ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 33/2ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 36 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 54 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
อาฎานาฎิยสุตฺต (อาฎานาฎิยสูตร) ชบ.บ 125/1
เอกสารโบราณ
(คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 163/1 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชิ้นส่วนพระพิมพ์ดินเผาสมัยทวารวดี แสดงภาพพุทธประวัติ ตอน “มหาปาฏิหาริย์”
ชิ้นส่วนพระพิมพ์ดินเผารูปบุคคลยืนตริภังค์ (เอียงสะโพก) จำนวน ๓ ชิ้น เก็บรักษา ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง มีรายละเอียดดังนี้
ชิ้นที่ ๑ กว้าง ๘ เซนติเมตร สูง ๗.๕ เซนติเมตร ด้านหน้ามีภาพบุคคลยืนตริภังค์ แสดงอัญชลีมุทรา ไม่ปรากฏฉลองพระองค์ สภาพชำรุดเหลือเฉพาะส่วนพระศอลงมาจนถึงพระโสณี ด้านหลังแบนเรียบ
ชิ้นที่ ๒ กว้าง ๘ เซนติเมตร สูง ๙ เซนติเมตร ด้านหน้ามีภาพบุคคลยืนตริภังค์ ผินพระพักตร์ไปด้านซ้าย พระหัตถ์ขวาวางไว้บริเวณพระโสณีทรงก้านดอกบัว พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นเสมอพระพาหา ไม่ปรากฏฉลองพระองค์ สภาพชำรุดมีเฉพาะส่วนพระเศียรลงมาจนถึงพระอูรุ (ต้นขา) ด้านหลังแบนเรียบ
ชิ้นที่ ๓ กว้าง ๘.๕ เซนติเมตร สูง ๑๒ เซนติเมตร ด้านหน้ามีภาพบุคคลยืนตริภังค์ พระหัตถ์ซ้ายวางไว้บริเวณพระโสณี (สะโพก) ทรงถือก้านดอกบัว พระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระพาหา ไม่ปรากฏฉลองพระองค์ แต่ทรงพระภูษาซึ่งยาวถึงพระชงฆ์ สภาพชำรุดพระเศียรหักหายไป ด้านหลังแบนเรียบ
เมื่อศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบชิ้นส่วนรูปบุคคลทั้ง ๓ ชิ้นกับพระพิมพ์ดินเผาสมัยทวารวดีชิ้นอื่นๆ พบว่า มีลักษณะตรงกับรูปบุคคลที่ปรากฏบนพระพิมพ์ดินเผาซึ่งสันนิษฐานว่าแสดงภาพพุทธประวัติ ตอน “มหาปาฏิหาริย์” แสดงถึงเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงมหาปาฏิหาริย์ที่เมืองสาวัตถี โดยประทับบนดอกบัวที่เนรมิตขึ้นโดยราชานาคนันทะและอุปนันทะ มีพระอินทร์ พระพรหม และเหล่าเทวดาทั้งหลายลงมาเฝ้า ตัวอย่างพระพิมพ์ปางดังกล่าว ได้แก่ พระพิมพ์ที่พบบริเวณบ้านคูเมือง อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี มีลักษณะเป็นพระพิมพ์ดินเผาขนาดใหญ่ สูง ๓๓.๘ เซนติเมตร ตรงกึ่งกลางมีภาพพระพุทธเจ้าประทับขัดสมาธิราบบนดอกบัวมีก้าน มีประภามณฑลเป็นวงโค้งรอบพระเศียร พระหัตถ์ขวาแสดงวิตรรกมุทรา (ปางแสดงธรรม) พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา ด้านข้างซ้ายขวามีรูปบุคคลยืนตริภังค์ทรงดอกบัว สันนิษฐานว่าอาจเป็นราชานาคนันทะและอุปนันทะ ถัดขึ้นไปด้านซ้ายขวามีภาพบุคคลยืนตริภังค์แสดงอัญชลีมุทรา สันนิษฐานว่าอาจเป็นพระอินทร์และพระพรหม
จากการศึกษาเปรียบเทียบกับพระพิมพ์ดังกล่าวข้างต้น จึงสันนิษฐานว่าชิ้นส่วนทั้ง ๓ ชิ้น แต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งของพระพิมพ์ดินเผารูปแบบเดียวกัน คือพระพิมพ์ดินเผาแสดงภาพพุทธประวัติ ตอน “มหาปาฏิหาริย์” โดยชิ้นที่ ๑ เป็นชิ้นส่วนมุมบนขวา เป็นรูปของพระพรหม ส่วนชิ้นที่ ๒ และ ๓ เป็นชิ้นส่วนมุมล่างขวาและซ้ายตามลำดับ และเป็นรูปของราชานาคนันทะและอุปนันทะ แม้ชิ้นส่วนพระพิมพ์ทั้ง ๓ ชิ้นนี้จะอยู่ในสภาพชำรุด แต่ก็เป็นหลักฐานที่แสดงถึงรูปแบบพระพิมพ์ดินเผาขนาดใหญ่ที่เป็นรูปแบบพิเศษที่ปรากฏในสมัยทวารวดี เนื่องจากพบจำนวนไม่มากนัก กำหนดอายุชิ้นส่วนพระพิมพ์ทั้ง ๓ ชิ้นนี้ในสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔ หรือประมาณ ๑,๒๐๐ - ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว
อนึ่ง น่าเสียดายว่าไม่สามารถระบุที่มาของชิ้นส่วนพระพิมพ์ทั้ง ๓ ชิ้น ดังกล่าวได้แน่ชัด ว่ามีที่มาจากพระพิมพ์องค์เดียวกันหรือไม่ เนื่องจากไม่ได้พบชิ้นส่วนทั้ง ๓ ชิ้น ร่วมกัน โดยได้จากการสำรวจทางโบราณคดี ๒ ชิ้น และรับมอบจากการบริจาคของประชาชน ๑ ชิ้น
เอกสารอ้างอิง
ธนกฤต ลออสุวรรณ. “การศึกษาคติความเชื่อของชุมชนโบราณสมัยทวารวดีในลุ่มแม่น้ำแม่กลองและท่าจีน : กรณีศึกษาจากพระพิมพ์ดินเผา.” วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๖.
สินชัย กระบวนแสง. “พระพิมพ์ซึ่งพบที่บ้านคูเมือง อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี”. ใน รายงานเบื้องต้น การขุดค้นโบราณสถานสมัยทวารวดี ที่บ้านคูเมือง ตำบลบางชัน อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี. กรุงเทพฯ : ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๑๙.
ที่มารูปภาพ
ภาพพระพิมพ์ดินเผาแสดงภาพพุทธประวัติ ตอน “มหาปาฏิหาริย์”จากบ้านคูเมือง อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี จาก Jean Boisselier, “Travaux de la mission archeologique francaise en Thailande (juillet-novembre 1966), ” fig.60. อ้างถึงใน ธนกฤต ลออสุวรรณ. “การศึกษาคติความเชื่อของชุมชนโบราณสมัยทวารวดีในลุ่มแม่น้ำแม่กลองและท่าจีน : กรณีศึกษาจากพระพิมพ์ดินเผา.” วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๖.
ชื่อผู้แต่ง -
ชื่อเรื่อง อนุสรณืในงานพระราชทานเพลิงศพนางเที่ยง คงฤทธิศึกษาการ
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ ศิลปสนองการพิมพ์
ปีที่พิมพ์ 2533
จำนวนหน้า 76 หน้า
หมายเหตุ พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นางเที่ยง คงฤทธิศึกษาการ
รายละเอียด เป็นหนังสือเรื่องทิศ 6 เล่มนี้พิมพ์เป็นอนุสรณ์งานศพ เป็นหนังสือประกวด ประเภทธรรมะที่ชนะเลิศการประกวดประจำปี ๒๔๗๖ ซึ่งแต่งโดยพระครูวิจิตรธรรมคุณ หรือ ตำแหน่งในขณะนั้นของสมเด็จพระอริยวงศวคตญาณ (วาสนมหาเถระ)สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 18 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ชื่อผู้แต่ง -
ชื่อเรื่อง ทำเนียบสมณศักดิ์ของสมเด็จพระราชคณะที่พระศาสนโสภณ
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพมหานคร
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ไทยเขษม
ปีที่พิมพ์ ๒๕๒๑
จำนวนหน้า ๒๒๔ หน้า
หนังสือทำเนียบสมณศักดิ์รองสมเด็จพระราชาคณะ ที่พระศาสนโสภณ จัดพิมพ์ขึ้นเป็นอนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พระศาสนโสภณ (เยื้อน ชินทตฺโต ป.ธ.๗) เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส เจ้าคณะภาค ๑-๒-๓ และ ๑๒-๑๓ (ธรรมยุต) พระอุดมสารโสภณ (ผาสุก) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสจัดพิมพ์น้อมอุทิศส่วนกุศลถวาย รวบรวมประวัติ การได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ประวัติชาติภูมิ ตลอดจน กำหนดการพระราชทานน้ำสรงศพ กำหนดการบำเพ็ญกุศล พิธีสงฆ์ต่างๆ และกำหนดการงานพระราชทานเพลิงศพ
เลขทะเบียน : นพ.บ.437/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 38 หน้า ; 4 x 56 ซ.ม. : ทองทึบ-ชาดทึบ-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 157 (141-148) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : เทวทูตสูตร--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.584/1 ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 40 หน้า ; 4 x 53.5 ซ.ม. : ชาดทึบ-รักทึบ-ล่องชาด-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 189 (372-377) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
อาคารศาลแขวงเชียงใหม่ อาคารศาลแขวงเชียงใหม่ สร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๘ เป็นอาคารสองชั้น เดิมใช้เป็นที่ทำการศาลมณฑลพายัพ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ กำหนดระเบียบการบริหารส่วนภูมิภาคแบ่งเป็นจังหวัด อำเภอ ยกเลิกการปกครองแบบมณฑล พระธรรมนูญศาลยุติธรรมแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงระบุให้เลิกศาลมณฑลและให้ศาลมณฑลแต่เดิมมีฐานะเป็นศาลจังหวัด ต่อมามีการจัดตั้งศาลแขวงเชียงใหม่ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ. ๒๔๙๙ ซึ่งเริ่มเปิดทำการตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๐ มีเขตอำนาจครอบคลุมท้องที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ และใช้อาคารเดียวกับศาลจังหวัดเชียงใหม่เป็นที่ทำการ ต่อมาศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้ย้ายที่ทำการเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๗ จึงเหลือแต่ศาลแขวงเชียงใหม่ที่ใช้อาคารหลังนี้ จนถึงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๔๗ ศาลแขวงเชียงใหม่ได้ย้ายไปตั้งอยู่ ณ สถานที่ใหม่ และเทศบาลนครเชียงใหม่ได้ขอใช้ประโยชน์อาคารศาลแขวงเดิมจากสำนักงานศาลยุติธรรมและกรมธนารักษ์เพื่อปรับปรุงเป็นหอพื้นถิ่นล้านนา (Lanna Folklife Centre) เปิดทำการเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยจัดแสดงข้อมูลวิถีพื้นบ้านของชาวเชียงใหม่รวมถึงผู้คนในอาณาจักรล้านนานับแต่อดีตถึงปัจจุบัน#เอกสารจดหมายเหตุ #ศาลจังหวัดเชียงใหม่ #ศาลแขวงเชียงใหม่ ภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่. ฟิล์มเนกาทีฟ ชุด สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ อ้างอิงข้อมูล : ศูนย์มรดกเมืองเทศบาลนครเชียงใหม่. "ศาลจังหวัด - ศาลแขวง - พิพิธภัณฑ์". (Online) https://m.facebook.com/chiangmaicityheritagecentre/posts/5516903985044208/
เมื่อเดือนก่อนแอดฯได้มีโอกาสเจอกับรุ่นพี่ภัณฑารักษ์ท่านหนึ่ง และได้ให้แอดฯดูโบราณวัตถุชิ้นหนึ่งที่สันนิษฐานว่ามาจากเมืองศรีเทพ นั้นคือชิ้นส่วนประติมากรรมมือซ้ายที่กำลังถือวัตถุบางอย่างรูปทรงคล้ายถ้วยชาม บริเวณตอนกลางของวัตถุมีลักษณะเป็นปุ่มก้อนกลมไข่ปลาอยู่หลายก้อน และด้านบนสุดมีชิ้นส่วนบางอย่างครอบวัตถุก้อนกลมไข่ปลาเหล่านั้นไว้ โดยปัจจุบันโบราณวัตถุชิ้นนี้จัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จ.สุโขทัย
โบราณวัตถุชิ้นนี้จะเป็นอะไรนะ และจะเกี่ยวข้องอะไรกับเมืองศรีเทพ ม่ะ เดี๋ยวแอดฯจะเล่าให้ฟัง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ดร. อนุรักษ์ ดีพิมาย คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
ยุทธนาวรากร แสงอร่าม ภัณฑารักษ์ชำนาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง
อ้างอิง
เชษฐ์ ติงสัญชลี. (2565). ลวดลายในศิลปะทวารวดี การศึกษาที่มาและการตรวจสอบกับศิลปะอินเดียสมัยคุปตะ-วกาฏกะ. กรุงเทพฯ : เรือนแก้วการพิมพ์.
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ. (2531). รายงานการขุดแต่งโบราณสถานเขาคลังใน เมืองโบราณ ศรีเทพ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์. เพชรบูรณ์ : อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ.
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ. (2532). รายงานเบื้องต้นหลุมขุดตรวจฐานโบราณสถาน โบราณสถานเขาคลังใน (P10) เมืองโบราณศรีเทพ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์. เพชรบูรณ์ : อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ.
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ. (2532). รายงานเบื้องต้นการขุดแต่งโบราณสถานเขาคลังใน (ต่อ) เมืองโบราณศรีเทพ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์. เพชรบูรณ์ : อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ.
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ. (2533). ดรรชีภาพปูนปั้นจากโบราณสถานเขาคลังใน เมืองโบราณศรีเทพ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์. เพชรบูรณ์ : อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ.
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ. (2534). รายงานทางวิชาการฉบับที่ 2/2534 การปฏิบัติงานทางโบราณคดีโบราณสถานเขาคลังในด้านทิศใต้ เมืองโบราณศรีเทพ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ เพชรบูรณ์ : อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ.
รอยพระพุทธบาท
เลขทะเบียน ๓๘ / ๒๕๑๖
แบบศิลปะ / สมัย ศิลปะล้านนา สร้างขึ้นในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑
บูรณะในสมัยพระเจ้ากาวิละเมื่อพุทธศักราช ๒๓๓๗
วัสดุ (ชนิด) ไม้ลงรักปิดทองล่องชาด ประดับมุก
ขนาด กว้าง ๑๒๔ เซนติเมตร สูง ๒๐๐ เซนติเมตร
ประวัติความเป็นมา พระธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสวัดพระสิงห์วรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
ให้ยืมจัดแสดง
ความสำคัญ ลักษณะและสภาพของโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ
รอยพระพุทธบาทไม้ลงรัก ทาชาด ประดับมุกและกระจก ตกแต่งบริเวณขอบด้านนอกด้วยลงรักปิดทองเป็นลายพันธุ์พฤกษา ตรงกลางทำรูปธรรมจักรประดับด้วยแก้วอังวะ (กระจกจืน) ใต้นิ้วพระบาททำเป็นรูปมงคล ๑๐๘ ประการ จัดตามตำแหน่งระบบภูมิจักรวาลตามแนวตั้ง ตั้งแต่โสฬสพรหมโลกชั้นสูงสุด ลดหลั่นด้วยพรหมโลกชั้นรองลงมา จนถึงเทวโลกที่ประกอบไปด้วยสวรรค์ ๖ ชั้น ได้แก่ ฉกามาพจร ปรนิมมิตวสวดี นิมมานรดี ยามา ดุสิต ดาวดึงส์ และจาตุมหาราชิก ซึ่งแต่ละชั้นจะมีอักษรล้านนาอธิบาย ยกเว้นเมื่อกล่าวถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ หรือชั้นสูงสุด โดยใช้คำว่า “อกนิฏฐาพรหม” เขียนด้วยอักษรปาละของอินเดีย ตอนกลางเขียนภาพแกนจักรวาล คือ เขาพระสุเมรุ ล้อมรอบด้วยสีทันดรสมุทร เทือกเขาทั้ง ๗ และมหาทวีปทั้ง ๔ มีรูปพระเจ้าจักรพรรดิกับสิ่งของอันเป็นมงคลทั้งหลายประทับอยู่ที่เชิงเขาพระสุเมรุ โดยมีกำแพงจักรวาลล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง ภายในรอยพระพุทธบาทนี้ประดับเต็มไปด้วยรูปเทวดา ปราสาท สัตว์ ดอกไม้ทิพย์ และสิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อสะท้อนความหมายของภูมิจักรวาล หลายภาพมีคำอธิบายเขียนด้วยอักษรล้านนา ภาษาบาลีและภาษาไทยวน ที่ส้นพระบาทระบุพระนามอดีตพุทธเจ้า ๓ พระองค์ คือ พระกัสสปะ พระโกนาคมนะ พระกกุสันธะ โดยรอยพระบาทของพระโคตรมะเป็นรอยพระบาทสุดท้ายแต่ไม่ได้ระบุพระนาม จุดเด่นของรอยพระพุทธบาท ได้แก่ รูปจักรรัตนะที่ประดับอยู่กึ่งกลางพระบาท
ด้านหนึ่งของรอยพระพุทธบาทมีจารึกกล่าวถึงการบูรณะรอยพระพุทธบาท ความว่า ในพุทธศักราช ๒๓๓๗ พระเจ้ากาวิละและพระราชวงศ์ ได้ร่วมกันบูรณะรอยพระพุทธบาทไม้เก่าแก่ที่เก็บรักษาไว้ภายในวัดพระสิงห์ โดยเปลี่ยนแผ่นไม้กระดานที่ชำรุดแล้วลงรักปิดทองล่องชาด แต่ไม่ได้ประดับมุก ในการบูรณะครั้งนี้น่าจะมีการเปลี่ยนแก้วอังวะที่ประดับภายในจักรรัตนะ เนื่องจากแก้วอังวะแต่ละแผ่น จะมีการปั้นรักนูนหนาล้อมรอบขึ้นเป็นกรอบ ส่วนด้านล่างของจารึก ยังมีร่องรอยงานลง รักปิดทอง สันนิษฐานว่าเป็นเรื่องการเดินทางไปนมัสการรอยพระพุทธบาทที่เขาสุมนกูฏในศรีลังกา
ลักษณะเครื่องทรงเทวดา ลายพันธุ์พฤกษา และลายประกอบต่าง ๆ ภายในรอยพระพุทธบาท มีความคล้ายคลึงกับที่พบในเครื่องทรงของเทวดาปูนปั้นประดับวิหาร ที่วัดโพธารามมหาวิหาร ซึ่งมีอายุประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ตรงกับสมัยของพระเจ้าติโลกราช รวมทั้งรูปแบบของอักษรจารึกที่ใช้อยู่ในราวพุทธศักราช ๒๐๐๐ – ๒๑๕๐ ดังนั้นรอยพระพุทธบาทนี้น่าจะสร้างขึ้นในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ และได้รับการบูรณะในสมัยพระเจ้ากาวิละเมื่อพุทธศักราช ๒๓๓๗
ที่มา:
ฮันส์ เพนธ์, พรรณเพ็ญ เครือไทย และศรีเลา เกษพรหม, ประชุมจารึกล้านนา เล่ม ๒ จารึกพระเจ้ากาวิละ (เชียงใหม่ : คลังข้อมูลจารึกล้านนา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๔๑), ๒๖๑.
ฮันส์ เพนธ์, พรรณเพ็ญ เครือไทย และศรีเลา เกษพรหม, ประชุมจารึกล้านนา เล่ม ๒ จารึกพระเจ้ากาวิละ (เชียงใหม่ : คลังข้อมูลจารึกล้านนา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๔๑), ๔๕ – ๕๒.
ข้อมูลจากทะเบียนโบราณวัตถุของคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มีโบราณวัตถุที่ได้จากการดำเนินการขุดค้นกรุพระมหาธาตุ จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยหน่วยศิลปากรที่ ๓ สุโขทัย เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ หลากหลายประเภท อาทิ พระพุทธรูป พระพิมพ์ เครื่องสังคโลก เครื่องทอง เครื่องใช้อันเป็นเครื่องพุทธบูชาต่างๆ
.
วัตถุที่สำคัญที่ค้นพบในกรุพระมหาธาตุจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้แก่ พระพุทธรูปสลักและดุนลายบนแผ่นทอง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยประทับนั่งในซุ้มเรือนแก้ว ซึ่งเป็นซุ้มแบบหน้านางที่พบมากในศิลปะสุโขทัย เทียบได้กับพระพิมพ์ที่พบในกรุวัดมหาธาตุและวัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐
.
วัตถุที่พบในกรุแห่งนี้ส่วนมากมีรูปแบบที่จัดอยู่ในศิลปะอยุธยา ถูกบรรจุอยู่ในเจดีย์ทรงยอดดอกบัวตูมที่นิยมสร้างอยู่ตามกลุ่มเมืองวัฒนธรรมสุโขทัย จึงเป็นหลักฐานอีกประการหนึ่งที่บ่งชี้ว่า เจดีย์พระมหาธาตุเพชรบูรณ์แม้จะมีลักษณะทางศิลปกรรมในศิลปะสุโขทัย แต่ก็ได้รับกระแสอิทธิพลจากศิลปะอยุธยาด้วย ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากความสัมพันธ์ทางเครือญาติดังปรากฏพระพุทธรูปอู่ทองในสุโขทัยก็ดี หรืออาจสร้างขึ้นในช่วงเวลาที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลทางการเมืองของอยุธยาแล้วก็เป็นได้
วันเสาร์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ เวลา ๑๐.๐๐ น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานผ้าพระกฐินให้กรมศิลปากรนำไปถวายพระสงฆ์ที่จำพรรษาครบถ้วนไตรมาส ณ วัดบูรพาภิราม ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีนายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานในพิธี ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ตลอดจนผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และพุทธศาสนิกชนในจังหวัดร้อยเอ็ด เข้าร่วมพิธี
กฐินพระราชทาน เป็นกฐินหลวงประเภทหนึ่งที่พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานผ้าพระกฐินให้แก่หน่วยงานราชการ องค์กร คณะบุคคล หรือบุคคลผู้ประสงค์ขอรับพระราชทานเชิญไปทอดถวาย ณ พระอารามหลวง ทั้งกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดในช่วงกฐินกาล โดยการทอดกฐิน เป็นประเพณีสำคัญทางศาสนาที่พุทธศาสนิกชนถือปฏิบัติและสืบทอดมายาวนาน ช่วงเวลาในการทอดกฐินกำหนดระยะเวลา ๑ เดือน หลังวันออกพรรษา ระหว่างวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ของทุกปี นับเป็นการทำนุบำรุงสืบทอดพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ในโอกาสนี้ กรมศิลปากรได้จัดการแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ ชุด “พระจักรีปรามกลียุค” สมโภชองค์พระกฐิน เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ชื่นชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงอย่างหนึ่งของไทย พร้อมทั้งบริจาคปัจจัยนำเข้าสมทบถวายบำรุงพระอารามหลวง วัดบูรพาภิราม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๒๐๒,๑๕๒ บาท (สามล้านสองแสนสองพันหนึ่งร้อยห้าสิบสองบาทถ้วน)
นอกจากนี้ กรมศิลปากร ได้จัดพิมพ์หนังสือ ปกิณกศิลปวัฒนธรรม เล่มที่ ๒๙ จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นหนังสือที่ระลึกในโอกาสที่กรมศิลปากรนำผ้าพระกฐินพระราชทานไปทอดถวาย และเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชนผู้ร่วมกิจกรรมกับกรมศิลปากร มีเนื้อหาว่าด้วยประวัติความเป็นมาของวัดบูรพาภิราม ที่ประดิษฐานของพระพุทธรัตนมงคลมหามุนี พระพุทธรูปสำคัญจังหวัดร้อยเอ็ด ประวัติศาสตร์จังหวัดร้อยเอ็ด สถานที่สำคัญ เทศกาลงานประเพณี วัฒนธรรมอันหลากหลาย วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และภูมิปัญญาท้องถิ่น ตลอดจนภารกิจ กรมศิลปากรในเขตพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อเป็นความรู้ให้ผู้ที่สนใจศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม
วัดบูรพาภิราม เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่ ๕๕๙ ถนนผดุงพานิช ตำบลในเมือง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด ปรากฏหลักฐานการก่อสร้างวัดในหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๑๓ ของกรมการศาสนาว่า ก่อสร้างเป็นวัดประมาณ พ.ศ. ๒๓๔๐ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานของผู้สร้าง ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๑ และได้รับการยกสถานะเป็นพระอารามหลวง ตั้งแต่วันที่ ๑๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๓๑