...

องค์ความรู้ : วัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาวล้านนาไทย เรื่อง พระนางจิรประภามหาเทวี ผู้อุปถัมภ์วัดโลกโมฬี ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

วัดโลกโมฬี ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ที่มีประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม ศิลปะ วัฒนธรรมของล้านนาที่สำคัญมาอย่างยาวนาน โดยได้รับการสืบทอดและดูแลจากพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ปกครองอาณาจักรล้านนา ในปัจจุบันวัดโลกโมฬีเป็นอีกหนึ่งวัดที่การสืบสานประเพณี และวัฒนธรรมอันล้ำค่าอย่างต่อเนื่องของเมืองเชียงใหม่

วัดโลกโมฬี เป็นพระอารามหลวงนอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งไม่มีหลักฐานปรากฏอย่างแน่ชัดว่าถูกสร้างขึ้นในสมัยใด แต่ก็มีข้อมูลยืนยันและปรากฏชื่อครั้งแรกในรัชสมัยพระเจ้ากือนา พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๖ ในราชวงศ์มังราย เมื่อคราวที่พระองค์โปรดฯ ให้ไปอาราธนาพระอุทุมพรบุปผามหาสวามี จากเมืองพันหรือเมาะตะมะ ประเทศพม่า ให้มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนล้านนา แต่พระอุทุมพรบุปผามหาสวามีทรงชราภาพ จึงได้ส่งคณะสงฆ์ ๑๐ รูปมาแทน พระเจ้ากือนา จึงโปรดฯ ให้คณะสงฆ์ดังกล่าวไปจำพรรษา ณ วัดโลกโมฬี อันเป็นสถานที่ที่ใช้ในการต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากต่างเมือง

จากตำนานพระธาตุดอยสุเทพ หน้า ๘ กล่าวว่า “... ท้าวกือนา ได้เสวยราชสมบัติในชุมพูนทบุรีศรีมหานครเมืองพิงเชียงใหม่ ได้ยินปวัติข่าวสาร สุปฏิปันนตาทิ คุณแห่งอุทุมพรบุปผมหาสวามีเจ้าอยู่เมืองพัน จึงใช้ราชทูตไปราธนามหาสวามีเจ้ามหาสวามีเจ้าบ่มา เจ้าใช้หื้อเถรเจ้าทั้งหลายอันเปนลูกศิษย์มา ๑๐ ตน มีอานนทเถรเจ้าเปนแก่มา ท้าวกือนาก็หื้อเถรเจ้าทั้งหลายอันอยู่วัดโลกลวยหัวเวียงแล...

เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๒๐ พระเจ้าติโลกราช พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๙ ในราชวงศ์มังราย พระองค์ทรงใช้เป็นที่รับรองพระเถระทั้งหลายที่มาร่วมงานสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๘

เมื่อปีพ.ศ. ๒๐๗๐ พระเมืองเกษเกล้าหรือพญาเกสเชษฐราช พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๑๒ ในราชวงศ์มังราย พระองค์ทรงเป็นผู้ฟื้นฟูวัดโลกโมฬีพระองค์แรก ซึ่งพระเมืองเกษเกล้าได้โปรดเกล้าฯ ยกบ้านหัวเวียงให้เป็นวัดและได้ทำการก่อสร้างเจดีย์และวิหารขึ้นภายในบริเวณวัด ต่อมาเจดีย์ของวัดโลกโมฬี สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๐๗๑

จากตำนานเมืองเชียงใหม่ หน้า ๘๗ กล่าวว่า ปีกุน จุลศักราช ๘๘๙ (พ.ศ.๒๐๗๐) สร้างบ้านหัวเวียงให้เป็นอาราม ให้ชื่อว่าวัดโมฟีโลก กับให้สร้างวัดบุญเกียร สร้างวิหารปีชวด จุลศักราช ๘๙๐ (พ.ศ.๒๐๗๑) ให้ก่อมหาเจดีย์ และสร้างวิหาร วัดโมฟีโลกปีฉลู

สมัยพระเมืองเกษเกล้า ช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๐๖๘ - ๒๐๘๑ เป็นยุคที่อาณาจักรล้านนาอ่อนแอและวุ่นวาย เนื่องจากภายในเกิดความไม่สามัคคี แตกแยกและขัดแย้งกัน ระหว่างขุนนางและกษัตริย์ สืบเนื่องจากพระโอรสท้าวซายคำปฏิวัติยึดอำนาจจากพระเมืองเกษเกล้า ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระองค์ และขับไล่พระองค์ออกไปอยู่เมืองน้อย (ปัจจุบันคืออำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน) และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๑๓ ในราชวงศ์มังราย แต่ในการบริหารบ้านเมืองมีแต่ความวุ่นวายและเกิดเหตุจลาจลบ่อยครั้ง กลุ่มขุนนางแตกแยกออกจากกันเป็นกลุ่มๆ และเกิดการช่วงชิงอำนาจกันเอง ท้าวซายคำ ทรงครองราชย์ได้เพียง ๕ ปี ช่วงระหว่าง พ.ศ.๒๐๘๑ - ๒๐๘๖ ก็ถูกลอบปลงพระชนม์โดยกลุ่มขุนนางกลุ่มหนึ่ง เนื่องจากท้าวซายคำ ขาดความชอบธรรมในราชบัลลังก์ ไม่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม และปฏิบัติผิดราชประเพณีอยู่ประจำ

ต่อมากลุ่มขุนนางส่วนใหญ่จึงอัญเชิญพระเมืองเกษเกล้ากลับมาครองราชบัลลังก์ตามเดิม เป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๑๔ ในราชวงศ์มังราย เป็นกษัตริย์ครั้งที่ ๒ บ้านเมืองก็ยังไม่ปกติสุขเกิดความแตกแยกถึงขั้นสงครามกลางเมือง และราษฎรยังคงเดือดร้อนเป็นอันมาก จนเป็นเหตุให้ก็ถูกกลุ่มแสนคร้าว รวมถึงเหล่าขุนนางในเชียงใหม่ลอบปลงพระชนม์พระเมืองเกษเกล้า ในปี พ.ศ. ๒๐๘๘ และได้ทำพิธีที่วัดแสนนอก นำพระบรมอัฐิมาบรรจุไว้ที่วัดโลกโมฬีด้านเหนือของพระอาราม

จากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ หน้า ๗๒ เช่นเจ้าตนนี้คือหมื่นมหินท ไปกินเมืองเชียงแสนปีเปิกเส็ดศักราช ๙๐๐ ตัว (พ.ศ. ๒๐๘๑) เสนาอำมาตย์ ทั้งหลายบ่เบิงใจ พระเมืองเกศเขาลวดพร้อมกันปลงพระยาเกศเอาไปไว้เสียเมืองน้อยเอาเจ้าพ่อท้าวชายตนเป็นลูกขึ้นนั่งแท่นแก้วในปีเปิกเส็ดนั้น

เช่นนี้คือพระยาสุทธสนะไปกินเชียงแสน เจ้าพ่อท้าวชายเสวยเมืองบ่ชอบทศราชธรรมเสนาอำมาตย์พร้อมกันฆ่าพ่อท้าวชายเสียในปีก่าเหม้า ศักราช ๙๐๕ ตัว (พ.ศ. ๒๐๘๖) ซ้ำไปเอาพระเมืองเกศเชฐราช ยังเมืองน้อยคืนมาเสวยเมืองแถม พระเมืองเกศเชฐราชได้เสวยเมืองสองที่อยู่ได้สองปีถึงปีดับไส้ศักราช ๙๐๗ ตัว (พ.ศ. ๒๐๘๘) เจ้าพระยาเกศเชฐราชกระทำบุญหื้อชาวเจ้าหนป่าแดงลงอุปสัมปทะกรรมยังท่ามหาฐาน แล้วเข้ามาทางประตูหัวเวียงยามพาดค่ำ แสนคร้าวจำหื้อหมื่นเตลิน ลูกพ่อท้าวเชียงคงหนึ่ง ลูกหมื่นอ้าย พวกช้างหน่อคำ ๑ หมื่นเสิมลูกแสนคร้าวหนึ่ง หื้อกระทำฆาตะวิพาศแก่เจ้าพญาเชฐราชพระเมืองเกศ ยังหัวข่วงหลวงเบื้องเหนือแล้วเอาไปส่งสะก๋ารยังวัดแสนพอกเอากระดูกไปบรรจุไว้ยังวัดโลกโมฬี ฝ่ายแจ่งหนเหนือทางนอกหั้น

ต่อมากลุ่มเชียงแสน ประกอบไปด้วยเจ้าเมืองเชียงแสน เจ้าเมืองเชียงราย เจ้าเมืองลำปาง เจ้าเมืองพาน ซึ่งได้รับการสนับสนุนและเป็นกลุ่มของพระนางจิรประภาเทวีเอง ได้ทำการกวาดล้างกลุ่มแสนคร้าวได้สำเร็จ และต้องการอัญเชิญเจ้าอุปโยวราช หรือสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช (หลวงพระบาง) มาครองอาณาจักรล้านนา ด้วยพระองค์มีศักดิ์เป็นพระราชนัดดา โดยสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช เป็นพระโอรสของพระยาโพธิสาลราช พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้างกับพระนางยอดคำทิพย์ ซึ่งพระนางยอดคำทิพย์เป็นพระราชธิดาของพระเมืองเกษเกล้าและพระนางจิรประภาเทวี ในช่วงระหว่างการรอการเสด็จมาของสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช เหล่าบรรดาขุนนาง จึงได้อัญเชิญพระนางจิรประภาเทวี พระอัครมเหสีในพระเมืองเกษเกล้า และเป็นพระราชมารดาท้าวซายคำ ขึ้นเป็นพระมหากษัตรีย์พระองค์แรกแห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๑๕ ในราชวงศ์มังราย เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๘๘

จากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ หน้า ๗๓ “...ขณะนั้นเจ้าขุนทั้งหลายลุกเมืองเชียงแสนมารอดเชียงใหม่ เอาแสนคร้าวหนึ่งหมื่นเตริน ลูกพ่อท้าวเชียงคงหนึ่ง ลูกหมื่นอ้ายพวกช้าง หน่อคำหนึ่ง หมื่นเสิมลูกแสนคร้าวหนึ่งฝูงอันเขาพร้อมกันฆ่าเจ้าพระยาเกศเชษฐราชนั้นไปฆ่าเสียนับเสี้ยง แล้วจึงพร้อมกันเอามหาเทวีเจ้าจิรประภา เป็นพระยาในนี้ดับใส้ศักราช ๙๐๗ ตัวเดือน ๑๐ แรม ๒ ค่ำ เม็งวัน ๕ ไทยเปิกยี่หั้นแลฯ

หลังจากนั้นได้การถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ เสร็จเรียบร้อยแล้ว พระนางจิรประภาได้สร้างเจดีย์บรรจุพระอัฐิพระราชบิดาไว้บริเวณวัดโลกโมฬี

จากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ หน้า ๗๓ เดือน ๑๐ แรม ๔ ค่ำ วัน ๗ (เสาร์) ไทยกดสีมาตั้งทัพอยู่เวียงรั้วนาง แรม ๖ ค่ำมากระทำกุศลบุญยังกู่เฝ้าเจ้าพระยาเกศเชษฐราชยังวัดโลกโมฬี...

สำหรับเจดีย์วัดโลกโมฬี เป็นทรงปราสาท ตามแบบสถาปัตยกรรมล้านนาที่มีความสูงและสวยงาม ทั้งนี้ในภายหลังได้มีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนฐานปัทม์ การตกแต่งด้วยลูกแก้วอกไก่ หรือซุ้มจระนำ นอกจากนี้ได้มีการบูรณะยอดองค์พระเจดีย์ โดยการเพิ่มรูปทรงระฆัง บัลลังก์สิบสองเหลี่ยม ปล้องไฉน หรือปลี ซึ่งรูปทรงระฆังและบัลลังก์นั้น เป็นลักษณะร่วมของทรงระฆัง

ส่วนวิหารหลวงวัดโลกโมฬี เป็นวิหารที่สร้างขึ้นในภายหลัง หลังจากการยกฐานะจากวัดร้างเป็นวัดที่มีพระภิกษุอยู่จำพรรษา มีการออกแบบในรูปแบบสถาปัตยกรรมศิลปะแบบล้านนาที่มีลักษณะงดงาม ประณีต โดยใช้ไม้สักเป็นวัสดุหลักในการสร้าง และตกแต่งด้วยลวดลายแกะสลักลวดลายต่างๆ อย่างสวยงาม ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธสันติจิรบรมโลกนาถ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ และนำพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้บนพระเมาลีในปัจจุบันวัดโลกโมฬี เป็นที่เคารพและสักการะจากประชาชนเป็นจำนวนมาก

วัดโลกโมฬี ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายที่ประดิษฐานภายในวัด อย่างเช่น พระพุทธอโรคยาปฐมาสุขี เป็นพระพุทธรูปปางหมอยา ผู้เป็นพระบรมครูแห่งยารักษาโรคและความเป็นเลิศในด้านความไม่มีโรค รู้ถึงแนวทางการขจัดปัดเป่าให้พ้นจากความทุกข์ที่เกิดจากการเจ็บไข้ได้ป่วย อันเป็นที่พึ่งและยึดเหนี่ยวสำหรับคนป่วยทั้งทางร่างกาย และจิตใจ ส่วนบริเวณหน้ากุฏิคุ้มพญาเกศ มีพระพุทธรูปที่หล่อด้วยเงินทั้งองค์ คือ หลวงพ่อเงินเปิดโลกทันใจ เป็นพระพุทธรูปปางเปิดโลก มีลักษณะยืนอยู่บนดอกบัว พระหัตถ์ทั้งสองข้างห้อยลงบนพระวรกาย แบฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองไปข้างหน้า เป็นกริยาทรงเปิดโลก อันเป็นมหามงคลในการเปิดดวงชะตาให้พบกับหนทางสว่างเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ยังมีวิหารพระโพธิสัตว์กวนอิมปางพันมือ พระพรหม พระพิฆเนศปางร่ายรำ (ปางนฤตยะ คณปติ) ถือว่าองค์บรมครูแห่งศิลปะวิทยาการ ๑๘ ประการ ซึ่งเป็นเทพแห่งศิลปะทั้งมวล ท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวกุเวร องค์พ่อจตุคามรามเทพ พ่อปู่ภุชงค์นาคราช หรือพญาภุชงค์นาคราช และพระบรมรูปหล่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงม้าศึก เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติพากันมากราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตเป็นจำนวนมาก

เรียบเรียงโดย : นายธีรบูลย์ มิตรมโนชัย นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม

แหล่งอ้างอิง :

ตำนานพระธาตุดอยสุเทพ.  พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๒. (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าหญิงจามรีวงศ์ ท จ. ปีมะเส็ง พ.ศ.๒๔๗๒).
บุญเสริม สาตราภัย.  ลานนาไทยในอดีต.  เชียงใหม่: โรงพิมพ์ช้างเผือกการพิมพ์
, ๒๕๒๒.
ประวิทย์ ตันตลานุกุล.  พระมหากษัตริย์กับวัดในตำนานล้านนา.  เชียงใหม่: เชียงใหม่โรงพิมพ์แสงศิลป์
, ๒๕๕๒.
พระครูโสภณกวีวัฒน์ (ธนจรรย์ สุระมณี).  ตำนานเมืองเชียงใหม่.  เชียงใหม่: โรงพิมพ์มิ่งเมือง
, ๒๕๕๐.
สำนักนายกรัฐมนตรี.  ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่.  พระนคร: โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี
, ๒๕๑๔.

(จำนวนผู้เข้าชม 9 ครั้ง)


black ribbon.