อนุสาวรีย์ช้างเผือก ตั้งอยู่ทิศเหนือของแนวกำแพงเมืองเชียงใหม่ ประมาณ ๕๐๐ เมตร อยู่บริเวณข่วงช้าง ด้านหน้าสถานีขนส่งเชียงใหม่แห่งที่ ๑ หรือที่คนเชียงใหม่เรียกว่า สถานีขนส่งช้างเผือก สำหรับความเป็นมาในการสร้างครั้งแรกอยู่ในรัชสมัยพระเจ้าแสนเมืองมาพระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๗ โอรสของพระเจ้ากือนา พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา พระองค์ที่ ๖ แห่งราชวงศ์มังราย กล่าวถึง พระยาไสสือไท หรือพระมหาธรรมราชาที่ ๓ โอรสของพระมหาธรรมราชาที่ ๒ แห่งราชวงศ์พระร่วง พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัย ได้มีราชสาสน์มาขอให้พระเจ้าแสนเมืองมาไปช่วยให้พ้นจากอำนาจของอยุธยาพระเจ้าแสนเมืองมาทรงยกกองทัพลงไปช่วยกษัตริย์สุโขทัยตามที่ทรงขอร้องมา เมื่อกองทัพไปถึงสุโขทัยแล้วก็รับสั่งให้ตั้งค่ายพักพลอยู่นอกเมือง และในคืนหนึ่งกองทัพสุโขทัยได้ยกกำลังออกมาโจมตีทหารเชียงใหม่จนแตกพ่ายพระเจ้าแสนเมืองมาพลัดเหล่าข้าราชบริพาร ทรงเสด็จหนีมาทางทับสลิด และทรงพบบุคคลสองคนชื่ออ้ายออบกับอ้ายยี่ระ ทั้งสองผลัดเปลี่ยนกันแบกพระเจ้าแสนเมืองมาจนถึงเมืองเชียงใหม่ได้อย่างปลอดภัย พระเจ้าแสนเมืองมา จึงโปรดฯ ให้ชุบเลี้ยงทั้งสองให้เป็นเสนาระดับนายพวก และให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ทางด้านใต้ของเชียงโฉม ส่วนบริเวณด้านตะวันออกของที่อยู่ของบุคคลทั้งสอง ก็โปรดฯ ให้สร้างรูปช้างเผือกไว้ และแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลช้างหลวง ตำแหน่งช้างซ้ายและช้างขวา พร้อมให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ทิศตะวันออกเฉียงได้ของเวียงเชียงโฉม และได้สร้างรูปปั้นช้างเผือก ๒ เชือก ไว้ด้านซ้าย และด้านขวา หันหน้าทางด้านทิศเหนือมีทางเดินระหว่างกลางของถนนเข้าประตูช้างเผือก
จากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ (๔๓) กล่าวว่า “ต โต ป รำ ถัดแต่นั้นไปหน้า เจ้าเมืองสุโขทัย ผิดพระยาบรมไตรจักรเมืองอโยธิยาเอาเมืองมาพึ่งเจ้าแสนเมืองมา เจ้าแสนเมืองมายกรี้พลไปว่าจะปล้นเอาเมืองสุโขทัย ตั้งทัพอยู่นอกเวียง เจ้าแสนเมืองมาเท่าอยู่บ่ออกค้ำศึก อันจักแต่งแปลงเอาเมืองท่านเจ้าเมืองสุโขทัยไปเฝ้าก็เท่าใช้นางเฒ่าแก่กับเรือนสืบคำออกมาจาเจ้าเมืองสุโขทัยหันบ่หล้างจักรบพระยาใต้ชนะยามดึก เจ้าเมืองสุโขทัยแผล (แปร) ยอพลศึกเข้ารบเจ้าแสนเมืองมา หมู่ชุมแตกพ่ายหนี เจ้าแสนเมืองมา พลัดช้างม้าหมู่ชุม ออกหนีมาทางทับสลิด เท่าพบขาสองคน ผู้หนึ่งชื่อว่าอ้ายออบ ผู้หนึ่งชื่อว่าอ้ายยี่ระเปลี่ยนกันแบกเจ้าแสนเมืองมา มาต่อเท้าเมืองเชียงใหม่ เจ้าแสนเมืองมาเลี้ยงขาทั้งสอง หื้อเป็นพวกซ้ายขวา ขาตั้งบ้านอยู่หนใต้เชียงโฉม ฟากทางเบื้องวันออกขาหื้อแปล๋งรูปช้างเผือกสองตัวไว้ซ้ายขวา เที่ยวเข้าออกตามหว่างกลางรูปช้างนั้นมาต่อเท้าบัดนี้ หากเป็นโบราณมาฉันนี้ จึงรีดรูปช้างสองตัวนั้นบ่ได้เพื่ออั้นแล”
ต่อมาในสมัยสมัยของพระเจ้าติโลกราชพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา พระองค์ที่ ๙ หลังจากสร้างพระธาตุเจดีย์หลวงแล้วเสร็จ ทรงโปรดให้หมื่นด้ำพร้าคตก่อพญาช้างเผือก ๒ เชือก บริเวณหัวเวียง พร้อมสวาดธิยายมนต์ทั้งหลายใส่และบรรจุหัวใจพญาช้างเผือกไว้ภายในด้วย และในหนังสือตำนานเชียงใหม่ปางเดิม (๓๓) กล่าวว่า “...หมื่นด้ำพร้าคตก่อมหาเจติยหลวงเจ้าหลังนี้นานได้ ๑๘ ปี จิ่งบัวรมวลแล้วแล หมื่นด้ำพร้าคตก็ไปก่อพระยาช้างเผือก ๒ ตัว หัวเวียงแล้ว ก็ไปก่อพระยาราชสีห์ ๒ ตัว หัวเวียงแล้ว หมื่นด้ำพร้าคตก็สวาดทิพมนต์ศาสตรเพท ในหัวใจพระยาช้างเผือกแลและพระยาราสีห์...”
จากประวัติศาสตร์พญาช้างเผือกทั้งสองเชือกนี้ ถือว่าเป็นเสื้อเมืองหรืออารักษ์ประจำเมืองที่มีเตชะฤทธิ์มาก เมื่อครั้งสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช แห่งอาณาจักรล้านช้าง มาครองเมืองเชียงใหม่เมื่อพ.ศ. ๒๐๘๙ ทรงทราบถึงอิทธิฤทธิ์ของช้างเสื้อเมือง จึงสั่งให้หมอช้างลองแก้ไขด้วยพิธีกรรมและอาคมต่างๆ แต่ก็ไม่อาจสามารถเอาชนะได้ ซึ่งในตำนานเชียงใหม่ปางเดิม (๓๕) กล่าวว่า “ท่านผ้าขาวเหยเมื่อพระยาล้านช้างมากินเมือง พระยาล้านช้างว่าเมืองลูกนี้เขาเท่ามีแต่เสนาบ่ดาย เรามาเอาจักดาบ่ได้เหตุว่าเสื้อเมืองเขาเป็นช้างเผือกเพื่ออั้นแล พระยาล้านช้างก็หื้อหมอช้างสวาธิยายมนต์ช้างแล้ว ก็หื้อขึ้นขี่ช้างเข้าชนพระยาช้างเผือกตัวใต้แล้ว ก็ซ้ำชนพระยาช้างเผือกตัวเหนือเล่าหั้นแล พระยาล้านช้างก็อยู่บ่ได้ ก็ลวดพ่ายหนีไปเพื่ออั้นแล คือเพื่อว่าเตชะพระยาช้างเผือกนั้นแล อันนี้ก็เป็นฤทธีแห่งพระยาช้างเผือกสองตัวหัวเวียงแล”
เมื่อพ.ศ. ๒๓๔๓ เดือน ๗ ขึ้น ๑๑ ค่ำ วันเสาร์ ในสมัยพระเจ้ากาวิละ เจ้าหลวงเชียงใหม่พระองค์แรก แห่งราชวงศ์เจ้าเจ็ดคน โปรดให้ก่อรูปช้างเผือก ๒ เชือก เนื่องจากข้างเผือกได้ชำรุดทรุดโทรมลงมากตามกาลเวลา โดยมีขนาดโตใกล้เคียงกับช้างตัวจริงพร้อมสร้างซุ้มโค้งช้างครอบไว้มองเข้าไปทางด้านหัวช้าง มีกำแพงล้อมรอบบริเวณทั้ง ๔ ทิศ และมีประตูเข้า-ออก ทาด้วยสีขาวทั้งตัวช้างและกำแพง ช้างเผือกที่หันหน้าทางด้านทิศเหนือชื่อ “ปราบจักรวาล” อีกเชือกหนึ่งหันไปทิศตะวันตกชื่อว่า “ปราบเมือง มารเมืองยักษ์” ซึ่งในหนังสือตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ (๑๐๗) กล่าวว่า “...แล้วถึงเดือน ๗ ออก ๑๑ ค่ำ วัน ๗ ได้ก่อรูปช้างเผือกสองตัวไว้ทางหัวเวียง ตัวเบ่นหน้าไปหนเหนือ ชื่อปราบจักรวาล ตัวเบ่นหน้าไปวันตก ชื่อปราบเมืองมาร เมืองยักษ์…”
เมื่อพ.ศ. ๒๓๔๓ เดือน ๗ ขึ้น ๑๑ ค่ำ วันเสาร์ ในสมัยพระเจ้ากาวิละ เจ้าหลวงเชียงใหม่พระองค์แรก แห่งราชวงศ์เจ้าเจ็ดคน โปรดให้ก่อรูปช้างเผือก ๒ เชือก เนื่องจากข้างเผือกได้ชำรุดทรุดโทรมลงมากตามกาลเวลา โดยมีขนาดโตใกล้เคียงกับช้างตัวจริงพร้อมสร้างซุ้มโค้งช้างครอบไว้มองเข้าไปทางด้านหัวช้าง มีกำแพงล้อมรอบบริเวณทั้ง ๔ ทิศ และมีประตูเข้า-ออก ทาด้วยสีขาวทั้งตัวช้างและกำแพง ช้างเผือกที่หันหน้าทางด้านทิศเหนือชื่อ “ปราบจักรวาล” อีกเชือกหนึ่งหันไปทิศตะวันตกชื่อว่า “ปราบเมือง มารเมืองยักษ์” ซึ่งในหนังสือตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ (๑๐๗) กล่าวว่า “...แล้วถึงเดือน ๗ ออก ๑๑ ค่ำ วัน ๗ ได้ก่อรูปช้างเผือกสองตัวไว้ทางหัวเวียง ตัวเบ่นหน้าไปหนเหนือ ชื่อปราบจักรวาล ตัวเบ่นหน้าไปวันตก ชื่อปราบเมืองมาร เมืองยักษ์…”
จากข้อมูลตำนานต่างๆ แสดงให้เห็นถึงการสร้างรูปช้างเผือก ๒ เชือก บริเวณทางทิศเหนือของเมืองเชียงใหม่หลายครั้ง ครั้งแรกในรัชสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมา ซึ่งเป็นยุคสมัยเดียวกับการเริ่มสร้างพระธาตุเจดีย์หลวง หลังจากนั้นในรัชสมัยของพระญาติโลกราช ทรงโปรดให้หมื่นด้ำพร้าคตเป็นนายช่างใหญ่บูรณปฏิสังขรณ์ และเสริมฐานพระเจดีย์หลวงใหญ่กว่าเดิม และสร้างช้างเผือก ๘ เชือก รอบฐานพระธาตุเจดีย์หลวง จากนั้นสร้างช้างเผือก ๒ เชือก และสิงห์ ๒ ตัว ทางด้านทิศเหนือของเมืองเชียงใหม่ด้วย ต่อมาในรัชสมัยพระเจ้ากาวิละ เจ้าหลวงเชียงใหม่พระองค์แรก ช้างเผือกทั้ง ๒ เชือก ได้ชำรุดทรุดโทรมลงมาก จึงได้ทำการบูรณะขึ้นใหม่อีกครั้ง สำหรับชาวเชียงใหม่ และชาวชุมชนย่านช้างเผือกได้ให้ความเคารพอนุสาวรีย์ช้างเผือกโดยมีความเชื่อว่าเป็นอารักษ์ หรือเสื้อบ้าน เรียกว่า “เจ้าพ่อช้างเผือก”
อนุสาวรีย์ช้างเผือก จึงเป็นสัญลักษณ์คู้บ้านคู่เมืองของชาวเชียงใหม่ เพื่อระลึกถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ คุณงามความดี และความเสียสละของบรรพบุรุษที่สั่งสมสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
เรียบเรียงโดย : นายธีรบูลย์ มิตรมโนชัย นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
แหล่งอ้างอิง :
บุญเสริม สาตราภัย. เสด็จลานนา เล่ม ๑. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: อักษราพิพัฒน์, ๒๕๓๒.
ประชากิจกรจักร, พระยา (แช่ม บุนนาค). พงศาวดารโยนก. กรุงเทพฯ: บุรินทร์การพิมพ์, ๒๕๑๖.
พระรัตนปัญญาเถระ. ชินกาลมาลีปกรณ์. แปลโดย แสง มนวิทูร. พระนคร: กรมศิลปากร, ๒๕๐๑.
วรชาติ มีชูบท. ย้อนอดีตล้านนา ตอน รวมเรื่องน่ารู้จากแผนที่เมืองนครเชียงใหม่. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๖๐.
วิลักษณ์ ศรีป่าซาง. “ช้างเผือก.” สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ. ๔. (๒๕๔๒): ๑๘๖๒-๑๘๖๕.
สมหมาย เปรมจิตต์ และคนอื่นๆ. ตำนานเชียงใหม่ปางเดิม. เชียงใหม่: สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๓๖.
สำนักนายกรัฐมนตรี. คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ ๒๕๑๔. ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่. พระนคร: โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, ๒๕๑๔.
(จำนวนผู้เข้าชม 83 ครั้ง)