ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,777 รายการ
โบราณวัตถุจัดแสดง นิทรรศการพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช ๒๕๖๓ เรื่อง ศิลปวิทยาการจากสาส์นสมเด็จ ระหว่างวันที่ ๑๙ สิงหาคม - ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ---------------------------------------๑. พระรูปสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ปั้นหุ่นต้นแบบรูปนี้เมื่อพุทธศักราช ๒๔๖๖ และเก็บรักษาไว้ที่ ตำหนักปลายเนิน ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ต่อมาในพุทธศักราช ๒๕๔๙ กรมศิลปากรได้ขออนุญาตหล่อพระรูปจากหุ่นต้นแบบนั้น และนำไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ในอดีตคนไทยไม่นิยมสร้างรูปเหมือนบุคคลที่ยังมีชีวิตเพราะจะทำให้อายุสั้น แต่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา นริศรานุวัดติวงศ์ทรงเป็นพระราชวงศ์องค์แรกที่ยอมรับแนวคิดแบบตะวันตก และยินดีให้ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ปั้นหุ่นพระองค์เป็นต้นแบบ นับเป็นจุดเปลี่ยนแนวคิดในการสร้างงานประติมากรรมรูปเหมือนบุคคลจริงของสังคมไทย ทำให้เกิดการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบรมรูป พระรูปอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา ๒. โต๊ะทรงพระอักษร โต๊ะสำหรับทรงพระอักษรของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พร้อมเครื่องเขียนและของใช้ส่วนพระองค์ และที่สำคัญบนโต๊ะยังมีร่างจดหมายฉบับสุดท้ายที่ทรงถึงสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และปฏิทินที่ระบุหน้าสุดท้ายที่ทรงใช้คือวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๔๘๖ ก่อนจะสิ้นพระชนม์ ๓. ลับแลอิเหนา ลับแล คือเครื่องกั้นใช้สำหรับบังสายตา กั้นห้อง แบ่งพื้นที่ให้เป็นสัดส่วน ลับแลบานนี้มีความ พิเศษสองประการคือ การตกแต่งด้วยการเขียนลายกำมะลอ ซึ่งนอกจากจะปิดทองคำเปลวแล้ว ยังมีการผสมสีฝุ่นกับน้ำรัก ระบายให้มีสีสันบนพื้นผิวด้วย สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงสันนิษฐานว่าวิธีการเขียนลายแบบนี้ได้มาจากช่างจีนที่อยู่ในประเทศไทย และช่างไทยได้นำมาดัดแปลงเขียนลงบนตู้พระธรรม หีบพระธรรมต่าง ๆ ความพิเศษอีกประการหนึ่งคือ เรื่องราวที่นำมาเขียนเป็นเรื่องอิเหนา มิใช่เรื่องรามเกียรติ์ ชาดกหรือพุทธประวัติตามที่ได้เห็นในงานจิตรกรรมทั่วไป๔. สมุดภาพตำรารำ รัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ จัดทำ“ตำราภาพรำ” โดยรวบรวมท่าฟ้อนรำที่สืบมาจากสมัยกรุงศรีอยุธยา ๓๖ ท่า ให้จิตรกรเขียนภาพลงบน สมุดไทยขาว นับเป็นตำราท่ารำเก่าแก่ที่ใช้เป็นต้นแบบของการแสดงนาฏศิลป์ของไทย ในสมัยรัชกาลพระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เรียบเรียงข้อมูลหนังสือ “ตำราฟ้อนรำ” ขึ้นใหม่ให้มีความสมบูรณ์ โดยใช้สมุดภาพตำรารำ รัชกาลที่ ๑ เป็นต้นแบบ ๕. โครงกระดูกมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ แหล่งโบราณคดีบ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี มีอายุราว ๓,๕๐๐ – ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว โครงกระดูกมนุษย์ที่พบจากแหล่งโบราณคดีนี้ นอกจากจะเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าในบริเวณจังหวัดกาญจนบุรีมีมนุษย์อยู่อาศัยมาเมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว ยังเป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกให้เห็นภาวะพยาธิวิทยาหรือโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคนในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ได้ โดยสังเกตจากสภาพฟันผุ สึกกร่อน ที่อาจเกิดจากการกินของเปรี้ยวหรือการฝนขัดฟัน และกะโหลกศีรษะที่หนาผิดปกติซึ่งแสดงถึงภาวะโรคโลหิตจาง เป็นต้น ๖. ศิลาจารึกวัดพระงาม การค้นพบศิลาจารึกเสมือนการได้ย้อนกลับไปในโลกอดีตในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างชัดเจน การ ขุดพบศิลาจารึกจากเนินสถูปวัดพระงาม จังหวัดนครปฐม เมื่อพุทธศักราช ๒๕๖๒ ก็เช่นเดียวกัน จารึกหลักนี้ จารด้วยอักษรตัวอักษรแบบปัลลวะ ภาษาสันสกฤต ที่ประดิษฐ์ขึ้นอย่างงดงาม เนื้อความกล่าวถึงการสรรเสริญ พระราชา เมืองทวารวดี และการอุทิศสิ่งของถวายเทพเจ้า ในการศึกษาโบราณคดีและประวัติศาสตร์อาจกล่าวได้ว่าจารึกหลักนี้เป็นอีกหลักฐานสำคัญที่สนับสนุนแนวคิดเรื่องการมีอยู่ของ “ทวารวดี” เมืองในยุคสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ในดินแดนไทย เมื่อกว่า ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว ๗. พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เป็นสัญลักษณ์ของปัญญาและโพธิญาณตามคติพุทธศาสนามหายาน พระองค์จะโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นสังสารวัฏก่อนแล้วจึงจะเสด็จสู่นิพพานเป็นองค์สุดท้าย สมเด็จฯ กรม พระยา ดำรงราชานุภาพ ทรงพบรูปพระโพธิสัตว์องค์นี้ขณะเสด็จตรวจราชการทางภาคใต้บริเวณวัดพระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีในปัจจุบัน แม้ว่าประติมากรรมชิ้นนี้จะชำรุดแต่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดชิ้นหนึ่งในสยามประเทศ ๘. ตุ่มสุโขทัย เป็นชื่อที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงใช้เรียกตุ่มขนาดใหญ่ ไม่มีน้ำเคลือบ ซึ่งขุด พบจากเตาบ้านเกาะน้อย จังหวัดสุโขทัย ปัจจุบันพบว่าตุ่มขนาดใหญ่แบบเดียวกับกันนี้มีแหล่งผลิตอยู่ที่เตา แม่น้ำน้อย จังหวัดสิงห์บุรี ด้วย แตกต่างกันตรงที่ตุ่มแบบหลังจะเคลือบสีน้ำตาล สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชา นุภาพ ทรงระบุไว้ในจดหมายเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๔๗๘ ว่าในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสำหรับพระนคร มี “ตุ่มสุโขทัย” อยู่หลายใบ ๙. ตู้พระธรรมลายรดน้ำบานกระจก รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ กระแสวัฒนธรรมตะวันตก แพร่หลายอย่างรวดเร็ว ตู้กระจกแบบใหม่และการเข้ามาของสมุดฝรั่งมีมากขึ้น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรง ราชานุภาพ จึงทรงรวมรวมตู้พระธรรมโบราณจากวัดต่าง ๆ มาเก็บไว้ในหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนครและทรงดัดแปลง ฝาหลังตู้ซึ่งไม่มีลวดลายประดับเป็นบานกระจก สำหรับใส่หนังสือเพื่อไม่ให้ลายทองด้านหน้า ลบเลือนจากการเปิดปิดตู้ ๑๐. ต้นฉบับภาพร่างพัดบรมราชาภิเษก ๒๔๖๘ ภาพเขียนสีน้ำบนกระดาษเป็นต้นแบบสำหรับปักพัดรองที่ระลึกงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ พุทธศักราช ๒๔๖๘ ฝีพระหัตถ์การออกแบบของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ดังจะเห็นได้จากตราประจำพระองค์ “น ในดวงใจ”ที่ทรงซ่อนไว้ในชิ้นงาน คำว่า “เดชน์” ในพระบรมนามาภิไธย “ประชาธิปกศักดิเดชน์” แปลว่า “ลูกศร” รูปพระแสงศร ๓ องค์ หมายถึง ราชศาสตราวุธของพระราม ได้แก่ พระแสงพรหมมาสตร์ พระแสงศรประลัยวาด และพระแสงอัคนีวาต
ผู้แต่ง : พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ฉบับพิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ 1
สถานที่พิมพ์ : พระนคร
สำนักพิมพ์ : ม.ป.พ.
ปีที่พิมพ์ : 2464
หมายเหตุ : พระโสภณอักษรกิจ พิมพ์สนองพระคุณท่านเจ้าพระยารามราฆพฯ ในงานฉลองสุพรรณบัฎ
นำเสนอเนื้อหาของพระราชนิพนธ์ กลอนเพลงยาวนิราศ เรื่องรบพม่าที่ท่าดินแดง
กรมศิลปากรกำหนดถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี ๒๕๖๓ ณ วัดพระงาม จังหวัดนครปฐม กรมศิลปากร กำหนดถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี ๒๕๖๓ ณ วัดพระงาม ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ในวันเสาร์ที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. และขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคปัจจัยโดยเสด็จพระราชกุศลได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมศิลปากรรับผ้า พระกฐินพระราชทาน ประจำปี ๒๕๖๓ นำไปถวาย ณ วัดพระงาม ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม โดยในวันศุกร์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๙.๐๐ น. กรมศิลปากร ได้จัดการแสดงโขน เรื่อง“รามราชจักรี” สมโภชองค์พระกฐิน เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ชื่นชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงอย่างหนึ่งของไทย และกำหนดถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ในวันเสาร์ที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. พร้อมทั้งบริจาคปัจจัยนำเข้าสมทบถวายบำรุงพระอารามหลวง วัดพระงาม วัดพระงาม เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อพ.ศ.๒๕๐๕ และได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวงเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๙ ภายในวัดมีเจดีย์ขนาดใหญ่ที่คาดว่าสร้างในสมัยทวารวดี กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้ดำเนินโครงการศึกษาวิจัยความรู้ ด้านประวัติศาสตร์โบราณคดีโบราณสถานวัดพระงาม ก่อให้เกิดกระบวนการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการ ตลอดจนการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานแห่งนี้อย่างจริงจัง กิจกรรมหลักคือการขุดศึกษาทางโบราณคดี เพื่อศึกษาศาสนสถานในวัฒนธรรมทวารวดีของเมืองโบราณนครปฐม ทั้งในด้านรูปแบบสถาปัตยกรรมและคติความเชื่อ กรมศิลปากร ขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคทรัพย์ หรือสิ่งของ โดยเสด็จพระราชกุศล ในการถวายผ้าพระกฐินพระราชทานกรมศิลปากร ประจำปี ๒๕๖๓ ได้ที่ กลุ่มคลังและพัสดุ สำนักบริหารกลาง กรมศิลปากร ในกรณีส่งธนาณัติ หรือ ตั๋วแลกเงินไปรษณีย์ โปรดสั่งจ่ายในนามผู้อำนวยการกลุ่มคลังและพัสดุ กรมศิลปากร ปณ.หน้าพระลาน กทม. ๑๐๒๐๐ หรือโอนเข้าบัญชีธนาคารออมสิน สาขาหน้า พระลาน บัญชีเลขที่ ๐ ๕ ๐ ๕ ๗ ๐ ๓ ๔ ๕ ๕ ๙ ๐ ชื่อบัญชี การกุศลกรมศิลปากร ประเภทเงินฝากออมทรัพย์ ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๓ ทั้งนี้ กรมศิลปากรจะได้รวบรวมนำเข้าสมทบถวายบำรุงพระอารามหลวงวัดพระงามต่อไป สอบถามเพิ่มเติมโทร. ๐ ๒๒๒๑ ๗๘๑๒
เลขทะเบียน : นพ.บ.123/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 5 x 57.5 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 70 (232-242) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : มงฺคลตฺถทีปปี (มงคลทีปนีอรรถกถา)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ตำรายาและเวทย์มนต์คาถา ชบ.ส. ๓๐
เจ้าอาวาสวัดพลับ ต.พนัสนิคม อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี
มอบให้หอสมุด ๒๑ ก.ค. ๒๕๓๕
เอกสารโบราณ (สมุดไทย)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.21/1-5
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
วันศุกร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติ พระนคร นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีรับมอบทับหลังจากปราสาทหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์ และทับหลังจากปราสาทเขาโล้น จังหวัดสระแก้ว โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ประธานคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย นายไมเคิล ฮีธ อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย นายดุสิต เมนะพันธุ์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ นายเอริค แมคล็อคลิน ผู้ช่วยทูตประจำภูมิภาค สำนักงานสืบสวนเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ประเทศไทย ในนามสำนักงานสืบสวนเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ สหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร เข้าร่วมในพิธี การติดตามทับหลังปราสาทหนองหงส์และปราสาทเขาโล้น เริ่มต้นเมื่อปี ๒๕๕๙ เมื่อมีกระแส เรียกร้องให้ติดตามนำโบราณวัตถุของไทยที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย จากความร่วมมือ ของภาคเอกชนและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องในนาม “คณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย” ที่ลงนามแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี และได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสำนักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Security Investigations) หรือ HSI สหรัฐอเมริกา ดำเนินการสืบสวนจนกระทั่งได้รับมอบทับหลังทั้งสองรายการเมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคมที่ผ่านมา และกลับคืนสู่ประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๔ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร จึงได้จัดพิธีรับมอบทับหลังทั้ง ๒ รายการ พร้อมทั้งนำมา จัดแสดงในนิทรรศการพิเศษ “ทับหลังปราสาทหนองหงส์ และปราสาทเขาโล้น กลับคืนสู่ประเทศไทย” โดยนิทรรศการนำเสนอข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของทับหลังทั้ง ๒ รายการ หลักฐานต่าง ๆ ที่ได้สืบค้น รวมถึงขั้นตอน การดำเนินงานในการติดตาม เพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงขั้นตอนและวิธีการกว่าจะได้มาซึ่งโบราณวัตถุที่ต้องใช้ระยะเวลา ความพยายาม และความร่วมมือจากหลายฝ่าย อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นจิตสำนึกรักและหวงแหนมรดกวัฒนธรรมของไทยและร่วมกันปกป้องดูแลรักษาให้สืบทอดไปยังคนรุ่นหลังต่อไป นิทรรศการพิเศษ “ทับหลังปราสาทหนองหงส์ และปราสาทเขาโล้น กลับคืนสู่ประเทศไทย” จัดแสดง ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๔ ทุกวันพุธ – วันอาทิตย์ (ปิดวันจันทร์ และอังคาร) เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โทรศัพท์ ๐ ๒๒๒๔ ๑๔๐๒ , ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๗๐ เป็นเวลามากกว่า ๕๐ ปี ที่ทับหลังปราสาทหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์ และทับหลังปราสาทเขาโล้น จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเป็นส่วนประกอบของโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ ได้ถูกโจรกรรมและนำออกไปจากประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายโดยขบวนการลักลอบค้าโบราณวัตถุเพื่อส่งต่อให้กับนักสะสมและพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งกรณีของทับหลังทั้งสองรายการนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่มรดกทางวัฒนธรรมของ คนไทยถูกลักลอบนำออกไป ที่ผ่านมาทับหลังจากปราสาทกู่สวนแตง และปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ก็เคย ถูกโจรกรรมไป และได้ติดตามนำกลับคืนมาแล้ว เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓ และ พ.ศ. ๒๕๓๑ ตามลำดับ ทับหลังคือส่วนประกอบของศาสนสถานจำพวกปราสาทหินในวัฒนธรรมเขมรโบราณ โดยมีลักษณะ เป็นแผ่นหินรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าติดตั้งอยู่เหนือกรอบประตูของอาคารหรือปราสาทหิน วัสดุหลักที่ใช้ทำทับหลังคือหินทราย โดยจะมีการจำหลักลวดลายเป็นภาพเล่าเรื่อง ภาพเทพต่างๆ หรือลวดลายประดับลงบนทับหลัง ลวดลายเหล่านี้มีรูปแบบและวิวัฒนาการในการสร้างที่ชัดเจน จึงสามารถใช้เป็นสิ่งที่ช่วยกำหนดอายุในการสร้างโบราณสถานนั้น ๆ ได้ และทับหลังก็มีรูปแบบเฉพาะที่แตกต่างกันไปเนื่องจากเป็นของที่แกะสลักขึ้นมาทีละชิ้น มีเอกลักษณ์และสวยงาม เป็นที่ต้องการของเหล่าบรรดาผู้สะสมโบราณวัตถุ ในอดีตจึงมักถูกโจรกรรมจากแหล่งโบราณสถานที่อยู่ห่างไกลและลักลอบนำออกไปขายยังต่างประเทศ----------------------------------------------------เอกสารประกอบ ดาวน์โหลดได้ที่ https://drive.google.com/drive/folders/1kCB73EnDdXHi1qTHfJkd7DhG2XhcxmIV?usp=sharing
เปิดประวัติ !! พรีเซนเตอร์แห่งเรือนพระยาสุนทรานุรักษ์ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ !!
เชื่อว่าหลายท่านเคยผ่านตาภาพหญิงสาว 4 คน ที่ทางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา ได้นำมาใช้ในการออกแบบป้ายประชาสัมพันธ์หรือข้อมูลต่าง ๆ และอาจมีความสงสัยว่า แม่จ๊ะแม่จ๋า ทั้ง 4 นาง มาจากไหน มีความเป็นมาอย่างไร วันนี้จึงขอนำเสนอองค์ความรู้พิเศษเพื่อเปิดเผยที่มาของสาวงามทั้ง 4
……………………………………………………………
“แม่ไม่ได้มาแต่เมืองทิพย์ แม่มาแต่เมืองทิ้ง (พระ)”
ภาพที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา นำมาใช้ประชาสัมพันธ์ เป็นภาพจำลองมาจากจิตรกรรมฝาผนังภายในวิหารพระพุทธไสยาสน์ หรือวิหารพ่อเฒ่านอน วัดจะทิ้งพระ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา
ทิ้งพระ เป็นการเรียกแบบย่อในภาษาถิ่นใต้ หมายถึงเมืองสทิงพระ เมืองที่มีความเป็นมายาวนานนับพันปี ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีแสดงถึงการตั้งถิ่นฐาน และการพัฒนาเป็นชุมชนต่อเนื่องกันมาหลายช่วงสมัย มีการรับอิทธิพลทางศาสนา วัฒนธรรมจากโลกภายนอกในระยะแรกเริ่มประวัติศาสตร์ และมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศมาเป็นเวลาช้านาน จนกระทั่งเจริญขึ้นเป็นเมืองที่มีอำนาจเป็นศูนย์กลางการปกครองท้องถิ่นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15-18 โดยมีศูนย์กลางการปกครองเมืองอยู่ในบริเวณตำบลจะทิ้งพระ ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญในบริเวณนี้ ได้แก่ พระพุทธรูปปางสมาธิ อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 ศิวลึงค์และฐานโยนี อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 13-14 เป็นต้น ปัจจุบันมีโบราณสถานที่ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียน เช่น วัดราชประดิษฐ์ (วัดพะโคะ) วัดดีหลวง เขาคูหา วัดสนามไชย และวัดจะทิ้งพระ ซึ่งมีจิตรกรรมฝาผนังที่โดดเด่นด้าน อันเป็นต้นกำเนิดของภาพหญิงสาวชาวบ้านกำลังปรับแต่งผ้าคาดอกเพื่อเตรียมตัวไปทำบุญ
วัดจะทิ้งพระ ตั้งอยู่ในเขตตำบลจะทิ้งพระ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา มีภูมิประเทศเป็นเนินทรายและอยู่ใกล้แหล่งน้ำ นับเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ เป็นวัดคู่เมืองสทิงพระมาแต่โบราณ ตามตำนานนางเลือดขาวกล่าวว่าเจ้าพระยากรุงทอง เจ้าเมืองสทิงพาราณสีเป็นผู้สร้างวัดขึ้นประมาณ พ.ศ. 1542 ต่อมาถูกโจรสลัดมลายูทำลายไป กระทั่งในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ (พ.ศ. 2148-2153) จึงได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาอีกครั้ง ตามหลักฐานเอกสารกัลปนาหัวเมืองพัทลุงสมัยอยุธยาระบุว่า วัดจะทิ้งพระในสมัยนี้แยกออกเป็น 2 วัด คือ วัดสทิงพระ กับวัดพระมหาเจดีย์องค์ใหญ่ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าวัดเจ้าพี่วัดเจ้าน้อง ขึ้นกับวัดเขียนบางแก้ว คณะป่าแก้วหัวเมืองพัทลุง ภายหลังในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 25 จึงได้รื้อกำแพงกั้นกลางระหว่างวัดออกรวมเป็นวัดเดียว
สิ่งก่อสร้างสำคัญภายในวัดจะทิ้งพระ ประกอบด้วย 1.เจดีย์พระมหาธาตุ เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ รูปแบบเดียวกับเจดีย์พระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นอิทธิพลที่รับมาจากลังกา 2. เจดีย์บริวาร ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเจดีย์ประธาน ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส องค์ระฆังเป็นทรงลังกา 3. วิหารพระพุทธไสยาสน์ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “วิหารพ่อเฒ่านอน” ภายในประดิษฐานพระนอนขนาดใหญ่ และเขียนภาพจิตรกรรมฝีมือช่างท้องถิ่นภาคใต้ 4. หอระฆัง ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ประดับลวดลายปูนปั้น รูปหน้าหนังตะลุง ที่แสดงศิลปะพื้นบ้านอย่างแท้จริง
วิหารพระพุทธไสยาสน์ หรือวิหารพ่อเฒ่านอน เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน สันนิษฐานว่าเดิมสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ต่อมาภายหลังมีการบูรณะขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ภายในมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ 1 องค์ เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้าน มีการเรียกขานกันว่า “พ่อเฒ่านอน” ที่ฝาผนังเขียนภาพจิตรกรรมเล่าเรื่องพุทธประวัติ โดยรายงานการสำรวจจิตรกรรมฝาผนังวัดจะทิ้งพระ เมื่อปี 2523 ระบุว่า ผู้เขียนภาพมี 3 คน คือ พระครูวิจารณ์ศีลคุณ (ชู) อดีตเจ้าอาวาส นายเคลื่อน และลูกมือนายช่างใบ้ ได้เขียนขึ้นเมื่อประมาณ 100 ปีมาแล้ว แต่ปัจจุบันได้ลบเลือนไปเกือบหมด คงเหลือให้เห็นเพียงด้านทิศตะวันออก ทั้งนี้ รายงานการสำรวจฯ ยังระบุว่าตำแหน่งภาพเขียนเริ่มจากด้านพระเศียรจรดพระบาท และบริเวณด้านหลังพระประธาน ส่งผลให้ภาพจิตรกรรมนี้มีลักษณะเป็นฉากหลังพระ ประกอบด้วยพุทธประวัติตอนต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
จิตรกรรมฝาผนังด้านทิศตะวันออก บริเวณด้านเศียรของพระประธานเขียนภาพพุทธประวัติ ตอนเสด็จโปรดพุทธมารดา และเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เบื้องล่างแสดงภาพพระภิกษุสงฆ์รับบิณฑบาตรจากพุทธศาสนิกชนที่พากันมาร่วมทำบุญตักบาตร ถวายดอกบัว เรียกการตักบาตรนี้ว่า “ตักบาตรเทโว” ซึ่งภาพหญิงสาวชาวบ้านกำลังปรับแต่งผ้าคาดอกเพื่อเตรียมตัวไปทำบุญถูกสอดแทรกอยู่ในบริเวณนี้ ส่วนด้านล่างสุดเป็นฉากนรกภูมิ ซึ่งรายละเอียดของภาพจิตรกรรมในด้านนี้เผยให้เห็นโลกทั้ง 3 อันได้แก่ สวรรค์ โลก และนรก ดังคำกล่าวในพุทธประวัติว่าวันที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากดาวดึงส์นั้น พระองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์ด้วยการเปิดโลกทั้ง 3 คือ เทวโลก มนุษยโลก และยมโลก จิตรกรรมฝาผนังด้านทิศใต้ แสดงภาพพุทธประวัติตอนเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ รับข้าวมธุปายาส และธิดามารยั่วยวน ขณะที่จิตรกรรมฝาผนังด้านทิศตะวันตก แสดงภาพพุทธประวัติตอนมารวิชัย
จิตรกรรมฝาผนังภายในวิหารพระพุทธไสยาสน์มีลักษณะการเขียนภาพบนพื้นสีเหลืองอ่อน เขียนด้วยสีขาว เทา ฟ้า และเขียว ซึ่งการใช้สีดังกล่าวสันนิษฐานว่าเป็นวัตถุประสงค์ของช่างที่ต้องการให้ภาพเขียนมีความสว่างสดใส ขณะเดียวกันอาจช่วยให้ภายในวิหารมีความสว่างมากขึ้นได้
โดยหนึ่งในลักษณะโดดเด่นของจิตรกรรมฝาผนังแห่งนี้คือการสอดแทรกภาพที่สะท้อนวัฒนธรรมและสังคมในสมัยนั้น อาทิ การแต่งกายของชาวบ้าน ผู้ชายไม่นิยมสวมเสื้อ มีทั้งนุ่งผ้าลอยชายหรือโสร่ง และนุ่งโจงกระเบนปะปนกัน ส่วนผู้หญิงนุ่งผ้าในลักษณะเดียวกัน ห่มผ้าแถบพาดไปด้านหลัง ชายสองข้างพาดไขว้ปิดหน้าอก และภาพหญิงสาวชาวบ้านกำลังปรับแต่งผ้าคาดอก ซึ่งสะท้อนวัฒนธรรมการแต่งกายที่ทั้งหญิงและชายในสมัยก่อนนิยมเปลือยอก แต่หากต้องเข้าศาสนสถานอันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ก็จะให้ความเคารพด้วยการนุ่งห่มปกปิดหน้าอกอย่างเรียบร้อย ภาพหญิงสาวที่ปรากฏจึงเป็นการตรวจสอบความเรียบร้อยของตนเองก่อนเข้าวัด
……………………………………………………………
เรียบเรียง/ กราฟฟิก: นางสาวธีรนาฎ มีนุ่น ภัณฑารักษ์ปฏิบัติ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา
อ้างอิง:
1. กรมศิลปากร. รายงานการสำรวจจิตรกรรมฝาผนังจังหวัดสงขลา. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2523.
2. กรมศิลปากร. หนังสือนำชมโบราณสถานที่สำคัญในเขตพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้. สมุทรสาคร: บางกอกอินเฮ้าส์, 2557.
3. วรรณิภา ณ สงขลา. “จิตรกรรมฝาผนังวัดจะทิ้งพระ” สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ เล่ม 4 (2542): 1617-1620.
4. ศรีสมร ศรีเบญจพลางกูร. ประวัติศาสตร์เมืองสงขลา. สงขลา : ภาควิชาประวัติศาสตร์ สถาบันราชภัฏสงขลา, 2539
5. สกรรจ์ จันทรัตน์ และสงบ ส่งเมือง. การเริ่มต้นและพัฒนาการทางประวัติศาสตร์โบราณคดีเมืองเก่าสงขลา. กรุงเทพฯ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2534.
6. สงบ ส่งเมือง. “จะทิ้งพระ, วัด” สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ เล่ม 3 (2542): 1475-1479.
7. สุวรรณี ดวงตา. “ภาษากายจากจิตรกรรมฝาผนังสกุลช่างสงขลาที่วัดโพธิ์ปฐมาวาส อำเภอเมืองสงขลา วัดจะทิ้งพระ อำเภอสทิงพระ และวัดคูเต่า อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา” ศิลปะนิพนธ์ปริญญาศิลปบัณฑิต ภาควิชาทฤษฎีศิลป์ คณะประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2551.
8. สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ. โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, 2549.
ทวดเขากัง ทวดเขากังเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นัยว่ามีฐานะเป็นเทพยดาผู้รักษาเขากัง จึงมีการสร้างประติมากรรมแสดงรูปร่างของทวดเขากัง ลักษณะเป็นปูนปั้นรูปงูโผล่จากซอกหินของผนังถ้ำ ทวดเขากังนี้เป็นที่นับถือของราษฎร นอกจากนี้ผนังถ้ำด้านนอกยังมีปูนปั้นรูปงูขนาดเล็กเชื่อว่าเป็นบริวารของทวดเขากังด้วย การประกาศขึ้นทะเบียน กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานเขากังในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ หน้า ๓๖๙๔ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘ ----------------------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูลโดย : นายสารัท ชลอสันติสกุล นักโบราณคดีชำนาญการ I กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา