องค์ความรู้ เรื่อง เทียนพรรษาโคราช


วันเข้าพรรษาและประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดนครราชสีมา: จากพุทธบัญญัติสู่มหกรรมทางวัฒนธรรม
           วันเข้าพรรษา ถือเป็นวันสำคัญยิ่งในพุทธศาสนา มีความสำคัญทั้งในทางพระวินัย ราชประเพณี และเป็นรากฐานของวัฒนธรรมประเพณีอันงดงามที่สืบทอดกันมายาวนาน ตามพุทธบัญญัติ วันเข้าพรรษาตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 เป็นวันที่พระภิกษุสงฆ์ต้องอธิษฐานอยู่จำพรรษา ณ อาวาสใดอาวาสหนึ่งตลอดระยะเวลา 3 เดือน โดยไม่ไปค้างคืนที่อื่น
           เหตุผลหลักของการจำพรรษาคือเพื่อป้องกันความเสียหายแก่พืชพรรณธัญญาหารของชาวบ้าน และเพื่อส่งเสริมการศึกษาพระธรรมวินัยของพระภิกษุสงฆ์ในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "พรรษา" ที่แปลว่า "ฤดูฝน" หรือ "การอยู่จำ" เนื้อหาเกี่ยวกับการบัญญัติให้พระภิกษุอยู่จำพรรษาในทางพระวินัยนั้นปรากฏอยู่ในพระวินัยปิฎก เล่มที่ 4 มหาวรรค ภาค 1 ในหัวข้อ "วัสสูปนายิกขันธกะ" (หมวดว่าด้วยการเข้าจำพรรษา) [1]
           ความสำคัญของวันเข้าพรรษายังปรากฏในราชประเพณีมาอย่างยาวนาน โดยหลักฐานที่กล่าวถึงประเพณีถวายเทียนพรรษาคือใน "จารึกนครชุม" ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) แห่งกรุงสุโขทัย ราวพุทธศตวรรษที่ 19 ได้มีการกล่าวถึงการถวาย "เทียนจำพรรษา" เพื่อใช้จุดให้แสงสว่างแก่พระภิกษุสงฆ์ในระหว่างจำพรรษา อันเป็นเครื่องยืนยันว่าประเพณีนี้มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและได้รับการสืบทอดเรื่อยมา [2]
 
ประเพณีแห่เทียนพรรษาโคราช: ความงดงามแห่งศรัทธาและศิลปะ
           สำหรับจังหวัดนครราชสีมา การหล่อเทียนและถวายเทียนพรรษาเพื่อใช้เป็นพุทธบูชามีมาอย่างยาวนานด้วยเหตุที่มีวัดวาอารามอยู่มากมาย จึงเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมาอย่างต่อเนื่องในแต่ละชุมชน และนอกจากการหล่อเทียนและถวายเทียนแล้ว ยังมีอีกหนึ่งประเพณีที่สำคัญนั่นก็คือ การแห่เทียนพรรษา
           การแห่เทียนพรรษาโคราช เป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาช้านาน ด้วยความร่วมมือของทางราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน รวมถึงพ่อค้า คหบดี และประชาชน มีการตกแต่งประดับประดาเทียนเข้าพรรษาด้วยขี้ผึ้งล้วน ๆ หรือด้วยเครื่องประดับอื่นๆ แล้วนำขึ้นตั้งบนล้อเลื่อนหรือรถยนต์ ประกอบด้วยเครื่องสูง พัดโบก จามร ฉัตร และมีภาพเทพบุตร เทพธิดาในสวรรค์ชั้นฟ้าเหาะลงมาเพื่อประคับประคองเทียนเข้าพรรษา พร้อมทั้งคติธรรมต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องราวชาดก หรือคำสอนด้วยภาพ ด้วยข้อความ และคำโฆษณาอันประทับใจผู้ที่ได้พบเห็นและได้ฟัง
           ก่อนวันงาน ที่วัดจะมีการเล่นมหรสพประเภทฉลองเทียนเข้าพรรษา อาทิ ภาพยนตร์ ลิเก ลำตัด เพลงโคราช ฯลฯ 1 คืน รุ่งขึ้นวัดต่าง ๆ ที่จัดเทียนเข้าพรรษาจะนำเทียนมารวมกันที่จุดศูนย์กลางคือหน้าศาลากลางจังหวัด เมื่อพร้อมกันแล้วจะตั้งริ้วขบวนและแห่ไปตามถนนสำคัญหลายสายในตัวเมือง แล้วมารวมกันยังที่เดิม เพื่อรับการพิจารณาของคณะกรรมการซึ่งทางราชการจัดตั้งขึ้น ว่าเทียนเข้าพรรษาของวัดใดจะงดงาม มีคติธรรมดี และมีการตกแต่งเป็นเยี่ยม เพื่อรับรางวัลที่ 1, 2 และ 3 ตามลำดับ ส่วนเทียนเข้าพรรษาที่เข้าขบวนแห่รอง ๆ ไปก็มีรางวัลพิเศษให้ เช่น เงิน ข้าวสาร น้ำปลา น้ำมันก๊าด ตู้ยาตำราหลวง ยาชา ธูปเทียน ไม้ขีดไฟ และเครื่องใช้สอยอื่น ๆ เป็นต้น เสร็จแล้วก็แยกขบวนกลับวัดของตน ทางราชการจะเชิญข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนเป็นผู้ถวายเทียนเข้าพรรษาตามวัดต่าง ๆ ต่อไป
           พิธีแห่เทียนเข้าพรรษาจัดเป็นประเพณีใหญ่และขึ้นหน้าขึ้นตาของจังหวัดนครราชสีมา ในวันนั้นพุทธศาสนิกชนชาวนครราชสีมา ทั้งเด็ก หนุ่มสาว และผู้ใหญ่ จำนวนหลายหมื่นคนจากทุกทิศทุกทาง แต่งกายโอ่อ่ามาชมขบวนแห่ ประเพณีการแห่แหนนี้เป็นการส่งเสริมศีลธรรมและวัฒนธรรมไปในตัวด้วย [3]
           อนึ่ง แต่ก่อนทางราชการได้จัดอย่างมโหฬาร โดยมีการนำช้าง ม้า ของขบวน และจัดให้มีการล่อช้าง ล่อม้า ณ สนามหน้าศาลากลางจังหวัดด้วย ดังนั้นในบางปีบริเวณสนามจังหวัดจะคับแคบไป ทางราชการจึงจัดให้มีการฉลองเทียนเข้าพรรษาประจำปี ณ สนามหนองบัวหน้ากองบัญชาการทหารบกนครราชสีมาก็เคยทำ [3]
 
การเติบโตสู่ "มหกรรมแห่เทียนพรรษาโคราช"
           การเติบโตของประเพณีแห่เทียนโคราชพัฒนาต่อเนื่องเป็น "มหกรรมแห่เทียนพรรษาโคราช" หนึ่งในงานประเพณีสำคัญและมีชื่อเสียงของไทยในปัจจุบัน อาจเป็นผลพวงมาจากงานฉลองกึ่งพุทธกาล เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ [4] ซึ่งรัฐบาลมีโครงการให้เงินอุดหนุนบำรุงพุทธศาสนาอย่างกว้างขวาง ภายใต้บริบทของการใช้นโยบายทางด้านศาสนาเพื่อแสวงหาความชอบธรรมทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเกิดขึ้นของโครงการอุดหนุนสมทบทุนบูรณะวัดรายปีและโครงการฉลอง 25 พุทธศตวรรษ [5] ทั่วประเทศจึงมีการจัดกิจกรรมทางศาสนาและบำเพ็ญบุญกุศลอย่างคึกคัก เพื่อฟื้นฟูพระพุทธศาสนาเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ประเพณีทางศาสนาเริ่มมีความยิ่งใหญ่ขึ้นตามลำดับ จากประเพณีดั้งเดิมเริ่มพัฒนาไปสู่การแห่เทียนอย่างเป็นทางการและยิ่งใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นมหกรรมประจำปีที่จัดขึ้น ณ ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ถนนราชดำเนิน และลานศาลากลางประจำจังหวัด สะท้อนถึงศรัทธา ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น และประวัติศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ของชาวโคราช
 
การประกวดเทียนพรรษาในจังหวัดนครราชสีมา
           การประกวดต้นเทียนพรรษาในจังหวัดนครราชสีมาแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก เพื่อรองรับความหลากหลายของขนาดและรูปแบบการสร้างสรรค์ ดังนี้ [6]
1. ประเภท ก. (ขนาดใหญ่):
o ต้นเทียนที่มีความสูงจากฐานถึงยอดไม่น้อยกว่า 3 เมตร และมีพื้นที่จัดแสดงไม่น้อยกว่า 25 ตารางเมตร
o ต้นเทียนประเภทนี้มักมีความอลังการ วิจิตรบรรจง และใช้เทคนิคการแกะสลักที่ซับซ้อน มักบอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ ชาดก หรือเรื่องราวทางศาสนาที่สำคัญอย่างละเอียด
o ผู้เข้าประกวดส่วนใหญ่เป็นวัดที่มีความพร้อมและประสบการณ์ในการสร้างต้นเทียนขนาดใหญ่ ซึ่งมักจะคว้ารางวัลชนะเลิศถ้วยพระราชทานมาครอง
2. ประเภท ข. (ขนาดกลาง):
o ต้นเทียนที่มีความสูงจากฐานถึงยอดไม่น้อยกว่า 2.5 เมตร แต่ไม่เกิน 3 เมตร และมีพื้นที่ไม่น้อยกว่า 18 ตารางเมตร แต่ไม่เกิน 25 ตารางเมตร
o ต้นเทียนประเภทนี้ยังคงความสวยงามและรายละเอียดที่ประณีต แต่มีขนาดกะทัดรัดกว่าประเภท ก. เหมาะสำหรับวัดหรือชุมชนที่ต้องการแสดงฝีมือแต่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่หรืองบประมาณเล็กน้อย
3. ประเภท ค. (ประติมากรรมเทียน/ขนาดเล็ก):
o ประติมากรรมเทียนที่มีความสูงไม่ต่ำกว่า 1.20 เมตร และมีพื้นที่ไม่น้อยกว่า 2 ตารางเมตร
o เทียนประเภทนี้มักเน้นที่ความคิดสร้างสรรค์ การออกแบบ และการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านประติมากรรมขนาดเล็กที่สามารถจัดแสดงในพื้นที่จำกัดได้
o ประเภท ค จะตั้งโชว์ ณ จุดจัดแสดงหลัก (เช่น ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี) และไม่ได้เข้าร่วมในขบวนแห่หลัก วัด โรงเรียน หรือสถาบันการศึกษาก็สามารถส่งผลงานเข้าร่วมได้
 
รางวัลและการเชิดชูเกียรติ
           รางวัลสูงสุดในการประกวดต้นเทียนพรรษาของจังหวัดนครราชสีมา คือ ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งมอบให้กับผู้ชนะเลิศในแต่ละประเภท รวมถึงเงินรางวัลและเกียรติบัตรต่าง ๆ การที่ได้รับถ้วยพระราชทานถือเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของวัดและชุมชนที่ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน
           การประกวดต้นเทียนพรรษาไม่เพียงแต่เป็นเวทีแสดงออกถึงฝีมือและศิลปะของช่างเทียนโคราชเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสืบทอดและพัฒนาประเพณีอันดีงามนี้ให้คงอยู่คู่เมืองโคราชและประเทศไทยสืบไป จากการรวมพลังของชุมชน วัด และหน่วยงานภาครัฐ ทำให้งานแห่เทียนพรรษาโคราชกลายเป็นหนึ่งในมหกรรมทางวัฒนธรรมและศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
 
การจัดงานแห่เทียนโคราช ประจำปี 2568
           สำหรับปี 2568 เทศบาลนครนครราชสีมา ได้กำหนดจัดงานประเพณีแห่เทียนพรรษา ภายใต้งาน “แห่เทียนโคราชศาสตร์ศิลป์ถิ่นย่าโม" จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 11 กรกฎาคม 2568 ณ บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี มีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทยให้คงอยู่สืบไป ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดนครราชสีมา
           ภายในงานมีการประกวดต้นเทียนพรรษาชิงถ้วยรางวัลพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในประเภท ก. และ ประเภท ข. อีกทั้งยังมีการประกวดต้นเทียนพรรษา ประเภท ค การประกวดขบวนแห่ การแสดงแสง สี เสียง การแสดงของขบวนอารยธรรมที่เป็นวิถีของท้องถิ่นโคราช และขบวนการแสดงที่บ่งบอกถึงความเป็นมรดกโลกของผืนป่าเขาใหญ่ ป่าสะแกราช ซึ่งเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ซอฟต์พาวเวอร์และความเป็นมรดกโลกของจังหวัดนครราชสีมา [6]
           โดยในงานจะมีการจัดแสดงรถแห่เทียนพรรษา ประเภท ก. ได้แก่ วัดใหม่สระประทุม, วัดนอก, วัดเดิม, วัดโบสถ์คงคาล้อม, วัดบิง และประเภท ข. ได้แก่ วัดเก่าประตูชัย, วัดศรีพุทธาราม (วัดใน), วัดใหม่ประตูชัย, วัดสระเพลง, ทีมงานส่วยศิลป์, วัดบูรพาพิมล, โรงเรียนพิมายวิทยา และในวันที่ 11 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.00 น. จะมีพิธีปล่อยขบวนรถเทียนพรรษาจำนวน 12 วัด และการประกวดขบวนแห่จำนวน 5 ขบวน [6]
 
เอกสารอ้างอิง
[1] พระวินัยปิฎก เล่มที่ 4 มหาวรรค ภาค 1. [ออนไลน์].  สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2568,  จาก: https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_item.php?book=4&item=219
[2] จารึกสุโขทัย ของพระเจ้าเลอไทย.  พระนคร: โรงพิมพ์กรมแผนที่, 2473. 
จารึกสมัยสุโขทัย.  กรุงเทพ: กรมศิลปากร, 2527. (ออนไลน์เข้าถึงได้จาก: https://www.finearts.go.th/songkhlalibraryk/view/18499)
[3] คณะกรรมการประชาสัมพันธ์และพิมพ์เอกสารการจัดงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ พ.ศ. 2500. จังหวัดนครราชสีมา.  รวบรวมโดย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา.  กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์อุดม, 2500.
[4] ประมวลเอกสาร คำกราบบังคมทูล พระราชดำรัสตอบ สุนทรพจน์เป็นพุทธบูชา รายงานการสร้างพระพุทธรูป สุนทรพจน์ต้อนรับ และรับมอบของที่ระลึก ลิขิตอนโมทนาฯลฯ เนื่องในงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ : 12-18 พฤษภาคม 2500.  พระนคร: โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, 2500. (ออนไลน์เข้าถึงได้จาก: http://digital.nlt.go.th/dlib/files/original/5972077c3561a07b86b664a1ca554dc0.pdf
[5] ณัฐวุธ จารุลักขณา.  นโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับเงินบำรุงพุทธศาสนา ระหว่าง พ.ศ. 2475 - 2505.  วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์.  คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2565. (ออนไลน์เข้าถึงได้จาก: https://ethesisarchive.library.tu.ac.th/thesis/2022/TU_2022_6106030015_15420_26282.pdf)
[6] ข่าวประชาสัมพันธ์เทศบาลนครราชสีมา เว็บไซต์: www.koratcity.go.th และ Facebook: ประชาสัมพันธ์ เทศบาลนครนครราชสีมา 
 
เรียบเรียงข้อมูลและแนะนำโดย: นางแพรว ธนภัทรพรชัย เจ้าพนักงานห้องสมุดชำนาญงาน
ออกแบบกราฟิกโดย: นายพีรยุทธ กษิติบดินทร์ชัย บรรณารักษ์ปฏิบัติการ
 

(จำนวนผู้เข้าชม 1161 ครั้ง)

black ribbon.