ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ

          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง สำนักศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราช จัดการบรรยายทางวิชาการออนไลน์สาธารณะ ประจำปี พ.ศ.2566  "คนพิพิธภัณฑ์อยากจะเล่า" ครั้งที่ 5 ขอเชิญร่วมฟังเรื่องเล่า ในหัวข้อ “คฤหาสน์กูเด็น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สตูล” เล่าเรื่องโดย นางสาวณัฐกานต์ พิภูษณกาญจน์ หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สตูล ในวันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 10.30 น. เป็นต้นไป           ผู้สนใจสามารถติดตามชมการถ่ายทอดสดผ่านทาง facebook live : Thalang National Museum พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง


ฐานโยนีโทรณะ “ฐานโยนิโทรณะ”หรือที่มักเรียกกันว่า “ฐานโยนี” โดยคำว่า “โยนี” หมายถึง “อวัยวะเพศหญิง” และ “โทรณะ” หมายถึง “ทางเข้าออก” ซึ่งก็คือร่องน้ำของฐานโยนีที่ยื่นออกมา โดยฐานโยนีโทรณะ เป็นสัญลักษณ์แทนพระนางปารวตี ซึ่งใช้เป็นฐานรองรับการประดิษฐานองค์ศิวลึงค์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนพระศิวะ สวามีของพระนางปารวตี บริเวณตรงกลางของฐานโยนีโทรณะเจาะรูตรงกลางเพื่อให้เดือยขององค์ศิวลึงค์ด้านล่างเสียบเข้าไปได้ ส่วนบริเวณโดยรอบสลักเป็นร่องน้ำและรูน้ำไหลออกเพื่อให้น้ำศักดิ์สิทธิ์จากการทำพิธีไหลลงมายังร่องน้ำดังกล่าว ซึ่งคติการสร้างฐานโยนิโทรณะ คือการแสดงถึงการให้กำเนิดชีวิต ในคติความเชื่อของศาสนาฮินดู นอกจากคำว่าโยนีโทรณะแล้ว ยังมีการใช้คำว่า “ปีฐะ” ที่แปลว่า “ฐาน” ซึ่งใช้เรียก ฐานรูปเคารพทุกชนิด ทั้งที่มีร่องรองรับการทรงน้ำและที่ไม่มีร่องรองรับน้ำ โดยฐานรูปเคารพที่มีร่องรองรับน้ำน้ำยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า “สนานโทรณี” ร่องรอยของฐานโยนีโทรณะเริ่มปรากฏขึ้นในอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ (2800-800 ปีก่อนพุทธกาล) โดย John Marshall เริ่มทำการขุดค้นเมืองฮารัปปา แคว้นปัญจาบ ประเทศปากีสถาน ในปี พ.ศ. 2463 และได้ค้นพบหินเจาะรูทรงกลมซึ่งเขาเสนอว่าเป็นฐานที่เสียบประติมากรรมทรงอวัยวะเพศชาย และยังพบประติมากรรมหินทรงอวัยวะเพศชายบนฐานกลมซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นฐานโยนีในยุคแรก ต่อมาหลักฐานของ ฐานโยนีจึงเริ่มปรากฏขึ้นอีกครั้งในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 โดยพบการสร้างฐานโยนีโทรณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม เพื่อใช้รองรับแท่นศิวะลึงค์ ซึ่งแต่เดิมถูกปักไว้ในดิน หรือตั้งไว้ในห้องครรภคฤหะโดยไม่มีฐานรองรับ หลักฐานของฐานโยนีโทรณะในยุคนี้ได้แก่ ฐานโยนีโทรณะของถ้ำเอเลฟานต้า รัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย อายุราวพุทธศตวรรษที่12 โดยพบฐานโยนีโทรณะทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ต่อมาเมื่อวัฒนธรรมอินเดียหลั่งไหล่เข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงปรากฏหลักฐานการใช้ฐานโยนีโทรณะ และฐานรูปเคารพในศาสนาต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงในประเทศไทย เพื่อใช้วางรูปเคารพเทพเจ้าในศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธ ฐานโยนีโทรณะที่ปราสาทสด๊กก๊อกธม ที่ปราสาทสด๊กก๊อกธมมีฐานโยนีโทรณะตั้งอยู่ภายในห้องครรภคฤหะ ซึ่งฐานโยนีโทรณะดังกล่าวประกอบด้วยชิ้นส่วนที่เป็นของเดิม และชิ้นส่วนที่ทำจำลองขึ้นมาใหม่ นอกจากนี้ยังพบหลักฐานของฐานรูปเคารพซึ่งสันนิษฐานว่าใช้วางรูปเคารพของเทพเจ้าองค์อื่นๆ ในศาสนาฮินดู และเป็นเทพเจ้าที่ถูกบูชาในฐานะเทพเจ้าองค์รองของปราสาทสด๊กก๊อกธม รู้หรือไม่ ???? ปลายท่อน้ำของฐานโยนีโทรณะตั้งอยู่ทางทิศเหนือเสมอ เนื่องจากคติความเชื่อของศาสนาฮินดูที่ว่า ทิศเหนือเป็นทิศที่แม่น้ำคงคาไหลลงมา ฉะนั้นน้ำที่ไหลลงมาจากการทำพิธีรดน้ำองค์ศิวลึงค์จึงเหมือนน้ำที่ไหลย้อนขึ้นไปยังสรวงสวรรค์



          อิฐดินเผาจารึกคาถาเยธมฺมา ฯ           สมัยทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๒           ไม่ปรากฏที่มา           ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องทวารวดี อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร           ก้อนอิฐดินเผา ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่งขอบทั้งสี่ด้าน มีจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาบาลี ความว่า “เยธมฺมา เหตุปฺปภวา เยสํ เหตุ ตถาคโต อาห เตสญฺจโย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณติ ฯ” แปลได้ความว่า ธรรมทั้งหลายเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมทั้งหลายเหล่านั้น พระมหาสมณเจ้า ทรงสั่งสอนอย่างดังนี้           คาถาเยธมฺมาฯ ถือเป็นสาระสำคัญของพระพุทธศาสนา มีการพบโบราณวัตถุที่มีจารึกดังกล่าวในหลายวัฒนธรรมทั้งอินเดีย พม่า และในพื้นที่ประเทศไทย โดยเฉพาะในวัฒนธรรมทวารวดีพบจารึกเยธมฺมาฯ บนหลักศิลา พระพิมพ์ สถูปศิลา สถูปดินเผา รวมถึงก้อนอิฐ ซึ่งในวัฒนธรรมทวารวดีนิยมทำก้อนอิฐขนาดใหญ่ผสมกับแกลบข้าว และบางครั้งตกแต่งอิฐเป็นลวดลายมงคล หรือลายธรรมจักรหรือปิดทอง หรือจารึกคาถาทางพุทธศาสนา ฝังเอาไว้กลางโบราณสถานซึ่งเชื่อกันว่าเป็นคติเกี่ยวกับการวางศิลาฤกษ์สำหรับก่อสร้างอาคาร ตัวอย่างอิฐมีจารึกเยธมฺมาฯ เช่น ที่บ้านท่าม่วง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี           ในพระวินัยปิฎก มหาวรรค กล่าวถึง เมื่อครั้งพระอัสสชิ (หนึ่งในปัญจวัคคีย์) เดินทางมาถึงเมืองราชคฤห์ อุปติสสปริพาชกได้พบจึงเข้าไปถามเกี่ยวกับหลักธรรม พระอัสสชิตระหนักว่าบวชไม่นาน จึงประสงค์จะกล่าวหลักธรรมของพระพุทธเจ้าโดยย่อ ดังความว่า           “...เราได้ถามพระอัสสชิต่อไปว่า ก็พระศาสดาของ ท่านสอนอย่างไร แนะนำอย่างไร? พระอัสสชิตอบว่า เราเป็นคนใหม่ บวชยังไม่นาน เพิ่งมา สู่พระธรรมวินัยนี้ ไม่อาจแสดงธรรมแก่ท่านได้กว้างขวาง แต่จักกล่าวใจความแก่ท่านโดยย่อ เราได้เรียนว่า น้อยหรือมาก นิมนต์กล่าวเถิด ท่านจงกล่าวแต่ใจความแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการใจความอย่างเดียว ท่านจักทำพยัญชนะให้มากทำไม ผู้มีอายุครั้งนั้น พระอัสสชิได้กล่าวธรรมปริยายนี้ ว่าดังนี้ ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ  พระตถาคตทรงแสดงเหตุ แห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้...”           เมื่ออุปติสสปริพาชกได้สดับพระธรรมโดยย่อดังกล่าวบังเกิดศรัทธา และได้ไปชักชวนโกลิตปริพาชกผู้เป็นสหายพร้อมด้วยบริวารในสำนักของตนอีก ๒๕๐ คนไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่ป่าเวฬุเพื่อฟังธรรมและบวชเป็นพระภิกษุ สำหรับอุปติสสปริพาชก เมื่อบวชแล้วมีนามว่า “สารีบุตร” ส่วนโกลิตปริพาชก เมื่อบวชแล้วมีนามว่า “โมคคัลลานะ” ทั้งสองเป็นพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้า     อ้างอิง กรมศิลปากร. ศิลปวิทยาการจากสาส์นสมเด็จ. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลปการพิมพ์, ๒๕๖๓. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๖ จาก:  https://84000.org/tipitaka/read/r.php?B=04&A=1358


วันเข้าพรรษา หมายถึง วันที่พระภิกษุในพระพุทธศาสนาอธิษฐานอยู่ประจำในวัดหรือเสนาสนะที่คุ้ฒแดดคุ้มฝนได้แห่งหนึ่ง ไม่ไปค้างแรมในที่อื่นตลอด 3 เดือนในฤดูฝน ปกติวันเข้าพรรษาจะอยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคม ในปี พ.ศ. 2566 เป็นปีอธิกมาส มีเดือนที่เพิ่มขึ้นในปีจันทรคติ คือมี 13 เดือน มีเดือน 8 สองหน จึงเรียกว่า 8 สอง 8 เมื่อหมดเดือน 8 แล้ว แทนที่จะนับเดือนต่อไปเป็นเดือน 9 ก็ให้นับเดือน 8 ซ้ำอีกครั้ง และเรียกเดือน 8 ทั้งสองนี้ว่าเดือน 8 แรก และเดือน 8 หลัง วันเข้าพรรษาปีนี้ใช้เดือน 8 หลัง จึงเลื่อนไปในเดือนสิงหาคม ตรงกับวันพุธที่ 2 สิงหาคม 2566 พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยสำหรับพระสงฆ์ไว้ว่า ในฤดูฝนให้พระสงฆ์อยู่ประจำที่ 3 เดือน เรียกว่า จำพรรษา ทั้งนี้เนื่องจากในสมัยพุทธกาลตอนต้น พระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดให้พระสาวกจำพรรษา ภิกษุทั้งหลายจึงเดินทางเที่ยวจาริกไปทุกฤดู แม้ในฤดูฝนที่ชาวบ้านทำไร่ทำนากัน จึงเหยียบย่ำข้าวกล้าและสัตว์เล็กๆนานาชนิด เช่น มด ปลวก ชาวบ้านจึงพากันตำหนิติเตียน ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสในที่ประชุมสงฆ์ บัญญัติพระวินัยให้พระสงฆ์จำพรรษาตลอด 3 เดือนในฤดูฝน การเข้าพรรษา แบ่งออกได้เป็น 2 ระยะ คือ เข้าพรรษาแรกเรียกว่า “ปุริมพรรษา” เริ่มตั้งแต่ แรม 1 ค่ำ เดือน 8 ถึงกลางเดือน 11 ถ้าเข้าพรรษาแรกไม่ทันก็เข้าพรรษาหลัง เรียกว่า “ปัจฉิมพรรษา” เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 9 ถึงกลางเดือน 12 แต่เข้าพรรษาหลังจะรับกฐินไม่ทันเพราะหมดเวลาทอดกฐิน ปีใดมีเดือน 8 สองหน ปีนั้นให้ถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หลัง เป็นวันเข้าพรรษาแรก ช่วงเวลาพรรษา พุทธศาสนิกชนทั่วไปจะบำเพ็ญทาน รักษาศีล ฟังธรรม และเจริญภาวนามากขึ้น ก่อนวันเข้าพรรษาพุทธศาสนิกชนจะนำเทียนเข้าพรรษษและหลอดไฟฟ้าไปถวายพระ เพื่อให้พระสงฆ์ได้ใช้แสงสว่างตลอดเข้าพรรษา ในวันเข้าพรรษานิยมไปทำบุญที่วัด ถวายผ้าอาบน้ำฝนและช้าวของเครื่องใช้ตามแต่จะมีจิตศรัทธาถวาย เช่น สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน น้ำตาล ไม้ขีด ร่ม พุ่มเทียน ในตอนเช้าของวันเข้าพรรษาก็จะมีการทำบุญตักบาตรทั่วไป


สิงโตในวัฒนธรรมจีนหากได้มีโอกาสไปเที่ยวชมตามวัดหรือศาลเจ้าจีน เรามักจะพบประติมากรรมรูปสัตว์ชนิดหนึ่งรูปร่างประหลาดเฝ้าอยู่หน้าประตูทางเข้าซึ่งชาวจีนจะเรียกสัตว์ดังกล่าวว่า สิงโต (狮, Shi) อันเป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมจีนมาช้านานแม้จะไม่ได้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศจีนก็ตาม ทำให้ชวนสงสัยว่าชาวจีนได้รับอิทธิพลเกี่ยวกับสิงโตมาจากที่ไหนมีนักวิชาการเสนอแนวคิดเกี่ยวกับสิงโตไว้หลากหลาย บ้างว่าเป็นอิทธิพลของพุทธศาสนาจากอินเดีย บ้างก็เชื่อว่ามาจากการติดต่อค้าขายกับชาวเปอร์เซียผ่านเส้นทางสายไหมในสมัยราชวงศ์ฮั่น (พ.ศ. ๓๔๑ – ๕๕๑) ซึ่งมีการนำสิงโตมาถวายเป็นบรรณาการดังปรากฏในบันทึกสมัยนั้น ชาวจีนได้ผสมผสานความเชื่อจากดินแดนต่าง ๆ เข้าด้วยกันจนเกิดเป็นลักษณะทางศิลปกรรมของสิงโตจีนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะและผิดแผกไปจากสิงโตในป่า ทั้งนี้ ชาวจีนเชื่อว่าสิงโตเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจ การปกปักษ์คุ้มครอง ความมั่งคั่ง และช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้าย จึงมักพบประติมากรรมรูปสิงโตทำหน้าที่เป็นทวารบาลเฝ้าอยู่หน้าทางเข้า ศาสนสถาน อาคารสำคัญ หรือบ้านเรือนของชาวจีนมาช้านาน โดยนิยมสร้างเป็นรูปสิงโตตัวผู้และตัวเมียคู่กันซึ่งแตกต่างกันตรงที่ตัวผู้จะมีลูกบอลอยู่ใต้อุ้งเท้าขวา ส่วนตัวเมียจะมีลูกสิงโตอยู่ใกล้ ๆ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สื่อถึง หยิน – หยาง พลังงานสองขั้วของจักรวาลตามหลักปรัชญาจีน ไม่เพียงเท่านั้น สิงโตยังปรากฏในงานศิลปะแขนงอื่นของจีนอีกด้วย อาทิ การเชิดสิงโต หรือแม้แต่ในการผลิตเครื่องถ้วยซึ่งเริ่มนำสิงโตมาใช้ตกแต่งเครื่องลายครามตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง (พ.ศ. ๑๙๑๑ – ๒๑๘๗) เป็นต้นมาความเชื่อและงานศิลปะเกี่ยวกับสิงโตของจีนเผยแพร่ไปยังดินแดนต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกและเอเชียอาคเนย์ผ่านการติดต่อค้าขายและการแลกเปลี่ยนของผู้คน จึงไม่น่าแปลกที่เราจะพบงานศิลปกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากสิงโตจีนในไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว ซึ่งถือเป็นหลักฐานสำคัญอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนมาแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน


           พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมเสวนาทางวิชาการ เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก “๙๖ พระชันษา สมเด็จพระสังฆราช : มาตุภูมิ และพระกรณียกิจ” ในวันเสาร์ที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๗  ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒. ๐๐ น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี พบกับการบรรยายที่น่าสนใจ ดังนี้            - เวลา ๐๙.๐๐ น.  สัมโมทนียกถาเปิดงาน โดย พระพรหมมงคลวัชราจารย์ (ไสว วฑฺฒโน) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ และ ๑๕ (ธ) เจ้าอาวาสวัดศรีสุริยวงศารามวรวิหาร            - เวลา ๐๙.๑๕ น. การสนทนา “ราชบุรีในความทรงจำ”  โดย พระพรหมมงคลวัชราจารย์ เจ้าอาวาสวัดศรีสุริยวงศารามวรวิหาร และ รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล            - เวลา ๑๐.๑๕ น. การบรรยายเรื่อง “ร่มอารามในราชบุรี” โดย รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี  คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล            - เวลา ๑๑.๑๕ น. การบรรยายเรื่อง “สมเด็จพระสังฆราชกับการศึกษา” โดย นายปกรัฐ กนกธนาพร รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักบริหารและพัฒนาองค์กร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)             ผู้สนใจกรุณาลงทะเบียนสำรองที่นั่ง ผ่าน inbox facebook พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี (ภายในวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๗) หรือรับชมผ่านช่องทาง online : facebook live ของ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี


ชื่อเรื่อง                     สาส์นสมเด็จ ลายพระหัตถ์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ และ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ (ภาค 1)ผู้แต่ง                       สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   วรรณคดีเลขหมู่                      895.916 น254ส                    สถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 คลังวิทยาปีที่พิมพ์                    ม.ป.ป.ลักษณะวัสดุ               752 หน้า หัวเรื่อง                     จดหมาย                              รวมเรื่องภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกหนังสือเรื่องสาส์นสมเด็จ ภาค 1 ลายพระหัตถ์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ และ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ  


วันคเณศชยันตี หรือวันประสูติพระคเณศ   ซึ่งปีนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๓ ก.พ. ๒๕๖๗ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๓ วันนี้แอดมินจึงนำเอาองค์ความรู้เรื่องจารึกบนฐานพระคเณศ ที่เคยประดิษฐานอยู่ ณ โบราณสถานโบสถ์พราหมณ์ นครศรีธรรมราช มาฝากทุกท่านค่ะ   องค์ความรู้ทางวิชาการ เรื่อง "จารึก" บนฐานพระคเณศสำริด พบที่โบราณสถานโบสถ์พราหมณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช   พระคเณศ เป็นเทพในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย คัมภีร์ปุราณะกล่าวถึงกำเนิดของพระคเณศว่าถือกำเนิดมาจากพระศิวะและพระนางปารวตี ชื่อ “พระคเณศ” หรือ “พระพิฆเนศวร์” แปลตามรูปศัพท์ว่า อุปสรรค ด้วยเหตุนี้พระคเณศจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพแห่งการขจัดอุปสรรคและสิ่งกีดขวางทั้งปวง เทพแห่งความสำเร็จ เทพแห่งความฉลาดรอบรู้ และยังเป็นเทพแห่งศิลปวิทยาและการประพันธ์ด้วย   สำหรับคติการบูชาพระคเณศในภาคใต้ของไทย พบหลักฐานในชุมชนโบราณทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของคาบสมุทร ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ มาจนถึงช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ – ๒๒ โดยบริเวณฝั่งตะวันออกพบหลักฐานในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดสงขลา ส่วนฝั่งตะวันตกพบหลักฐานในบริเวณจังหวัดกระบี่ และจังหวัดพังงา   โบสถ์พราหมณ์ เป็นโบราณสถานแห่งหนึ่งในภาคใต้ที่พบคติการเคารพบูชาพระคเณศ โดยได้พบประติมากรรมรูปพระคเณศจำนวนทั้งสิ้น ๓ องค์ องค์หนึ่งที่จะนำมากล่าวถึงในที่นี้ คือ พระคเณศ ๔ กร สำริด ซึ่งมีจารึกปรากฏอยู่ที่ฐานทั้ง ๒ ด้าน สำหรับโบราณสถานแห่งนี้ตั้งอยู่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครศรีธรรมราช จากหลักฐานทางโบราณคดีสันนิษฐานว่าโบสถ์พราหมณ์สร้างขึ้นราวสมัยอยุธยา โดยมีฐานะเป็นเทวสถานประจำเมืองนครศรีธรรมราช ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมสำคัญของพราหมณ์ ภายในเคยประดิษฐานรูปเคารพเนื่องในศาสนาพราหมณ์ที่สำคัญหลายองค์ ได้แก่ พระศิวนาฏราชสำริด พระอุมาสำริด พระวิษณุสำริด พระหริหระสำริด หงส์สำริด และพระคเณศสำริด ภายหลังโบสถ์พราหมณ์มีสภาพชำรุดมาก ถูกรื้อลงในปี ๒๕๐๕ (ปัจจุบันโบสถ์พราหมณ์ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดยกรมศิลปากรแล้ว ในปี ๒๕๖๓) จึงมีการเคลื่อนย้ายรูปเคารพบางส่วนรวมถึง “พระคเณศสำริด” ไปเก็บไว้ในหอพระอิศวรอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนจะนำไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช เมื่อปี ๒๕๑๕ ปัจจุบันพระคเณศองค์นี้จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช   พระคเณศสำริด มีขนาดสูง ๔๖.๕ เซนติเมตร เป็นพระคเณศ ๔ กร ประทับยืนตรง (สมภังค์) บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนกันสองชั้นซึ่งมีจารึกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง องค์พระคเณศสวมกรัณฑมกุฏ (คือ หมวกรูปชามคว่ำ เป็นหมวกที่เทพทั่วไปและกษัตริย์นิยมสวม) และเครื่องประดับต่าง ๆ งาข้างขวาหัก มีงาเดียว (จึงมีอีกนามว่า “เอกทันต์”) งวงตวัดไปทางด้านซ้าย สวมสายยัชโญปวีตพาดพระอังสาซ้าย ทรงผ้านุ่งแบบสมพรต (ถกเขมร) พระหัตถ์ซ้ายบนทรงถือบ่วงบาศ พระหัตถ์ขวาบนทรงถือขอสับช้างหรืออังกุศ พระหัตถ์ซ้ายล่างทรงถือขนมโมทกะ (คือ ขนมที่ปรุงจากข้าวและน้ำตาล เชื่อว่าขนมโมทกะเป็นสัญลักษณ์ของความฉลาดรอบรู้) และพระหัตถ์ขวาล่างทรงถืองาข้างขวาที่หัก ทั้งนี้ พบว่าลักษณะการถือสัญลักษณ์ในพระหัตถ์ของพระคเณศองค์นี้คล้ายกับพระคเณศในอินเดียใต้เป็นอย่างมาก   บริเวณฐานชั้นล่างของพระคเณศสำริด ปรากฏจารึกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จารึกด้านหน้าเป็นอักษรทมิฬ ภาษาทมิฬ อ่านว่า มะ ชหา ปิ จิ เท ศะ (ma jhā pi ci de śa) แปลว่า ประเทศอันรุ่งเรืองแห่งมัชหาปิ (มัชปาหิต) ส่วนด้านหลังเป็นจารึก อักษรไทย ภาษาไทย อ่านว่า มหาวิคิเนกสุระ แปลว่า มหาพิฆเณศวร เกี่ยวกับการกำหนดอายุสมัยและการตีความจารึกบนฐานพระคเณศองค์นี้ อาจารย์อัญชนา จิตสุทธิญาณ อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจารึก แห่งภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้กำหนดอายุตัวอักษรทมิฬที่ปรากฏในจารึกว่ามีอายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ – ๒๒ แม้ว่าจารึกภาษาทมิฬจะมีการกล่าวถึงราชวงศ์มัชปาหิต ซึ่งเป็นราชวงศ์หนึ่งของชวาที่รุ่งเรืองขึ้นในชวาตะวันออกในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๑ แต่พระคเณศองค์นี้ไม่ได้แสดงให้เห็นอิทธิพลจากศิลปะชวาแต่อย่างใด หากแต่กลับแสดงถึงอิทธิพลของศิลปะเขมรอย่างเด่นชัด จึงกำหนดอายุของพระคเณศองค์นี้ไว้ในสมัยอยุธยาตอนต้น   เรียบเรียง/ภาพ: นางสาวนภัคมน ทองเฝือ นักโบราณคดีชำนาญการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช   อ้างอิง: กรมศิลปากร. จารึกที่พบในจังหวัดนครศรีธรรมราช. นครศรีธรรมราช: สำนักโบราณคดีที่ ๑๔ นครศรีธรรมราช, ๒๕๕๐. (อัดสำเนา) จิรัสสา คชาชีวะ. “คติความเชื่อและรูปแบบพระพิฆเนศวร์ที่พบในประเทศไทย” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๗. นภัคมน ทองเฝือ. รายงานการขุดค้นโบราณสถานโบสถ์พราหมณ์ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครศรีธรรมราช. นครศรีธรรมราช: สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช, ๒๕๕๙.  ผาสุข อินทราวุธ. “พระคเณศ: ที่พบในภาคใต้” สารานุกรมวัฒนธรรม ภาคใต้ ๖ (๒๕๒๙): ๒๒๒๐ - ๒๒๓๐. ผาสุข อินทราวุธ. ศาสนาฮินดูและประติมานวิทยา. กรุงเทพฯ : ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ม.ป.ป. -------------------------- สามารถดูข้อมูลโบราณสถานโบสถ์พราหมณ์เพิ่มเติมได้ในบทความเรื่อง “โบสถ์พราหมณ์ แห่งเมืองนครศรีธรรมราช” https://www.facebook.com/nakonsrif.../posts/464313600834893/ . และสามารถดูภาพพระคเณศสำริดองค์นี้ในแบบ ๓ มิติ ได้ที่  http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/.../37-%E0%B8%9E...


         กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (Krom Bhraya Damrongrachanupab)          ศิลปิน : ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี (Silpa Bhirasri)          เทคนิค: สำริด (Bronze)          ขนาด : สูง 12.5 เซนติเมตร (H.12.5 cm.)            แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/silpabhirasri/360/model/s10ok/   ที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/silpabhirasri



             การวางฤกษ์ เป็นพิธีกรรมหรือประเพณีในการก่อสร้างอาคารเพื่อรวมความสวัสดิมงคล ให้เกิด ณ สถานที่นั้นก่อนการก่อสร้าง โดยมักวางแผ่นอิฐ แผ่นศิลา หรือสิ่งของมงคลไว้บริเวณใต้ฐาน ของอาคาร ก่อนจะสร้างสิ่งก่อสร้างเหนือพื้นที่นั้น              การวางฤกษ์ในประเทศไทยปรากฏหลักฐานตั้งแต่สมัยเริ่มแรกที่มีการก่อสร้างศาสนสถาน ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ทั้งในวัฒนธรรมทวารวดี และวัฒนธรรมเขมร (สมัยก่อนเมืองพระนคร) จากการดำเนินงานทางโบราณคดีทั้งการขุดศึกษาและการบูรณะโบราณสถานประเภทปราสาทในวัฒนธรรมเขมรโบราณซึ่งอยู่ในในความรับผิดชอบของสำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา ได้พบหลักฐานต่าง ๆ ที่นำมา ซึ่งการศึกษาด้านคติความเชื่อในการวางฤกษ์ปราสาทในวัฒนธรรมเขมรโบราณ โดยสามารถจำแนกออกได้เป็น ๒ ลักษณะ ได้แก่ การวางฤกษ์แบบไม่ใช้แผ่นศิลาฤกษ์ การวางฤกษ์แบบใช้แผ่นศิลาฤกษ์ ซึ่งจำแนกรูปแบบการวางฤกษ์ออกได้ตามแต่ละยุคสมัยของปราสาท ทั้งนี้ จากการค้นพบล่าสุดใน พ.ศ. ๒๕๖๓ นำมาซึ่งข้อมูลการวางฤกษ์รูปแบบใหม่ในประเทศไทย นั่นคือ การวางฤกษ์โดยใช้ประติมากรรมรูปเต่าเป็นแท่นบรรจุวัตถุมงคลแทนแผ่นศิลาฤกษ์ โดยประติมากรรมรูปเต่าลักษณะใกล้เคียงกันนี้เคยค้นพบในประเทศกัมพูชา และคงมีความสัมพันธ์กับโบราณสถานที่เกี่ยวข้องกับน้ำ และคติความเชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์ รวมถึงคติความเชื่อ ในการจำลองจักรวาล



            วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2567 นายชินณวุฒิ วิลยาลัย ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ พร้อมด้วยนางสาวชลลดา สังวร หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน และเจ้าหน้าที่ ได้เข้าสำรวจสภาพโบราณวัตถุ โบราณสถานหลังน้ำท่วม ณ วัดหนองบัว ตำบลป่าคา อำเภอท่าวังผา และวัดภูมินทร์ ตำบลในเวียง อำเภอเมือง จังหวัดน่าน เพื่อประเมินผลกระทบและหาแนวทางในการป้องกันและอนุรักษ์โบราณวัตถุ โบราณสถานต่อไป พร้อมทั้งได้ให้คำแนะนำและแนวทางในการฟื้นฟูและบรรเทาความเสียหายที่อาจจะเกิดจากความชื้นต่อโบราณวัตถุและโบราณสถานในเบื้องต้นให้กับทางวัด ภาพที่ 1-4 : วัดหนองบัว ภาพที่ 5- 8 : วัดภูมินทร์


             กรมศิลปากร โดยสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอเชิญร่วมฟังการเสวนาและการบรรยายจากผู้บริหารองค์กรด้านพิพิธภัณฑ์ของไทย รวมถึงผู้ปฏิบัติงานพิพิธภัณฑ์มากกว่า 40 คน ที่จะมาร่วมกันบอกเล่าเรื่องราวความรู้ต่าง ๆ สู่สาธารณชน ในงาน “150 ปี พิพิธภัณฑ์ไทย สยามซิวิไลซ์ A Passage to Wisdom”  ในวาระครบรอบ 150 ปี แห่งการเริ่มต้นพิพิธภัณฑสถานสำหรับประชาชนครั้งแรกในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 19 – 21 กันยายน 2567 ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร               สำหรับการเสวนาและการบรรยาย ประกอบด้วย              วันที่ 19 กันยายน 2567               Session 1 : “150 ปี พิพิธภัณฑ์ไทย สยามซิวิไลซ์ A Passage to wisdom” การเสวนาเล่าเรื่องจุดเริ่มต้นของกิจการพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย พัฒนาการ และทิศทางสู่อนาคต โดย สมลักษณ์ เจริญพจน์ อุปนายกสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ อดีตรองอธิบดีกรมศิลปากร ดร. รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) สุขุมาล ผดุงศิลป์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียมสยาม) และนิตยา กนกมงคล ผู้อำนวยการสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ผู้ดำเนินรายการ               Session 2 : “พิพิธพัฒนาการพิพิธภัณฑ์ไทย” การบรรยายเจาะลึกการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ไทยที่น่าสนใจ ประกอบด้วย “พิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราช” โดย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. นพ. สรรใจ แสงวิเชียร ที่ปรึกษาคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล “๒๐ ปี พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ไทย” โดย สุชีรา เทวะ นักจัดกิจกรรมภาพยนตร์ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) “กว่าจะมาเป็นพิพิธภัณฑ์กรมที่ดิน” โดย ชัยวัฒน์ ไชยประเสริฐ พิพิธภัณฑ์กรมที่ดิน               Session 3 : “พหุวัฒนธรรมการแต่งกาย” การเสวนาที่จะพาทุกคนไปสัมผัสวัฒนธรรมหลากหลายที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว กับประเด็น “พหุพัสตราภรณ์ ความหลากหลายแห่งแพรพรรณ” โดย ชนะภพ วัณณโอฬาร สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา “๑๕๐ ปี วิวัฒนาการผ่านผืนผ้า From westernized สู่ไทยพระราชนิยม” โดย ณชนก วงศ์ข้าหลวง พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ “ผ้าราชสำนักในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร” โดย ยุทธนาวรากร แสงอร่าม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร               Session 4 : “รากฐานความรู้ สู่การเป็นพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ระดับวิชาการ“ การบรรยายเล่าเรื่องเบื้องหลัง การรวบรวมสิ่งสะสมที่พัฒนาเป็นองค์ความรู้ทางวิชาการ ประกอบด้วย “จากแผ่นสู่ห้องสมุดเสียงร้อยเรียงเป็นแหล่งเรียนรู้” โดย ถนิมรัตน์ แกล้วทนงค์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครราชสีมา พิพิธภัณฑ์และหอจดหมายเหตุ กรมประชาสัมพันธ์  “จากการสะสมวัตถุพยาน สู่พิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้” โดย ชาตรี ชุ่มจิตร นักสื่อสารมวลชน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์ตำรวจ วังปารุสกวัน  “จากสะสมสู่มิวเซียม: จุดเริ่มต้นของพิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด” โดย นิภาพร บุญทองใหม่ ภัณฑารักษ์ พิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด  “กองทัพอากาศในกระแสการเปลี่ยนแปลงทางสังคม” โดย นาวาอากาศเอก วีระชน เพ็ญศรี ผู้อำนวยการกองประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ทหาร กรมสารบรรณทหารอากาศ พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศและการบินแห่งชาติ  “สิ่งสะสมส่วนตัวสู่คลังสมบัติชาติ: นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล กับการวางรากฐานพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาไทย” โดย ชัยนุพล สุวรรณกุลไพศาล ศูนย์บริหารคลังตัวอย่างทางธรรมชาติวิทยาและสัตว์สตัฟฟ์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ “พิพิธภัณฑ์จ่าง แซ่ตั้ง กับการจัดการผลงานโดยครอบครัวศิลปิน” โดย นวภู แซ่ตั้ง นักวิชาการศิลปะ ทายาทรุ่นที่ 3 ของศิลปิน จ่าง แซ่ตั้ง ผู้ร่วมก่อตั้งพิพิธภัณฑ์จ่าง แซ่ตั้ง               วันที่ 20 กันยายน 2567                Session 5 : “Museum as Soft Power” การบรรยายนำเสนอบทเรียนจากความสำเร็จการเป็นผู้นำด้าน Soft Power โดย ลี ซอนจู ผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีแห่งประเทศไทย               Session 6 : “พิพิธภัณฑ์กับการเป็นแหล่งท่องเที่ยว” การเสวนาร้อยเรียงกระบวนการจัดการพิพิธภัณฑ์เพื่อตอบรับการท่องเที่ยวกระแสหลัก โดย ดร. บัลลังก์ เนื่องแสง ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา ณันท์นภัส โตพัน ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา (ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ) พนมกร นวเสลา ภัณฑารักษ์ พิพิธภัณทสถานแห่งชาติ พระนคร (ผู้ดำเนินรายการ)               Session 7 : “พิพิธภัณฑ์กับการแปลงทุนทางวัฒนธรรมสู่การเรียนรู้” การบรรยายนำเสนอแนวทางการประยุกต์องค์ความรู้ที่เข้าถึงคนทุกวัย “บอร์ดเกมจากพิพิธภัณทสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์” โดย ชนน วัฒนะกูล ภัณฑารักษ์ พิพิธภัณทสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์               Session 8 : “พิพิธภัณฑ์กับวัฒนธรรมร่วมสมัย” การบรรยายเกี่ยวกับการตีความวัตถุทางวัฒนธรรมเพื่อสื่อสารในรูปแบบแฟชั่นดีไซน์ ประกอบด้วย “Redefining Ethnological Collections: Integrating Contemporary Indigenous Fashion.” โดย Yulun Huang Curatorial Assistant Researcher, National Museum of Prehistory, Taiwan  “จากศิลปะ สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์” โดย ดร. วิจิตร อภิชาตเกรียงไกร (Ph.D in Visual Art) หอศิลป์ศาลเจ้า               Session 9 : “พิพิธภัณฑ์กับการสร้างสรรค์พื้นที่การเรียนรู้” การเสวนาว่าด้วยการออกแบบกิจกรรมและสื่อการเรียนรู้ในพิพิธภัณฑ์ “บทเรียนจากพิพิธภัณฑ์...สู่การสร้างสรรค์เมืองแห่งการเรียนรู้” โดย ทวีศักดิ์ วรฤทธิ์เรืองอุไร มิวเซียมสยาม อัศรินทร์ นนทิหทัย ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรมการเรียนรู้ สถาบันอุทยานการเรียนรู้ พีรัช ษรานุรักษ์ นักออกแบบการเรียนรู้ Wizards of Learning ชนน์ชนก พลสิงห์ รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายนิทรรศการและกิจกรรม มิวเซียมสยาม (ผู้ดําเนินรายการ)                วันที่ 21 กันยายน 2567                 Session 10 : “เทคโนโลยีกับพิพิธภัณฑ์” การบรรยายนำเสนองานหลังบ้าน การวิเคราะห์โบราณวัตถุ และการจัดการฐานข้อมูล ประกอบด้วย “หน้าบ้านหลังบ้าน การใช้เทคโนโลยีในงานพิพิธภัณฑ์แบบทำได้จริง” โดย อานุภาพ สกุลงาม ผู้อำนวยการกองวิชาการวิทยาศาสตร์ สำนักวิชาการพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ  “เทคโนโลยีกับการสร้างฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์โบราณวัตถุ” โดยเบญจวรรณ พลประเสริฐ ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย  “เทคโนโลยีกับการสร้างภาพจำใหม่ของโบราณวัตถุ” โดย นัยนา มั่นปาน ภัณฑารักษ์ชำนาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย                Session 11 : “พิพิธภัณฑ์สร้างสรรค์เพื่อความยั่งยืน“ การเสวนาเล่าเรื่องการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จากคุณค่าวัตถุทางวัฒนธรรมของพิพิธภัณฑ์: พิพิธภัณฑ์บันดาลไทย กับวิทยากรกลุ่มเซียมไล้และตัวแทนน้องๆ ผู้เข้าร่วมกิจกรรม อาจารย์ไพโรจน์ ธีระประภา ศิลปินศิลปาธร 2557 สาขาเรขศิลป์ และผู้ก่อตั้งกลุ่มเซียมไล้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ธีรวัฒน์ พจน์วิบูลศิริ คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร สมาชิกกลุ่มเซียมไล้ ทานตะวัน วัฒนะ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมพิพิธภัณฑ์บันดาลไทย 2567 ทีมไทยเก๊ก ธนพล โลหชิตพิทักษ์ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมพิพิธภัณฑ์บันดาลไทย 2567 ทีมประกายมรกต วัชรี ชมภู ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี (ผู้ดำเนินรายการ)                Session 12 : “พิพิธภัณฑ์เพื่อสังคม“ การบรรยายเล่าเรื่องความรู้ ภูมิปัญญา และงานอาสาสมัครเพื่อพัฒนาสังคม ประกอบด้วย “บทบาทพิพิธภัณฑ์ในการจัดการความรู้ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นสู่การพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน” โดย พระปลัดประพจน์ สุปภาโต พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดสำโรง  “การส่งเสริมสุขภาวะทางจิตของผู้สูงอายุ ผ่านการเป็นอาสาสมัครเล่าเรื่องวัตถุตัวอย่างในพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์” โดย มณีรัตน์ เปานาเรียง ผู้อำนวยการกองวิชาการประวัติวิทยาศาสตร์และภูมิปัญญาไทย สำนักวิชาการพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ               Session 13 : “พลวัต (การศึกษา) สู่อนาคตพิพิธภัณฑ์ไทย”การบรรยายนำเสนอทิศทางของพิพิธภัณฑ์ไทยในนวัตกรรมแห่งความรู้ ในหัวข้อ “พิพิธภัณฑ์แหล่งเรียนรู้ของอนาคต” โดย พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ พิพิธภัณฑ์นักเขียนไทย “จากการสั่งสมโบราณวัตถุ สร้างสรรค์บทสนทนาสู่การสร้างนวัตกรรมกรรมทางสังคม A passage of Knowledge, Conversation and Innovation” โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. พธู คูศรีพิทักษ์ ประธานหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาพิพิธภัณฑศึกษา สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล               Session 14 : “พิพิธภัณฑ์กับชุมชน” การเสวนานำเสนอกระบวนการสร้างสรรค์พื้นที่ของวัฒนธรรมชุมชน “ศิลปะชุมชน พื้นที่ของวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์” โดย อาจารย์ชุมพล อักพันธานนท์ บ้านศิลปินคลองบางหลวง ดร. ไพโรจน์ ทองคำสุก ศูนย์ฝึกโขนวัดสุวรรณาราม ชัยวัฒน์ ไชยประเสริฐ พิพิธภัณฑ์กรมที่ดิน (ผู้ดำเนินรายการ).              ทั้งนี้ ในวันที่ 19 กันยายน 2567 สามารถเข้าร่วมรับฟังการเสวนาและการบรรยายได้ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป โดยมีการปาฐกถาพิเศษ “มองอนาคตของพิพิธภัณฑ์ในทศวรรษหน้า” โดย พนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร และวันที่ 20 - 21  กันยายน 2567 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน                          นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการพิเศษกับวัตถุสะสมชิ้นพิเศษจากพิพิธภัณฑ์เครือข่าย 24 แห่ง การออกร้านกิจกรรมพิเศษและการจำหน่ายของที่ระลึกจากพิพิธภัณฑ์เครือข่ายอีก 20 แห่ง ตลาดสินค้าสร้างสรรค์ประเภทอาร์ตทอย นอกจากนี้ในช่วงค่ำยังจัดให้มีกิจกรรม Museum Talk ยามค่ำ และกิจกรรม Night Museum เปิดให้ชมพิพิธภัณฑ์รอบพิเศษให้ทุกท่านเข้าชมนิทรรศการและความสวยงามของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ยามค่ำคืน ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย ประจำปี 2567 “150 ปี พิพิธภัณฑ์ไทย สยามซิวิไลซ์ A Passage to Wisdom” ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างวันที่ 19 - 21 กันยายน 2567 กิจกรรมเริ่มตั้งแต่เวลา 09.00 น. ไปจนถึง 20.00 น.              ติดตามรายละเอียดกิจกรรมต่างๆ ใน “150 ปี พิพิธภัณฑ์ไทย สยามซิวิไลซ์ A Passage to wisdom” ได้ทาง Facebook: Thai Museum Day และ Office of National Museums, Thailand  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โทร. 0 2164 2501-02 ต่อ 8045


black ribbon.