ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ

รอยพระพุทธบาทสี่รอย   ศิลา ศิลปะสุโขทัย พุทธศตววษที่ ๒๐ ได้จากวัดเขาพระบาทน้อย เมืองเก่าสุโขทัย อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย   พระพุทธบาทสี่รอย สลักจากแผ่นหินชนวนขนาดกว้าง ๔๖ เซนติเมตร ยาว ๒๐๕ เซนติเมตร   ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมโดยทำเส้นขอบพระบาทซ้อนกันส่วนรอยที่สี่หรือรอยในสุดจะทำเต็มฝ่าพระบาทและมีรอยเส้นทำเป็นลายฝ่าพระบาทแต่ลบเลือนจนแทบมองไม่เห็น พระพุทธบาทสี่รอยนี้ หมายถึง พระพุทธกกุสันธะ พระพุทธโกนาคม พระพุทธกัสสป และพระสมณโคดม   คตินิยมในการสร้างรอยพระพุทธบาทและการนับถือรอยพระพุทธบาทในสมัยสุโขทัยเป็นคติที่สืบทอดมาจากลังกาในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) ปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ ๘ หรือจารึกเขาสมนกูฏว่าพระมหาธรรมราชาลิไท โปรดฯให้ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทไว้บนเขาแห่งหนึ่งของเมืองสุโขทัยและตั้งชื่อเขาแห่งนี้ว่า “เขาสมนกูฏ” ตามชื่อภูเขาที่มีรอยพระพุทธบาทในลังกา สำหรับภูเขาที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทในเมืองสุโขทัย คือ เขาพระบาทใหญ่ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเก่าสุโขทัย   ที่มาของข้อมูล : แผ่นพับนำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง   ข้อมูลนำชมโบราณวัตถุ ศิลปะวัตถุ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง ผ่าน QR code จัดทำโดย นางสาวสาธิตา วรรณพิรุณ คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ สาขาการท่องเที่ยวและการโรงแรม ชั้นปีที่ ๔ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ล้านนา ตาก โครงการสหกิจศึกษา ปีการศึกษา ๒๕๖๓


ชื่อเรื่อง                      เทศนาธัมมสังคิณี-ยมกปกรณ์สพ.บ.                       193/1กประเภทวัสดุ/มีเดีย        คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                   พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ               22 หน้า : กว้าง 4.9 ซ.ม. ยาว 55.7 ซ.ม. หัวเรื่อง                     พุทธศาสนา                              บทสวดมนต์บทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดพยัคฆาราม อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี


          วัดช่องลม พระอารามหลวงชั้นสามัญ ตั้งอยู่ที่ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี มีเนื้อที่ ๑๔ ไร่ ๓ งาน ๘๐ ตารางวา ลักษณะพื้นที่เป็นสี่เหลี่ยมคางหมู กว้างทางทิศตะวันตก และแคบทางทิศตะวันออก พื้นที่แบ่งเป็นเขตพุทธาวาสและเขตสังฆาวาสโดยถนนสายเล็ก ๆ ที่วัดบริจาคเป็นทางสาธารณะแก่ชุมชน ภายในเขตสังฆาวาสพบหลักฐานบ้านเรือนของชาวจีนที่มีอายุเก่าแก่ เจ้าของได้ถวายที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดให้กับวัดช่องลม สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ภายในบ้านถูกปรับเปลี่ยนเป็นกุฏิสงฆ์และหอฉันท์ของทางวัด และหลักฐานที่สำคัญที่ยังคงอยู่คือ ซุ้มประตูทางเข้าบ้าน           บ้านจีน ตั้งอยู่ภายในเขตสังฆาวาสของวัดช่องลม วางตัวแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก หน้าบ้านหันสู่แม่น้ำแม่กลอง จากคำบอกเล่าของพระครูโสภณปัญญาวัตน์ เจ้าอาวาสวัดช่องลม ว่า          “บ้านคนจีนบริเวณนี้น่าจะเป็นบ้านที่เก็บภาษีอากรบ่อนเบี้ย (อาจจะเป็นเรือ ไม้ หรือหวย) มีฐานะดีระดับเศรษฐีและมีข้าทาสบริวารมากมาย ภายในบริเวณบ้านมีสิ่งปลูกสร้างจำนวนมาก เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๐ สมัยที่ท่านเจ้าอาวาสอุปสมบทใหม่ ๆ ยังคงมีอาคารอีกหลายหลังภายในบริเวณนี้ ได้แก่           ๑) อาคารแบบจีนใต้ถุนสูงพื้นทำจากปูนขาวสอด้วยกาวหนังวัวและปูไม้กระดานทับ ผนังหนา เสาทำจากไม้สัก และหลังคาใช้กระเบื้องที่นำเข้ามาจากเมืองจีนถูกดัดแปลงให้เป็นที่อยู่ของเด็กวัด ๒) อาคารตรงกลางที่มี ๘ ห้องต่อมาปรับเปลี่ยนเป็นอาคารเรียนนักธรรม (โรงเรียนพระปริยัติธรรม) ๓) ศาลาริมน้ำมีชานยื่นออกไปสำหรับขึ้นเรือกว้างประมาณ ๒ เมตร ซึ่งปัจจุบันศาลาท่าน้ำได้ชำรุดทรุดโทรมจนไม่เหลือร่องรอยแล้ว ๔) ซุ้มประตูแบบจีนที่ยังหลงเหลือหลักฐานค่อนข้างสมบูรณ์ ถึงแม้ว่าจะชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลาแต่ก็ยังคงรูปแบบศิลปะแบบจีนที่สวยงาม           สาเหตุที่เจ้าของยกบ้านและที่ดินให้เป็นสมบัติของวัด เนื่องจากเกิดอหิวาตกโรคข้าทาสบริวารในบ้านเสียชีวิต จึงย้ายครอบครัวไปตั้งรกรากที่อื่น”           บ้านหลังนี้เป็นบ้านเศรษฐีหรือคหบดีมีหน้าที่เก็บส่วยและภาษี (ไม้/เรือ/ฝิ่น) จากเรือบรรทุกสินค้าในแม่น้ำแม่กลอง สอดคล้องกับสถานที่ตั้งที่อยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง และชื่อบ้านบริเวณนั้นว่า บ้านท่าเสา ภายในบ้านพบสิ่งก่อสร้าง ได้แก่ ๑) เรือนประธานจำนวน ๘ ห้อง ๒) เรือนบริวารขนาบเรือนประธาน 2 ด้าน ซ้ายและขวา มีลักษณะเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง ๓) ศาลาท่าน้ำ ๔) ซุ้มประตู           จากหลักฐานของสิ่งก่อสร้างที่พบมีลักษณะแผนผังเหมือนกับบ้านคหบดีจีนที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ เช่น บ้านหวั่งหลี บ้านโปษ์กี่ เป็นต้น อาคารวางตัวโดยคำนึงถึงแม่น้ำซึ่งถือเป็นมงคล หรือถนนที่ตัดผ่านมากกว่าการคำนึงถึงทิศทาง บ้านมีการวางผังแบบซานเหอเอี้ยน คือการนำอาคาร ๓ อาคารมาประกอบเข้ากันเป็นรูปตัว U ประกอบด้วย เรือนประธานมีลักษณะเป็นตึกขนาดใหญ่วางตัวขนานกับแม่น้ำ สำหรับเป็นห้องบูชาบรรพบุรุษหรือห้องรับแขก และตึกยาวขนาบเรือนประธานทั้งสองข้าง ตึก ๓ หลังมีลักษณะชั้นเดียวหรือสองชั้น มีบันไดทางขึ้นจากด้านนอก สำหรับเป็นที่อยู่อาศัย พื้นที่ตรงกลางระหว่างตึกทั้ง ๓ เป็นลานโล่ง (open court) ทางด้านหน้ามีซุ้มประตูแบบจีน มีหลังคาคลุมและป้ายชื่อบ้าน บริเวณผนังเขียนภาพเล่าเรื่อง           ซุ้มประตูจีน มีลักษณะตัวซุ้มประตูก่ออิฐถือปูน ประตูทางเข้าและเครื่องบนทำจากไม้ หลังคา มุงกระเบื้องดินเผาสีแดง สันหลังคาประดับลวดลายกระเบื้องเคลือบ ในการศึกษานี้แบ่งศึกษาเป็นส่วนต่าง ๆ ดังนี้           ส่วนหลังคา หลังคาแบบซานเหมินติ่ง หมายถึง หลังคาสำหรับซานเหมิน ซานเหมิน คือชื่อเรียกอาคารหรือซุ้มด้านหน้าของบริเวณหนึ่ง โดยปกติอาคารซานเหมินจะทำหลังคาลดหนึ่งชั้นหรือซ้อนชั้น สันหลังคามีลักษณะแอ่นตรงกลาง ปลายสันหลังคาทั้ง ๒ ด้านจะเชิดหัวขึ้น ส่วนปลายสุดทำเป็นรูปหางนกนางแอ่น บนหางนกนางแอ่นเป็นมังกรพ่นน้ำลายเครือเถาหรือใบไม้ม้วนสะบัดปลายทั้งสองด้าน ส่วนกลางของสันหลังคาประดับปูนปั้นรูปกิเลน และหงส์ชูดอกโบตั๋นและดอกเบญจมาศตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบสีต่างๆ หลังคามุงด้วยกระเบื้องรางสีแดงที่มีลักษณะเป็นแผ่นแบนโค้งหงาย           ตอนบน คือ ส่วนตั้งแต่เหนือขอบประตูจรดใต้หลังคา ส่วนนี้ประกอบด้วย ป้ายชื่อบ้าน และภาพเล่าเรื่อง ฮก ลก ซิ่ว          ป้ายชื่อบ้านเป็นตัวอักษรจีน 2 ตัว 合芳 สีเหลืองบนพื้นสีแดง อ่านว่า “ฮวง ฮะ” (แต้จิ๋ว, อ่านจากหลังมาหน้า) เป็นชื่อเจ้าของบ้าน สอดคล้องกับหลักฐานการสร้างศาลเจ้าพ่อกวนอูว่า สมเด็จเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์แบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งของวัดศรีสุริยวงศ์ จำนวน ๒ ไร่ ๓๗ ตารางวา ให้แก่ชาวราชบุรีสร้างศาลเจ้าโดยการนำของนายฮวงฮะ แซ่อึ้ง นายเซียมง้วน แซ่เตียว ร่วมกันสละทรัพย์สินตามจิตศรัทธา หรืออ่านว่า “ฟาง เหอ” (จีนกลาง) แปลว่า กลิ่นหอม บรรยากาศดี           ตอนกลาง คือ ส่วนที่อยู่ระหว่างฐานถึงตอนบน เหนือกรอบประตูมีตัวอักษรจีนอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมเขียนด้วยสีเขียวคู่กัน กรอบทางขวาอ่านว่า “ปู่” แปลว่า ร่ำรวย กรอบทางซ้ายอ่านว่า “กุ้ยหรือกุ่ย”แปลว่า ยศศักดิ์ ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายมงคล และลวดลายต่าง ๆ ในกรอบกระจกเป็นภาพบุคคลและนก           ตอนล่าง ส่วนที่เป็นฐานของอาคาร ระบบโครงสร้างรับน้ำหนัก           ระบบโครงสร้างรับน้ำหนักของซุ้มประตูของศาลเจ้าหรือบ้านมีระบบที่เหมือนกันทุกสกุลช่าง ประกอบจากคานหน้าตัดสี่เหลี่ยม ด้วยขนาดที่เล็กของซุ้มประตูนี้ทำให้มีคานแค่คานเดียว และใช้โครงสร้างทางตั้งมารับที่เรียกว่า เสาดั้ง รองรับแปกลม และมีไม้กลอนวางขวางแป เสาดั้งจะตั้งอยู่บนเสาอีกทีหนึ่ง โดยซุ้มประตูนี้มีด้านละ ๒ เสา มีขื่อพาดระหว่างเสาทั้งสองต้น การถ่ายน้ำหนักของหลังคาจะถ่ายลงบนแปกลมไปสู่เสาดั้งและเสา เสาทุกต้นทำหน้าที่รับแปโดยตรง           จากหลักฐานมีชื่อเจ้าของบ้านเป็นผู้บริจาคทรัพย์สร้างศาลเจ้าพ่อกวนอู ในสมัยรัชกาลที่ ๕ รูปแบบของแผนผังบ้านที่คล้ายคลึงกับบ้านจีนในสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ และรูปแบบศิลปกรรมหลังคาแบบซานเหมินติ่ง การตกแต่งลวดลายสันหลังคาโดยใช้กระเบื้องตัดหลากหลายสีสันเป็นที่นิยมทำในสกุลช่างแต้จิ๋ว สันนิษฐานว่าบ้านและซุ้มประตูเป็นศิลปะจีนสกุลช่างแต้จิ๋วที่เข้ามาตั้งรกรากในจังหวัดราชบุรีสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ภาพที่ ๑ แสดงที่ตั้งวัดช่องลม และซุ้มประตูจีน (ที่มา: ดัดแปลงจาก Google Earth) ภาพที่ ๒ ซุ้มประตูจีน ภาพที่ ๓ ซุ้มประตูด้านใน หันสู่แม่น้ำแม่กลอง ภาพที่ ๔ บ้านหวั่งหลี https://www.triptravelgang.com/travel-thailand/43662ภาพที่ ๕ ส่วนสันหลังคา ภาพที่ ๖ ป้ายชื่อบ้าน ภาพที่ ๗ ระบบโครงสร้าง ---------------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล : นางสาวสุกัญญา เรือนแก้ว ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี ---------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง ชูพงษ์ ทองคำสมุทร , ฮวงจุ้ยกับการออกแบบสถาปัตยกรรม , (ขอนแก่น : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยขอนแก่น , ๒๕๕๕) , ๑๖. ผุสดี ทิพทัส , บ้านในกรุงรัตนโกสินทร์ ๒ : รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.๒๓๙๔ - พ.ศ.๒๔๕๓) , (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , ๒๕๔๕) , ๖๙. พรพรรณ จันทโรนานนท์ , วิถีจีน , (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แปลน พริ้นติ้ง , ๒๕๔๖) , ๙๗ _______. ฮก ลก ซิ่ว โชคลาภอายุยืน , (กรุงเทพฯ : เรือนแก้วการพิมพ์ , ๒๕๔๙) ,๒๕๓. ห้างหุ้นส่วนจำกัด มุจลินทร์, โครงการบูรณะซ่อมแซมซุ้มประตูเก๋งจีนวัดช่องลม ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ๒๕๕๙, (ม.ป.ท. : ๒๕๕๙), หน้า ๑-๒. อชิรัชญ์ ไชยพจน์พานิช. ศาลเจ้าในกรุงเทพฯ. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๖๑. //สัมภาษณ์ พระครูโสภณปัญญาวัฒน์, เจ้าอาวาสวัดช่องลม //ที่มาของภาพ Google Earth https://www.triptravelgang.com/travel-thailand/43662/


เลขทะเบียน : นพ.บ.68/4กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  46 หน้า ; 4.8 x 49.5 ซ.ม. : ชาดทึบ-ล่องชาด-ลานดิบ ; ไม้ประกับธรรมดา  ฉลากไม้ไผ่ชื่อชุด : มัดที่ 44 (19-28) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ (8 หมื่น) --เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.100/12ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  38 หน้า ; 5 x 58 ซ.ม. : ลานดิบ ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 59 (160-169) ผูก 12 (2564)หัวเรื่อง : มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาตก) ชาตกฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฺฐกถา (ทสหร-นคร-กัณฑ์) --เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.130/7ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  82 หน้า ; 4 x 54 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 76 (288-301) ผูก 7 (2564)หัวเรื่อง : ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺตฎีกา (ฎีกาธมฺมจกฺก)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม



สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.5/1-2 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง : ศัพท์ช่าง อังกฤษ-ไทย ชื่อผู้แต่ง : คณะอาจารย์วิทยาลัยเทคนิคฯ ปีที่พิมพ์ : 2510 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์มหารัชตะการพิมพ์ จำนวนหน้า : 284 หน้าสาระสังเขป : หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมคำศัพท์ที่เป็นภาษาช่าง ได้แก่ ช่างไฟฟ้า ช่างเครื่องยนต์ ช่างกลโลหะ ที่ผู้รวบรวมได้ทำการแปล และดัดแปลง แก้ไขเพื่อให้ข้อความชัดแจ้ง และเพิ่มเติมศัพท์ใหม่ ๆ ขึ้นอีกหลายคำ รวมทั้งศัพท์ไฟฟ้าที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์ด้วยเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ใช้



เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ตำบลคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี


          โรคภัยไข้เจ็บเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องเผชิญอยู่ตลอดเวลา และได้พยายามรักษาโรคภัยเหล่านั้นมาตั้งแต่ในอดีต ในช่วงวัฒนธรรมเขมรโบราณ ในรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (พ.ศ.๑๗๒๔ – ๑๗๖๑) พระองค์โปรดให้สร้างสถานพยาบาลขึ้นเพื่อให้การดูแลรักษาประชาชนที่เจ็บป่วย จำนวน ๑๐๒ แห่ง ทั่วดินแดนในพระราชอำนาจของพระองค์           จารึกปราสาทตาพรหม ประเทศราชอาณาจักรกัมพูชา ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ โปรดให้สร้างขึ้น กล่าวถึงสถานพยาบาลจำนวน ๑๐๒ แห่ง ประจำในแต่ละวิษัย (จังหวัด) และจารึกประจำอโรคยศาลหลาย ๆ หลัก ที่มีการค้นพบ กล่าวถึงพระประสงค์ของพระองค์ในการสร้างสถานพยาบาลว่า“โรคทางร่างกายของประชาชนนี้ เป็นโรคทางใจที่เจ็บปวดยิ่ง เพราะความทุกข์ ของราษฎร แม้มิใช่ความทุกข์ของพระองค์ แต่เป็นความทุกข์ของเจ้าเมือง พระองค์ได้สร้างโรงพยาบาลและรูปพระโพธิสัตว์ไภษัชยสุคตพร้อมด้วย พระชิโนรสทั้งสองโดยรอบเพื่อความสงบแห่งโรคของประชาชนตลอดไป”           โบราณสถานกุฏิฤษี อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ตั้งอยู่นอกเมืองพิมายทางทิศใต้ซึ่งเป็นด้านหน้าของเมือง เป็นอโรคยศาลหรือศาสนสถานประจำสถานพยาบาลของเมืองพิมาย ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ โปรดให้สร้างขึ้น           จากการศึกษาอโรคยศาลแห่งต่าง ๆ พบว่าจะสร้างขึ้นบริเวณชุมชนเดิม โดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่นอกชุมชน เป็นบริเวณที่มีพื้นที่กว้างและอยู่ใกล้เส้นทางคมนาคม           อโรคยศาลประกอบด้วยอาคาร ๒ ส่วน ได้แก่           สถานพยาบาลที่เป็นอาคารเครื่องไม้ ซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานให้เห็นแล้ว นักวิชาการชาวฝรั่งเศส โคล์ด ชาร์ค เสนอว่า อาคารส่วนนี้น่าจะตั้งอยู่ทางทิศเหนือของศาสนสถานใกล้กับสระน้ำ ซึ่งจากการขุดค้นบริเวณอโรคยศาลหลาย ๆ แห่ง พบหลักฐานของเศษภาชนะดินเผา กระเบื้องมุงหลังคาดินเผา ทำให้สันนิษฐานได้ว่า อาคารสถานพยาบาลที่สร้างด้วยไม้ อาจตั้งอยู่โดยรอบ โดยเฉพาะทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันตก           ปราสาทซึ่งเป็นศาสนสถาน อาคารส่วนนี้เรียกว่า “สุคตาลัย” ตามที่ปรากฏในจารึกทรายฟอง ก่อสร้างด้วยศิลาแลงเป็นวัสดุหลัก ประกอบด้วย ปราสาทประธาน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก บรรณาลัยหรือวิหาร ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วที่มีประตูซุ้ม(โคปุระ)เป็นทางเข้า และสระน้ำตั้งอยู่ด้านหน้าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ           จากการศึกษาอโรคยศาลในหลาย ๆ แห่ง พบว่า ปราสาทประธานเป็นอาคารที่ประดิษฐานพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภา พระพุทธเจ้าทางการแพทย์ พระโพธิสัตว์พระศรีสูรยไวโรจนจันทโรจิ และพระโพธิสัตว์พระศรีจันทรไวโรจนโรหิณีศะ           วิหารหรือบรรณาลัย ประดิษฐานพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสี่กร ประทับนั่ง พระโพธิสัตว์วัชรปราณี? และพระยมทรงกระบือ และโคปุระ ประดิษฐานพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสี่กร ประทับยืน           จารึกเมืองพิมาย ตามประวัติกล่าวว่าพบบริเวณเมืองพิมาย เมื่อพิจารณาจากเนื้อความในจารึกที่มีข้อความเหมือนกับจารึกที่พบที่อโรคยศาลหลังอื่น ๆ ทำให้เชื่อได้ว่า เป็นจารึกประจำโบราณสถานหลังนี้           จารึกมีสภาพชำรุด ข้อความที่ปรากฏกล่าวถึง พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงนมัสการพระไภษัชยคุรุไวทูรยะ พระศรีสูรยไวโรจนจันทโรจิ และพระศรีจันทรไวโรจนโรหิณีศะผู้ขจัดโรคภัย ทรงดูแลรักษาประชาชนผู้เจ็บป่วย เจ้าหน้าที่ประจำในสถานพยาบาล สมุนไพรและสิ่งของเครื่องใช้ เช่น ผลตำลึง กฤษณา ขี้ผึ้ง น้ำผึ้ง การบูร ผักทอดยอด ข้าวสาร ภาชนะดีบุก เป็นต้น           ประติมากรรมสำคัญที่พบจากการขุดแต่งกุฏิฤษีพิมาย ได้แก่ รูปเคารพประทับนั่งประคองวัชระทั้งสองพระหัตถ์ ซึ่งส่วนพระหัตถ์แตกหักไปแล้ว ลักษณะทางประติมานวิทยาเป็นพระวัชรธร แต่เมื่อพิจารณาจากข้อความที่ปรากฏในจารึกประจำอโรคยศาล และการนับถือพุทธศาสนา นิกายมหายานในกลุ่มประเทศจีน ทิเบต และญี่ปุ่น ทำให้นักวิชาการเชื่อว่า ประติมากรรมรูปนี้ คือ พระไภษัชยคุรุไวทูรยประภา           ชิ้นส่วนพระหัตถ์ขวาถือพวงลูกประคำ ท่อนพระกรขวาถือดอกบัว ท่อนพระกรซ้ายถือหัตถ์ถือคัมภีร์ คงจะเป็นชิ้นส่วนของพระโพธิสตว์อวโลกิเตศวรสี่กร พบภายในโคปุระ           กุฏิฤษี เป็นโบราณสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองพิมาย เป็นสถานพยาบาลที่เก่าแก่ของชุมชนแห่งนี้ เมื่อราว ๘๐๐ ปีมาแล้ว ------------------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล : นายสมเดช ลีลามโนธรรม นักโบราณคดีชำนาญการ อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย------------------------------------------------------บรรณานุกรม กรมศิลปากร. จารึกในประเทศไทย เล่ม ๔ อักษรขอม พุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ภาพพิมพ์ , ๒๕๒๙. กรมศิลปากร. อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย. กรุงเทพฯ : บริษัท สำนักพิมพ์สมาพันธ์ จำกัด, ๒๕๓๒. ทิพย์วรรณ วงศ์อัสสไพบูลย์. “การศึกษาร่องรอยของบ้านเมืองโบราณบริเวณใกล้เคียงศาสนสถานประจำ โรงพยาบาลสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ในเขตจังหวัดนครราชสีมา สุรินทร์ และบุรีรัมย์.” วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๕ รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล, “ประติมานวิทยาของรูปเคารพในสุคตาลัย ศาสนาสถานประจำอโรคยศาล,” เมือง โบราณ ๔๐, ๓ (กรกฎาคม – กันยายน, ๒๕๕๗). ศิริพันธ์ ตาบเพ็ชร์. รายงานเบื้องต้น ทำเนียบอโรคยศาลในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สมาพันธ์, ๒๕๕๕. Bhari, K.M. trans., “Ta Prohm Inscription.” in Ta Prohm A Glorious Era in Angkor Civilization. Bangkok : White Lotus, 2007.


เชื่อหรือไม่? คนสุโขทัยก็เล่นหมากรุก เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๖ มีการดำเนินงานขุดแต่งทางโบราณคดีที่พระราชวังโบราณ เมืองศรีสัชนาลัย (ปัจจุบันอยู่ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย) ในการทำงานคราวนั้น นักโบราณคดีได้พบโบราณวัตถุต่าง ๆ มากมาย หนึ่งในนั้นคือ หมากรุกสังคโลก ซึ่งปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก เชื่อกันว่าหมากรุกของไทยพัฒนามาจากเกมกระดานของอินเดียที่ชื่อว่า จตุรงค์ (Chaturanga) ซึ่งกำเนิดขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ก่อนจะแพร่ขยายไปยังดินแดนต่าง ๆ ทั่วโลกรวมถึงดินแดนสุวรรณภูมิ สันนิษฐานว่าหมากรุกน่าจะเข้ามาพร้อมกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๐ เป็นอย่างน้อย โดยระยะแรกอาจเป็นเกมการละเล่นในราชสำนัก ดังที่พบตัวหมากรุกที่พระราชวังโบราณ เมืองศรีสัชนาลัย รวมถึงการพบหลักฐานอื่น ๆ เช่น ข้อความในศิลาจารึกหลักที่ ๓ จารึกนครชุมที่สร้างขึ้นในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไทย) มีใจความว่า “...เมืองอันใดก็รู้สิ้นอันรู้ศาสตร์...อ...อยูกต สกาจตุรงค์กระทำยนตร์ขี่ช้าง...” ซึ่งคำว่า จตุรงค์ ในที่นี้หมายถึงหมากรุกนั่นเอง ไม่เพียงเท่านั้นยังพบหมากรุกที่ผลิตจากแหล่งเตาเวียงกาหลงของอาณาจักรล้านนาอีกด้วย หมากรุกที่จัดแสดงอยู่ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก จึงเป็นหลักฐานที่สะท้อนให้เห็นว่าการเล่นหมากรุกในดินแดนไทยปรากฏมีมาแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัย และยังคงเป็นการละเล่นที่ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน



พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางมนัศมานิต (ชรินทร์ ทินกร ณ อยุธยา) ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ ๑๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๐๙


black ribbon.