ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,793 รายการ

วรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2560.  กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2560.  293 หน้า.             หนังสือเล่มนี้นำเสนอผลงานนักเขียนที่ได้รับรางวัลประเภทเรื่องสั้นและบทกวีจากการประกวดวรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2560 ของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา เพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิไตย วรรณกรรมประเภทเรืองสั้น รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ เรื่อง ภาพที่คอมโพสิชั่น(ไม่เคย)ลงตัวโดย ปะการัง รางวัลรองชนะเลิศ 2 รางวัล และรางวัลชมเชย ส่วนวรรณกรรมประเภทบทกวีไม่มีผลงานใดได้รับรางวัลชนะเลิศ มีแค่รางวัลรองชนะเลิศมี 3 รางวัลและรางวัลชมเชย         อ      895.92301     ว242     ห้องค้นคว้า       เดือน มกราคม65


ผลการปฏิบัติธรรมเมตตาและสังคหธรรม.  พระนคร: โรงพิมพ์การศาสนา, 2510.


รางวัลสำหรับภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องที่ได้รับจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติจากทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นทวีปยุโรปหรือเอเชีย ซึ่งทางทวีปยุโรปที่สำคัญก็มีรางวัลสิงโตทองคำ จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิส (Venice International Film Festival) ซึ่งถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. ๑๙๓๒ ณ เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี สำหรับรางวัลปาล์มทองคำ จากเทศกาลภาพยนตร์คานส์ (Cannes Film Festival) ครั้งแรกในปี ค.ศ. ๑๙๔๖ ที่ประเทศฝรั่งเศส และรางวัลหมีทองคำ จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเบอร์ลิน (Berlin International Film Festival) ประเทศเยอรมนี เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๕๑ เป็นต้น ส่วนเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติในทวีปเอเชีย มีดังนี้ เทศกาลภาพยนตร์เอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Film Festival) ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ครั้งแรกในปี ค.ศ. ๑๙๕๔ ส่วนเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงโตเกียว (Tokyo International Film Festival) ที่ประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. ๑๙๘๕ และเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซาน (Busan International Film Festival) ประเทศเกาหลีใต้ เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๙๖ เป็นต้น สำหรับอุตสาหกรรมของภาพยนตร์ไทยมีหลายเรื่องที่สามารถคว้ารางวัลในเวทีนานาชาติในต่างประเทศหลายรางวัล และที่สำคัญภาพยนตร์ไทยเป็นที่ยอมรับจากผู้ชมชาวต่างชาติอีกด้วยผู้รวบรวมและเรียบเรียง : นายธีรบูลย์ มิตรมโนชัย นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่


รางวัลสำหรับภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องที่ได้รับจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติจากทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นทวีปยุโรปหรือเอเชีย ซึ่งทางทวีปยุโรปที่สำคัญก็มีรางวัลสิงโตทองคำ จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิส (Venice International Film Festival) ซึ่งถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. ๑๙๓๒ ณ เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี สำหรับรางวัลปาล์มทองคำ จากเทศกาลภาพยนตร์คานส์ (Cannes Film Festival) ครั้งแรกในปี ค.ศ. ๑๙๔๖ ที่ประเทศฝรั่งเศส และรางวัลหมีทองคำ จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเบอร์ลิน (Berlin International Film Festival) ประเทศเยอรมนี เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๕๑ เป็นต้น ส่วนเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติในทวีปเอเชีย มีดังนี้ เทศกาลภาพยนตร์เอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Film Festival) ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ครั้งแรกในปี ค.ศ. ๑๙๕๔ ส่วนเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงโตเกียว (Tokyo International Film Festival) ที่ประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. ๑๙๘๕ และเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซาน (Busan International Film Festival) ประเทศเกาหลีใต้ เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๙๖ เป็นต้น สำหรับอุตสาหกรรมของภาพยนตร์ไทยมีหลายเรื่องที่สามารถคว้ารางวัลในเวทีนานาชาติในต่างประเทศหลายรางวัล และที่สำคัญภาพยนตร์ไทยเป็นที่ยอมรับจากผู้ชมชาวต่างชาติอีกด้วยผู้รวบรวมและเรียบเรียง : นายธีรบูลย์ มิตรมโนชัย นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่


๘ มกราคม วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา



          สำนักการสังคีต กรมศิลปากร งดการแสดงรายการ “เหมันต์บันเทิง รื่นเริงสังคีต” โครงการดนตรีสำหรับประชาชน ปีที่ ๖๕ วันเสาร์ที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๕ และวันอาทิตย์ที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๕ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม (วันและเวลาราชการ) โทร ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๔๒ และ ๐ ๒๒๒๑ ๐๑๗๑


           วันศุกร์ที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๕ นายพนมบุตร จันทรโชติ รองอธิบดีกรมศิลปากร เป็นผู้แทนกรมศิลปากร นำหนังสือที่ระลึกจากกรมศิลปากรร่วมแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันก่อตั้งหนังสือพิมพ์มติชน ก้าวสู่ปีที่ ๔๕ และร่วมบริจาคเงินสมทบทุนมูลนิธิ ดร.โกวิท วรพิพัฒน์ เพื่อส่งเสริมการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม สังคมและสิ่งแวดล้อม ช่วยเหลือค่าอาหารกลางวันให้กับนักเรียนที่ขาดแคลน รวมทั้งดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ โดยมีนายนฤตย์ เสกธีระ บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์มติชน ให้การต้อนรับและเป็นผู้รับมอบ ณ โถงอาคารสำนักงานบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน)


พระมหาอุบล  นนทโก ป.ธง 9.  ร่มโพธิ์.  พระนคร: โรงพิมพ์ส.พยุงพงศ์, 2513.  


หลี่เว่ยตง.  มนุษย์ต่างดาวอยู่แค่หลังดวงจันทร์.  พิมพ์ครั้งที่ 2.  นนทบุรี: วารา พับลิชชิ่ง, 2564.  704 หน้า.  ภาพประกอบ.  690 บาท. เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ บทที่1ความจริงไม่เคยปรานีใคร  บทที่2 ความลับของเทพนิยายจีน  บทที่3 ดวงจันทร์อันแสนซับซ้อนและน่าพิศวง บทที่4 ดวงจันทร์ในมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ บทที่ 5 นอกโลกมีสิ่งมีชีวิตอื่นดำรงอยู่หรือไม่  บทที่ 6 ต้นกำเนิดของมนุษย์  บทที่7 ขั้นตอนการสร้างมนุษย์ของเทพเจ้า  บทที่ 8 มนุษย์มีระบบชีวิต2ชุด  บทที่9 ฟ้าดินแยกจากกัน  บทที่10 น้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ที่ทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์บทที่ 11 ซ่อมแวมดวงจันทร์  บทที่12 อารยธรรมยุคแรกของมวลมนุษยชาติและบทส่งท้าย 001.942 ห339ม   (ห้องหนังสือทั่วไป)


           พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรส ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) และสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง จุลศักราช ๑๑๗๐ ตรงกับวันที่ ๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๓๕๑ เวลา ๕ นาฬิกา ณ พระราชวังเดิมกรุงธนบุรี เมื่อทรงพระเยาว์ พระองค์ประทับอยู่ที่พระราชวังเดิมและทรงเริ่มศึกษาที่สำนักวัดท้ายตลาด (วัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร) จากนั้นทรงศึกษาที่หอพระมณเฑียรธรรม ในพระบรมมหาราชวัง ทรงเรียนทั้งวิชาปืนและการทรงช้างทรงม้า เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีโสกันต์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๓ ในปีถัดมาทรงบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อพระองค์ทรงมีพระชนมายุได้ ๒๑ พรรษา ใน พ.ศ. ๒๓๗๒ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ กล่าวกันว่าทรงประทับจำพรรษา ณ พระตำหนักในวัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร           ในสมัยรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๗๕ (ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุได้ ๒๔ พรรษา) ทรงบังคับบัญชากรมทหารแม่นปืนหน้าปืนหลัง และญวนอาสารบ แขกอาสาจาม พระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระองค์ในสมัยรัชกาลที่ ๓ คือทรงเป็นแม่ทัพใหญ่ยกกองทัพเรือไปรบกับฝ่ายญวนที่เมืองบันทายมาศ (เมืองฮาเตียน) เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๔           ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ พระองค์โปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ขึ้นเป็น “สมเด็จพระปวเรนทราเมศ มหิศเรศรังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว” ทรงมีพระเกียรติยศเป็นอย่างพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ ๒ ดำรงตำแหน่ง กรมพระราชวังบวรสถานมงคล อีกทั้งยังมีการแก้ระเบียบราชประเพณีบางประการเพื่อให้สมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว อาทิ พระราชพิธีอุปราชาภิเษก ให้เรียกว่า “พระราชพิธีบวรราชาภิเษก” คำสั่งของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลแต่เดิมใช้คำว่า “บัณฑูร” ให้เปลี่ยนมาใช้คำว่า “พระบวรราชโองการ” เป็นต้น           เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จมาประทับอยู่ ณ พระราชวังบวรสถานมงคล ทรงโปรดให้ก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมและปฏิสังขรณ์อาคารพระที่นั่งองค์ต่าง ๆ อาทิ โปรดให้ซ่อมตำหนักฝ่ายในทั้งหมด ป้อมประตูเครื่องไม้ที่ทรุดโทรม ทรงเปลี่ยนมาเป็นป้อมประตูก่ออิฐถือปูนแทน และย้ายตำหนักแดงจากพระราชวังเดิมมาปลูกขึ้นใหม่ในพระราชวังบวรสถานมงคล ส่วนอาคารสร้างขึ้นใหม่ได้แก่ พระที่นั่งมังคลาภิเษก และพระที่นั่งเอกอลงกฎ ลักษณะเป็นอาคารโถง มีเกยอยู่ด้านหน้า สร้างตามแบบพระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ในพระบรมมหาราชวัง พระที่นั่งคชกรรมประเวศตั้งอยู่ด้านหน้าพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ลักษณะเป็นอาคารยอดปราสาท คล้ายกับพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ในพระบรมมหาราชวัง ส่วนที่ประทับของพระองค์ โปรดให้สร้างเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนแบบฝรั่ง มีนามว่า “พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์” ลักษณะเป็นอาคารสองชั้น มีบันไดทางขึ้นทั้งด้านหน้าอาคารและภายในอาคาร ส่วนที่ประทับของพระองค์อยู่ชั้นบน แบ่งออกเป็นสี่ส่วน ได้แก่ ส่วนแรกคือห้องสมุดและห้องทรงพระอักษร ส่วนที่สองคือห้องรับแขก ส่วนที่สามคือห้องเสวย (ต่อมาเป็นห้องประดิษฐานพระบรมอัฐิ) ส่วนที่สี่คือ ห้องพระบรรทมและห้องฉลองพระองค์และสรงพระพักตร์พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์          จากการที่พระองค์ทรงงานที่เกี่ยวกับการทหาร จึงมีการสร้างโรงปืนใหญ่ โรงทหาร คลังสรรพาวุธ และตึกดิน บริเวณเขตพระราชฐานชั้นนอก และพื้นที่บริเวณริมน้ำโปรดให้สร้างเป็นโรงทหารเรือ อีกทั้งโปรดให้สร้างพลับพลาสูง บริเวณกำแพงด้านทิศตะวันออกของพระราชวังบวรสถานมงคล สำหรับทอดพระเนตรการฝึกซ้อมทหาร โดยสร้างตามแบบพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ในพระบรมมหาราชวัง           พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นมีอยู่หลายประการ ทั้งด้านการทหาร ด้านศาสนา ด้านการดนตรีและวรรณกรรม กล่าวคือ ในด้านการทหารนั้นพระองค์ทรงว่าจ้างนายทหารอังกฤษ ชื่อ โทมัส ยอร์ช น็อกส์ (Thomas George Knox) มาฝึกทหารปืนใหญ่ในวังหน้า ในขณะที่ด้านกิจการทหารเรือ ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือพระองค์แรก และได้ปูพื้นฐานการจัดการด้านทหารเรือให้เป็นไปตามแบบอย่างสากลของอารยประเทศ ด้วยพระอัจฉริยภาพด้านการต่อเรือ พระองค์ทรงศึกษาวิธีการต่อเรือจากชาวต่างประเทศ เรือที่พระองค์ทรงต่อขึ้นสำเร็จในช่วง พ.ศ. ๒๔๐๖ มีนามว่า เรือยงยศอโยชฌิยา รวมทั้งพระองค์ทรงสั่งซื้อเรือจากต่างประเทศเข้ามาอยู่ในสังกัดวังหน้าเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้พระองค์ทรงมีกองทัพเรือของพระองค์เอง เรียกว่าทหารเรือวังหน้าเรือยงยศอโยชฌิยาจำลอง           พระราชกรณียกิจของพระองค์ในด้านการศาสนา พระองค์โปรดให้ปฏิสังขรณ์วัดหงสาราม (วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร) วัดศรีสุดารามวรวิหาร วัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า) และวัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร           พระราชกรณียกิจด้านการดนตรีและวรรณกรรม เป็นผลสืบเนื่องจากพระองค์ทรงโปรดการดนตรีและนาฏศิลป์ กล่าวคือ พระองค์ได้ทรงประดิษฐ์ระนาดทุ้มเหล็ก จัดให้เล่นประกอบกับระนาดแบบเดิม รวมขึ้นเป็นวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ และยังคงเป็นแบบแผนที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระองค์ทรงอุปการะศิลปินอยู่หลายท่าน เช่น สุนทรภู่ (บรรดาศักดิ์ สุนทรโวหาร) ครูมีแขก (บรรดาศักดิ์ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ) และ คุณพุ่ม (ธิดาพระยาราชมนตรี (ภู่ ภมรมนตรี) กวีหญิงในสมัยรัตนโกสินทร์ช่วงรัชกาลที่ ๓-๕) พระราชนิยมของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกประการหนึ่งคือ การทรงแคน แอ่วลาว ทรงพระราชนิพนธ์คำกลอนแอ่วลาวไว้อยู่หลายฉบับ เช่น บทแอ่วเรื่องนิทานนายคำสอน เป็นต้น ระนาดทุ้มเหล็ก แคนของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า และสมุดไทย (จำลอง) พระราชนิพนธ์เรื่องนิทานนายคำสอน           ในช่วงปลายพระชนม์ชีพ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระอาการประชวรด้วยโรควัณโรค พ.ศ. ๒๔๐๘ พระอาการประชวรก็ทรุดหนักลงตามลำดับ ทำให้พระองค์ต้องเสด็จกลับจากวังสีทา เมืองสระบุรี กลับมาประทับที่พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ ในพระบวรราชวัง กระทั่งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ ในวันอาทิตย์ เดือนยี่ แรม ๖ ค่ำ ปีฉลูสัปตศก จุลศักราช ๑๒๒๗ เวลาเช้าย่ำรุ่งแล้ว ๓ นาฬิกากับ ๓ บาท ตรงกับวันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๘ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จไปสรงน้ำพระบรมศพ เจ้าพนักงานได้อัญเชิญพระบรมศพสถิตอยู่ในพระโกศทองคำ จากนั้นจึงแห่มาประดิษฐาน ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัยในพระบวรราชวัง และโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการเฉพาะสังกัดกับฝ่ายพระบวรราชวังโกนศีรษะเท่านั้น          พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เรียกพระศพว่า “พระบรมศพ” และให้จัดงานพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสมือนงานพระบรมศพเทียบเท่าพระมหากษัตริย์ งานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดขึ้นที่ท้องสนามหลวง ภายหลังเสร็จสิ้นงานพระบรมศพ ได้อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ กระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพระอัฐิกรมพระราชวังบวร ๔ พระองค์ ไปประดิษฐานในหอพระนาก วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐ตู้ประดิษฐานพระบรมอัฐิ บนพระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์------------------------------------------------------------อ้างอิง กรมศิลปากร. กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ในสมัยรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: โพรดักส์, ๒๕๔๙. . พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ: สมาพันธ์, ๒๕๕๖.


          วันนี้ (วันศุกร์ที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๕) เวลา ๐๘.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงวัฒนธรรม นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร วางพวงมาลาถวายราชสักการะ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระบวรราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว บริเวณโรงละครแห่งชาติ โดยมีข้าราชการ เหล่าทัพ หน่วยงานต่างๆ และประชาชนเข้าร่วมในพิธี          กรมศิลปากร ร่วมกับชมรมกองทุนพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว (๗ มกราคม) เป็นประจำทุกปี โดยจัดพิธีถวายราชสักการะรำลึกถึงพระเกียรติคุณ ณ พระบวรราชานุสาวรีย์ฯ โรงละครแห่งชาติ และบำเพ็ญ กุศลถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เพื่อถวายกตเวทิตาคุณ และร่วมน้อมรำลึกถึงพระเกียรติคุณและพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีคุณูปการอย่างอเนกอนันต์ต่อบ้านเมืองและศิลปวัฒนธรรมของชาติ          พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ และสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระราชสมภพ ณ พระราชวังเดิม เมื่อวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ.๒๓๕๑ ทรงเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช ร่วมพระอุทรกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ หลังจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อพุทธศักราช ๒๓๙๔ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระยศบวรราชาภิเษกเป็นสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือที่ออกพระนามกันว่า "วังหน้า" มีพระเกียรติยศเสมอด้วยพระเจ้าแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระปรีชาสามารถในศิลปศาสตร์หลายสาขา ทั้งการช่าง การปกครอง การทหาร และศิลปกรรม โดยทรงดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารเรือเป็นพระองค์แรก นอกจากนี้ ทรงโปรดทางศิลปะ ทั้งดนตรี กวี และนาฏศิลป์ ทรงริเริ่มประดิษฐ์ระนาดทุ้มเหล็กขึ้น โดยมีการจัดเล่นประกอบกับระนาดแบบเดิม รวมเป็นเครื่องดนตรี ๔ ชนิด เรียกว่า "ปี่พาทย์เครื่องใหญ่" เบื้องปลายพระชนม์ชีพ พระองค์ประทับ ณ พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ พระราชวังบวรสถานมงคล (ปัจจุบันอยู่ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร) จนกระทั่งเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๗ มกราคม พ.ศ.๒๔๐๘


พระอุบาลลีคุณูปมาจาร์ย สิริจนฺโท(จันทร์).  หนังสือทศบารมีวิภาค.  พระนคร: โรงพิมพ์กิมหลี่หงวน, 2470.  


ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง การขึ้นบัญชีและการยกเลิกบัญชีผู้ได้รับการคัดเลือกเพื่อจ้างบุคคลเป็นลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งเจ้าพนักงานธุรการ



black ribbon.