ห้องวรรณกรรมเมืองสุพรรณ
จัดแสดงเรื่องราวของวรรณกรรมสำคัญ สองเรื่อง ที่เกี่ยวกับเมืองสุพรรณบุรี ได้แก่ เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ที่ได้รับการยกย่องจากวรรคดีสโมสรให้เป็นเลิศประเภทกลอนเสภา
ห้องวรรณกรรมเมืองสุพรรณ

จัดแสดงเรื่องราวของวรรณกรรมสำคัญ สองเรื่อง ที่เกี่ยวกับเมืองสุพรรณบุรี ได้แก่ เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ที่ได้รับการยกย่องจากวรรคดีสโมสรให้เป็นเลิศประเภทกลอนเสภา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและโคลงนิราศสุพรรณซึ่งประพันธ์โดยสุนทรภู่ กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วรรณกรรมทั้งสองเรื่องเปรียบเสมือนภาพสะท้อนวิถีชีวิตขนบธรรมเนียม ประเพณีของชาวสุพรรณบุรีในอดีต

โคลงนิราศสุพรรณ

โคลงนิราศสุพรรณเป็นวรรณกรรมที่บันทึกสภาพบ้านเมืองของสุพรรณบุรีในอดีตเมื่อครั้งสุนทรภู่กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ผู้ประพันธ์ได้เดินทางมาสุพรรณ ในพุทธศักราช 2379 ขึ้น สมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จึงมีคุณค่าเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และการศึกษาสภาพภูมิศาสตร์เมืองสุพรรณในอดีต
สุนทรภู่ได้ประพันธ์โคลงนิราศสุพรรณ ซึ่งเป็นโคลงสี่สุภาพเพียงเรื่องเดียวของท่านเชื่อกันว่าท่านประพันธ์เรื่องนี้เป็นโคลงเพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ถึงความสามารถในการแต่งโคลงสี่สุภาพของท่าน ว่าท่านสามารถแต่งได้ดีเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อแก้คำท้าทายที่ว่าท่านแต่งได้ดีแต่กลอน ต้นฉบับโคลองนิราศสุพรรณนี้เป็นสมุดไทยดำสามเล่ม เขียนด้วยดินสอขาว พิมพ์รวมเป็นเล่มสมบูรณ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2510 ลายมือในสมุดไทยนี้มีรอยแก้ไขหลายแห่ง วิธีเขียนและการสะกดการันต์เป็นแบบรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งยังไม่มีแบบแผนการสะกดเช่นในปัจจุบัน จะเขียนตามเสียง เช่น ผกา เขียน พกา, สุพรรณบุรี เขียนเป็น สูพันบุรี เป็นต้น16
 
 
 
ในการเดินทางครั้งนั้น สุนทรภู่อยู่ในสมณเพศ เดินทางมาทางเรือ เมื่อราว พ.ศ. 2379 พร้อมบุตรทั้งสาม คือ หนูพัด หนูตาบ หนูน้อย และนายรอด ที่เป็นทั้งคนนำทางและนายท้ายเรือ การเดินทางมาเพื่อค้นหาแร่ปรอทสำหรับการเล่นแร่แปรธาตุ ในพื้นที่แถบอำเภอด่านช้างปัจจุบันคณะสุนทรภู่ออกเดินทางจากท่าน้ำวัดเทพธิดาราม ผ่านคลองมหานาค คลองโอ่งอ่าง ออกแม่น้ำเจ้าพระยาเมหรือคลองบางกอกน้อยในปัจจุบัน เข้าคลองบางใหญ่ออกแม่น้ำนครไชยศรีขึ้นเหนือเข้าสู่เขตแม่น้ำสุพรรณบุรี ถึงบ้างทึงขึ้นบกเดินเท้าเข้าป่าที่วังหิน เพื่อค้นหาแร่ปรอทในป่าลึกแต่ไม่พบ จึงกลับมาลงเรือที่บ้านสองพี่น้อง
ระหว่างทางสุนทรภู่ได้แต่งโคลงนิราศ โดยพรรณนาถึงความสวยงามของธรรมชาติ ชื่อหมู่บ้านสถานที่ต่าง ๆ ลักษณะบ้านเมือง พืชพรรณ สรรพสัตว์ วิถีชีวิตชาวสุพรรณเชื้อชาติต่าง ๆ ที่พบเห็นระหว่างทาง ประกอบกับการรำพันถึงหญิงอันเป็นที่รัก เป็นโคลองนิราศยาวถึง 462 บท เนื้อความในโคลงนี้จึงเสมือนบันทึกสภาพบ้านเมืองของเมืองสุพรรณเมื่อเกือบ 200 ปี ที่แล้ว ปัจจุบันหลายแห่งยังคงสภาพคล้ายในสมัยสุนทรภู่หลายแห่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง โคลงนิราศสุพรรณจึงเป็นวรรณกรรมท้องถิ่นที่ใช้เป็นหลักฐานในการศึกษาสภาพเดิม
ในอดีตก่อนการเปลี่ยนแปลงได้ ดังตัวอย่างโคลง17 ต่อไปนี้
 
….ชุมนักผักตบซ้อน บอนแซง
บอนสุพรรณหั่นแกง อร่อยแท้
บอนบางกอกดอกแสลง เหลือแหล่แม่เอย
บอนปากยากจแก้ ไม่สริ้นลิ้นบอน….
 
…ฝั่งซ้ายฝ่ายฟากโฟ้น พิสดาร
มีวัดพระรูปบูราณ ท่านสร้าง
ที่ถัดวัดประตูสาร สงสู่อยู่เอย
หย่อมย่านบ้านบ้านขุนช้าง ชิดข้างสวนบันลังฯ….

ขุนช้าง–ขุนแผน

ขุนช้าง – ขุนแผนเป็นนิทานคู่บ้านคู่เมืองสุพรรณมานานนับร้อยปี มีเค้าโครงเรื่องจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาตอนต้น เมื่อครั้งทำสงครามกับเมืองเชียงใหม่และเมืองเชียงทอง โดยผูกเรื่องให้ตัวเอกรับราชการเป็นขุนนานใต้เบื้องยุคลบาทพระมหากษัตรยิ์แห่งกรุงศรีอยุธยา ตามเนื้อเรื่องคือ สมเด็จพระพันวษา ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าอาจเป็นพระนามหนึ่งของด้วยเป็นเรื่องราวของความรัก ความหึงหวงระหว่างหญิง – ชาย เล่ห์เหลี่ยมกลโกงระหว่างเพื่อน ความเชื่อทางไสยศาสตร์ มนต์ดำและการทำสงคราม ให้อรรถรสครบทุกอารมณ์ จึงเป็นที่นิยมจนได้นำไปประพันธ์ใหม่เป็นร้อยกรองประเภท กลอนเสภา ใช้ขับเล่าประกอบเสียงกรับอันไพเราะ ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาภายหลังเสียกรุง พุทธศักราช 2310 ต้นฉบับกลอนเสภาสูญหายไป ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จึงโปรดให้ประชุมกวีเอกของราชสำนัก เพื่อชำระกลอนเสภาขุนช้าง – ขุนแผน จากความทรงจำของช่างขับเสภาที่รอดชีวิตมาจากสงคราม และแต่งบทกลอนเพิ่มเติมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ก็ได้มีการแต่งกลอนเพิ่มเติมต่อมาจนสมบูรณ์13 เป็นวรรณคดีที่ได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้เป็นเลิศในประเภทกลอนเสภา

ตัวเอกของเรื่องขุนช้าง – ขุนแผน ล้วนมีพื้นเพเป็นชาวสุพรรณบุรี ซึ่งมีฐานะเป็นเมืองหนึ่งของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาทั้งขุนแผนผู้เป็นพระเอก นางพิมพิลาไลยเป็นนางเอก และขุนช้างเป็นผู้ร้าย เรื่องดำเนินไปด้วยเหตุการณ์ชิงรักหักสวาทของตัวเอกทั้งสามตั้งแต่เด็ก กระทั่งเติบโต ถึงชั้นลูกหลาน โดยสอดแทรกเนื้อหาของประเพณี วัฒนธรรม และหลักจริยธรรมในสังคมไทย เช่น ประเพณีการบวชเรียน พิธีแต่งงาน การปลงศพ ผลการประพฤติดี ประพฤติชั่ว ความเคารพนับถือในเครือญาติ ความเชื่อ ไสยศาสตร์ และความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ที่สื่อถึงผู้อ่านและผู้ฟังได้ นับเป็นคุณค่าที่สมบูรณ์ของวรรณกรรมเรื่องนี้

นอกจากภาพสะท้อนถึงวิถีชีวิตชาไทยสมัยอยุธยา – รัตนโกสินทร์ตอนต้นแล้ว การที่เนื้อหาและฉากในเรื่องถูกผูกให้เป็นตำนานของชื่อสถานที่ในจังหวัดสุพรรณบุรี และกาญจนบุรี เช่นวัดป่าเลไลย์ วัดแค วัดตระไกร บ้านไร่ฝ้าย บ้านท่าสิบเบี้ย เป็นต้น สะท้อนให้เห็นถึงความผูกพันของชาวสุพรรณต่อนิทานเรื่องนี้ ยิ่งเมื่อได้รับเลือกไปประพันธ์เป็นกลอนเสภา ที่ได้รับยกย่องเป็นสุดยอดแห่งกลอนเสภาไทยจากวรรณคดีสโมสรสมัยรัชกาลที่ 6 ยิ่งเป้นความภาคภูมิใจของชาวสุพรรณและถือเป็นเอกลักษณ์ของเมืองสุพรรณมาตั้งแต่อดีต โดยเห็นได้จากการตั้งชื่อเรือเมล์ขาว – แดง ตามชื่อตัวเอกในเรื่องถึงสมัยปัจจุบันก็ยังตั้งชื่อถนน ตรอก ซอย เป็นชื่อตัวละครในเรื่องขุนช้าง – ขุนแผนอีกด้วย


(จำนวนผู้เข้าชม 2885 ครั้ง)