิลปะสุโขทัย วิหารวัดสวนตาล เป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าทองทิพย์ พระพุทธสำริดรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่ ซึ่งพระเจ้าติโลกราช พระมหากษัตริย์ล้านนา ในราชวงศ์มังรายพระองค์ที่ ๙ทรงครองราชย์สมบัติระหว่าง พ.ศ. ๑๙๘๕–๒๐๓๐ และจากพงศาวดารเมืองน่าน กล่าวว่า จุลศักราช ๑๒๒ ตรงกับพุทธศักราช ๑๙๙๓ พระองค์นำกำลังเข้มแข็งได้กรีธาทัพไปตีหัว เมืองตามแคว้นล้านนา คือ เมืองลอ เมืองเทิง เมืองปง และได้หัวเมืองเหล่านั้นไว้ในอำนาจหมดแล้ว หลังจากนั้นจึงยกเข้าไปตีเมืองน่าน พระองค์ได้ตั้งทัพอยู่ที่สวนตาลหลวงตั้งทัพล้อมอยู่ได้ ๗ วัน พญาอินต๊ะแก่นท้าว ซึ่งเป็นเจ้านครน่าน และเป็นพระโอรสพญางั่วฬารผาสุม ในเวลานั้นเห็นกองทัพเชียงใหม่มีไพร่พลมากมายนักประกอบกับได้ยินกิตติศัพท์เล่าลือถึงความเก่งกล้าสามารถของพระเจ้าติโลกราชที่สามารถปราบหัวเมืองใกล้เคียงได้เกือบหมด ซึ่งเห็นชัดแจ้งว่าไม่อาจจะรักษาเมืองไว้ได้จึงได้อพยพครอบครัวหนี เป็นเหตุให้พระเจ้าติโลกราช สามารถยกทัพไพร่พลเข้าเมืองได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องสู้รบให้เสียเลือดเสียเนื้อของทหารทั้งสองฝ่าย เมื่อพระเจ้าติโลกราชยึดเมืองได้แล้วโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๙๓ เพื่อให้เป็นอนุสรณ์สักขีพยานในชัยชนะของพระองค์สามารถยึดเมืองน่านไว้ในพระราชอำนาจได้ โดยมิได้เสียชีวิตของไพร่พลทั้งสองฝ่าย จึงโปรดให้สร้างพระพุทธรูปทองสำริดองค์ใหญ่ประทับขัดสมาธิราบปางมารวิชัย ประดิษฐานในวิหารวัดสวนตาล มีหน้าตักกว้าง ๑๐ ฟุต สูง ๑๔ ฟุต ๔ นิ้ว และในสมัยนั้นได้ใช้ทองคำมากที่สุดในแผ่นดินล้านนา การสร้างพระเจ้าทองทิพย์มีเหตุการณ์แปลกเหตุการณ์หนึ่ง กล่าวคือ มีช่างจากชาวพม่า ชาวไทใหญ่ รวมถึงชาวเมืองเชียงแสน ร่วมกระทำพิธีหล่อหลอมทององค์พระพุทธรูป แต่ช่างไม่สามารถกระทำการหล่อทองเทเข้าเบ้าพิมพ์ได้ เพราะเบ้าพิมพ์แตกเสียทุกครั้ง ต่อมามีชายชราแปลกหน้านุ่งขาวห่มขาวมาช่วยกระทำการหล่อหลอมทององค์พระพุทธรูปจนสำเร็จ หลังจากนั้นเมื่อสร้างพระพุทธรูปเสร็จแล้ว พระเจ้าติโลกราชทรงจัดให้มีการสวดปริตรมงคล และได้จัดให้มีงานมหกรรมเฉลิมฉลองทำบุญอย่างยิ่งใหญ่ สำหรับชายชราไม่มีผู้ใดได้พบเห็นชายชรานั้นอีกเลย ซึ่งของชาวบ้านต่างมีความเชื่อกันว่าเป็น อาจเป็นเทพยดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แปลงกายลงมาช่วยสร้างพระพุทธรูปองค์จนสำเร็จ และมีนามว่า พระพุทธรูปทองทิพย์ หรือพระเจ้าทองทิพย์ รูปแบบของพระเจ้าทองทิพย์แสดงลักษณะงานศิลปะล้านนาที่เข้ามาผสมกับศิลปะสุโขทัย ได้แก่ ประทับขัดสมาธิราบ พระพักตร์รูปไข่ พระรัศมีเป็นเปลว ขมวดพระเกศาเล็ก พระนาสิกใหญ่ สันพระนาสิกหนา พระหนุเป็นต่อมพระวรกายอวบอ้วนไม่สูงเพรียว พระอังสาใหญ่บั้นพระองค์เล็ก หน้าตักกว้างพระขนงโก่ พระโอษฐ์ที่ไม่หยักเป็นคลื่น พระหัตถ์ใหญ่ นิ้วพระหัตถ์หนา สังฆาฏิมีสันตรงกลาง เป็นพระประธานในวิหารวัดสวนตาล และมักพบในพระพุทธรูปล้านนาลักษณะนี้สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าติโลกราช ในส่วนผนังเบื้องหลังของวิหารพระเจ้าทองทิพย์ เป็นจิตรกรรมฝาผนังวิหาร คือ ภาพพระอนันตพุทธเจ้า หรือ พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ ตามความหมายของพระพุทธเจ้าได้เกิดมาในชาติภพต่างๆ รวมแล้วถึง ๒๘ พระองค์ ซึ่งในภพนี้มีพระพุทธเจ้าล่วงมาแล้ว ๔ พระองค์ และในอนาคตพระพุทธเจ้า จะเกิดขึ้นอีก ๑ พระองค์ คือ พระศรีอริยเมตไตรย วัดสวนตาล เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์คู่เมืองน่านอีกวัดหนึ่ง นอกจากมีความงดงามแล้วยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่เคารพนับถือ เพื่อการเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต เรียบเรียงโดย : นายธีรบูลย์ มิตรมโนชัย นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม แหล่งอ้างอิง :กรมการศาสนา.  ๑๐๘ องค์พระปฏิมา พระพุทธรูปคู่แผ่นดิน.  กรุงเทพฯ: กรมการศาสนา, ๒๕๖๐. กรมศิลปากร.  เมืองน่าน โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และศิลปะ.  กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชวนพิมพ์, ๒๕๓๗. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.).  วัดสวนตาล.  [ออนไลน์].  สืบค้นเมื่อ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๘, จาก: https://thai.tourismthailand.org/Attraction/วัดสวนตาล พิริยะ ไกรฤกษ์.  ลักษณะไทยพระพุทธปฏิมาอัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย.  กรุงเทพฯ: ธนาคารกรุงเทพ จำกัด มหาชน, ๒๕๕๑. วิกิพีเดีย.  รายพระนามพระมหากษัตริย์ล้านนา.  [ออนไลน์].  สืบค้นเมื่อ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๘, จาก: https://th.wikipedia.org/wiki/รายพระนามพระมหากษัตริย์ล้านนา#


วัดสวนตาล เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งที่มีความสำคัญของจังหวัดน่าน อยู่นอกกำแพงเมืองน่านทางทิศเหนือ อยู่บริเวณถนนมหายศ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน เดิมเป็นที่ตั้งของดงป่าต้นตาลใหญ่ และเป็นที่มาของชื่อวัด เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า ๖๐๐ ปี สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๕๕ ในสมัยพระนางปทุมมาราชเทวีชายาของพญาภูเข็ง เจ้าผู้ครองนครเมืองน่าน ระหว่างพ.ศ. ๑๙๕๐ – ๑๙๖๐ แห่งราชวงศ์ภูคา ตามตำนานได้กล่าวเอาไว้ว่ามีการค้นพบพระเกศาธาตุบรรจุอยู่ในโกศในเรือสำเภาทองภายในอุโมงค์ใต้ฐานเจดีย์ ลึก ๒๐ วา เป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ด้วยศิลปะแบบสุโขทัย ซึ่งเจดีย์องค์นี้ทรงสร้างขึ้นราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ หลังจากพญาผากอง พระโอรสพญาการเมือง สร้างเมืองน่านในปี พ.ศ. ๑๙๑๑ ต่อมาพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เจ้าผู้ครองนครน่าน ทรงโปรดให้บูรณะขึ้นใหม่ เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๕๗ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงบูรณะรูปทรงเป็นเจดีย์ยอดปรางค์ ส่วนฐานเป็นฐานหน้ากระดานสี่เหลี่ยมซ้อนกัน รองรับเรือนธาตุย่อเก็จ ส่วนยอดเป็นพุ่มข้าวบิณฑ์ มีปล้องไฉนและปลียอด ตามแบบเจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์ เป็นสถาปัตยกรรมเอกลักษณ์ของศิลปะสุโขทัย วิหารวัดสวนตาล เป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าทองทิพย์ พระพุทธสำริดรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่ ซึ่งพระเจ้าติโลกราช พระมหากษัตริย์ล้านนา ในราชวงศ์มังรายพระองค์ที่ ๙ทรงครองราชย์สมบัติระหว่าง พ.ศ. ๑๙๘๕–๒๐๓๐ และจากพงศาวดารเมืองน่าน กล่าวว่า จุลศักราช ๑๒๒ ตรงกับพุทธศักราช ๑๙๙๓ พระองค์นำกำลังเข้มแข็งได้กรีธาทัพไปตีหัว เมืองตามแคว้นล้านนา คือ เมืองลอ เมืองเทิง เมืองปง และได้หัวเมืองเหล่านั้นไว้ในอำนาจหมดแล้ว หลังจากนั้นจึงยกเข้าไปตีเมืองน่าน พระองค์ได้ตั้งทัพอยู่ที่สวนตาลหลวงตั้งทัพล้อมอยู่ได้ ๗ วัน พญาอินต๊ะแก่นท้าว ซึ่งเป็นเจ้านครน่าน และเป็นพระโอรสพญางั่วฬารผาสุม ในเวลานั้นเห็นกองทัพเชียงใหม่มีไพร่พลมากมายนักประกอบกับได้ยินกิตติศัพท์เล่าลือถึงความเก่งกล้าสามารถของพระเจ้าติโลกราชที่สามารถปราบหัวเมืองใกล้เคียงได้เกือบหมด ซึ่งเห็นชัดแจ้งว่าไม่อาจจะรักษาเมืองไว้ได้จึงได้อพยพครอบครัวหนี เป็นเหตุให้พระเจ้าติโลกราช สามารถยกทัพไพร่พลเข้าเมืองได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องสู้รบให้เสียเลือดเสียเนื้อของทหารทั้งสองฝ่าย เมื่อพระเจ้าติโลกราชยึดเมืองได้แล้วโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๙๓ เพื่อให้เป็นอนุสรณ์สักขีพยานในชัยชนะของพระองค์สามารถยึดเมืองน่านไว้ในพระราชอำนาจได้ โดยมิได้เสียชีวิตของไพร่พลทั้งสองฝ่าย จึงโปรดให้สร้างพระพุทธรูปทองสำริดองค์ใหญ่ประทับขัดสมาธิราบปางมารวิชัย ประดิษฐานในวิหารวัดสวนตาล มีหน้าตักกว้าง ๑๐ ฟุต สูง ๑๔ ฟุต ๔ นิ้ว และในสมัยนั้นได้ใช้ทองคำมากที่สุดในแผ่นดินล้านนา การสร้างพระเจ้าทองทิพย์มีเหตุการณ์แปลกเหตุการณ์หนึ่ง กล่าวคือ มีช่างจากชาวพม่า ชาวไทใหญ่ รวมถึงชาวเมืองเชียงแสน ร่วมกระทำพิธีหล่อหลอมทององค์พระพุทธรูป แต่ช่างไม่สามารถกระทำการหล่อทองเทเข้าเบ้าพิมพ์ได้ เพราะเบ้าพิมพ์แตกเสียทุกครั้ง ต่อมามีชายชราแปลกหน้านุ่งขาวห่มขาวมาช่วยกระทำการหล่อหลอมทององค์พระพุทธรูปจนสำเร็จ หลังจากนั้นเมื่อสร้างพระพุทธรูปเสร็จแล้ว พระเจ้าติโลกราชทรงจัดให้มีการสวดปริตรมงคล และได้จัดให้มีงานมหกรรมเฉลิมฉลองทำบุญอย่างยิ่งใหญ่ สำหรับชายชราไม่มีผู้ใดได้พบเห็นชายชรานั้นอีกเลย ซึ่งของชาวบ้านต่างมีความเชื่อกันว่าเป็น อาจเป็นเทพยดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แปลงกายลงมาช่วยสร้างพระพุทธรูปองค์จนสำเร็จ และมีนามว่า พระพุทธรูปทองทิพย์ หรือพระเจ้าทองทิพย์ รูปแบบของพระเจ้าทองทิพย์แสดงลักษณะงานศิลปะล้านนาที่เข้ามาผสมกับศิลปะสุโขทัย ได้แก่ ประทับขัดสมาธิราบ พระพักตร์รูปไข่ พระรัศมีเป็นเปลว ขมวดพระเกศาเล็ก พระนาสิกใหญ่ สันพระนาสิกหนา พระหนุเป็นต่อมพระวรกายอวบอ้วนไม่สูงเพรียว พระอังสาใหญ่บั้นพระองค์เล็ก หน้าตักกว้างพระขนงโก่ พระโอษฐ์ที่ไม่หยักเป็นคลื่น พระหัตถ์ใหญ่ นิ้วพระหัตถ์หนา สังฆาฏิมีสันตรงกลาง เป็นพระประธานในวิหารวัดสวนตาล และมักพบในพระพุทธรูปล้านนาลักษณะนี้สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าติโลกราช ในส่วนผนังเบื้องหลังของวิหารพระเจ้าทองทิพย์ เป็นจิตรกรรมฝาผนังวิหาร คือ ภาพพระอนันตพุทธเจ้า หรือ พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ ตามความหมายของพระพุทธเจ้าได้เกิดมาในชาติภพต่างๆ รวมแล้วถึง ๒๘ พระองค์ ซึ่งในภพนี้มีพระพุทธเจ้าล่วงมาแล้ว ๔ พระองค์ และในอนาคตพระพุทธเจ้า จะเกิดขึ้นอีก ๑ พระองค์ คือ พระศรีอริยเมตไตรย วัดสวนตาล เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์คู่เมืองน่านอีกวัดหนึ่ง นอกจากมีความงดงามแล้วยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่เคารพนับถือ เพื่อการเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต เรียบเรียงโดย : นายธีรบูลย์ มิตรมโนชัย นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม แหล่งอ้างอิง :กรมการศาสนา.  ๑๐๘ องค์พระปฏิมา พระพุทธรูปคู่แผ่นดิน.  กรุงเทพฯ: กรมการศาสนา, ๒๕๖๐. กรมศิลปากร.  เมืองน่าน โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และศิลปะ.  กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชวนพิมพ์, ๒๕๓๗. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.).  วัดสวนตาล.  [ออนไลน์].  สืบค้นเมื่อ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๘, จาก: https://thai.tourismthailand.org/Attraction/วัดสวนตาล พิริยะ ไกรฤกษ์.  ลักษณะไทยพระพุทธปฏิมาอัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย.  กรุงเทพฯ: ธนาคารกรุงเทพ จำกัด มหาชน, ๒๕๕๑. วิกิพีเดีย.  รายพระนามพระมหากษัตริย์ล้านนา.  [ออนไลน์].  สืบค้นเมื่อ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๘, จาก: https://th.wikipedia.org/wiki/รายพระนามพระมหากษัตริย์ล้านนา#


black ribbon.